โสมรัศมี
คำร้อง-ทำนอง-เรียบเรียง หมื่นรู้
ยอดดอยอยู่ไหนนะ เมื่อไรจะถึงนะ ก็ไม่กล้าซื้อ กลัวจริงๆ จะเจอยอดดอย
ยอดดอยอยู่ไหนนะ ขึ้นมามากแล้วนะ ตัดใจต้องซื้อตามจริงๆ ด้วยความมั่นใจ
ขึ้นไม่หยุดยั้ง จนเราต้องซื้อ แต่พอเราซื้อ มันก็ลงไป ไหลลงอย่างนั้น ใครจะตัดไหว ปล่อยใจให้อยู่ยอดดอย
**อยู่ยอดดอย เหงาจัง เมื่อไรจะขึ้นมารับสักที อยู่ยอดดอยหลายปี ไม่เคยจะมีใครมาหา
ยอดดอยก็สูงละ รูดลงอีกแล้วนะ ตัดใจจะขายไปจริงๆ ไม่ทนแล้วเรา
ขยับจะขาย อีกใจคอยยั้ง ตัดใจอีกครั้ง ทั้งทั้งอาลัย ไหลลงอย่างนั้น ใครจะตัดไหว ปล่อยใจให้อยู่ยอดดอย
**อยู่ยอดดอย เหงาจัง เมื่อไรจะขึ้นมารับสักที อยู่ยอดดอยหลายปี ไม่เคยจะมีใครมาหา
อยู่ยอดดอยนานวัน มันคงจะไม่เสียหายอะไร แต่ต้องทนแทบตาย เมื่อไรจะได้ลงมาหาพื้นดินที่กว้างใหญ่
ยอดดอยอยู่ไหนนะ ต้องจำให้ซึ้งละ ว่าจะไม่ซื้อเลยจริงๆ ที่ตรงยอดดอย...
"ปั่นหุ้น"เขาทำกันอย่างไร???????????? แม้ว่าตลาดลักทรัพย์ เอ๊ย!! ตลาดหลักทรัพย์ไทยจะมีพัฒนาการมากว่า 30 ปี มีเทคโนโลยีและระบบซื้อขายที่ทันสมัย มีกฎเกณฑ์และข้อบังคับที่รัดกุมขึ้นเพียงใดแต่การปั่นหุ้นก็ยังคงอยู่ยั้งยืนยงมาได้จนกระทั่งทุกวันนี้ ถึงแม้นักลงทุนจะมีความรู้มากขึ้น มีการเชือดไก่ให้ลิงดูนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งที่มีการจุดพลุหุ้นตัวใดตัวหนึ่งขึ้นมา ก็จะมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่กระโดดเข้าไปร่วมสังคกรรมด้วยทุกครั้ง ใครเก็งถูก ใครเดาใจเก่ง ใครเข้าออกถูกจังหวะก็ประสบความสำเร็จร่ำรวยชั่วข้ามวัน แต่ถ้าใครเก็งผิด เข้าออกเชื่องช้ากว่าเต่าคลาน ก็เจ็บตัวเจ็บใจ กลับไปนอนเลียแผล ก่อนที่จะกลับเข้ามาแก้ตัวใหม่ เป็นแบบนี้ไม่รู้จักจบสิ้น อาจเป็นเพราะคนไทยชอบการเสี่ยงโชค ชอบพนัน สิ่งเหล่านี้ถูกปลูกฝังอยู่ในดีเอ็นเอ สูบฉีดอยู่ในสายเลือด ทำให้ไม่ว่าการลงทุนของเราจะวิวัฒนาการไปไกลแค่ไหน ก็มักจะมี "แมลงเม่า"ที่พร้อมโบยบินเข้าไปตายในกองไฟทุกยุคสมัย สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ชอบเก็งกำไร ชอบความเสี่ยง อยากพิสูจน์ฝีมือและความเร็วของตัวเอง นอกจากจะต้องมีเงินแล้วควรมีวิชาติดตัวไว้บ้าง เพื่อให้รู้เท่าทันกลโกงต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมียอดฝีมือและปรมาจารย์มากมายที่เขียนตำราเกี่ยวกับการปั่นหุ้นไว้เป็นวิทยาทานสำหรับจอมยุทธ์น้อยที่ร้อนวิชาอยากก้าวเข้าสู่ยุทธจักรแห่งนี้ ข้าน้อยในฐานะศิษย์บู๊ลิ้มรุ่น 18 ได้รวบรวมเคล็ดวิชาเหล่านั้นมาไว้ ณ ที่แห่งนี้แล้ว หวังว่าจะเป็นประโยชน์และช่วยให้จอมยุทธ์น้อยรอดชีวิตจากยุทธจักรที่แสนโหดร้ายแห่งนี้ได้ และขอขอบคุณปรมาจารย์ทุกท่านที่ได้ถ่ายทอดวรยุทธ์นี้ไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชนคนรุ่นหลัง "ปั่นหุ้น"เขาทำกันอย่างไร???????????? แมลงเม่า หมายถึง ปลวกในวัยเจริญพันธุ์ มีปีก ชอบบินเข้าเล่นแสงไฟในยามค่ำคืนและมักจบชีวิตในเปลวไฟ นักลงทุนรายย่อย หมายถึง ผู้คนซึ่งพอจะมีสตางค์ ที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเพราะทนต่อความยั่วยวนของราคาหุ้นที่ขึ้นลงหวือหวาไม่ได้ สุดท้ายมักจะหมดตัวไปกับหุ้นปั่น ส่วนนิยามโดยสรุปของการปั่นหุ้น คือ การล่อ และลวงนักลงทุนรายย่อยให้เข้าไปซื้อหรือขายหุ้นที่มีราคาสูงหรือต่ำกว่าสภาวะปกติ โดยเจตนาไม่สุจริต การเปรียบนักลงทุนรายย่อยว่าเป็นแมลงเม่า จึงเหมาะสมด้วยประการฉะนี้ ลักษณะของหุ้นที่นิยมปั่น มีมูลค่าทางตลาด ( MARKET CAPITALISATION ) ต่ำจะได้ไม่ต้องใช้จำนวนเงินมากในการไล่ราคา ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ดีเพื่อที่นักลงทุนสถาบันจะไม่เข้ามาซื้อขายด้วย ซึ่งจะทำให้ยากต่อการควบคุมปริมาณ และราคาหุ้น มีราคาต่อหุ้น ( MARKET PRICE ) ต่ำ ถ้าราคาต่ำกว่า 10 บาทยิ่งดี ด้วยเหตุผลสองประการหนึ่งเป็นผลทางจิตวิทยา เช่น หุ้นถูกไล่ราคา จาก 3 บาท เป็น 6 บาท ถึงแม้ราคาจะปรับขึ้นมา 100% แล้วแต่คนยังรู้สึกว่าไม่แพง เพราะยังถูกกว่าราคาพาร์ ( PAR )สองผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นนักลงทุนสถาบันมักมีต้นทุนที่ราคาพาร์ หรือสูงกว่า แม้หุ้นจะขึ้นมามาก แต่ถ้าเขาเชื่อว่าแนวโน้มของธุรกิจดีเขามักจะไม่ขาย ( ถ้าแนวโน้มธุรกิจไม่ดี เขาก็ขายทิ้งไปนานแล้ว ) ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่านักลงทุนสถาบันจะเข้ามาแทรกแซงในการซื้อขาย มีจำนวนหุ้นหมุนเวียนน้อย เพื่อความมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมปริมาณหุ้นได้ตามที่ต้องการ ผู้ถือหุ้นใหญ่รู้เห็นเป็นใจ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาวจึงไม่สนใจเมื่อราคาหุ้นขึ้น หรือลงหวือหวามีข่าวดีมารองรับระยะหลังเริ่มมีการใช้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นมาเป็นตัวล่อใจนักลงทุนรายย่อยเพื่อให้ตายใจว่าราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นมาสมเหตุสมผล เช่น ข่าวการปรับโครงสร้างหนี้, ข่าวการร่วมกิจการ , กำไรรายไตรมาสที่พุ่งขึ้นสูงเป็นต้น ขั้นตอนในการปั่นหุ้น 2)การกระจายเปิดพอร์ตการลงทุน จะเปิดพอร์ตกระจายไว้สัก 4 - 5 โบรกเกอร์ ในชื่อที่แตกต่างกันมักจะใช้ชื่อคนอื่นที่ไว้ใจได้เช่น คนขับรถ , เสมียน , คนสวน เพื่อป้องกันไม่ให้โยงใยมาถึงตนได้ 3)การเก็บสะสมหุ้น มีหลายวิธีทั้งวิธีสุจริต และผิดกฎหมายในลักษณะการลวงให้คนทั่วไปเข้าใจว่า ราคาหุ้นตัวนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปการเก็บสะสมหุ้น มีวิธีดังต่อไปนี้ การทยอยรับหุ้น เมื่อเห็นว่าราคาหุ้นลงมามากแล้ว ก็ใช้วิธีทยอยซื้อหุ้นแบบไม่รีบร้อนวันละหมื่นวันละแสนหุ้น ขึ้นกับว่าหุ้นตัวนั้นมีสภาพคล่องมากน้อยขนาดไหน วิธีนี้เป็นวิธีสุจริตไม่ผิดกฎหมายจะใช้เวลาในการเก็บหุ้นตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน การกดราคาหุ้น ถ้าระหว่างที่กำลังเก็บสะสมหุ้นยังไม่ได้ปริมาณที่ต้องการ เกิดมีข่าวดีเข้ามาหรือตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้นเริ่มมีรายย่อยเข้ามาซื้อหุ้นตัวนี้ ก็จะใช้วิธีขายหุ้นล็อตใหญ่ๆออกมาเป็นการข่มขวัญนักลงทุนรายย่อย