1
2

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความรู้รอบตัว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความรู้รอบตัว แสดงบทความทั้งหมด

ศาสตร์ในการอ่านใจคน








ศาสตร์ในการอ่านใจคน ด้วยหลักจริต 6

คำว่า "จริต" ในที่นี้หมายถึงสภาวะจิตของคนตามธรรมชาติ
จากการแบ่งจริตมนุษย์เป็น ๖ ประเภทใหญ่ๆ เรามาดูกันว่าคุณติดในจริตแบบไหนบ้าง 

แนวคิดเกี่ยวกับประเภทของจริตมนุษย์ในหนังสือเล่มนี้มีรากฐานมาจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งผู้ประพันธ์เชื่อกันว่าเป็นพระอรหันต์ชาวลังกา ในคัมภีร์ดังกล่าวได้อธิบายถึงสภาวะจิตหรือนิสัยมนุษย์ว่ามีอยู่ด้วยกัน ๖ ประเภท ได้แก่

1.ราคะจริต คือสภาวะจิตที่หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสจนเป็นอารมณ์

2.โทสะจริต หรือสภาวะจิตที่โกรธง่าย ฉุนเฉียวง่าย เพียงพูดผิดสักคำ ได้เห็นดีกัน

3.โมหะจริต หรือจิตที่มักอยู่ในสภาพง่วงเหงาหาวนอนหรือซึมเศร้าเป็นอาจิณ

4.วิตกจริต หรือสภาวะจิตที่กังวล สับสนและวุ่นวายฟุ้งซ่านแทบทุกลมหายใจ

5.ศรัทธาจริต คือสภาวะจิตที่มีปรัชญาหรือหลักการของตัวเองและพยายามผลักดันให้ตัวเองและผู้อื่นบรรลุถึงจุดหมายนั้น

6.พุทธิจริต คือสภาวะจิตที่เน้นการใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง คิดหาเหตุหาผลมาแก้ปัญหาต่างๆในชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน รวมทั้ง มีความสนใจ เรื่องการยกระดับและพัฒนาจิตวิญญาณ


1. ราคะจริต 
กิริยาท่าทางมีจริตจะก้าน สุภาพ พูดจานุ่มนวลไพเราะ หน้าตาดีสะอาดสะอ้าน จิตใจเมตตากรุณา ขี้สงสาร รู้จักกาละเทศะ สนใจเรื่องรูปรส กลิ่นเสียงสัมผัส หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ชอบเรื่องหนักๆ หรือการปะทะ ทะเลาะเบาะแว้ง แต่งตัวเนี้ยบมีรสนิยม ชอบของแบรนด์เนม ไปที่ไหนคนชอบคนรัก มีปฏิภาณไหวพริบ หัวไวเข้าใจสิ่งต่างๆ 

ได้โดยง่าย เก็บข้อมูลเก่ง ในกรณีที่พบคนที่ถูกใจดวงตาจะหวานหยาดเยิ้มกิริยาเปลี่ยนแปลงไปในทันที และเนื่องจากมีความอ่อนไหว เจ้าอารมณ์ ชอบปรุงแต่ง เปรียบเทียบจึงทำให้เป็นคนที่อิจฉาริษยา ชอบนินทา ชิงดีชิงเด่น โกหกเก่ง เจ้าชู้ เจ้าคารม แต่ปากกับใจไม่ค่อยตรงกัน สติแรงแต่สมาธิต่ำ มีความยึดมั่นถือมั่นสูง บางครั้งจึงไม่ค่อยมีคุณธรรมหรือหลักการอะไรมากนัก 

จุดแข็งคือ มีเสน่ห์ พูดจาเข้าสังคมเก่ง ไกล่เกลี่ยการทะเลาะวิวาทได้อย่างรวดเร็วจึงเหมาะที่จะทำงานในส่วนของการต้อนรับ การนำเสนอผลงาน หรือการประสานงาน การพูดจากับลูกน้องราคะจริตจะต้องพูดดีๆ นุ่มนวล และชื่นชมเป็นระยะๆ ราคะจริตสามารถปรับปรุงพัฒนาตัวเองโดยการศึกษาเพิ่มเติมเรื่องหลักการคุณธรรมเพิ่มเติม 

หัดจริงจังกับชีวิตไม่ควรล่องลอยไปวันๆ ในกรณีที่อกหักให้มองโลกในแง่ดีว่าสวรรค์อาจจะกำลังช่วยให้เราเจอคนที่ดีกว่าก็ได้ และให้มองตามความเป็นจริงว่าสิ่งไหนเป็นของเราก็เป็นของเราสิ่งไหนไม่ใช่ก็ไม่ใช่



2. โทสะจริต
หน้าตาดุดัน บึ้งตึง จริงจัง มักไม่สวยไม่หล่อ จุดเดือดต่ำ โกรธง่าย มีสมาธิแรง เสียงดังฟังชัด หากมีสิ่งใดไม่พอใจจะตำหนิติเตียนทันทีโดยไม่มีการไว้หน้า มีความซื่อตรง ซื่อสัตย์ รักษาคำพูด มีระเบียบวินัย ไม่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ใจร้อนอยากให้งานเสร็จเร็วๆ มีความมุ่งมั่น ตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ ใจกว้าง จริงใจ และเนื่องจากมีสมาธิจึงสามารถขบคิดอะไรได้ค่อนข้างลุ่มลึก 

อย่างไรก็ตาม โทสะจริตจะมีอัตตาตัวตนสูง ชอบชี้ถูกชี้ผิด อารมณ์รุนแรง ย้ำคิดย้ำทำ อาฆาตพยาบาท และมักจะเผลอดูถูกผู้อื่นอยู่บ่อยครั้งโดยไม่รู้ตัวเพราะคิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลจึงทำให้มีปัญหาทะเลาะแว้งกับผู้อื่นอยู่เป็นประจำ มีโรคภัยไข้เจ็บเพราะเคร่งเครียดอยู่เสมอ มีศัตรูรอบด้านเพราะชอบพูดจาเชือดเฉือนจิตใจคนอื่นจนเป็นนิสัย

