1
2

ทำอย่างไรในวิกฤติ


หยุดฝัน ก็ไปไม่ถึง



ทำอย่างไรในวิกฤติ

ปัญหาที่รุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นภาพใหญ่ในเรื่องประเด็นเศรษฐกิจระดับโลก อันจะส่งผลหนักขึ้นๆ ถึงความเป็นไปในไทยแน่นอน ปัญหาการเมือง สังคม ความขัดแย้ง ที่ทำให้เกิดความรุนแรงทั้งกับภายนอกและภายในประเทศ ปัญหาชีวิตและสุขภาพ จากความไม่ปลอดภัยในการกินอยู่สารพัดทำให้เราต้องเฝ้าระแวดระวัง ต้องคอยเงี่ยหูฟังทุกขณะจิต ว่าอะไรผิดปกติ ข้อมูลที่แท้จริงคืออะไร แล้วต้องทำอย่างไร ไม่ให้ตกเป็น “เหยื่อ” ต้องทำอะไรเพื่อบรรเทา เพื่อแก้ไข เพื่อให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายไปกว่าเดิม




เราควรทำอย่างไรในสภาวะวิกฤติเช่นนี้ มีประเด็นที่เราเห็นประโยชน์โดยเฉพาะกับคนทำงาน ที่อย่างไรก็ต้องประคองตัวให้ผ่านสถานการณ์เลวร้ายให้ได้ ไม่ว่าปัญหาจะเกิดระดับใด ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก แนวทางเหล่านี้น่าจะมีประโยชน์ นำไปประยุกต์ใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงาน หรือที่บ้านค่ะ


 1. สติ สติ สติ

เมื่อเจอปัญหา เมื่อมีเรื่องคาใจ เมื่อไม่ได้ดั่งหวัง เมื่อโมโห อารมณ์พาลพาโลมักเบิกบาน ขานรับตัว “อัตตา” ฉันว่าฉัน “ถูก” ก็บอกแล้วว่าเธอ “ผิด” ทำให้หงุดหงิดเพิ่ม เติมเชื้อไฟ โหมให้ปัญหาเล็กเป็นใหญ่ ปัญหาที่ใหญ่อยู่แล้วยิ่งใหญ่ขึ้น จนยากที่จะยุติ การตั้งสติ หยุด สยบความฟุ้งซ่าน ลดความพลุ่งพล่าน โดยวิธีที่แต่ละท่านถนัด จะเป็นหัวใจในการสกัดการลุกลามของปัญหา โดยเฉพาะในส่วนที่เราเข้าไปมีเอี่ยว เรา "หยุด" ก่อน ... เก๋ ออกค่ะ


 2. แยกแยะว่าปัจจัยใดเราควบคุมได้ ปัจจัยใดคุมไม่ได้ แล้วมุ่งเน้นปรับสิ่งที่เราคุมได้

บางครั้งเราก็หลงทาง หลงทิศ ปล่อยให้ประเด็นที่เราคุมไม่ได้มาสะกิดใจบ่อย ปล่อยให้ตัวเองหมกมุ่นไปกับสิ่งที่เราปรับเปลี่ยนไม่ได้ เสียเวลา เสียสมอง เสียสติ
หากตรองใหม่ อาจได้มุมเด็ดว่า เอาเวลาไปใช้ในเรื่องที่เราแก้ได้น่าจะดีกว่ามาก ...จนถึงมากที่สุด


ตัวอย่างเช่น หัวหน้างานจะใส่เสื้อสีอะไร อย่าเพิ่งเปลืองเวลายามนี้ไปชี้ให้ท่านเปลี่ยน สู้เอาเวลามานั่งทำสมาธิ มานั่งปรับสติ มาหาข้อมูล มาปรับวิธีการทำงานให้สอดรับกับปัญหา เน้นในส่วนที่เราทำได้ อยู่ในอำนาจเราในการปรับการแก้ เพื่อให้สถานการณ์ผ่อนหนักเป็นเบา...เข้าท่ากว่ามาก


 3. ลด ละ เลิกพฤติกรรมที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

ในชีวิตประจำวัน หรือชีวิตการทำงาน ท่านผู้อ่านคงเคยคุ้นกับพฤติกรรมต่างๆ ที่ใครๆ เคยทำกับเรา (หรือเราก็เผลอตัวทำกับชาวบ้านบ้างเป็นครั้งคราว) ที่นอกจากไม่เป็นประโยชน์กับใคร หรือสถานการณ์ใดๆ แล้ว ยังก่อให้เกิดความคุกรุ่น ก่อให้เกิดฝุ่นในใจ ระคายเคือง ทำให้มีเรื่องมีราวกันอีก


สิ่งที่พบบ่อย คือ วาจาคารมที่เชือดเฉือน ยอกย้อน
พฤติกรรมเช่นนี้ มีอาทิ การตอกย้ำให้ช้ำใจในเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เรื่องที่อย่างไรก็แก้ไม่ได้เพราะเป็นอดีต


.. พี่บอกแล้ว-ว บอกตั้งหลายที ไม่เชื่อ-อ
... เตือนแล้วไม่ฟัง ... แล้วไง !
.. ใช้อวัยวะส่วนไหนคิด ถึงทำผิดได้ขนาดนี้ !