ถือเป็นการวัดใจ นักลงทุนรายย่อยมักมีอารมณ์อ่อนไหวเห็นว่าถือหุ้นตัวนี้อยู่ 2 - 3 วันแล้วหุ้นยังไม่ไปไหน แถมยังมีการขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมาก็จะขายหุ้นทิ้งแล้วเปลี่ยนไปเล่นตัวอื่นแทน สุดท้ายหุ้นก็ตกอยู่ในมือรายใหญ่หมด วิธีนี้จะใช้เวลา 5 -10 วัน การเก็บแล้วกด วิธีนี้มักใช้เมื่อมีข่าววงใน ( INSIDE NEWS )ว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะมีข่าวดีเข้ามาหนุน ถ้าหุ้นตัวนั้นไม่มีสภาพคล่องจะใช้วิธีโยนหุ้นไปมาระหว่างพอร์ตของตนที่เปิดทิ้งไว้
ขณะเดียวกันต้องคอยดูแลไม่ให้หุ้นมีราคาขึ้นไปเกิน 10 % เพื่อไม่ให้ต้นทุนของตนสูงเกินไปถ้าเกิดราคาสูงขึ้นมากจะใช้วิธีโยนขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมาโดยให้พวกเดียวกันที่ตั้งซื้อ ( BID ) อยู่แล้วเป็นคนรับเมื่อได้จำนวนหุ้นตามที่ต้องการแล้วสุดท้ายจะกดราคาหุ้นให้ต่ำลงมายังจุดเดิม โดยใช้วิธีโยนขายหุ้นโดยให้พวกเดียวกันตั้งซื้อเหมือนเดิมแต่จะทำอย่างหนักหน่วง และรวดเร็วกว่า ทำให้ราคาหุ้นลดอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้จะใช้เวลา 3 - 5 วัน รายย่อยบางคนคิดว่าหมดรอบแล้ว จะรีบขายหุ้นออกมาด้วย รายใหญ่ก็จะมาตั้งรับที่ราคาต่ำอีกครั้ง ช่วงนี้จะตั้งรับอย่างเดียว ไม่มีการไล่ซื้อหรือไม่ก็หยุดการซื้อขายไปเลยให้เรื่องเงียบสัก 4 - 5 วันเป็นการสร้างภาพว่าก่อนข่าวดีจะออกมาไม่มีใครได้ข่าววงในมาก่อนเลย รอจนวันข่าวดีประกาศเป็นทางการ จึงค่อยเข้ามาไล่ราคาหุ้น วิธีสังเกตว่าในขณะนั้นเริ่มมีการสะสมหุ้นแล้วคือ ปริมาณซื้อขายจะเริ่มมากขึ้นผิดปกติจากวันละไม่กี่หมื่นหุ้น เป็นวันละหลายแสนหุ้น ราคาเริ่มจะขยับแต่ไปไม่ไกลประมาณ 5-10% มองดูเหมือนการโยนหุ้นกันมากกว่า กดราคาหุ้นจนกว่าจะเก็บได้มากพอ แล้วค่อยไล่ราคาหุ้น ข้อระวังอย่างหนึ่ง คือ มีหุ้นบางตัวโดยเฉพาะหุ้นตัวเล็กๆ นักลงทุนรายใหญ่มีข่าวอินไซด์ว่าผลประกอบการงวดใหม่ที่จะประกาศออกมาแย่มาก หากภาวะการซื้อขายหุ้นตอนนั้นซึมเซา เขาจะเข้ามาไล่ซื้อโยนหุ้นกันระหว่าง 2-3 พอร์ตที่เขาเปิดไว้ ให้ดูเหมือนรายใหญ่เริ่มเข้ามาเก็บสะสมหุ้นรายย่อยจะแห่ตาม รุ่งขึ้นรายใหญ่จะเทขายหุ้นขนานใหญ่ รายย่อยเริ่มลังเลใจ ขอดูเหตุการณ์อีกวัน พอผลประกอบการประกาศออกมา ราคาก็หุ้นดิ่งเหวแล้ว รายย่อยจึงถูกดึงเข้าติดหุ้นราคาสูงในที่สุด 4) การไล่ราคาหุ้น เมื่อได้ปริมาณหุ้นมากพอ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการไล่ราคาแต่การไล่ราคาต้องหาจังหวะที่เหมาะสมเหมือนกัน หากจังหวะนั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอรายย่อยก็จะขายหุ้นทิ้งเมื่อราคาหุ้นขึ้นไปสูงพอประมาณ แต่หากหาเหตุผลมารองรับได้รายย่อยจะยังถือหุ้นไว้อยู่ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้น น่าจะสูงกว่านี้อีก กว่าจะรู้สึกตัวปรากฏว่ารายใหญ่ขายหุ้นทิ้งหมดแล้ว เหตุผลหรือจังหวะที่ใช้ในการไล่ราคา มักจะใช้ 3 เรื่องนี้ ภาวะตลาดรวมเริ่มเป็นขาขึ้น กราฟทางเทคนิคของราคาหุ้นเริ่มดูดี