เพทาย ชื่อของเพทาย ในภาษาอังกฤษคือ Zircon ซึ่งมีที่มาจากภาษาอาระบิคว่า Zargoon มีความหมายว่า แดงสว่าง (Bright Red ) หรือคล้ายทอง (Golden) ซึ่งน่าแปลกที่ตรงข้ามกับความคิดของไทยที่ว่า เพทายต้องแดงสลัว เพทาย ถูกค้นพบมานานแล้ว แหล่งของเพทายมีอยู่ทั่วโลก พบมากแถบอินโดจีน แถบเวียดนาม กัมพูชา ลาว และไทย แถวพม่าพบที่โมกก นอกนั้นมีพบในศรีลังกา ในแถบเทือกเขาอูราล นอร์เวย์ นิวอิงแลนด์ นิวเชาท์เวล ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส เพทายเป็นซิลิเกต ของเชอร์โคเนียม มีสูตรทางเคมีว่า ZrSiO4 เพทายเป็นแร่เมตามิกค์ (Metamict) หมายถึงเป็น แร่ที่ธาตุบางตัวสามารถ ถูกแทนที่ด้วย ธาตุกัมมันตภาพรังสี |
ทำให้เพทาย ที่เกิดในแหล่งต่างกัน มีคุณสมบัติ เฉพาะตัว ต่างกัน มีค่าดัชนีหักเห และความถ่วงจำเพาะต่างกัน นี่เป็นลักษณะพิเศษ ของเพทาย ที่พลอยอื่นไม่มี |
เพทายตกผลึกในระบบเตตราโกนอล (Tetragonal) มีลักษณะทางแสง หักเหคู่ ความแข็ง 7 ถึง 7.5 ค่าดัชนีหักเห 1.92 ถึง 1.98 ค่าไบเรฟรินเจ้นท์ 0.053 เพทายมักนิยมนำมา เผาเปลี่ยนสี เช่น เปลี่ยนจากสีใส หรือสีฟ้าอ่อน ให้เป็นสีฟ้าเข้ม ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่า หรือเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เหลืองทอง ส้ม หรือแดงที่หายากกว่า เพทายโดยเฉพาะสีน้ำเงิน ถือเป็นพลอยประจำเดือนเกิด ของผู้ที่เกิดเดือนธันวาคม เช่นเดียวกับ เทอร์คอยส์ และลาพิส ลาซูรี บางครั้งอาจพบเพทายตาแมวแต่หายากมาก |
หลายคนมักมีความรู้สึกว่า เพทายเป็นของปลอม ของเลียนแบบ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพทายเป็นพลอยธรรมชาติ แต่บังเอิญที่สีใส ของเพทายสามารถ นำไปใช้เลียนแบบเพชรได้ดีที่สุด ในบรรดาพลอยธรรมชาติทั้งหมด เนื่องจากมีไฟ (Fire) ถึง 82 เปอร์เซ็นต์ ของเพชร และมีความแข็งถึง 7 ถึง 7.5 ซึ่งแข็งกว่าอะเมทิสต์ และพลอยควอตซ์อื่นๆ ถือเป็นพลอยที่นำมาทำเครื่องประดับได้ดี |
กรุงเทพฯ ดูจะเป็นแหล่งขายที่ใหญ่ ที่สุดของเพทาย ซึ่งถูกนำมาจากเวียดนาม และกัมพูชา เพื่อนำมาเผา เจียระไน และขายที่นี่ |
เพทาย (Zircon) - โครงสร้างผลึกกับปรากฏการณ์แห่งสี
โดยธรรมชาติแล้วสีของเพทายนั้น มีหลากหลายสี ที่พบบ่อยที่สุดมักจะเป็นสีน้ำตาลเทา และสีน้ำตาล แดง ส่วนสีอื่นๆ ที่พบพอได้มี อาทิ แดง ส้ม เหลือง เทาเขียว ซึ่งอาจเป็นเขียวใบไม้ หรือเขียวคล้ำ ก็เป็นได้ สีขาว และท้ายสุด คือ เพทายไร้สี ซึ่งหาได้ยาก และเนื่องจากสภาพที่ไร้สี ประกอบกับ ประกายที่สุกสว่างของเพทายชนิดนี้ (ได้มาจากเหมืองมัททุระ ศรีลังกา ในศตวรรษที่ 18) มีความละม้าย คล้ายคลึงกับเพชรมาก จนเกิดการเข้าใจผิด คิดว่าเป็นเพชร จึงได้ขนานนามกัน ขึ้นมาเองโดยปราศจากประชามติใดๆ ว่า เพชรมัททุระ (Matura Diamond) ส่วนเพทายสี ฟ้า แดง เหลือง เหลืองทอง ทอง รวมทั้งเพทายไร้สีนั้น อาจได้มาจากกรรมวิธีการอบด้วยความร้อน ที่มาของคำว่า Zircon (เพทาย) นั้น มักเป็นที่สับสนไม่สามารถบ่งชี้ได้แน่นอนว่าได้มาจากภาษาใด ลองพิจารณาดูความน่าจะเป็นไปได้ต่างๆ ดังนี้ Zergoon หมายถึงสีแดงเข้ม หรือแดงแกมน้ำตาล ซึ่งอาจมีที่มาจากคำว่า Zarqun ในภาษาเพอร์เชี่ยน แปลว่าสีทอง และ Zarkun ในภาษาอราบิค แปลว่าสีแดงเข้มหรือแดงแกมน้ำตาล Jargoon หมายถึง สีเหลือง หรือเหลืองอ่อน อาจได้มาจาก คำว่า Gaioone ในภาษาอิคาเลี่ยน และ jargon ในภาษาฝรั่งเศส |