ไม่ต้องแปลกใจว่าการให้ “คำแนะนำ” แบบ “หวังดี” (แต่ประสงค์ร้ายซ้ำซาก) เช่นนี้ไม่มีใครอยากฟัง และจะมีส่วนฝังเชื้อร้ายในใจผู้รับฟัง ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจเป็นอย่างต่ำ ยิ่งพูดซ้ำๆ ยิ่งน้อยใจ แคลงใจ แค้นใจ ไล่ไปถึง ... 10 ปีไม่สาย ฉันจำได้ อย่าพลาดบ้างแล้วกัน !


 4. มุ่งอนาคต

ถามตัวเองและทีมงานว่าเราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้บ้าง
เอาความผิด ความพลาด เป็นปราชญ์ เป็นครู เรียนรู้จากเขา แต่เลิกเฝ้าย้ำคิดย้ำทำ จ้ำจี้จ้ำไช


ไม่โหดร้ายกับตัวเองเกินเหตุว่าผิดได้อย่างไร ให้ใจห่อเหี่ยว ... สี่เท้ายังรู้พลาดไงคะ
ขณะเดียวกัน ก็ไม่โหดร้ายกับใครๆ รอบข้าง เที่ยวชี้นิ้วไปทั่วว่าคุณมั่ว เธอผิด โดยยึดติดกับอดีต ตอกย้ำความพลาดที่ทั้งชาติก็กลับไปแก้ไม่ได้ เพราะเกิดไปแล้ว ดังกล่าวข้างต้น


ดังนั้น เวลาที่มี ควรใช้ในการแก้ปัญหาปัจจุบัน ตลอดจนกันไม่ให้เกิดปัญหาแบบเดิมๆ เกิดอีก ผิดเป็นครูก็ใช่ แต่ถ้าต้องอ้างถึงครูบ่อยๆ ก็ไม่ค่อยงาม
ใช้ครูเปลืองในเรื่องเดิมๆ ผิดเรื่องซ้ำๆ ... อย่าทำดีกว่า


ยามเกิดปัญหา ไม่ว่าใหญ่ ไม่ว่าเล็ก เรามักทึกทัก ชี้นิ้วว่าคนโน้นทำผิด คนนู้นทำพลาด ความผิดคนอื่นเท่าขุนเขา ความผิดเรา (หากมี) เท่าเส้นผม (จึงไม่นับ)
กระนั้นก็ดี ทุกครั้งที่เราชี้นิ้วไปที่ผู้อื่น กรุณาสังเกตว่า ทั้งนิ้วก้อย นิ้วนาง นิ้วกลางของเรา ชี้กลับมาที่เราเสมอค่ะ


"7 นิสัยเพื่อคิดบวก"

 เริ่มจากข้อแรก "ต้องมีความรักในสิ่งที่ทำ" 

พลังของความรัก เพราะหากภายในจิตใจของเรามีความรักในสิ่งที่ทำ และพอใจกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ โอกาสที่จะสำเร็จก็จะมีมากกว่าครึ่งหนึ่ง ยิ่งเราทำอะไรแล้วรู้สึกมีความสุข ก็ยังสามารถแบ่งปันความรู้สึกของเราที่มีต่อคนอื่นได้อีกด้วย


เชื่อว่าความสุขก็เหมือนโรคติดต่อชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับหวัด เวลาที่เราจามก็จะแพร่เชื้อหวัดให้ทุกคนรอบข้าง ความสุขก็มีโอกาสแพร่ขยายและทำให้คนรอบข้างที่ทำงานกับเรามีความสุขได้เช่นกัน พื้นฐานของความสุขจึงต้องมาจากความรักต่อสิ่งที่มี สิ่งที่ทำ และสภาพแวดล้อมที่อยู่


 ข้อสอง ต้อง "มีทัศนคติเชิงบวก" หรือ Positive Thinking คือ 

คิดอยู่เสมอว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ และวันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน ซึ่ง Positive Thinking จะช่วยให้เรามีความสามารถที่จะชนะตัวเองในสิ่งที่เป็นจุดอ่อน จุดด้อยของตัวเอง ต้องสร้างให้ตัวเองมีนิสัยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีโอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นดีขึ้น


ชีวิตทุกวันนี้เราคิดว่าเหมือนอยู่ในฮูลาฮูป ที่หมุนไปหมุนมา รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นสิ่งเก่าๆ ที่เคยผ่านมาแล้ว แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เมื่อวานจะไม่มีวันเหมือนวันนี้ ปีที่แล้ว ก็ไม่มีวันเหมือนปีนี้ ถ้าเราสามารถคิดบวกเสมอ ก็จะสะท้อนการกระทำของเรา และทำให้เราอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นใดก็แล้วแต่ ก็จะมีความสุข และความสุขจะทำให้เราประสบความสำเร็จ


การสร้างอุปนิสัยที่ดี ก็คือ การทำซ้ำ หรือ repeat การกระทำที่ครั้งแล้วครั้งเล่าให้กลายเป็นนิสัย ถ้าเราคิดว่าในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ ก็จะหาได้ว่าโอกาสอยู่ที่ไหนบ้าง