มีข่าวลือซึ่งปล่อยโดยนักปั่นหุ้นว่า หุ้นตัวนี้กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานไปในทางที่ดีขึ้น การไล่ราคา คือ การทำให้ราคาปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีการคือ จะมีการเคาะซื้อครั้งละมากๆแบบยกแถว แล้วตามด้วยการเสนอซื้อ ( BID ) ยันครั้งละหลายๆ แสนหุ้นจนถึงล้านหุ้น เพื่อข่มขวัญไม่ให้รายย่อยขายสวนลงมา รายย่อยเห็นว่าแรงซื้อแน่น จะถือหุ้นรอขายที่ราคาสูงกว่านี้รายใหญ่บางคนอาจจะแหย่รายย่อยด้วยการเทขายหุ้นครั้งละหลายแสนหุ้นเหมือนแลกหมัดกับหุ้นที่ตนเองตั้งซื้อไว้เอง รายย่อยอาจเริ่มสับสนว่ามีคนเข้ามาซื้อแต่เจอรายใหญ่ขายสวน ราคาจึงไม่ไปไหน สู้ขายทิ้งไปเสียดีกว่า รายใหญ่จะโยนหุ้นแหย่รายย่อยอยู่สัก 1-2 ชั่วโมงจากนั้นจะตามมาด้วยการไล่ราคาอย่างจริงจังทีละขั้นราคา ( STEP ) ถ้าหุ้นที่ปั่นเป็นหุ้นตลาด คนชอบซื้อขายกัน การไล่ราคาจะไล่แบบช้าๆ แต่ปริมาณ ( VALUME ) จะสูงราคาเป้าหมายมักจะสูงขึ้นประมาณ 20-25% หากภาวะตลาดกระทิง ราคาเป้าหมายอาจจะสูงถึง 50%แต่ถ้าหุ้นที่ปั่นเป็นหุ้นตัวเล็กพื้นฐานไม่ค่อยดี ปริมาณการซื้อในช่วงเวลาปกติมีไม่มากการไล่ราคาจะทำอย่างรวดเร็ว ราคาเป้าหมายมักจะสูงถึง 40-50% ถ้าเป็นภาวะกระทิงราคาเป้าหมายอาจขยับสูงถึง 100% ช่วงไล่ราคานี้ อาจจะกินเวลา 3 วันถึง 1 เดือน ขึ้นกับว่าเป็นหุ้นอะไร ภาวะตลาดอย่างไร เช่นถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐานจะกินเวลาสั้น แต่ถ้าเป็นหุ้นพื้นฐานดีจะใช้เวลานานกว่า และถ้าเป็นภาวะกระทิง นักปั่นหุ้นจะยิ่งทอดเวลาออกไปเพื่อให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงที่สุดเท่าที่ตั้งเป้าเอาไว้ ในช่วงต้นของการไล่ราคา นักลงทุนรายใหญ่อาจยังคงมีการสะสมหุ้นเพิ่มอยู่บ้าง แต่รวมกันต้องไม่เกิน 5% ของทุนจดทะเบียนในแต่ละพอร์ตที่ใช้ปั่นหุ้นอยู่ พอปลายๆ มือจะใช้วิธีไล่ราคาแบบไม่เก็บของ คือตั้งขายเอง เคาะซื้อเอง เมื่อซื้อได้ ก็จะนำหุ้นจำนวนนี้ย้อนไปตั้งขายอีกในราคาที่สูงขึ้นและเคาะซื้อตามอีก ทำเช่นนี้หลายๆ รอบ สลับกันไปมาระหว่างพอร์ตต่างๆ ของตนเอง ค่อยๆ ดันราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆหากมีหุ้นของรายย่อยถูกซื้อติดเข้ามาจนรู้สึกว่าเป็นภาระมากเกินไป ก็อาจมีการเทขายระบายของออกไปบ้างแต่เป็นการขายไม้เล็กๆ ในลักษณะค่อยๆ รินออกไป เพื่อไม่ให้นักลงทุนรายย่อยตกใจเทขายตามมากเกินไปตัวหุ้นเองจะได้มีการปรับฐานตามหลักเทคนิค เพื่อจูงใจนักลงทุนรายใหม่ที่ยังไม่ได้ซื้อจะได้กล้าเข้ามาซื้อ 5) การปล่อยหุ้น เมื่อหุ้นขึ้นมาได้ 80% ของราคาเป้าหมายแล้ว ระยะทางที่เหลืออีก 20%ของราคาคือช่วงของการทยอยปล่อยหุ้น ช่วงนี้จะเป็นช่วงชี้เป็นชี้ตายการลงทุนของนักปั่นหุ้น ถ้าทำพลาดนักลงทุนรายย่อยรู้เท่าทัน หรือตลาดไม่เป็นใจ เช่น เกิดสงครามโดยไม่คาดฝันนักปั่นหุ้นเองที่จะเป็นผู้ติดหุ้นอยู่บนยอดไม้ จะขายก็ไม่มีใครมารับซื้ออาจต้องรออีก 6 เดือนถึง 1 ปีกว่าจะมีภาวะกระทิงเป็นจังหวะให้ออกของได้อีกครั้ง อีกทั้งอาจจะไม่ได้ราคาดีเท่าเดิมหรือถึงกับขาดทุนก็ได้ วิธีการปล่อยหุ้น เริ่มจากการรอจังหวะที่ข่าวดีจะประกาศออกมาเป็นทางการนักปั่นหุ้นซึ่งรู้มาก่อนแล้วจะเริ่มไล่ราคาอย่างรุนแรง 4-5 ช่วงราคา มีการโยนหุ้นเคาะซื้อเคาะขายกันเองครั้งละหลายแสนหุ้นปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพื่อดึงดูดความสนใจของรายย่อย เมื่อรายย่อยเริ่มเข้าผสมโรง นักลงทุนรายใหญ่จะตั้งขายหุ้นในแต่ละช่วงราคาไว้หลายๆ แสนหุ้นและจะเริ่มเคาะนำ ส่งสัญญาณไล่ซื้อครั้งละ 100 หุ้นบ้าง 3,000 หุ้นบ้างหรือแม้แต่ครั้งละ 100,000หุ้น หลายๆ ครั้ง เมื่อหุ้นที่ตั้งขายใกล้หมด เขาจะเคาะซื้อยกแถวพร้อมกับตั้งซื้อยันรับที่ราคานั้นทันที ครั้งละหลายแสนหุ้นถามว่าเขาตั้งซื้อครั้งละหลายแสนหุ้น เขากลัวไหมว่าจะมีคน หรือนักลงทุนสถาบันขายสวนลงมา คำตอบคือ กลัว แต่เขาก็ต้องวัดใจดูเหมือนกัน หากมีการขายสวนก็ต้องใช้วิธีเคาะซื้อแต่ไม่ใช้วิธีตั้งซื้อนักลงทุนรายย่อยเมื่อสังเกตว่ามีการไล่ซื้อ จะเข้ามาซื้อตาม นักลงทุนรายใหญ่ซึ่งคอยนับหุ้นอยู่พอเห็นมีเหยื่อมาติด จะเคาะนำที่ราคาใหม่ที่สูงขึ้นอีก แต่เพื่อให้ไม่ต้องซื้อหุ้นเข้ามาเพิ่มเขาจะเคาะซื้อไม้หนักๆ ก็ต่อเมื่อหุ้นที่ตั้งขายอยู่เป็นหุ้นในกลุ่มของตนเอง สมมติตนเองตั้งขายไว้500,000 หุ้น เมื่อได้รับการยืนยันจากเทรดเดอร์ว่า เริ่มมีการเคาะซื้อ จากนักลงทุนอื่นถึงคิวหุ้นของตนแล้ว เช่นอาจมีคนเคาะซื้อเข้ามา 10,000 หุ้น เขาจะทำทีเคาะซื้อเองตามอีก 200,000 หุ้นเพื่อให้รายย่อยฮึกเหิม เมื่อซื้อแล้วเขาก็จะเอาหุ้น 200,000 หุ้นนี้มาตั้งขายใหม่ยอมเสียค่านายหน้า ซื้อมาขายไปเพียง 0.5% แต่ถ้าสำเร็จจะได้กำไรตั้ง 50-100% เพราะฉะนั้นการไล่ซื้อช่วงนี้จึงเป็นการซื้อหนักก็ต่อเมื่อ ซื้อหุ้นตนเองตบตารายย่อยขณะที่ค่อยๆเติมหุ้นขายไปทีละแสนสองแสนหุ้น ส่วนการตั้งซื้อ ( BID ) ที่ตบตารายย่อยว่าแรงซื้อแน่นนั้น หากสังเกตดีๆ จะพบว่าเมื่อตั้งซื้อเข้ามาสองแสนหุ้น สามแสนหุ้น สักพักจะมีการถอนคำสั่งซื้อออกแล้วเติมเข้ามาใหม่เพื่อให้การซื้อนั้นไปเข้าคิวใหม่อยู่คิวสุดท้าย และจะทำอย่างนี้หลายๆ ครั้งนักลงทุนรายย่อยที่ตั้งซื้อเข้ามา จะถูกดันไปอยู่คิวแรกๆ หมด และถ้าเขาเห็นว่านักลงทุนอื่นมีการตั้งซื้อเข้ามามากพอสมควรแล้ว นักลงทุนรายใหญ่ก็จะมีการเทขายสลับเป็นบางครั้งเรียกได้ว่ามีทั้งการตั้งขายและเคาะขายพร้อนกันเลยทีเดียว
มีการตั้งขายหุ้น ( OFFER ) ไว้ล่วงหน้า หลายแสนหุ้นในแต่ละขั้นเวลา เริ่มเคาะซื้อนำครั้งละ 100 หุ้น 2-3 ครั้ง และจะเคาะซื้อหนักๆ ก็ต่อเมื่อหุ้นที่ตั้งขาย ( OFFER ) เป็นหุ้นในกลุ่มของตนเมื่อซื้อได้จะรีบนำมาตั้งขายต่อ และจะมีการเติมขายหุ้นตลอดเวลา เมื่อหุ้นที่เสนอขาย ( OFFER ) ใกล้หมดจะเคาะซื้อยกแถว แล้วตั้งเสนอขาย ( BID )เข้ามายันหลายแสนหุ้น แต่จะทยอยถอนออกแล้วเติมเข้าตลอดเวลา เมื่อหุ้นของคนอื่นที่ตั้งซื้อ ( BID ) มีจำนวนมากพอจะมีการเทขายสวนลงมาเป็นจังหวะๆเขาจะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หุ้นในพอร์ตของตนเอง จะค่อยๆ ถูกระบายออกไป