Jacinth หมายถึงสีแดงส้ม น้ำตาล หรือ น้ำตาลเหลือง มาจากภาษาลาติน Hyacinth หมายถึง สีแดงแกมเหลือง น้ำตาลแดง คงมาจากคำว่า Hyakinthos ในภาษากรีก และ Hyacinthus ในภาษาลาติน นอกจากนี้แล้ว คำว่า Zircon (เพทาย) ซึ่งในอดีตอาจเรียกว่า Cerkonier ก็ยังถูกเรียกชื่อไปต่างๆ นานา แล้วแต่ว่าเพทายนั้น จะมีสีอะไรๆ เช่น Zirconite หมายถึง เพทายสีน้ำตาล, Starlite หรือ Starlight หมายถึงเพทายสีฟ้า (Blue Zircon), Siam Zircon หมายถึงเพทายที่พ่อค้าชาวสยาม ได้นำมาจากเขมร ทั้งนี้พ่อค้าชาวสยาม คงได้เครดิต มาจากการ เป็นผู้เชี่ยวชาญ ในกรรมวิธี การอบพลอยด้วยความร้อน ยิ่งไปกว่านั้น Siam Aquamarine หมายถึงเพทายสีฟ้า หรือสีฟ้าอ่อนอมเขียวเล็กน้อย หรืออาจเป็นสีเขียวอบฟ้าได้เช่นกัน ซึ่งพ่อค้าชาว สยามได้นำเอาพลอยดิบมาจากเขมร และได้ผ่านกรรมวิธีอบด้วยความร้อน |
มีคำอีกหลายคำที่มิได้หมายถึงเพทาย แต่ได้หยิบยืมเอาคำว่า Hyacinth และ Jacinth ไปใช้ในความหมายของสีเพียงเท่านั้น มิได้หมายถึง ประเภทของพลอยนั้นๆ เช่น Oriental Hyacinth (คอรันดัม) Hyacinth (การ์เนท หรือ สปิเนล) |
เพทายเป็นพลอยในระบบเททรากอน (Tetragonal System) มีรูปผลึกเป็นสี่เหลี่ยมปริซึ่ม ที่มีส่วนปลายทั้งสอง เป็นรูปทรงปิรามิดสี่เหลี่ยม หรือเป็นรูปทรงที่เกิดจาก การรวมตัวของ รูปทรงปิรามิดสี่เหลี่ยมซ้อนกันเป็นชั้นๆ น้อยมากทีเดียว ที่จะพบโครงสร้างผลึกที่มีปลายตัด |
ชาวสยามได้ใช้กรรมวิธีง่ายๆ ในการอบความร้อน เพื่อเปลี่ยนสีของเพทาย ด้วยการสอดเพทาย ไว้ในก้อนขนมปังที่อบอยู่ในเตาถ่าน เพียงเพื่ออาศัยเทคนิคเล็กน้อย โดยการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิ และบรรยากาศในเตาถ่านนั้นให้เหมาะสม จากการทดลองพบว่า เพทายทั้งประเภท Low และ Intermediate เมื่อนำมาอบ ด้วยความร้อนภายในอุณหภูมิ 145 องศาเซลเซียส แล้ว คุณสมบัติต่างๆ อาจจะเปลี่ยนไป เช่น ความหนาแน่น จะสูงขึ้น เป็นปกติ คือเท่ากับ 4.7 ค่าดัชนีการหักเหของแสง ก็อาจจะเปลี่ยนมาเป็นค่าปกติ ด้วยเช่นกัน อีกทั้ง Absorption Line ก็จะคมชัดมากขึ้น |
การอบด้วยความร้อนจะเป็นผลทำให้ ซิลิกา (SiO2) และเซอร์โคเนีย (ZrO2) ที่แตกตัวออกจากกันแล้วนั้น สามารถกลับเข้ามารวมตัวกัน เป็นโครงสร้างผลึก ZrSiO2 (เซอร์โคเนี่ยม ซิลิเคท) ดังเดิมอีกครั้งหนึ่ง หมายความว่าความร้อน อาจมีผลทำให้เพทาย ประเภท Low และ Intermediate เปลี่ยนมาเป็นประเภท High ได้นั่นเอง และผลที่ได้ก็คือ เพทายเฉดสีใหม่ หรือสีใหม่ ในอดีตชาวสยามมักนำเอา เพทายสีน้ำตาล หรือน้ำตาลอมแดงมาจากเมืองเขมร จากนั้นนำมาอบ ด้วยความร้อนที่อุณหภูมิ 800 - 1000 องศาเซลเซียส ผลที่ได้ก็คือ เพทายไร้สี และเพทายสีฟ้า |