 ข้อที่สาม “มีความสามารถที่จะท้าทายตัวเองเสมอ” 

และกล้าเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งถ้าเรามีนิสัยเหล่านี้ติดตัว ก็ย่อมรู้สึกว่าชีวิตของเรามีเนื้อหาสาระ มีชีวิตที่จะชนะและประสบความสำเร็จ แล้วโอกาสก็จะมีเข้ามาหาเราตลอด แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจับได้หรือไม่


ในชีวิตหนึ่งเรามีโอกาสเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย เห็น ดอกไม้ผลิดอก เริ่มบานและร่วงโรย สภาพแวดล้อมจึงเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา แต่ขึ้นกับว่าเรารู้จักสนุกกับมันหรือไม่ และรู้จักท้าทายและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อแสวงหาความสำเร็จในอนาคตได้หรือไม่


 ข้อที่สี่คือ “ความเอาจริงเอาจัง” 

ซึ่งเป็นกลไกหลักในการเพิ่มพลังแก่งานที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม และที่สำคัญยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้ร่วมงานเกิดพลังขึ้นตามไปด้วย ตรงกันข้ามกันคนที่ไม่ตั้งใจ ที่มักจะไม่กล้าสู้อุปสรรค ปฏิเสธตัวเอง และหวาดหวั่นต่อสภาพแวดล้อม


การจะฝึกตัวเองให้เอาจริงเอาจังกับหน้าที่การงาน มักเริ่มต้นจากการสร้างนิสัยสนใจใฝ่รู้ให้เกิดขึ้นก่อน เพราะการใฝ่รู้จะทำให้เราสนใจกระบวนการทำงาน และอยากทำให้ทุกอย่างดีขึ้น จากไม่รู้เป็นรู้ และจากรู้ก็จะเป็นความเชี่ยวชาญมากขึ้น สะสมเพิ่มพูนไปสู่ความเป็นสุดยอด


 ข้อห้า “ต้องมีเป้าหมายของการเรียนรู้” 

เพราะจะทำให้เราอยากเรียนรู้ เราจึงต้องรู้จักฝึกฝนตัวเอง และหาวิธีคิดว่าวิธีไหนที่จะทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุด คือการเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน


ที่ต้องศึกษาคือหาเหตุผลที่เขาประสบความสำเร็จว่าคืออะไร และยึดข้อนั้นไว้และทำตามให้ดี แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีความเป็นตัวเราด้วย การเรียนรู้จากผู้อื่นจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่เราขาดไม่ได้ และการเรียนรู้จากประสบการณ์ผู้อื่นจะทำให้มีแรงผลักดัน ว่าเมื่อเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้เช่นกัน


 ข้อที่หก “ต้องรู้จักทบทวนตัวเอง” 

ต้องบังคับตัวเองว่า การทำอะไรก็แล้วแต่ความรับผิดชอบย่อมอยู่ที่ตัวเราเป็นหลัก เพราะปกติเมื่อความล้มเหลวเกิดขึ้นคนส่วนใหญ่มักจะโทษผู้อื่น หรือไม่ก็เป็นสภาวะแวดล้อม ซึ่งต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ซึ่งเราต้องรู้จักสร้างนิสัยในการรับผิดชอบให้ได้ และต้องคิดเสมอว่าความล้มเหลว เกิดขึ้นจากการกระทำของเราเป็นหลัก


 และข้อสุดท้าย “รู้จักผ่อนคลาย” 

เพราะความล้มเหลวที่เกิดขึ้น แม้ว่าเราจะทำทุกอย่างอย่างเต็มที่แล้ว ก็ต้องรู้จักที่จะยอมรับความล้มเหลวและต้องผ่อนคลายความกดดันนั้นให้ได้ อย่าคิดมากหรือเก็บความกดดันนั้นไว้คนเดียวโดยไม่คิดระบายออก


เพราะการเคร่งเครียดและสะสมความกดดันไว้เรื่อยๆ จะทำให้ปัญหาสะสม จนถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการแก้ปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดความล้าและไม่มีกำลังที่จะเอาชนะปัญหานั้นๆ ได้


ทั้งเจ็ดข้อนี้น่าจะเป็นข้อคิดส่วนหนึ่งที่จะเสริมให้กับผู้ที่อยู่ในวังวน ที่รู้สึกว่าหาทางออกไม่ได้ ซึ่งภาษิตจีนโบราณสอนไว้ว่า 360 อาชีพ ทุกอาชีพย่อมมีที่ 1 ซึ่งหมายถึง เรายังมีทางเลือกมากมายที่จะเดินไปสู่ความเป็นที่หนึ่งได้
Fwd.




เมื่อวงกลม 2 วง มาเจอกัน กลายเป็น "ทฤษฎีวงกลม"




MV เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ



เมื่อวงกลม 2 วง มาเจอกัน กลายเป็น "ทฤษฎีวงกลม"




 Fwd.





"นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ"

ทะเลใจ


"นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ"

นกนั้นมองไม่เห็นท้องฟ้า เพราะมันบินอยู่บนฟ้า และเป็นส่วน หนึ่งของท้องฟ้า 
ปลานั้นมองไม่เห็นน้ำ เพราะมันว่ายอยู่ในน้ำ และเป็นส่วนหนึ่ง ของท้องน้ำ 
มนุษย์นั้นสามารถมองเห็นทั้งท้องฟ้า และผืนน้ำ เพราะมนุษย์ ยืนอยู่บนพื้นดิน

อารมณ์ที่อ่านได้ยาก มีคำกล่าวว่า "นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ"

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะความเคยชินกับสิ่งที่อยู่กับเราตลอดเวลา ทำให้เราไม่สามารถมองเห็น ความแตกต่าง ระหว่าง สิ่งนั้น โดยการเปรียบเทียบ กับสิ่งอื่นๆ ได้อย่างกระจ่างชัด

ฉะนั้นจึงไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เราสัมผัสพบเห็นทุกวัน จากในมุมมองอื่น ดังเช่นที่คนอื่นมองเห็น




เมื่อนกบินอยู่บนท้องฟ้าทุกวัน ก็จะมองไม่เห็น ฟ้า 
ในความหมายของท้องฟ้า ลักษณะเดียวกับที่มนุษย์ บนพื้นดิน มองเห็น



ปลาที่อยู่ในน้ำตลอดเวลาก็เช่นเดียวกัน จะมองไม่เห็น น้ำ 
ในความหมาย แบบเดียวกับที่สัตว์บนบก มองเห็นผืนน้ำนั้นๆ

อารมณ์ เป็นสิ่งที่ยากจะมองเห็นได้ชัดเจนเฉกเช่นเดียวกัน แม้จะเป็นอารมณ์ที่สร้างความ บีบคั้นเป็นทุกข์ อย่างมากมาย ให้แก่เราก็ตาม

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า การจะเห็นทุกข์ให้ละเอียดนั้น เป็นเรื่องยากมาก ทั้งนี้เนื่องจาก เรามักจะชาชินอยู่กับอารมณ์ แห่งความบีบคั้นเป็นทุกข์ ดังกล่าว จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ

เมื่ออ่านอารมณ์ของตัวเอง ไม่ออก และมองไม่เห็นว่านั่นเป็นความทุกข์ เราก็จะไม่คิดพยายาม หาทางปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้พ้นจาก ภาวะความบีบคั้น เป็นทุกข์นั้น อย่างจริงจัง

บางคนเป็นทุกข์มาก ทั้งที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ก็รู้สึกว่า ตัวเองยังมีไม่มากเพียงพอ เพราะเอาตัวเอง ไปเปรียบเทียบ กับคนที่เขามีมากกว่า เมื่อใจปรารถนา อยากได้ทรัพย์สินเงินทอง ให้มากกว่านี้ แล้วไม่ได้ดังใจปรารถนา

อารมณ์ที่เป็นภาวะบีบคั้นเป็นทุกข์ในจิตใจ ลักษณะเช่นเดียวกับ ที่เกิดขึ้นกับยาจก ก็จะปรากฏกับเศรษฐีผู้นั้นได้ ส่งผลให้ หน้าตา บูดบึ้งตึงเครียด ไม่เบิกบาน โกรธง่าย ฉุนเฉียวง่าย ไม่มีความสุข ฯลฯ



เมื่ออ่านอารมณ์ไม่ออก ว่านั่นเป็นความ ทุกข์ 
บุคคลผู้นั้น ก็จะจมปลักอยู่กับความทุกข์ตลอดไป

สาเหตุที่ทำให้ไม่คิดหาวิธีแก้ไข ก็เพราะถึงแม้อารมณ์ทุกข์ จะเป็นภาวะที่ทนได้ยาก แต่เราก็มักจะสามารถ หาสิ่งมากลบเกลื่อน บดบังความทุกข์ อาทิ อบายมุข สิ่งเสพติดต่างๆ ตลอดจน กลไกป้องกันตัวเองทางจิต (defence mechanism) เพื่อช่วยบรรเทา ความทุกข์ได้เป็นครั้งคราว

จนมีภาวะความบีบคั้นเป็นทุกข์ในระดับที่เราพอจะทนต่อไปได้ ก็เลยไม่คิดหาวิธี ทำให้ตัวเองเป็น อิสระ จากความทุกข์ ให้มากยิ่งขึ้นกว่านี้

ต่อเมื่อทุกข์ถึงขีดสุดจนทนต่อไปได้ยาก บางทีค่อยรู้สึกตัว และคิดหาทางแก้ทุกข์ อาจจะโดยการเข้าหาหลักธรรม ทางศาสนาบ้าง เสพยาเสพติด หรือกินเหล้า เมายา เพื่อให้ลืมความทุกข์นั้นๆ บ้าง หรือสุดท้ายก็อาจใช้วิธีฆ่าตัวตาย เพื่อหนีทุกข์ เป็นต้น


สำหรับในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนให้วิเคราะห์ต่อไป ถึงสาเหตุของอารมณ์บีบคั้น เป็นทุกข์ดังกล่าว เพื่อแก้ที่ รากฐาน ของต้นเหตุ และชี้ให้เห็นว่า ความทุกข์ต่างๆ เกิดขึ้นจาก



"ความพลัดพราก จากสิ่งที่เป็นที่รัก ที่พอใจเป็นทุกข์ 
ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ที่พอใจเป็นทุกข์ 
มีความปรารถนา สิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ 
ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์"

ถ้าสามารถลดกิเลสตัณหา อุปาทาน ที่เป็นความต้องการ 
ส่วนเกินจำเป็นของชีวิตให้บรรเทา ลดน้อยลงได้เท่าไร 
ก็จะทำให้โอกาส ของการพลัดพรากจาก "สิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ" มีน้อยลง 
โอกาสที่จะประสบกับ "สิ่งอันไม่เป็นที่รัก ที่พอใจ" ก็มีน้อยลง 
ตลอดจนโอกาสของการ มีความ "ปรารถนาสิ่งใด" แล้วไม่ได้สิ่งนั้นๆ ก็มีลดน้อยลงเป็นลำดับ 
ส่งผลทำให้ ความทุกข์ ลดน้อยลง โดยปริยายในที่สุด

ฟังดูเหมือนทำไม่ยาก แต่ อันที่จริงด่านแรกที่ยากที่สุดก็คือ เรามักจะอ่านอารมณ์ของตัวเอง ไม่ออกว่า "นั่นเป็น ความทุกข์" เมื่อมองไม่เห็นความจริง ตามความเป็นจริงว่าเป็น ทุกข์ ก็เกิดความ ขี้เกียจ ที่จะหาทางปรับปรุงแก้ไข

ด้วยเหตุนี้ การได้มีโอกาสสัมผัสคบคุ้นกับคนที่สามารถ ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ จากภาวะบีบคั้น เป็นทุกข์ได้แล้ว จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่จะช่วยเปรียบเทียบ ทำให้เราสามารถมองเห็น อารมณ์ทุกข์ได้ กระจ่างชัดยิ่งขึ้น



เหมือนนกถ้าสามารถพูดได้ และคบคุ้นกับมนุษย์บนพื้นดิน 
การติดต่อพูดคุยกัน จะช่วยให้ นกเข้าใจ ท้องฟ้า ในมิติใหม่ 
ที่แตกต่างจาก ท้องฟ้า ตามที่ตัวเองเคยเข้าใจ



หรือเหมือนปลาถ้าพูดได้และคบคุ้นกับสัตว์บนบก 
การติดต่อสัมผัสสัมพันธ์กัน ก็จะช่วยให้ปลาเข้าใจ น้ำ ในมิติใหม่ 
ที่แตกต่างจาก ท้องน้ำ ตามที่ตัวเองเคย เข้าใจ

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความมีมิตรดี สหายดี สภาพสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ตลอดจนการได้คบสัตบุรุษ และการได้ฟัง สัทธรรม จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ที่นำไปสู่การพัฒนาจิตวิญญาณ ให้เป็นอิสระจากความทุกข์

ทั้งนี้เพราะการได้ติดต่อคบ-คุ้นกับกัลยาณมิตรที่เบาบางจากความทุกข์ดังกล่าว จะช่วยให้เรามีโอกาส เปรียบเทียบ และเรียนรู้ ทุกข์ ในมิติที่ละเอียดยิ่งขึ้น เหมือนนกหรือปลา ที่จะไม่มีโอกาสได้รู้จัก ท้องฟ้าหรือท้องน้ำ ในมิติที่ ไม่เคยรับรู้ มาก่อน




การเห็นทุกข์ และการอ่านอารมณ์ทุกข์ได้กระจ่างขึ้น 
ก็คือการเข้าถึงอริยสัจข้อแรก อันคือทุกข์ 
อริยสัจ ที่จะนำไป สู่การเข้าใจ อริยสัจ ข้ออื่นๆ ต่อไป

คนที่ได้ขัดเกลาจิตใจจนเป็นอิสระจากการครอบงำของกิเลสตัณหาอุปาทาน ในระดับหยาบๆ ได้แล้ว ความทุกข์ก็จะ เบาบางลง ทำให้สามารถ ทนกับอารมณ์ทุกข์ ที่เบาบาง ดังกล่าวได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ความขี้เกียจ ที่จะพัฒนา ตัวเองต่อไป ก็จะเกิดขึ้น

เนื่องจากความชาชินกับอารมณ์ที่เบาบางจากความทุกข์นั้นๆ จะทำให้มองไม่เห็นทุกข์ ในมิติใหม่ที่ละเอียด ยิ่งกว่าเดิม กรณีเช่นนี้ จึงยิ่งต้องอาศัย กัลยาณมิตร เป็นตัวช่วยสะท้อน ให้เราเห็นทุกข์ ในระดับที่ละเอียดขึ้น จากการเปรียบเทียบ กับภาวะความอิสระ ว่างเบา ของคนที่เราได้สัมผัส พบเห็นดังกล่าว