ผู้ที่เป็นโทสะจริตสามารถปรับปรุงตัวเองได้โดยการเจริญเมตตาเพื่อตนเองจะได้รู้จักปล่อยวาง ให้อภัย ให้รู้จักสงสารคนอื่นบ้าง และให้รู้จักรักตัวเองด้วย อย่าจริงจังมากนักกับชีวิตเพราะร่างกายจะเจ็บป่วย เงินทองชื่อเสียงลาภยศตายไปก็เอาไปไม่ได้ และให้พิจารณาโทษของความโกรธ โทษของโรคภัยไข้เจ็บ และโทษของการมีศัตรูรายล้อมอยู่รอบตัว 

แต่ถ้าเรามีลูกน้องเป็นโทสะจริตเราต้องพูดจากับเขาดีๆ ไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไชมากนักเพราะเขามีความรับผิดชอบสูงอยู่แล้ว และถ้ามีหัวหน้าเป็นโทสะจริตเราควรจะเน้นที่การทำงานเป็นหลักไม่ต้องสนใจกิริยาวาจาของหัวหน้า เตรียมงานไปดีๆ ไม่ต้องพูดมากเพราะเขาจะรำคาญ 

ในกรณีที่มีลูกค้าเป็นโทสะจริตเราจะต้องตรงไปตรงมาไม่หลอกลวง และถ้าเราซื้อใจโทสะจริตได้เราจะได้การรับการบอกต่อไปสู่เพื่อนพ้องและญาติมิตรของเขาอย่างแน่นอนเพราะเขาเป็นคนกตัญญูรู้คุณคนเมื่อได้รับสิ่งดีก็คิดอยากจะตอบแทนคืน



3. โมหะจริต
เป็นคนดี ไม่ทำร้ายใคร ชอบลงมือปฏิบัติ ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายงานโดยไม่ปริปากบ่น ไม่ปรุงแต่ง อดทน แต่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง เงียบๆ เศร้าๆ ซึมๆ หน้าหนักๆ มีความเบื่อหน่ายเป็นอาจิณ ค่อนข้างหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พูดช้าๆ ตอบสนองช้า ไม่ชอบคิด ชอบอยู่กับความหลังครั้งเก่าๆ ชอบอยู่ที่มืดๆ ทึมๆ รู้สึกว่าตนเองโดนโลกเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรก็ไม่ค่อยเจริญ 

โมหะจริตสามารถพัฒนาตัวเองโดยการเจริญมรณานุสติให้พิจารณาว่า หากจะต้องมีชีวิตอีกไม่นาน เราอยากทำอะไรจริงๆ อยากเป็นอะไรจริงๆ เราพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แล้วหรือ และให้หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ อ่านหนังสือใฝ่หาความรู้ 

หัดเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คบเพื่อนใหม่ๆ ไปในที่ใหม่ๆ ลูกน้องประเภทนี้เหมาะกับการทำงานประจำซึ่งไม่ต้องพบปะผู้คนมากนัก และในการสั่งงานเราต้องบอกอย่างชัดเจนไปเลยว่าเขาควรทำอะไรบ้างอย่างไร และต้องให้ระยะเวลานานหน่อยเพราะทำงานค่อนข้างช้า 

ในทางกลับกัน ถ้าเรามีหัวหน้าเป็นโมหะจริตเราก็จะทำงานสบาย ไม่ค่อยมีแรงกดดัน แต่เราก็จะไม่ค่อยเจริญก้าวหน้าเท่าใดนักเพราะหัวหน้าประเภทนี้สอนงานไม่ค่อยเป็น 



4. วิตกจริต
พูดจาน้ำไหลไฟดับ พูดจาไร้สาระ กังวลและว้าวุ่นใจตลอดเวลา คิดไม่หยุด หน้าไม่มีรอยยิ้ม พูดเก่ง ซึ่งแรกๆ จะฟังดูดีแต่ภายหลังจะพบว่าไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เพราะโกหกเก่งและชอบเปลี่ยนแปลงจุดยืน จับผิดเก่ง มองโลกในแง่ร้าย ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนมี ดูถูกดูแคลนคน หน้าไหว้หลังหลอก จิตใจไม่เคยสงบ ชอบใฝ่หาความรู้เพื่อไปใช้ข่มคนอื่น มีสิ่งที่อยากจะทำเต็มไปหมดแต่ไม่เคยได้ลงมือทำสักที หรือไม่ก็ทำแล้วแต่ก็ไม่เสร็จสักอันเพราะจับจด ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ฟุ้งซ่าน จัดลำดับความสำคัญก่อนหลังไม่ค่อยเป็น 

ฉะนั้น เราจึงพบเห็นอยู่บ่อยครั้งว่าวิตกจริตที่แม้จะขยันขันแข็งแต่งานที่ออกมักจะผิดประเด็น ทำให้พวกเขาต้องทำงานหนักเกินความจำเป็นอยู่เสมอ ทำให้สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเช่น เป็นไมเกรน โรคทางเดินหายใจ โรคปวดข้อ โรคเครียด โรคนอนไม่หลับ เป็นต้น 

ข้อดีคือมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีแรงอึดสูง มีความกระตือรือร้น และหากเราจะนำเสนอโครงการอะไร เราจะต้องรู้จุดอ่อนของโครงการทั้งหมดก่อน วิตกจริตซึ่งเป็นนักจับผิดตัวยงเขาจะบอกเราได้ในจุดนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวิตกจริตค่อนข้างมองโลกในแง่ร้ายจึงมักทำให้ที่ประชุมป่วนอยู่เสมอ 

วิธีการทำให้วิตกจริตหยุดพูดคือถามว่าประเด็นอยู่ตรงไหนและทางแก้คืออะไร เขาจะหยุดพูดเอง ลูกค้าวิตกจริตมักจะไม่ค่อยซื่อสัตย์และมักจะเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าของที่อื่นหากมีผลประโยชน์ตอบแทนที่ดีกว่า 