เพทายซีลอนส่วนใหญ่ มักมีเฉดสีเขียว เมื่อนำมาอบด้วยความร้อนที่ Dull Red (800องศาเซลเซียส) ประมาณ 1 ชั่วโมง สีจะซีดลงจากเดิมมากพอควร ส่วนเพทายซีลอนสีน้ำตาลอมแดง เมื่ออบด้วยความร้อน อาจจะเปลี่ยนเป็นไร้สี หรือในบางครั้งจะเป็นสีม่วงอมแดง ในขณะที่เพทายสีน้ำตาลอมแดง ที่ได้มาจากอินโดจีน (ไทย หรือ เขมร) เมื่อผ่านกรรมวิธีการอบด้วยความร้อน จะให้สีฟ้า ไร้สี หรือสีทอง การอบด้วยความร้อนนั้น อาศัยหลักการเพียง 2 วิธีเท่านั้น คือสภาพที่ไร้อ็อกซิเจน (Reducing Atmosphere) และสภาพที่มีอ็อกซิเจน (Oxidizing Atmosphere) |
สภาพที่ไร้อ็อกซิเจนนั้น มักถูกควบคุมให้อยู่ใต้อุณหภูมิ 900 - 1000 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 1 - 2 ชั่วโมง ซึ่งตัวเลขเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ของผู้ควบคุม กรรมวิธีอบด้วยความร้อน และพฤติกรรมของพลอยดิบแต่ละประเภท สีที่ได้มักปรากฏเป็นสีฟ้า และไร้สี เป็นที่น่าเสียดายว่า เพียง 30% ของพลอยที่ได้จากการอบนั้น เหมาะสมที่จะนำมา เจียระไนได้ พลอยสีฟ้าอ่อนที่ได้จากการ อบเพทายสีน้ำตาล ด้วยความร้อน ครั้งแรก ในสภาพที่ไร้อ็อกซิเจนนั้น เมื่อนำมาอบอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้สภาพบรรยากาศเดิม อาจจะเปลี่ยนเป็น เพทายไร้สีในที่สุด |
ส่วนสภาพที่มีอ็อกซิเจนนั้น มักถูกกำหนดไว้ที่อุณหภูมิ 900 องศาเซลเซียส ผลที่อาจได้คือ เพทายสีเหลืองทอง หรือบางครั้งปรากฏ เป็นเพทายสีแดง ถ้าพลอยเดิม มีสีน้ำตาลอมแดง หรืออาจได้เพทายไร้สี ถ้าพลอยเดิมสีน้ำตาลอมแดง นั้นได้ผ่านการอบความร้อน ในสภาพที่ไร้ออกซิเจน มาก่อน อย่างไรก็ตาม สีที่ได้จากการอบด้วยความร้อน มักไม่ถาวรเมื่อเวลาผ่านไป หรือเมื่อสัมผัส กับแสงแดด เอกซ์เรย์ และอุลตราไวโอเลท โดยเฉพาะเพทายสีฟ้า ส่วนเพทายไร้สีค่อนข้างจะมั่นคง และเพทาย สีเหลืองทองนั้น มีความถาวรมากที่สุด เมื่อเทียบกับสีอื่น |
เพทายสีฟ้าที่ได้จากการอบความร้อนนั้น แม้ว่าบางเม็ดค่อนข้างจะทนนานก็ตาม แต่ก็มีไม่น้อยทีเดียว ที่บางส่วนของพลอยเปลี่ยนสี กลับไปสู่ สีแกมน้ำตาลดังเดิม เช่น สีฟ้าแกมน้ำตาล หรืออาจเป็นสีฟ้าแกมเขียวก็ได้ และเพทายที่เปลี่ยนสีไปนั้น เมื่อนำไปอบความร้อน (Judicious Heating) อีกหนที่ 800 - 900 องศาเซลเซียส สามารถเปลี่ยนสี ย้อนกลับไปเป็นสีฟ้าอีกได้ แต่ก็มิได้หมายความว่า จะสำเร็จผลทุกครั้งไป |
ZIRCON | December's birthstone |
Origins | Cambodia, Nigeria, Sri Lanka & Tanzania |
Colors Found | Blue, green, honey, red, white & yellow |
Family | Zircon |
Hardness | 6.50 - 7.50 |
Refractive Index | 1.81 - 2.02 |
Relative Density | 3.93 - 4.73 |
Zircon's name is either derived from the Arabic word "zarkun," meaning red, or a combination of the ancient Persian words "zar," meaning gold and "gun," meaning color. Despite this name, Zircon actually occurs in a myriad of colors.
Zircon's brilliant luster, fire and bright hues makes it an enjoyable addition to any jewelry collection.
Legends and lore
Zircon has been found in some of the most ancient archaeological sites.