พระพุทธเจ้าจึงทรงชี้ให้เห็นว่า การมีกัลยาณมิตร ไม่เพียงแต่จะช่วยชี้แนะ การประพฤติปฏิบัติธรรม ในขั้นต้นเท่านั้น แต่ยังมีคุณูปการ ต่อการประพฤติปฏิบัติธรรม ในขั้นกลาง และขั้นปลายด้วย จนถือเป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ เลยทีเดียว

มองในแง่นี้ การจะอ่านอารมณ์ที่เป็นทุกข์อริยสัจให้ละเอียด จึงไม่ใช่การหลีกเร้น ไปอยู่ในที่สงบสงัด เพื่อจะได้มีสมาธิ ในการอ่านอารมณ์ของตัวเอง ตรงข้าม กลับจะต้องอยู่ในท่ามกลาง สภาพสังคมสิ่งแวดล้อม ที่ประกอบด้วยมิตรดี สหายดี จึงจะสามารถ มองเห็นอารมณ์ ที่เป็นทุกข์อริยสัจนั้นๆ ได้กระจ่างชัดขึ้น
(หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๕ หน้า ๒๔-๒๙)



นก โบยบินอยู่บนฟ้า แต่มองไม่เห็น ฟ้า 
ปลา แหวกว่ายอยู่ในน้ำ แต่มองไม่เห็น น้ำ
คน โลดแล่นอยู่ในโลก แต่มองไม่เห็นแก่นสารของ โลก
ว.วชิรเมธี (W.Vajiramedhi)

  
  


ศิลปะการป้องกันตัว โดย ท่าน ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย




คนธรรมดา ซัน ชายส์ SUNSHINE



ศิลปะการป้องกันตัว
ท่าน ว.วชิรเมธี
ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย



“สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ”
คาถาบทนี้น่ะมีความขลังอย่างเหลือเชื่อต่อวิถีชีวิต
ซึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความไม่แน่นอนของคนเราได้เป็นอย่างดี....

ครั้งยังเป็นนักเรียนประถม โรงเรียนเคยจัดให้หน่วยทหารพัฒนาเข้ามาฝึกสอนวิชาศิลปะการป้องกันตัว เช่น มวยไทยให้นักเรียนทั้งโรงเรียนอยู่พักใหญ่ ศิลปะการป้องกันตัวเหล่านั้นตั้งแต่เรียนมาผู้เขียนยังไม่เคยได้ใช้เลย

แต่พอเข้ามาสู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ก็ได้มาพบกับศิลปะการป้องกันตัวอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนเสร็จแล้วก็ได้ใช้ทันที และใช้ได้ผลมาโดยตลอด ถึงขนาดที่ว่าพอ “ทุกข์กระทบ–ธรรมกระเทือน” ทันที

ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานองคมนตรี ก็เคยเล่าว่า ท่านได้รู้จักศิลปะการป้องกันตัวมาเช่นเดียวกันกับผู้เขียน “...สวนโมกข์เป็นอย่างไร ผมหลับตาเห็นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ผมภาวนา ‘สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ’ ซึ่งเป็นคาถาประจำใจผม...ผมนับถือคาถานี้มากเพราะช่วยผมในยามลำบากคับขันซึ่งผมได้เคยประสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ผมเผอิญเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ในเวลานี้ คาถานี้ก็ยังช่วยผมได้ในทุกสถาน ทุกกาลเวลา...”
ไฮโซสาวคนหนึ่ง ซึ่งหากเอ่ยชื่อขึ้นมาหลายคนคงร้องอ๋อ เพราะรู้จักดี ก็นับถือคาถาเดียวกันกับอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ มากเรื่องราวในชีวิตจริงของเธอน่าจะเป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดี ดังที่เธอเคยถ่ายทอดเอาไว้อย่างละเมียดละไมในนิตยสารเล่มหนึ่ง

มนมาที่นี่ทุกวันอาทิตย์ ทุกครั้งที่มามนมีสีหน้าสดชื่น รื่นเริง อิ่มบุญเสมอ มนไม่เคยรบกวน ไม่เคยถามข้ออรรถข้อธรรม มนทำนั่นทำนี่สารพัด เหมือนเป็นคนวัดคนหนึ่ง แล้วมนก็กลับไป ไม่บอกกล่าว ไม่ล่ำลา ไม่รบกวน ไม่พูดมาก แต่ใครต่อใครที่นี่ก็รู้ดีว่ามนเป็นคนดี หรืออาจจะดีมากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ มนไปๆ มาๆ เป็นอย่างนี้อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนเวลาผ่านนับนานหลายเดือนเคลื่อนเข้าสู่ปี และปีกว่า

แต่แล้ววันหนึ่ง มนดูเศร้าๆ ผิดปกติไปเล็กน้อย คนนอกไม่เคยมีใครสังเกตเห็น แต่หลวงพ่อเห็น หลวงพ่อรู้ดีว่ามนทุกข์ แต่มนไม่พูด มนยังคงทำตัวตามปกติ แต่มนเอ๋ย เธอจะหลอกใครหรือแม้กระทั่งหลอกตัวเองก็หลอกไปเถอะ แต่จะหลอกหลวงพ่อนั้นไม่สนิทหรอก ไม่ใช่หลวงพ่อเป็นพระอริยะนะมน จึงจะได้เที่ยวรู้ใจใครต่อใครเขาไปทั่ว แต่คนมีความสุขจริงๆ กับคนที่เสแสร้งแสดงตนว่ามีความสุขนั้นมันไม่เหมือนกันหรอก