หากมีลูกน้องประเภทนี้ต้องระวังเพราะไม่ค่อยน่าไว้วางใจ จึงไม่ควรสอนอะไรมากนักเพราะเขาจะทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์หรือสิ่งที่เขาต้องการ 

หากมีเจ้านายประเภทนี้ก็ยากที่จะเจริญและอาจจะโดนหักหลังอีกด้วย วิตกจริตสามารถปรับปรุงแก้ไขตนเองโดยการฝึกความสงบในจิตใจด้วยวิธีอานาปาณสติฝึกลมหายใจ หัดอ่านหนังสือธรรมะ และรักษาศีล พูดดีทำดีคิดดี ฝึกลดละวางความชั่วร้ายในจิตใจ พิจารณาโทษแห่งความฟุ้งซ่านและโทษแห่งความเครียดที่ทำให้มีสุขภาพร่างกายที่เสื่อมโทรม 



5. ศรัทธาจริต
นักทำกิจกรรม มีอุดมการณ์ พูดจามีพลัง โน้มน้าวจิตใจคนเก่ง มีความเชื่อและอารมณ์รุนแรงซึ่งบ่อยครั้งก็อยู่เหนือเหตุผล มีความยึดมั่นถือมั่นในความคิด ความเชื่อ หรือตัวบุคคล เชื่อคนง่าย ถูกหลอกง่ายเพราะไม่ค่อยชอบคิด ใครก็ตามที่มีความคิดแตกต่างไปจากตนหรือสิ่งที่ตนเชื่อคนนั้นจะเป็นศัตรูทันที วิธีแก้ไขปรับปรุงคือ รับฟังแต่ห้ามเชื่อ หัดคิดพิจารณาและหัดมองโลกหลายๆ ด้าน อย่าคิดว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิมตลอดไป และใช้หลักกาลามสูตรคือ 

1) ห้ามเชื่อเพราะตามกันมาเช่น ข่าวลือ ข่าวโคมลอย 
2) ห้ามเชื่อเพราะเป็นศาสดา
3) ห้ามเชื่อเพราะฟังดูแล้วมีเหตุมีผล และ 
4) ห้ามเชื่อเพราะเหมือนที่เราคิดไว้เลยเพราะเราอาจจะคิดผิดก็ได้ 

ถ้ามีหัวหน้าประเภทนี้ก็ให้ยอมรับแต่ไม่ได้ให้เสแสร้งเป็นพวกเดียวกันแต่ให้พูดในแง่ที่ว่าเราเข้าใจและยอมรับได้ในสิ่งที่เขาเชื่อหรือในสิ่งที่เขาเป็น ถ้ามีลูกน้องศรัทธาจริตเราก็ควรพูดในสิ่งที่เขาศรัทธาเพื่อให้เขารู้สึกว่าเราเข้าใจและเป็นส่วนหนึ่งของเขาเพื่อที่ว่าเราจะได้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น 



6. พุทธิจริต
คนที่มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม มีความสามารถ มีสติสมาธิสูง มีความรับผิดชอบ มีคุณธรรมค่อนข้างสูง สั่งสอนได้ มีจิตใจเปิดกว้าง ชอบพัฒนาตนเอง แต่บางครั้งก็ไม่ค่อยได้นำสิ่งที่ตนเองศึกษามาปฏิบัติตามเท่าใดนัก จึงทำให้เอาตัวเองไม่รอดในบางครั้งหรือไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากเท่าที่ควร 

หากมีลูกน้องเป็นพุทธิจริตเราต้องใช้เหตุผลในการอธิบาย มีความตรงไปตรงมา และหัวหน้าจะต้องเปิดกว้างยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ใช้อำนาจเข้าบังคับเพื่อให้เขายอมรับเพราะเขาจะรับไม่ได้และลาออกไปในที่สุด หากได้ทำงานกับหัวหน้าพุทธิจริตจะโชคดีมากเพราะท่านจะชอบที่จะสอนงานและมีความสามารถสูง 



7. วิธีการสั่งสอนลูกตามจริตต่างๆ
หลักการสอนที่พ่อแม่ควรจะมีเพื่อใช้ในการสั่งสอนบุตรธิดาคือ 

1) ชี้โทษคือการชี้ให้เห็นโทษของนิสัยที่ไม่ดีของจริตที่ลูกเป็น 
2) ชี้แนะคือการแนะนำวิธีการออกมาจากวังวนของนิสัยไม่ดีนั้นๆ และ
3) ชี้ให้เห็นคือการพูดจาโน้มน้าวให้ลูกเห็นความสำคัญ และอยากจะปฏิบัติตาม วิธีการดังกล่าว มีดังนี้ 

กรณีที่ลูกเป็นราคะจริต- พยายามสอนให้มองตามความเป็นจริงมากกว่าทำตามความอยากมีอยากเป็นอยากได้หรือทำตามกระแสสังคมไปวันหนึ่งๆ สอนให้ลูกรู้จักคิด และสอนให้ลูกสวดมนต์ทำสมาธิ เวลาพูดจากับลูกราคะจริตต้องพูดดีๆ ใจเย็นๆ อย่าตวาด อย่ารำคาญ หรือพูดเสียงดัง สอนให้มีจุดยืนและคุณธรรม อย่าเจ้าชู้หลอกลวงคน 

กรณีที่ลูกเป็นโทสะจริต- พูดจาใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด ห้ามอารมณ์เสีย ใช้ความคิดที่ถูกต้องและชัดเจนเข้าสั่งสอน ในขณะที่สอนให้คิดว่าลูกเป็นเพื่อนจะได้ไม่กดข่มลูกซึ่งเขาจะไม่ยอมรับฟัง สอนให้ลูกพูดจาสุภาพเรียบร้อย มีความเมตตา และสอนให้รู้จักการให้ สอนให้ลูกเห็นถึงโทษของการถูกคนรุมเกลียด สอนให้ลูกเลิกบังคับโลก และหมั่นพูดดีทำดีคิดดี