Zircon has appeared in literature and the gem trade under a variety of names including Jargon (Yellow Zircon), Jacinth (Red Zircon), Matara Diamond (White Zircon), Starlite (Blue Zircon), Hyacinth (Blue, Yellow and Red Zircon) and Ligure.
Zircon is first mentioned in the ancient Indian tale of the Kalpa Tree. Described by Hindu poets as the ultimate gift to the gods, it was a bright glowing tree with bejeweled leaves of Zircon.
The gemstone of fiery starlight, Jewish legends say that Zircon was the name of the guardian angel sent to watch over Adam and Eve in the Garden of Eden.
Zircon is mentioned in the Bible (using the name Jacinth for its red variety) as being one of the "stones of fire" (Ezekiel 28:13-16) that were given to Moses and set in the breastplate of Aaron (Exodus 28:15-30). Zircon is also one of the twelve gemstones set in the foundations of the city walls of Jerusalem (Revelations 21:19) and associated with the Apostle Simon.
The Roman historian, Pliny the Elder, compared Blue Zircon's color to hyacinth flowers.
Traditionally, Zircon is a gem of purity and innocence. Zircon is believed to promote inner peace while providing the wearer with wisdom, honor and riches. Legend also has it that a Zircon's loss of luster is a warning of imminent danger.
Zircon's popularity grew dramatically in the 16th century when Italian artisans featured the gem in jewelry designs. In the 1880's Blue Zircon was widely used in Victorian jewelry.
Just the facts
Although Zircon's existence predates Cubic Zirconia by centuries, Zircon is often unfairly confused with Cubic Zirconia. Cubic Zirconia is a cheap, synthetic Diamond substitute that resembles colorless Zircon and has a similar sounding name. While Zircon may also be used as an excellent Diamond substitute, it is valuable in its own right.
The fire in Zircon, called dispersion, is caused by light entering the gemstone and separating into a prism of rainbow colors. Possessing dispersion approaching that of Diamond, the brilliance of Zircon is second to none. The Zircon cut, a variation of the Round Brilliant cut that adds eight extra facets to the pavilion, was designed to take advantage of these properties.
A very unique characteristic of Zircon is birefringence (doubly refractive), meaning that light splits into two rays as it passes through the gem. As a result, the back facets appear as double images, lending optical depth to the gem. Zircon also has an adamantine (Diamond-like) luster, lending further credence to its suitability as a Diamond substitute.