มนกรวดน้ำรับพรเสร็จแล้วก็เงยหน้าสบสายตาหลวงพ่อที่ตนเคารพอย่างเต็มหัวใจ สายตาของมนปะทะเข้ากับแววตาทอประกายเปี่ยมเมตตาของหลวงพ่อวัยกลางคน แต่สุขุม ลุ่มลึก ท่วงทีกิริยาบอกชัดว่าหลวงพ่อเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาเจนโลกจบธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย พลันที่สบสายตาเปี่ยมการุณยธรรมจากหลวงพ่อ ยังไม่ทันพูดอะไรออกมาสักคำ มนก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร ทำไม ทำไม ทำไมมนถึงร้องไห้ก็ไม่รู้ หลวงพ่อคะ มนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร มนเสียใจ มนทุกข์ แต่มนไม่รู้จะเริ่มอย่างไร หลวงพ่อปล่อยให้มนร้องไห้จนสาแก่ใจ จนสายน้ำตาของมนเหือดแล้วจึงถามขึ้นเบาๆ

“เอาละ ร้องเสียให้พอ จากนั้นก็เล่าให้หลวงพ่อฟังซิว่าเรื่องมันเป็นมายังไง”

“สามีของมนค่ะหลวงพ่อ เค้า เค้า แอบไปมี...มี”

“เอาละมน หลวงพ่อเข้าใจ”

เพียงหลวงพ่อพูดว่า “หลวงพ่อเข้าใจ” ใจอันเร่าร้อนปานกองเพลิงของมนก็เหมือนถูกรินรดด้วยน้ำฝนจากฟ้า สติของมนคืนกลับมาวูบใหญ่ ทำให้มนรีบเอามือปาดน้ำตาด้วยความอาย พยายามหักห้ามใจตัวเองให้อยู่ในอารมณ์สงบและเป็นปกติที่สุด มนสงสัย ทั้งๆ ที่หลวงพ่อยังไม่ทันได้พูดอะไร ทำไมทุกข์ของมนจึงหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง หลวงพ่อมีปาฏิหาริย์หรือ หรือว่า...

“มน หลวงพ่อไม่มีปาฏิหาริย์อะไรหรอก ทุกข์ของมนน่ะมันไม่มากมายอะไรนักหรอก ถ้ามนรู้จักที่จะ ‘ระบาย’ มันออกมาเสียบ้าง ที่มนรู้สึกดีขึ้นน่ะเพราะมนได้ระบายมันออกมาเท่านั้นเอง คนเราน่ะมน หลวงพ่อจะบอกให้ มีสุขมีทุกข์กันมากมายในชีวิตทั้งนั้นแหละ แต่ละชีวิตของคนเราก็เหมือนกับก้อนทุกข์ก้อนหนึ่ง ก้อนทุกข์ของเธอก็ก้อนหนึ่ง ก้อนทุกข์ของสามีเธอก็ก้อนหนึ่ง ของลูกเธอก็ก้อนหนึ่ง สามคนก็สามก้อนทุกข์ นี่ ‘เขา’ ไปมีคนใหม่อีก ก็เลยเพิ่มทุกข์มาอีกก้อนหนึ่ง แต่มนเอ๋ย ถ้าเธอรู้จักถ่ายเทความทุกข์ออกมาจากอกเสียบ้าง ไม่หวงความทุกข์นั้นไว้ทุกข์คนเดียว เธอก็จะไม่ทุกข์หนักอยู่คนเดียวอีกต่อไป”


“แต่หลวงพ่อคะ ถึงหนูจะระบายให้ใครฟัง ก็ใช่ว่าจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมาได้”

“ใจเย็นไว้มน แม้ทุกอย่างจะไม่ดีขึ้นมาทันตาเห็น แต่อย่างน้อยเธอก็จะไม่ตายเสียก่อนเพราะทน ‘แบกทุกข์’ ไว้ไม่ไหว หลวงพ่อจะบอกอะไรให้นะ คนเราที่ตายๆ กันน่ะ ไม่ได้ตายเพราะความทุกข์หรอก แต่เขาตายเพราะทนแบกทุกข์ไม่ไหวต่างหาก เพราะฉะนั้นถ้าเธอมีทุกข์ จงอย่าแบกทุกข์เอาไว้คนเดียว หาใครสักคนหนึ่งไว้ปรับทุกข์ ระบายทุกข์ออกมาข้างนอกเสียบ้าง ทุกข์นั้นจะเบาบางลง”

คำปลอบโยนของหลวงพ่อทำให้มนหูตาสว่างขึ้นมาทันที อย่างนี้หรือเปล่านะที่เขาว่าพระมาชี้ทางสวรรค์ให้ ทุกข์ “ของเรา” เราหนักอกมาแรมเดือนแรมปี แต่พอเปิดใจให้หลวงพ่อฟัง มันพังทลายลงมาอย่างง่ายดายเหมือนปราสาททรายถูกคลื่นซัด