กรณีที่ลูกเป็นโมหะจริต- ให้ลูกไปเล่นกีฬา ออกกำลังกาย สอนให้มีเป้าหมายในชีวิต พาไปเปิดหูเปิดตา ให้สวดมนต์เพื่อเพิ่มพลังสมาธิ อย่าให้กินแป้งมากนัก ให้อยู่ในที่สว่างๆ ให้ความรักและกำลังใจเพราะเขาไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง

กรณีที่ลูกเป็นวิตกจริต- ให้ลูกฝึกสมาธิด้วยวิธีจับลมหายใจ สอนให้ลูกมีสติ รู้ว่าทำอะไร กำลังพูดอะไร พูดไปทำไม จะเกิดผลอะไร อย่าโกหก อย่าพูดมาก สอนให้ลูกมีความสุภาพเรียบร้อย ให้ลูกอ่านหนังสือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องคุณธรรมความดี หรืออาจจะให้ไปเรียนดนตรีหรือศิลปะเพื่อพัฒนาสมองด้านขวา 

กรณีที่ลูกเป็นศรัทธาจริต- ต้องสอนว่าอย่าเชื่อใคร มิฉะนั้น จะเสียใจในภายหลัง ให้หัดมองโลกหลายๆ ด้าน เปิดใจรับฟังแต่อย่าเพิ่งเชื่อ หรืออาจจะให้ลูกศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปเลยก็ได้เพราะถ้าห้ามให้เชื่อไม่ได้ก็ต้องใส่ความเชื่อที่ถูกต้องเข้าไปแทน 

กรณีที่ลูกเป็นพุทธิจริต- มักเป็นเด็กดีแต่รับการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ค่อยได้ ก็ต้องสอนลูกให้รับได้กับความสมหวังผิดหวัง มีได้มีเสีย มีสุขมีทุกข์ และมีสรรเสริญก็มีนินทา



วิธีการอ่านและวิเคราะห์จิตใจคน

ในสังคมปัจจุบันไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะภาพใดหรือประกอบอาชีพใด ต่างต้องมีการติดต่อสื่อสารพบปะพูดคุย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือเพิ่มความสัมพันธ์กับผู้อื่นให้ดียิ่งขึ้น และหัวใจที่ทำให้เราประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงาน ,ในด้านครอบครัว เพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ก็คือ " การรู้เท่าทันความคิดของผู้อื่น "

การรู้เท่าทันผู้อื่น เพื่อเราจะได้ปรับพฤติกรรมของเราให้เข้ากับ พ่อ แม่ หรือสมาชิกในครอบครัว, เพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้างานได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้ง

ตามที่เคยนำเสนอ ศาสตร์ในการอ่านใจคน ด้วยหลักจริต 6 ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เรารู้แนวโน้มพฤติกรรมของผู้อื่นอย่างกว้าง ๆ และเพื่อให้เราเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น Dr.Dimitrius ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทในการคัดเลือกคณะลูกขุนเข้าร่วมพิจารณาคดีดัง ๆ มากมาย ในสหรัฐอเมริกา ได้เสนอหลักในการอ่านความคิด,แรงจูงใจและพฤติกรรมของผู้อื่น ณ จุดเวลานั้น เช่น อ่านคนจากน้ำเสียง, จากวิธีการพูดจา เป็นต้น

แต่การอ่านความคิดมนุษย์เป็นเรื่องที่ละเอียดสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นต้องมีกรอบความคิดที่ชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสน เพราะเบื้องหลังพฤติกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์แสดงออกมาย่อมเกิดจาก แรงกระตุ้น ที่ต่างกันไป 

ดังนั้น เพื่อง่ายต่อการปรับประยุกต์ใช้ Dr. Dimitrius จึงให้หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ ดังต่อไปนี้



1. มองหารูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
พฤติกรรมซ้ำ ๆ หมายถึง รูปแบบการกระทำที่ใช้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกหรือสถานการณ์เกิดขึ้นเป็นประจำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิสัย เช่น เป็นคนกระตือรือร้น หรือเฉื่อยชา, เป็นคนชอบท่องเที่ยวหรือชอบอยู่เฉย ๆ เป็นต้น 

ดังนั้น เราไม่ควรสรุปผู้อื่นจาก 
- พฤติกรรมในครั้งแรกที่รู้จักกัน ( First Impression )
- พฤติกรรมในทาง Negative ที่นาน ๆ เกิดครั้งหนึ่ง

2. หาพฤติกรรมที่เป็นนิสัยของเขาจริง ๆ ( เกิดขึ้นตามธรรมชาติ )
ตามหลักพื้นฐาน พฤติกรรมของมนุษย์สามารถ แยกได้ 2 ประเภท คือ

1. พฤติกรรมที่สร้างขึ้น อาจจะเพื่อบทบาทหน้าที่การงานในสังคม หรือ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง เป็นต้น
2. พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือ พฤติกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็น " นิสัย " อาจมีสาเหตุจากการเลี้ยงดู หรือถูกหล่อหลอมจากสภาพสังคม เป็นต้น

คำถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพฤติกรรมที่คน ๆ นั้นแสดงเป็นของจริงหรือสร้างขึ้น ? 
สังเกตจาก " ระดับความเข้มข้นของพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน " ปกติคนเราอาจมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปบ้าง แต่จะไม่ต่างจากลักษณะนิสัยเดิม ๆ มากนัก 

แต่ถ้าเบี่ยงเบนแบบสุดกู่ แสดงว่าเป็นพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อแยกได้แล้ว ไม่ต้องสนใจพฤติกรรมที่สร้างขึ้น ให้คอยสังเกต " จุดเปลี่ยน " เพื่อที่เราจะได้เลือกพฤติกรรมที่จะแสดงออกได้อย่างเหมาะสม