Zircon remains unscathed while other rocks and minerals melt and reform under the tremendous heat and pressure of continental shifts, mountain-building and violent asteroid impacts. Once only considered a Diamond alternative, Zircon is in fact incredibly ancient. A tiny fragment of Zircon discovered in Western Australia is the oldest known object on earth at 4.404 billion years old (the Earth formed less than 150 million years earlier). Diamonds in comparison are quite young, a mere 1 billion to 3.3 billion years old.
Cambodia is arguably the world's premiere source for gorgeous Blue Zircon. Sixty two miles north of Angkor Wat, close to the Cambodian Thai border, are the mines of Preah Vihear. Remote, pristine and stunningly beautiful, Ratanakiri is another major center for Cambodian Zircon, yielding some of the world's finest Blue Zircon. Ratanakiri literally means "gemstone mountain." South of the city, a mining camp has been carved from the forest, where workers toil to extract Ratanakiri Zircon from narrow mine shafts that tap into an alluvial layer about 15 feet below the surface. Matt MacNamara, one of GemsTV's presenters, visited several Ratanakiri Zircon mines in 2004 and 2007: "I was amazed to see the miners still using traditional mining techniques, which remain effective to this day. It's easy to forget how much work goes into unearthing these wonderful gems."
A unification of fire and ice, Ice Zircon mixes the pure clear whites of ice with a fiery brilliance and luster reminiscent of Diamonds. Proprietary to GemsTV, our Ice Zircon hails from Mahenge, Tanzania in East Africa.
สปิเนล (spinel)
เสน่ห์คลาสสิคแห่งสีสันของอัญมณี หากมีคำถามว่า อัญมณีชนิดใดที่เหมือนทับทิมมากที่สุด คำตอบคงหนีไม่พ้น "สปิเนล" และหลายท่าน ยังมีคำถามต่อว่า สปิเนล ไม่มีชื่อในภาษาไทยหรือไร ใคร่ขอชี้แจงในที่นี้ว่า spinel ไม่มีชื่อเฉพาะในภาษาไทย แต่พ่อค้าพลอยหลายคนคงรู้จักในชื่อของ "พลอยสีแดงเนื้ออ่อน" ที่ทำให้หลายคน ..หนาว.. เพราะความกลัว ...กลัวว่าจะซื้อผิด ในราคาของทับทิม... เพราะความ เหมือน ที่ยากจะแยก ชื่อสปิเนล (spinel) บ้างก็ว่ามาจากภาษาละติน คือ spina ซึ่งแปลว่าหนาม บ้างก็ว่ามาจากคำว่า spinos ซึ่งหมายถึง burning gem และบ้างก็ว่ามาจาก spinthair ซึ่งแปลว่า spark ใครจะเชื่อตำราใดก็แล้วแต่ อย่าเรียกผิดเป็นทับทิมก็ใช้ได้ |
เพราะสปิเนลเป็นอีกชนิดหนึ่ง ของอัญมณีที่เด่นไม่แพ้ทับทิม และอาจมีเสน่ห์มากกว่า เพราะโทนสี ที่แปลกตา... มากสี จนเรียกได้ว่า ไม่มีอัญมณีชนิดใด หลากสีเท่า สปิแนล มีหลายสีตั้งแต่ แดง, แดงชมพู, ชมพู, แดงส้ม, แดงน้ำตาล, ส้มน้ำตาล, น้ำเงิน, ม่วงแดง, เขียว, เหลือง, ขาวใส จนกระทั้งถึงสีดำ แต่สีที่นิยม และราคาดีที่สุดคงจะหนี ไม่พ้นสีแดงสด และสีชมพู สีที่หายาก และนานครั้ง จะได้พบในตลาด คือสีม่วงแดง คุณภาพของสปิเนลจะไล่ตั้งแต่ แดงสดบริสุทธ์ จนถึงแดงแกมส้ม และแดงแกมชมพู ซึ่งเกิดจากธาตุโครเมียมที่อยู่ในพลอย สปิเนลเริ่มเป็นที่รู้จักในตลาดโลกในปี ค.