และในสุดท้ายเมื่อข่าวดีได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น เขาจะทำทีเคาะไล่ซื้อหุ้นตนเองอย่างหนักแต่จะไม่ตั้งซื้อแล้ว เพราะกลัวถูกขาย ดังนั้นจึงเป็นภาพเหมือนมีคนมาไล่ซื้ออย่างรุนแรง แล้วอยู่ๆ ก็หยุดไปเฉยๆ ถามว่าแล้วเขาปล่อยหุ้นไปตอนไหน คำตอบคือเขาทยอยตั้งขายไปในระหว่างที่เขาทำทีซื้อนั่นเอง ผู้เคราะห์ร้าย คือ รายย่อยที่ไปเคาะซื้อตามแต่รีรอที่จะขายเพราะเห็นว่ายังมีแรงซื้อแน่นอยู่ สุดท้ายต้องติดหุ้นในที่สุด บทสรุป ช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว เปรียบได้ดั่งสายฝนซู่ใหญ่ที่พัดสาดเข้ามาอีกครั้งแสงระยิบระยับของกระดานหุ้นเร้าใจแมลงเม่าไม่แพ้แสงไฟในฤดูฝนเหล่าแมลงเม่าน้อยใหญ่พากันโบยบินเข้าตลาดหุ้นและแล้วตำนานเรื่องเดิมของเหล่าแมลงเม่าก็เริ่มต้นอีกครั้ง หมายเหตุปั่นหุ้น 1) สมัยก่อนหุ้นปั่นจะเป็นหุ้นตัวเล็กที่พื้นฐานไม่ดี ปัจจุบันนี้ หุ้นปั่นจะเป็นหุ้นตัวเล็กหรือหุ้นที่มีสภาพคล่องน้อยแต่พื้นฐานดี เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยฉลาดขึ้น แต่สุดท้ายก็ถูกหลอกอยู่ดี 2) นักลงทุนรายย่อยจะไม่สนใจหุ้นพื้นฐานดี แต่ไม่มีสภาพคล่อง แต่จะชอบหุ้นปั่น (ทั้งๆ ที่รู้ว่าปั่น)เพราะราคาวิ่งทันใจดี ส่วนใครออกตัวไม่ทัน ติดหุ้น เขาจะโทษตัวเองว่า โชคไม่ดีไหวตัวไม่ทันเอง 3) นักลงทุนรายย่อยจะไม่ซื้อหุ้นที่ขาดสภาพคล่อง ถึงแม้จะมีพื้นฐานดีแต่จะรอจนมีคนไปไล่ซื้อหุ้นให้มีปริมาณซื้อขายคึกคักและราคาขยับสัก 5%-10% แล้วจึงเข้าไปผสมโรงเพราะทุกคนมีคติว่า "ขาดทุนไม่กลัว กลัวติดหุ้น" (หุ้นขาดสภาพคล่อง) 4) นักลงทุนรายย่อยจะภาคภูมิใจหากสามารถซื้อขายหุ้นในวันเดียวแล้วได้กำไรเล็กๆ น้อยๆ สัก 1-2%มากกว่าซื้อหุ้นไว้ 1 ปีแล้วกำไร 20%-30% เพราะคิดว่าการซื้อขายหุ้นในวันเดียวแล้วได้กำไรต้องใช้ฝีมือมากกว่า (ทั้งที่จากเฉลี่ยทั้งปีแล้วมักขาดทุน) 5) หุ้นหลายๆ ตัวในตลาดหลักทรัพย์ มีนักลงทุนรายใหญ่คอยดูแล เวลามีข่าวดีต่อหุ้นตัวนั้นเข้ามาถ้าคนดูแลไม่ต้องการให้ราคาหุ้นปรับขึ้น หุ้นตัวนั้นก็จะถูกกดราคาไว้แต่ถ้าคนดูแลเข้ามาไล่ราคาหุ้นเมื่อไร หุ้นก็จะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้นทันทีและข่าวหนังสือพิมพ์จะออกมาว่า นักลงทุนตอบรับข่าวดีของหุ้นตัวนั้น จึงได้เข้ามาซื้อเก็บเอาไว้ ทั้งๆ ที่ หลายๆ ครั้งเป็นการทำราคาของรายใหญ่เพียงรายเดียว ที่เป็นผู้กำหนดทิศทางของหุ้นตัวนั้นว่าจะขึ้นหรือลง 6) นักปั่นหุ้นจะกลัวสภาวะตลาดมากกว่า ก.ล.ต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) เนื่องจากก.ล.ต. ไม่เคยลงโทษนักปั่นหุ้นรายใหญ่ได้ แต่เขาจะกลัวว่า ถ้าคาดการณ์ภาวะตลาดผิด ตนเองจะติดหุ้นเอง 7) เหตุผลที่นักปั่นหุ้นต้องใช้ชื่อคนอื่น ตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป เป็นตัวแทนในการถือหุ้น (NOMINEE) ช่วยซื้อขายหุ้นนั้น เพื่อไม่ต้องการให้ทางการสาวเรื่องมาถึงตนได้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องการหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์การถือหุ้นเกินคนละ 5% ของทุนจดทะเบียน ที่ต้องแจ้งเรื่องนี้กับก.