3. ต้องสรุปให้ได้ว่าบุคคลผู้นั้น " คบได้ " หรือ " ไม่น่าคบ "
- ลักษณะของคนที่น่าคบ มีนิสัยที่จัดอยู่ในประเภท " คนเมตตาผู้อื่น " คือ ใจกว้าง, ยุติธรรม, ดูจริงใจ, พร้อมที่จะให้อภัยผู้อื่น เป็นต้น
- ลักษณะของคนที่ไม่น่าคบ หรือคบได้แต่ต้องระวัง คือ พวกที่ทำอะไรหวังผลประโยชน์เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว, มีความอาฆาตต้องการลงโทษผู้อื่น เป็นต้น
ข้อสังเกต : คน ๆ หนึ่งจะเป็นได้เพียงหนึ่งลักษณะเท่านั้น คือ เมตตา หรือ ไม่เมตตา

4. มองหาจุดแตกต่าง
ต้องแยกให้ออกว่า การกระทำหรือบุคลิกลักษณะภายนอกอะไรบ้างที่ขัดแย้งกับภาพรวมทั้งหมดของคน ๆ นั้น เพราะภายใต้ความแตกต่างนั้น ย่อมมีเหตุสำคัญบางประการ และถ้าเราค้นพบที่มาของความแตกต่างนั้นได้ จะทำให้เรารู้จักคน ๆ นั้นได้อย่างลึกซึ้งและถูกต้องตามความจริง 

สรุป : การที่เราจะอ่านความคิดผู้อื่นได้ถูกต้องตามสถานการณ์ หรือ ณ เวลานั้น ๆ 
เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า อะไรคือพฤติกรรมซ้ำซากแท้จริงที่ถูกหล่อหลอมจน กลายเป็น " นิสัย " ของเขา
เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้จากรายละเอียดดังต่อไปนี้ 




การอ่านคนจากน้ำเสียง และการพูดจา

1. ระดับความดังของเสียง
1.1 คนเสียงดังผิดปกติ แต่มีรูปร่างเล็ก 
- ชอบใช้อิทธิพล หรืออำนาจไปควบคุมผู้อื่น
- ขาดความอดทน หรือ 
- เป็นผู้ที่มีความมั่นใจสูง

1.2 เสียงเบา และมีโทนเสียงต่ำ 

- เป็นผู้ที่มีความสงบภายใน
- มั่นใจในตัวเอง

ข้อสังเกต : จุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
1. จากปกติพูดเสียงเบา >>> พูดเสียงดังผิดปกติ
- มีแนวโน้มว่าช่วงนั้นอาจตื่นเต้น

2. จากปกติพูดเสียงดัง >>> พูดเสียงเบาผิดปกติ
- มีแนวโน้มว่าอาจมีปัญหาในชีวิต มีความทุกข์ทางกายหรือทางใจ

2. จังหวะของเสียง
1.1 พูดเร็วมาก ๆ แบ่งได้ 2 ขั้ว
- เป็นคนใจร้อน, มุ่งมั่น หรือ
- Self-esteem ต่ำ จะพูดเร็วแต่ไม่ชัดถ้อยชัดคำ หรือพูดติดอ่างเพราะตั้งใจให้คนฟังไม่ทัน

1.2 พูดช้ามาก ๆ แบ่งตามรูปร่าง
- ถ้าเป็นผู้ที่มีรูปร่างไม่เล็ก : อาจป่วย หรือ เป็นคนที่ Negative มากจนเกิดอาการอ่อนเพลีย
- ถ้าเป็นผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ : ชอบดูถูกผู้อื่น คิดว่าตัวเองเก่งกว่า และมักมีสายตาเหยียดผู้ฟัง

ข้อสังเกต : จุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
- จากปกติพูดช้า >>> พูดเร็ว : กำลังโกรธ หรือกำลังโกหก
- จากปกติพูดเร็ว >>> พูดช้า : กำลังคิดหาคำพูดที่จะสื่อความให้เราเข้าใจเร็วขึ้น

3. พูดจาติด ๆ ขัด ๆ 
แนวโน้มลักษณะนิสัย แบ่งได้ 2 ขั้ว
- ไม่จริงใจ พยายามหาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อพูดเข้าข้างตัวเอง 
- จริงใจ สรรหาคำพูดเพื่อให้คนฟังเข้าใจ

ข้อสังเกต : ให้สังเกตจากร่างกาย 
- ท่าทาง ไม่นิ่ง ขาแกว่งไปมา ไม่สงบ ตัวสั่น >>> ไม่จริงใจ 
- ท่าทางสงบ สายตานิ่งสงบ >>> จริงใจ 

4. น้ำเสียงที่มีการดัด หรือไม่เป็นธรรมชาติ
แนวโน้มลักษณะนิสัย ต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ 
มีปัญญา ความสามารถสูงกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งความจริงไม่ใช่

5. น้ำเสียงออดอ้อน แนวโน้มลักษณะนิสัย มี 2 ขั้ว 
- เป็นผู้ที่น่าคบ ชอบเป็นผู้ตาม
- คนที่ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ผู้อื่นทำตาม แต่ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าถูกหลอกใช้ 


อ่านคนจากลักษณะการพูดจา

1. วิธีการตอบคำถาม
- นิ่ง : ผู้ที่ถูกกล่าวหาแล้วนิ่งให้สงสัยไว้ก่อนว่า มีส่วนในความผิดนั้นจริง
- พูดยืดยาว : แสดงว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่รู้เรื่องนั้น

2. พูดจาหยาบคาย หรือชอบสาบานตลอดเวลา
- เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หรือตื่นเต้นตกใจง่าย
- จิตใจโหดร้าย, ชอบข่มขู่ผู้อื่น

3. เปลี่ยนเรื่องพูด อาจมาจากสาเหตุ ดังนี้
- เบื่อเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่
- ปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นจึงไม่อยากพูด
ข้อสังเกต : ความเกี่ยวโยงของเรื่องที่เปลี่ยน ถ้าไม่มีความเชื่อมโยงของเรื่องที่เปลี่ยนแสดงว่ากำลังปกปิดความจริง 

4. คนที่เปิดเผยตัวมาก
- เขาสนใจเราจึงยอมเปิดข้อมูลเยอะ หรือ
- อาจต้องการสร้างภาพ

5. คนที่ชอบพูดคำว่า " ลุย
- เป็นคนค่อนข้างก้าวร้าว 



ภูเขาสามารถถล่มมาเป็นถนน 
แม่น้ำสามารถเปลี่ยนทางเดิน
แต่นิสัยใจคอคน ยากแท้ที่จะเปลี่ยน!