ศ. 1982 ในงานทูซอนโชว์ (Tuczon Show 1982) สหรัฐอเมริกา สีแดง คุณภาพดี ราคาจะอยู่ในช่วง 2,000 - 3500 เหรียญต่อกะรัต คุณสมบัติของสปิเนล... สปิเนล เป็นแม็กนีเซียม อลูมิเนียมอ๊อกไซด์ มีสูตรเคมีว่า Mg AI2 O4 เหล็กเฟอร์รัส สังกะสี และมังกะนีส อาจจะแทนที่แมกนีเซียมได้ ชนิดสีแดงใสสะอาด เป็นแมกนีเซียม สปิเนลที่เกือบบริสุทธิ์ คนมักเข้าใจว่าเป็นทับทิม |
ถ้าเป็นเหล็กสปิเนลสีเขียว แก่ถึงดำ เรียกว่านิลตะโก และถ้าเป็นโครมสปิเนล สีเหลืองถึงน้ำตาลปนเขียวเรียก พิโคไทต์ (pico tite) สปิเนลเป็นพลอยหักเหเดี่ยว ตกผลึกในระบบ ไอโซเมตริก รูปผลึกธรรมชาติ เป็นรูปออกตาฮีดรอน คล้ายผลึกของเพชร และฟลูออไรท์ ค่าดัชนีหักเหเท่ากับ 1.718 ความถ่วงจำเพาะ ประมาณ 3.58 - 3.61ความแข็งเท่ากับ 8 ซึ่งเป็นสาเหตุให้สปิเนลได้ชื่อว่า เป็นพลอยแดง เนื้ออ่อน เพราะมีความแข็งน้อยกว่าทับทิม ซึ่งมีความแข็ง 9 แต่ไม่ได้หมายความว่า สปิเนลเนื้ออ่อนมาก จนถึงขนาดขีดข่วนได้ง่าย ความแข็งระดับ 8 ถือเป็นความแข็ง ที่ใช้ได้ มากกว่ามรกต อัญมณีราคาแพง ซึ่งมีความแข็งเพียง 6.5 และมากกว่าควอตซ์ ซึ่งมีความแข็ง 7 ทำให้สปิเนลไม่เป็นรอยได้ง่าย เมื่อโดนผงฝุ่นควอตซ์ในบรรยากาศ และถูกเช็ดถูบ่อยๆ |
แหล่งของสปิแนล... มักจะพบสปิเนลพร้อมกับคอรันดัม ดังนั้นแหล่งใหญ่ของสปิเนลจึงได้แก่ พม่า และศรีลังกา นอกจากนั้นพบที่อัฟกานิสถาน ไทย บราซิล อัฟริกา และออสเตรเลีย แหล่งเก่าแก่ที่สุดอยู่ที่ อัฟกานิสถาน แคว้น badakshan สปิเนลที่ดังที่สุด สปิแนลเม็ดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมีน้ำหนักถึง 520 กะรัต ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ British Gemmological Museum of London เม็ดที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Timur Ruby ประดับในมงกุฏ ของกษัตริย์ อังกฎษ (Crown Jewel of England) เป็นสปิแนลสีแดงที่ไม่ได้เจียแต่ขัดมัน คนเข้าใจผิด คิดว่าเป็น ทับทิม แต่ไม่ใช่ เดิมเป็นของ Tamelane ผู้ครองแคว้นมงโกล หลานของเจงกีสข่าน ผู้ยิ่งใหญ่ Timur Ruby สลักชื่อเจ้าของเดิม เป็นภาษาอาระบิคไว้ในเม็ดนั้นด้วย ทำให้เป็นพลอยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจยิ่ง |
สปิเนลที่เด่นอีกเม็ดหนึ่ง คือ Black Prince's Ruby เป็นสปิเนลสีแดง ที่เข้าใจว่าเป็นทับทิม เช่นเดียวกับ"ติมูร์" และได้จากแหล่งเดียวกัน คืออัฟกานิสถาน มีประวัติเล่าว่า Black Prince Ruby เม็ดนี้ King Henry นำมาสวม ใส่ออกรบในสงคราม 100 ปีของ Agincourt สปิเนลเด่นๆ ที่น่าสนใจอีก เห็นจะได้แก่คอลเลคชั่นของ Crown Jewel of Iran ซึ่งเป็นสปิเนลสีแดง น้ำเยี่ยม น้ำหนัก ตั้งแต่ 100 - 500 กะรัต |
วิธีแยกทับทิมออกจากสปิเนลสีแดง... เนื่องจากพลอยทั้งสอง มีความเหมือนที่ยากจะแยกด้วยตาเปล่า จึงต้องใช้วิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ เข้ามาช่วย วิธีการที่ง่ายที่สุดคือ การแยกตามคุณสมบัติทางแสง ทับทิมเป็นพลอยหักเหคู่ สปิเนลเป็นพลอยหักเหเดี่ยว ทับทิมมีค่าดัชนีหักเห 2 ค่า สปิเนลมีเพียงค่าเดียว ทับทิมมีเพลียวโครอิซึ่ม(สี 2 สีที่พบในพลอยหักเหคู่ ที่มีสีเห็นได้จากไดโครสโคป) สปิเนลไม่มีเพลียวโครอิซึ่ม การแยกตามความถ่วงจำเพาะ อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ โดยการจุ่มทับทิม และสปิเนลลงในน้ำยา 3.32 ทับทิมจะจมเร็วกว่าสปิเนล เพราะทับทิมมีค่าความถ่วงจำเพาะสูงกว่า |