ล.ต.เพื่อเผยแพร่ต่อนักลงทุนทั่วไปด้วย วิธีสังเกตเมื่อมีการปั่นหุ้น 1) มีข่าวดีมา แต่ราคาหุ้นไม่ไปทั้งๆ ที่มีปริมาณการซื้อขายมากขึ้น เหมือนมีคนกดราคาอยู่ (เพื่อเก็บของ) 2) หลังจากนั้น มีการไล่ราคาอย่างรวดเร็วรุนแรง ปริมาณการซื้อขายพุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 3) จำนวนหุ้นที่ตั้งซื้อ (BID) มีการเติมเข้าถอนออกอยู่ตลอดเวลา 4) การเคาะซื้อไล่ราคาจะมีการเคาะนำครั้งละ 100 หุ้น 2-3 ครั้ง จากนั้นจะเป็นการไล่เคาะซื้อยกแถว 5) หลังจากหุ้นขึ้นมานานแล้ว พอมีข่าวดีมา จะเห็นการเคาะซื้อครั้งละมากๆแต่การตั้งซื้อ (BID) ไม่หนาแน่น จังหวะที่ใช้ในการปั่นหุ้น 1) เมื่อหุ้นตัวนั้นราคาตกลงมาจนราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก ในภาวะตลาดขาลงนักลงทุนรายใหญ่จะทยอยสะสมหุ้นแบบไม่รีบร้อน เมื่อตลาดกลับเป็นขาขึ้น จะมีการไล่ราคาหุ้นอย่างรวดเร็วแล้วทยอยขาย ปีหนึ่งทำได้สัก 2-3 รอบ ก็คุ้มค่าต่อการรอคอยแล้ว 2) เมื่อมีข่าวที่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้น โดยทั่วไปนักลงทุนรายใหญ่จะรู้เห็นข่าววงในก่อน (INSIDER) และซื้อหุ้นเก็บไว้ เมื่อข่าวดีออกมาจะมีการไล่ราคาแล้วขายหุ้นออกไป หรือในทางตรงกันข้าม หากมีข่าวปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้นแย่ลงมาก เช่น ใกล้หมดอายุการใช้สิทธิของ WARRANT, ข่าวขาดทุนรายไตรมาส, ข่าวบริษัทลูกขาดทุนจะเป็นการปั่นหุ้นรอบสั้นๆ เพื่อออกของ หรือหากได้ปล่อยขายไปเกือบหมดแล้ว จะใช้วิธีทุบหุ้นเพื่อเก็บของถูกแล้วรอปั่นในรอบถัดไป 3) ปลายตลาดขาขึ้น เมื่อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี (BLUE CHIP) ทุกกลุ่มถูกนักลงทุนไล่ซื้อจนราคาหุ้นขึ้นมาสูงหมดแล้ว โดยทั่วไปจะไล่เรียงจากหุ้นกลุ่มใหญ่ๆ เช่น กลุ่มธนาคาร ไฟแนนซ์ ที่ดินวัสดุก่อสร้าง สื่อสาร และพลังงาน เมื่อนักลงทุนหมดตัวเล่น รายใหญ่จะเข้ามาปั่นหุ้นตัวเล็กๆที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีราคาต่ำ รายย่อยจะเข้าผสมโรงเพราะเห็นว่าหุ้นกลุ่มนี้ยังขึ้นไม่มากซึ่งโดยทั่วไปเมื่อหุ้นตัวเล็กๆ ถูกนำขึ้นมาเล่นไล่ราคา มักเป็นสัญญาณว่าหมดรอบของภาวะขาขึ้นแล้ว (เพราะถ้าหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ราคายังต่ำกว่าความเป็นจริงนักลงทุนก็ยังพุ่งเป้าซื้อขายหุ้นกลุ่มนี้อยู่ จนกระทั่งราคาหุ้นขึ้นสูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้วจึงละทิ้งไปเล่นหุ้นปั่น เมื่อราคาหุ้นโดยรวมสูงเกินปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นย่อมพร้อมที่จะปรับฐานได้ตลอดเวลา) สุดท้ายนี้ข้าน้อยขอยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่า บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะชักชวนให้ใครเข้าไปมีส่วนร่วมกับการปั่นหุ้นใดๆทั้งสิ้น และไม่ได้มีเจตนาที่จะชี้โพรงให้กระรอกน้อยๆ...หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมช่วยชี้แนะด้วย....ขอคารวะ 1จอก ..