ที่มาจากหนังสือ.......จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน
โดย ดร. อนุสร จันทพันธ์
ดร. บุญชัย โกศลธนากุล

:: khonmuang.com ::


อ่านหนังสือออก................ สำคัญ
อ่านเหตุการณ์ออก...... สำคัญกว่า
อ่านคนอื่นออก.............. สำคัญยิ่ง
อ่านตนเองออก......... สำคัญที่สุด

 


การทดลองทางพฤติกรรมศาสตร์เรื่องลิง 5 ตัว


เรื่อง ลิงห้าตัว


การทดลองทางพฤติกรรมศาสตร์เรื่องลิง 5 ตัว

กล่าวคือฝรั่งเขาทดลองเอาลิง 5 ตัวมาขังไว้ในห้องหนึ่งตรงกลางห้องมีบันไดตั้งอยู่สูงถึงเพดาน ที่สุดปลายบันไดนั้นมีกล้วยสุก 1 หวีแขวนอยู่ แต่ถ้าใครไปปีนบันไดเข้าก็จะมีน้ำเย็นเฉียบฉีดกระจายไปเต็มห้องไม่หยุดจนกว่าจะไม่มีใครอยู่บนบันไดนั้น

บรรดาลิง 5 ตัวนั้นได้เรียนรู้เรื่องนี้แบบ "Learning by doing" คือปีนขึ้นไปแล้วก็โดนน้ำเย็นด้วยกันทั้งหมด จนกระทั่งหากเกิดมีลิงตัวไหนหน้ามืดอยากกินกล้วยจะเสี่ยงปีนบันไดขึ้นไปอีก ลิงอีก 4 ตัวก็ต้องกรูกันเข้าไปขัดขวางและซ้อมลิงตัวที่หน้ามืดเป็นยกใหญ่ เนื่องจากไม่อยากโดนน้ำเย็นให้หนาวสั่นโดยใช่เหตุ

ในที่สุดลิงทั้ง 5 ตัวก็ไม่สนใจที่จะปีนบันไดอีกเลย เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วฝรั่งก็เอาลิงออกไปตัวหนึ่งแล้วเอาลิงตัวใหม่เข้ามา

เจ้าลิงตัวใหม่นี้เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องแล้วเห็นกล้วยอยู่บนปลายสุดของบันได ก็จัดแจงจะปีนบันได แต่ก็ถูกลิงรุ่นพี่อีก 4 ตัวรุมลากตัวมา พร้อมกับซ้อมเสียจนเข็ดหลาบไม่กล้าเข้าไปใกล้บันไดอีกต่อไป

คราวนี้ถึงช่วงเวลาที่น่าสนใจมากคือการเอาลิงดั้งเดิมออกจากห้องอีก 1 ตัว แล้วเอาลิงตัวใหม่เข้ามาไว้แทน ที่น่าสนใจก็คือเจ้าลิงตัวใหม่ก่อนหน้าลิงตัวใหม่เอี่ยมนี้จะรวมหัวกับเจ้าลิงตัวใหม่เอี่ยมนี้ปีนบันไดขึ้นไปเอากล้วย หรือว่าจะร่วมมือกับลิงดั้งเดิม 3 ตัวซ้อมเจ้าลิงตัวใหม่เอี่ยม

ผลก็คือ 4 รุม 1

เจ้าลิงตัวใหม่ก่อนหน้านี้โดนแรงกดดันของกลุ่มใหญ่เดิมเข้าร่วมบาทาสามัคคีด้วย ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงต้องรุมซ้อมลิงตัวใหม่เอี่ยมด้วย

หลังจากนั้นก็เอาลิงมาเปลี่ยนทีละตัว จนในที่สุดมีลิง 5 ตัวที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการปีนบันไดเลยอยู่ในห้องทดลองเดียวกันนี้ แต่ไม่มีลิงตัวใดสนใจที่จะปีนบันไดอีกต่อไปโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงเลยว่าทำไมจึงทิ้งกล้วย 1 หวีให้เน่าเสียไปเปล่าๆ

ผลการทดลองเรื่องลิง 5 ตัวนี้เอาไปใช้อธิบายพฤติกรรมได้ดีพอสมควรไม่เฉพาะแต่เรื่องของลิงเท่านั้น บางทีก็เอามาประยุกต์กับพฤติกรรมกลุ่มของมนุษย์ได้หลายกรณีเหมือนกัน นักวิชาการบางคนเอามาประยุกต์กับสถานการณ์ในคุก ในค่ายกักกัน ในการรับน้องใหม่ ฯลฯ





:: slideshare.net ::
:: nidambe11.net ::
:: setthasat.com ::


ข้อควรพิจารณาในการเลือกถือบัตรเครดิต


ใช้บัตรเครดิต...ไม่ให้ติดกับดัก



ข้อควรพิจารณาในการเลือกถือบัตรเครดิต

1.  ทางเลือกในการใช้จ่ายแทนเงินสด
      -  สะดวกและปลอดภัยกว่าการถือเงินสด
      -  ไม่ต้องชำระเงินหลังการซื้อสินค้าหรือบริการทันที  
      -  ได้รับส่วนลดและสิทธิประโยชน์จากการใช้บัตรเครดิต

2. ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต
บัตรเครดิตมีหลายชนิด เช่น บัตรองค์กร (Corporate Card) บัตรเงิน บัตรทอง บัตรเครดิตที่ออกโดยห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า และคุณสมบัติของผู้สมัครตามที่ผู้ออกบัตรกำหนดไว้  โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต มีรายการต่าง ๆ ดังนี้

     -  ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าบริการรายปี 
     -  ค่าธรรมเนียมในการชำระเงิน ณ จุดชำระเงินต่าง ๆ  เช่น เคาน์เตอร์ธนาคาร  ตัวแทนรับชำระเงิน หรือชำระผ่านตู้ ATM เป็นต้น
     -  อัตราดอกเบี้ยและค่าปรับจากการชำระล่าช้า   

      แม้ว่าบัตรเครดิตจะมีระยะเวลาชำระหนี้ปลอดดอกเบี้ย แต่ผู้ถือบัตรจะต้องเสียดอกเบี้ย หากไม่สามารถชำระหนี้เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระเงิน โดยผู้ออกบัตรไม่ได้คำนวณดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ผู้ถือบัตรผิดนัดชำระหนี้  แต่อาจคำนวณดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ผู้ถือบัตรใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าหรือบริการ หรือตั้งแต่วันที่ผู้ออกบัตรจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการให้ร้านค้า ซึ่งเป็นเวลา 2-3 วันนับจากวันที่ผู้ถือบัตรใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าหรือบริการ 

        นอกจากนี้  พึงระวังโฆษณาที่ระบุว่า “ดอกเบี้ยต่อเดือนที่น้อยนิด” หรือ  “ดอกเบี้ย 0%”  โดยควรพิจารณาว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นอัตราต่อเดือนหรือไม่  ถ้าใช่  ลองคูณด้วย 12 ก่อน จึงจะเป็นอัตราดอกเบี้ยต่อปีที่ท่านต้องจ่ายจริง

     -  ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการชำระล่าช้าเช่น ค่าธรรมเนียมในการติดตามทวงถามหนี้
     -  ในกรณีใช้บัตรเครดิตเบิกเงินสด  นอกจากจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสดแล้ว  ยังต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ยืมโดยเริ่มคำนวณตั้งแต่กดเงินสดอีกด้วย

        ท่านควรเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายข้างต้น ควบคู่ไปกับนิสัยการใช้จ่ายและความสามารถในการชำระหนี้ด้วย  เช่น  หากท่านเลือกที่จะจ่ายชำระหนี้เต็มจำนวน ควรเลือกถือบัตรเครดิตที่เก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าบริการรายปีต่ำ หรือไม่เรียกเก็บ  แต่หากท่านต้องการจ่ายชำระหนี้เพียงบางส่วน ควรเลือกถือบัตรเครดิตที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ  นอกจากนี้ ควรเลือกบัตรเครดิตที่สะดวกในการชำระเงิน เช่น  สามารถหักบัญชีธนาคารได้  หรือ มีจุดรับชำระเงินใกล้บ้านหรือที่ทำงาน และมีค่าใช่จ่ายในการชำระเงินต่ำ  โดยท่านสามารถดูข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการใช้บัตรเครดิต ค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตแต่ละรายได้จากหน้าอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการใช้บัตรเครดิต

ผู้ออกบัตรเครดิตจะพิจารณาคุณสมบัติผู้สมัครอย่างไร

1. ข้อมูลส่วนตัว  ความน่าเชื่อถือของผู้สมัครบัตรเครดิต  ประวัติการใช้บริการสินเชื่อ  ประวัติการชำระเงินคืน  วินัยในการใช้สินเชื่อ  การมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง  ประวัติการทำงานปัจจุบัน และบุคคลอ้างอิง เป็นต้น

2. ความสามารถในการชำระหนี้  ผู้สมัครมีรายได้ตามเกณฑ์ที่ ธปท. กำหนด  และมีความสามารถในการชำระหนี้ โดยดูจากฐานะทางการเงิน( เช่น ทรัพย์สิน เงินออม หรือเงินลงทุนต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำมาใช้ชำระหนี้หากไม่มีรายได้ประจำ เป็นต้น)  เงินเดือนหรือรายได้ประจำ  และ ภาระหนี้ เป็นต้น

ข้อควรพิจารณาก่อนใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต

1. ควรเตรียมเงินส่วนที่จัดไว้สำหรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตให้เพียงพอเมื่อครบกำหนดชำระ

2. ควรพิจารณาว่าสินค้าหรือบริการที่จะซื้อนั้นมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด  เพื่อไม่ให้มีภาระต้องชำระหนี้มากเกินความสามารถ

3. ควรพิจารณาว่ากระแสเงินในอนาคตจะเป็นไปตามที่คาดไว้หรือไม่  เพราะหากมีเงินชำระไม่เพียงพอ  ต้องใช้วิธีชำระเงินบางส่วน ทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ย  และหากชำระไม่ทันในเวลาที่กำหนด ต้องเสียค่าปรับในการชำระหนี้ล่าช้าด้วย

4. หากท่านมีบัตรเครดิตหลายใบ  ควรจดบันทึกหมายเลขบัตรเครดิต วงเงินสินเชื่อ ภาระหนี้ที่มีอยู่ และวันครบกำหนดชำระเงิน ฯลฯ ให้ครบถ้วน เพื่อวางแผนการใช้บัตรเครดิตและการชำระหนี้ให้ตรงเวลา



ควรทำอย่างไรเมื่อไม่สามารถชำระหนี้บัตรเครดิต

หากเริ่มจะมีปัญหาหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการหนี้ ควรเริ่มแก้ปัญหาดังนี้

1.  เมื่อพบว่ามีแนวโน้มไม่สามารถชำระหนี้ได้ ควรทบทวนค่าใช้จ่ายที่ผ่านมาว่ามีค่าสินค้าหรือบริการใดมากเกินความจำเป็นหรือไม่ หากพบค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  ก็ควรทบทวนและพิจารณาลดการใช้จ่ายดังกล่าวลง โดยใช้จ่ายอย่างมีสติ ต้องเตือนตนเองเสมอ ๆ ว่ากำลังนำรายได้ในอนาคตมาใช้  และเพื่อความไม่ประมาท ก็ควรพิจารณาสำรองเงินไว้ส่วนหนึ่งไว้ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดไว้อีกทางหนึ่งด้วย