สปิแนลสังเคราะห์... เริ่มผลิตขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีผลิตหลายสี เพื่อเลียนแบบทับทิม ไพลิน และอะความารีน แต่ส่วนใหญ่สังเกตได้ง่าย เพราะสีที่ได้สดเกินไปดูได้ง่าย จึงไม่น่ากลัวเท่าที่ควร การแยกสปิเนล สังเคราะห์สีแดงออกจากสปิเนลสีแดงธรรมชาติ ทำได้ไม่ยากนัก เมื่อดูจาก inclusion ภายในสปิแนลสังเคราะห์ จะพบฟองอากาศ และเส้นโค้ง ส่วนสปิแนลธรรมชาติมักพบผลึกอ๊อกตาฮีดรอนของสปิแนลเล็กๆ อยู่ภายใน ตำหนิของเหลวรูปรอยนิ้วมือ fingerprint ผลึกเพทาย (zircon halo) และsilk สปิเนล...พลอยที่น่าลงทุนที่สุดในตออนนี้ สปิเนลสีแดงสวย แต่มีราคาถูกกว่าทับทิม ซึ่งหายาก และเป็นที่นิยมมากกว่า สปเนลจึงเป็นพลอยธรรมชาติสีแดงที่น่ารีบจับจอง เพราะอีกไม่นานราคาคงถีบตัวสูงขึ้น ถ้าความสวยงาม เป็นที่รู้จักมากขึ้น สปิเนลเป็นพลอยที่มีเสน่ห์ และมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะสัดส่วนของผลึกที่สวยงามตามธรรมชาติ และสีที่สวยสด ไล่เรียงตั้งแต่สีแดงสด ถึงแดงชมพู สปิเนลเป็นพลอยที่มีโทนสีหลากหลาย ...มากที่สุดเท่าที่ เคยพบ มีหลายเม็ดที่สวยเทียบเท่า ทับทิมคุณภาพดีเยี่ยม จนอาจเรียกได้ว่าเป็นอัญมณีที่เทียบรัศมีทับทิมได้ สปิเนลจึงเป็นพลอยที่มีเสน่ห์ คลาสสิค น่าศึกษา น่าชื่นชม และน่าเป็นเจ้าของอย่างที่สุด |
SPINEL | Once confused with Ruby and Sapphire |
Origins | Madagascar, Tanzania & Vietnam |
Colors Found | Various |
Family | Spinel |
Hardness | 8.00 |
Refractive Index | 1.71 - 1.76 |
Relative Density | 3.54 - 3.63 |
Spinel was once mistaken for Ruby and Sapphire, but it's no impostor, rather a "master of disguise." One of the gem kingdom's best kept secrets, Spinel is treasured for its eternal brilliance and spectacular colors. Whether your fascination with gems is for their beauty, rarity or history, Spinel is a superb addition to your jewelry collection.
Spinel's name is derived either from the Latin word for thorn "spina," as a result of its characteristic octahedral crystals having pointed ends, or from the Greek word for spark "spintharis," in reference to the gem's bright red hues.
Legends and lore
Due to its mistaken identity, Spinel has few historical references. However, Spinels have a bizarre association with sorcerers and alchemists. Spinels were used by practitioners of the "dark arts" to summon demons and also used as amulets to protect them from fire. One tale describes how Spinels could be used to work against their masters. Those thought to possess supernatural powers were found guilty if they began to shake when approached with a Spinel wrapped in paper!
Spinels occupy a unique place in gemstone history. Despite being recognized as a separate gem species in 1587, up until the 19th century the intense coloration displayed by Noble Red Spinel led some to mistakenly identify this gem as Ruby. The source of confusion stemmed not only from color similarities but also the close proximity of their deposits. It was not until 1783 that Rome de Lisle became the first scientist to clearly distinguish differences between Ruby and Noble Red Spinel.
Noble Red Spinel's near identical resemblance to Ruby results in it being a prodigious, albeit accidental feature in many of the world's most famous gem collections, including the Vatican's and the Crown Jewels of Russia, Iran and England. Interestingly, both the legendary 352 carat "Timur Ruby" and the 170 carat "Black Prince's Ruby," which feature in the British Imperial State Crown proved to be Noble Red Spinel!
In 1415 at the Battle of Agincourt the English King, Henry V wore a helmet garnished with jewels including the "Black Prince's Ruby." During the battle, the French commander, the Duke of Alencon, struck Henry's head a mighty blow with his battle-axe, nearly killing the King. Surprisingly, the force of the blow glanced off the Spinel saving his life and allowed Henry to lead his troops to what many thought would be an impossible victory.
Just the facts
The reality behind Noble Red Spinel's Ruby-like appearance is its proximity to Corundum deposits, the base mineral of Rubies and Sapphires, and chromium, the midas element responsible for giving both Noble Red Spinels and Rubies their deep red color.
Today, Spinels can be easily identified by their refractivity. Since Noble Red Spinels are singly refractive and Rubies doubly refractive, the primary color in Noble Red Spinels appears purer and more intense than the reds seen in many Rubies.
Spinel occurs in many colors including red, blue, pink, orange and a plethora of other fancy colors. Apart from color prefixes, some of Spinel's variety names include:
Almandine Spinel | The violet variety of Spinel. |
Balas Ruby | This is an historical name for Spinel, which referred to the country of origin; either Badakshan in Tajikistan or the Balaksh region of Sri Lanka. |
Cobalt Blue Spinel | Resembling fine Sapphires, these exceptional Blue Spinels from Sri Lanka and Tanzania are colored by Cobalt. Regular Blue Spinel also hails from Tanzania and displays similar visual similarities to Sapphire, particularly those from Montana, US. |
Flame Spinel | The orange-red variety of Spinel. |
Gahnite or Gahnospinel | Named after Swedish chemist L. G. Gahn, it is the rare greenish or bluish, zinc-rich variety of Spinel. |
Noble Red Spinel | The Ruby red variety of Spinel that was historically mistaken for Ruby. |
Rubicelle | The yellow to orange variety of Spinel. |
Spinels are mined from alluvial deposits or directly from large granular granite or other igneous host rocks. Spinels come from a handful of sources including Madagascar, Tunduru in Tanzania's remote southeast and central Vietnam's Luc Yen region. While most gemstone aficionados know Burma to be the classic and most familiar source for fine Noble Red Spinel, new discoveries in Tanzania's Kilimanjaro region are shifting paradigms. Tanzanian Noble Red Spinel is increasingly acclaimed for its bright red hues and a brilliance and luster that defy verbal description.
Perfect octahedral crystals are sometimes set into jewelry in their original uncut octahedral shapes. The Burmese refer to these gems as "nat thwe," meaning spirit polished. Sometimes "nat thwe" Spinels will receive a very light polishing.
Pure Spinel is white, but impurities give it a wide range of colors. Almost all colors are used in jewelry, but the most valuable and popular color is Noble Red Spinel. Occasionally, color change varieties are found, turning color from a light gray blue in daylight to a light purple under candlelight.
Even though they are more affordable, did you know that Spinels are rarer than Rubies? In the gem kingdom, "rare" can be both a blessing and a curse, as this affects market prices and availability. This is unfortunate for the Spinel miner, but great news for everyone else as they are one of nature's most beautiful treasures.
Spinels are intensely colored durable gemstones perfect for all jewelry. Spinel's high refractive index makes cutting very important, as the quality of the cut will affect its brilliance. Naturally, all Spinels sold at GemsTV are faceted by experienced cutters who always take each gemstone's physical properties and individual attributes into consideration.
เพทาย สปิเนล สีสดทนสวยด้วยความร้อน http://www.git.or.th/thai/research_center/abstract/2009/spinel.pdf |