ข้าน้อยขอลาไปเก็บหุ้นเสี่ย"ส." ก่อน 555555555+ คำศัพท์เกี่ยวกับหุ้น "SP" ย่อมาจากคำ SUSPENSION โดยตลาดจะติดป้าย SP เพื่อห้ามการซื้อขายหุ้นจดทะเบียนชั่วคราวมากกว่า 1 รอบ เพราะบริษัทนั้นไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ เรื่องการเปิดเผยข้อมูล ป้าย N-Notice Pending จะโดนเปลี่ยนเป็นป้าย SP "CD" เป็นคำย่อที่สื่อใช้ แต่ศัพท์การลงทุนให้เรียกเต็มคือ CASH DIVIDEND หมายถึงเงินสดปันผล คือเงินปันผลที่ได้จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินสด ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลปกติจะจ่ายเป็นเงินสดให้แก่ ผู้ถือหุ้นเพราะสะดวก และเป็นที่นิยมเนื่องจากผู้รับเงินปันผลสามารถนำเงินไปใช้ได้ทันที "XR" ย่อมาจาก Excluding Rights ผู้ซื้อหุ้นที่ติดป้าย XR จะไม่มีสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่ที่เพิ่งออกมา "XD" มาจาก Exclude dividends คือไม่มีสิทธิรับเงินปันผล "XI" มาจาก Exclude interest คือไม่มีสิทธิรับดอกเบี้ย "XM" มาจาก Exclude meetings คือไม่มีสิทธิเข้าประชุมผู้ถือหุ้น "XA" มาจาก Exclude all privileges คือไม่ได้รับสิทธิใดๆ ที่บริษัทประกาศ นอกจากนี้ยังมีศัพท์ "Margin trading" คือการซื้อขายโดยใช้สินเชื่อ "Margin" คือเงินสดหรือทรัพย์สินที่ลูกค้าวางไว้กับบริษัทหลักทรัพย์เพื่อเป็นหลักประกันการซื้อ-ขายหุ้นโดยใช้สินเชื่อของบริษัทตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดอัตราขั้นต่ำที่ลูกค้าต้องวางหลักประกัน (Initial Margin) เกณฑ์การเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) และเกณฑ์การบังคับขาย (forced sale) "Street name" หมายถึงหลักทรัพย์ที่ลูกค้าซื้อแต่ยังอยู่ในชื่อของบริษัทนายหน้า (broker) บางทีเรียกว่า nominee name "Proxy" ใบมอบอำนาจ คือการมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรโดยเจ้าของหุ้นเพื่อให้ผู้รับมอบอำนาจทำหน้าที่เป็นตัวแทน และลงคะแนนเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น "SETINFO" มาจาก SET INFORMATION SERVICE คือตลาดหลักทรัพย์ให้บริการ ข้อมูลสำหรับนักลงทุนสถาบันซึ่งแบ่งออกเป็น 5 รูปแบบ 1.บริการ PRS หรือรายงานการซื้อขายหลักทรัพย์ในเวลาซื้อขาย 2.บริการ SIMS หรือระบบสารสนเทศตลาดหลักทรัพย์ 3.บริการ Download ข้อมูลสรุปการซื้อขายหลักทรัพย์ประจำวัน 4.บริการข้อมูลตามคำขอ หรือ Data Request ข้อมูลบริษัทและงบการเงินในรูป CD-ROM "Foreign Board" คือกระดานต่างประเทศ สำหรับนักลงทุนชาวต่างประเทศที่ต้องการมีชื่อของตนเองเป็นเจ้าของหุ้นที่เขาได้ซื้อไว้ในทะเบียนผู้ถือหุ้น ชาวต่างประเทศสามารถลงทุนในกระดานหลักโดยใช้ชื่อตัวแทนทะเบียนผู้ถือหุ้น ซึ่งมักเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำการซื้อขายหุ้นให้ หรือลงทุนในกระดานต่างประเทศโดยมีชื่อตนเองอยู่ในทะเบียน ซึ่งในกรณีหลังจะได้รับสิทธิผลประโยชน์เต็มที่จากที่บริษัท เช่น สิทธิในการจองหุ้น เพิ่มทุน หรือเงินปันผล เป็นต้น www.thaihomemaster.com |