วันนั้นมนกราบลาหลวงพ่อกลับไปบ้าน พลางท่องคาถาที่หลวงพ่อให้มา 

“สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ : สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น” 

ไม่มีความยึดติดถือมั่นใดที่จะไม่ก่อให้เกิดทุกข์ มีรองเท้าคู่หนึ่ง รองเท้าหายก็ทุกข์แทบตาย เพราะคิดว่ามันเป็นรองเท้า “ของเรา” ทั้งๆ ที่รองเท้ามันไม่เคยคิดเหมือนเราสักหน่อย รองเท้าไม่เคยรู้สึกว่ามันมี “เจ้าของ” รองเท้าจึงไม่ทุกข์ เราต่างหากเที่ยวยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาเป็นของเรา เที่ยวแสดงความเป็นเจ้าของกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปทั่ว พอมันไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา จึงมานั่งตรอมตรมระทมทุกข์

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา มนไม่เคยเสียเวลานั่งรอเขากลับมาอีก มนอยู่กับลูกสาวสองคนอย่างเข้มแข็ง ด้วยเชื่อมั่นในคำของหลวงพ่อ มนบอกกับตัวเองว่า มนจะไม่เสียเวลากับคนที่มองไม่เห็นคุณค่าของเราอีก ชีวิตมีอะไรให้ทำมากกว่าการมานั่งรอใครสักคนซึ่งมองไม่เห็นคุณค่าของตนอย่างแท้จริง มนเชื่อว่าของทุกอย่าง หรือคนทุกคน ถ้าเราไม่ยึดมั่นว่ามัน “ต้อง” เป็นของเรา มันก็ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ แต่พอเราไปยึดว่ามันต้องเป็นของเราเข้าเมื่อไร แม้แก้วน้ำสักใบหนึ่งซึ่งไม่มีชีวิตจิตใจแท้ๆ แต่กระนั้นมันก็อาจทำให้เราทุกข์ปางตายได้

ตั้งแต่วันที่ได้เปิดใจกับหลวงพ่อเป็นต้นมา มนก็ตั้งต้นชีวิตใหม่ไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่กับความฟุ้งซ่านวุ่นวาย ทิ้งความเจ็บปวดไว้เบื้องหลัง มนเตือนตัวเองว่า การเกิดมาเป็นคนใช่ของง่าย อย่าเสียเวลามากมายกับเรื่องไร้สาระ อะไรพึงทำก็ควรทำให้ดีที่สุด ก้าวหน้าต่อไป และทำสิ่งที่ทำอยู่ในวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะชีวิตนั้นไม่ยืนยาวอย่างที่คิด

ผ่านไปเพียงห้าเดือนมนก็เข้มแข็ง สามารถหยัดยืนด้วยตัวเองได้และ “เขา” คนใหม่ก็ผ่านเข้ามา เขาคือเพื่อนที่เคยชอบพอกันมาสมัยเป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยนั่นเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการกลับมาของเขาทำให้ชีวิตของมนมีความหมายมากขึ้นเพียงไร แต่มนก็ยังคงท่องคาถาที่หลวงพ่อให้ไว้ว่า “สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ” อยู่เสมอๆ แต่...อนิจจา เขามาสู่ชีวิตของมนได้เพียงปีกว่าก็จากมนไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ก็นั่นแหละนะเสร็จงานศพเขาแล้วมนก็เลิกแต่งชุดดำ จากนั้นก็ดำเนินชีวิตของตนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อนร่วมงานสงสัยว่าทำไมไม่เห็นพี่มนเศร้าสร้อยเลย ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มนบอกว่า “ความโศกเศร้าจะเกิดขึ้นก็เฉพาะกับคนที่ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ’ เท่านั้นแหละจ้ะ”
“อะไรน่ะพี่มน หนูไม่เห็นเข้าใจ ภาษาต่างด้าวอะไรของพี่”

สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ แปลว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น ท่องไว้เถอะจ้ะ สักวันหนึ่งเธอจะรู้เองว่าคาถาที่พี่ท่องอยู่ประจำนี้มันจะช่วยชีวิตเธอได้อย่างไร สำหรับพี่ พี่บอกได้เลยว่า ที่รอดตายมาได้ทุกวันนี้ตั้งหลายครั้งหลายคราว ก็เพราะพี่ท่องคาถานี้เป็นประจำอยู่ทุกวันนั่นเอง”

รุ่นน้องผู้เป็นลูกน้องอีกทีหนึ่งทำหน้ามุ่ยเดินจากไปแล้ว แต่มนกลับยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่รู้อยู่แก่ใจว่าสักวันหนึ่งรุ่นน้องคนนั้นจะเข้าใจด้วยตัวเองเป็นอย่างดี ว่าคาถาบทนี้น่ะมีความขลังอย่างเหลือเชื่อต่อวิถีชีวิตซึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความไม่แน่นอนของคนเราได้เป็นอย่างดีเพียงไร

http://bit.ly/9zME2W






1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss