รู้ไหม...? ทำไมน้ำตกถึงสวย...
พ่อ : รู้มั้ยลูก...ทำไมน้ำตกถึงสวย...
ลูก : ก็เพราะมันเป็นน้ำตกไงคะพ่อ...
พ่อ : ไม่ใช่หรอกลูก..…ที่น้ำตกสวยน่ะ...
…เพราะน้ำตกไม่ยอมเก็บน้ำไว้ในชั้นของตัวเองต่างหาก...
ลูก : หมายความว่าไงคะพ่อ...
พ่อ : ลูกสังเกตไหมล่ะว่า...
…เวลาน้ำตกตกลงมาจากชั้นหนึ่งแล้ว...
…น้ำนั้นก็จะถูกส่งต่อลงไปอีกชั้นหนึ่งทันที..
…เพราะวิธีนี้ที่น้ำตก...ไม่เห็นแก่ตัว...
…แต่ยอมส่งน้ำที่ตกมาจากชั้นอื่น..แล้วส่งต่อกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้..
…น้ำตก..ถึงสวย...
…และน้ำตก..จึงยังคงเป็นน้ำตก...ที่มีเสน่ห์..ไงละ
ข้อคิดจากเรื่องนี้...
อย่าลืมน่ะลูก...
ถ้าลูกอยากให้ตัวเองเป็นคนที่น่ารัก...
ลูกควรจะเป็นอย่างน้ำตก..
หากมีสิ่งดี ๆ ตกมาถึงตัวลูก...
อย่าเก็บสิ่งดี ๆ นั้นไว้..คนเดียว..
ลูกต้องเรียนรู้ที่จะ...แบ่งปัน...ออกไปให้มากที่สุด
มีก็แต่คนที่ "ให้" ออกไปเท่านั้นแหละ...ลูก..
จึงจะเป็นคนที่ "ได้รับ" อย่างแท้จริง...
ข้อคิดประจำวัน จากธรรมะสวัสดี
ธารน้ำใสกลางใจ
ถ้าอยากให้จิตใจได้พานพบกับความโปร่งเบาแจ่มใส
ก็ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนดอก
เพียงแต่ลองทวนกระแสความคิดดูบ้าง
เวลาใจเผลอฟุ้งซ่านไป ก็ให้ดึงกลับมาอยู่กับตัวเอง
-----------------------------------------------------------------
เสน่ห์อย่างหนึ่งของการท่องป่า ได้แก่ การเดินขึ้นไปตามลำน้ำ
ยิ่งขึ้นไปไกลเท่าไร ป่าก็ยิ่งเขียวครึ้มและร่มเย็น
นกและสัตว์ป่านานาชนิดมาแวะเวียนให้เห็นมากขึ้น
ขณะที่เสียงร้องก็ยิ่งดังชัดเจนจนก้องกังวานไปทั้งไพร
ถ้าขยันเดินเป็นวันๆ จะพบว่าน้ำในลำธารใสขึ้นเรื่อยๆ
และเปี่ยมด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
บางช่วงก็คึกคัก โดยเฉพาะเมื่อไหลผ่านเกาะแก่ง
บางช่วงก็ผ่อนคลายเหมือนคนเจนโลก
ความบริสุทธิ์สดใสของป่าเขาลำเนาไพรจะปรากฏชัดเจนขึ้น
ก็ต่อเมื่อเราเดินสวนทางกับกระแสน้ำ
ตรงกันข้ามถ้าเราเดินล่องไปตามลำน้ำเรื่อยๆ ป่าจะยิ่งหดหาย
อากาศจะร้อนขึ้น น้ำจะเริ่มขุ่น
และมีขยะรกหูรกตามากขึ้น
ป่าเขาลำเนาไพรกับจิตใจของเราดูจะไม่ต่างกันในแง่นี้
ยิ่งเราทวนกระแสความคิดและกิเลสตัณหาของเรามากเท่าไร
จิตใจก็ยิ่งสงบเย็น โปร่งเบา
เพราะได้สัมผัสกับความสุขภายใน
ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำใสที่หล่อเลี้ยงจิตใจ
การเดินล่องตามลำน้ำ มักจะเป็นการเดินจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
จึงไม่ค่อยเหนื่อยแรงฉันใด
การตามกระแสความคิดและกิเลสตัณหาก็เป็นเรื่องง่ายฉันนั้น
แต่บ่อยครั้งก็นำพาปัญหาต่างๆ
มาสู่ชีวิตจิตใจจนหม่นหมองหนักอึ้งไปด้วยความทุกข์
เพียงแค่ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความคิด จิตใจก็ฟุ้งซ่านวุ่นวายไปได้ง่ายๆ
เพราะถูกลากถูลู่ถูกังไปด้วยเรื่องราวร้อยแปด
ถ้าเป็นเรื่องฝันเฟื่องสนุกสนานก็แล้วไป
แต่ใช่หรือไม่ว่าบ่อยครั้งมันกลับเป็นเรื่องวิตกกังวล
โกรธแค้น ขุ่นเคือง ทั้งๆ ที่ผ่านไปแล้ว
บางเรื่องแม้ไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่เรากลับยอมปล่อยให้มันพาจิตใจไปจนกู่ไม่กลับ
การปล่อยใจไปตามกระแสความคิด
มักทำให้จิตใจเต็มไปด้วยขยะหรือมลพิษ อันได้แก่
ความขุ่นข้องหมองใจ วิตกกังวล ขึ้งเคียดชิงชัง
ยังไม่ต้องพูดถึงการปล่อยชีวิตจิตใจไปตามกระแสกิเลสตัณหา
ซึ่งทำให้จิตใจเร่าร้อนด้วยความอยาก
เหนื่อยล้า เพราะต้องแข่งขันไม่หยุดหย่อน
และโกรธแค้นที่ไม่ได้สมอยาก
ถ้าอยากให้จิตใจได้พานพบกับความโปร่งเบาแจ่มใส
ก็ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนดอก
เพียงแต่ลองทวนกระแสความคิดดูบ้าง เวลาใจเผลอฟุ้งซ่านไป
ก็ให้ดึงกลับมาอยู่กับตัวเอง
ถ้าตอนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ ก็ให้ใจมาจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น
แม้สิ่งนั้นจะเป็นแค่กิจวัตรประจำวัน เช่น
กินข้าว ถูฟัน ทำครัว ล้างจาน ซักผ้า
ก็อย่ารังเกียจว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญ
หากควรพยายามใส่ใจลงไปในสิ่งนั้นให้ต่อเนื่อง
แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรอยู่ก็ลองดึงใจมาอยู่ที่ลมหายใจ
หรือคลึงนิ้วเพื่อเป็นหลักให้จิตมาเกาะ
จะได้ไม่เถลไถลจนฟุ้งซ่านวุ่นวาย
การทำเช่นนี้บ่อยๆ จนเป็นนิสัย
ช่วยให้จิตใจว่างจากความคิดและกิเลสตัณหาได้มากขึ้น
จึงผ่อนคลายและโปร่งเบา ใจเราจะสงบได้มากขึ้น
สิ่งที่ตามมาพร้อมกับความสงบก็คือความสุข
ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจให้ชุ่มชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ
ดังน้ำใสกลางใจเรา
ยิ่งเราทวนกระแสความคิดและกิเลสตัณหามากเท่าไร
ความสุขก็ยิ่งประณีตประหนึ่งลำธารกลางป่าที่ใสขึ้นเรื่อยๆ
นักเดินป่าที่เพียรพยายามฟันฝ่าไปถึงต้นน้ำ
ย่อมพบกับแหล่งน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้งและใสจนดื่มกินได้ฉันใด
ผู้ที่ทวนกระแสของจิตใจ
ในที่สุดย่อมพบกับต้นธารแห่งความสุขภายในอันบริสุทธิ์และไม่มีวันหมดสิ้นฉันนั้น
เป็นความสุขอันเป็นผลมาจากความว่างแห่งกิเลสตัณหาอย่างสิ้นเชิง
ถึงคุณไม่คิดใฝ่ฝันจะไปให้ถึงต้นธาร
แต่จะไม่ลองเดินทางไปสัมผัสกับน้ำใสกลางไพรบ้างหรือไร
ถึงจะยากลำบากสักหน่อย
แต่ก็ยังดีกว่าทนอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษและน้ำเน่าชั่วนาตาปีมิใช่หรือ
-----------------------------------------------------------------
จาก ธารน้ำใสกลางใจ โดย รินใจ