2.  หากต้องการโอนหนี้บัตรเครดิตเพื่อลดภาระการจ่ายดอกเบี้ย  สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องพิจารณา คือ โอนหนี้ไปที่ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดและมีข้อเสนอที่ดีกว่า เช่น ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการโอน มีระยะเวลาปลอดหนี้ และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ และเมื่อโอนหนี้บัตรเครดิตและมีภาระดอกเบี้ยลดลงแล้ว ก็ควรมุ่งมั่นชำระหนี้ให้ได้มากที่สุด

3.  ไม่ควรใช้บัตรเครดิตเบิกเงินสดเพื่อนำไปชำระหนี้ เพราะนอกจากต้องเสียค่าธรรมเนียมการเบิกใช้เงินสดแล้ว ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะสูงกว่าดอกเบี้ยที่จ่ายอยู่เดิมด้วย

4.  เมื่อลูกหนี้บัตรเครดิตไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือมีความสามารถในการชำระหนี้ไม่เพียงพอ  ไม่ควรหนีปัญหา ควรติดต่อผู้ให้บริการบัตรเครดิตนั้น เพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือในการจัดการหนี้ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้

การร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต

ธปท. กำหนดเรื่องการปฏิบัติเมื่อมีข้อร้องเรียนว่า ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะต้องตรวจสอบเมื่อผู้ถือบัตรร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต และแจ้งความคืบหน้ารวมทั้งชี้แจงขั้นตอนต่อไปให้ผู้ถือบัตรทราบภายใน 7 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งการร้องเรียน และให้ดำเนินการแก้ไขข้อร้องเรียนนั้นให้แล้วเสร็จและแจ้งให้ผู้ถือบัตรนั้นทราบโดยเร็ว


ขอบคุณข้อมูล : ธนาคารแห่งประเทศไทย

เทคนิคดีๆ ลดหนี้บัตรเครดิต






เครื่องกล


Simple Machines Video , Project for Kids-makemegenius.com series of Educ


เครื่องกล

เครื่องกล (machines) หมายถึง อุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรงหรืออำนวยความสะดวก หรือทั้งช่วยผ่อนแรงและอำนวยความสะดวก

ประเภทของเครื่องกล เครื่องกลแบ่งเป็นหลายประเภท เช่น รอก คาน พื้นเอียง ลิ่ม สกรู ล้อและเพลา

What is a pulley?
 



1. รอก (
pulley)


รอก เป็นเครื่องกลที่ใช้สำหรับยกของขึ้นที่สูงหรือหย่อนลงไปในที่ต่ำ รอกมีลักษณะเป็นล้อมหมุนได้คล่องรอบตัว และมีเชือกพาดล้อสำหรับยกตัวและดึงวัตถุ

รอก แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ รอกเดี่ยวและรอกพวง

รอกเดี่ยว แบ่งเป็น รอกเดี่ยวตายตัว และรอกเดี่ยวเคลื่อนที่



รอกเดี่ยวตายตัว เป็นรอกที่ตรึงติดอยู่กับที่ ใช้เชือกหนึ่งเส้นพาดรอบล้อโดยปลายข้างหนึ่งผูกติดกับวัตถุ ปลายอีกข้างหนึ่งใช้สำหรับดึง เมื่อดึงวัตถุขึ้นในแนวดิ่ง แรงที่ใช้ดึงจะมีค่าเท่ากับน้ำหนักของวัตถุ รอกเดี่ยวตายตัวไม่ช่วยผ่อนแรงแต่สามารถอำนวยความสะดวกในการทำงาน ตัวอย่างเช่น การชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา การลำเลียงวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างขึ้นที่สูง



สูตรที่ใช้ คำนวณ

E = W
E = แรงความพยายาม หรือแรงที่ใช้ดึงวัตถุ (นิวตัน)
W = แรงต้านทานหรือน้ำหนักของวัตถุ (นิวตัน)




รอกเดี่ยวเคลื่อนที่ เป็นรอกที่เคลื่อนที่ได้ขณะที่ใช้งาน วัตถุผูกติดกับตัวรอกใช้เชือกหนึ่งเส้นพาดรอบล้อโดยปลายข้างหนึ่งผูกติดกับเพดาน ปลายอีกข้างหนึ่งใช้สำหรับดึง เมื่อดึงวัตถุขึ้นในแนวดิ่งแรงที่ใช้ดึงมีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่งของน้ำหนักของวัตถุ รอกเดี่ยวเคลื่อนที่เป็นเครื่องกลที่ช่วยผ่อนแรง



สูตรที่ใช้ คำนวณ

E = W/2
E = แรงความพยายาม หรือแรงที่ใช้ดึงวัตถุ (นิวตัน)
W = แรงต้านทานหรือน้ำหนักของวัตถุ (นิวตัน)



รอกพวง รอกพวงแบ่งเป็น 3 ระบบ คือ รอกพวงระบบที่ 1 ระบบที่ 2 และระบบที่ 3

รอกพวงระบบที่ 1 ประกอบด้วยรอกเดี่ยวเคลื่อนที่หลายตัว รอกแต่ละตัวมีเชือกคล้องหนึ่งเส้น โดยปลายข้างหนึ่งผูกติดกับเพดาน ปลายอีกข้างหนึ่งผูกกับรอกตัวถัดไป วัตถุผูกติดกับรอกตัวล่างสุด เชือกที่คล้องรอบรอกตัวบนสุดใช้สำหรับดึง



สูตรที่ใช้ คำนวณ

E = W/2n
E = แรงความพยายาม หรือแรงที่ใช้ดึงวัตถุ (นิวตัน)
W = แรงต้านทานหรือน้ำหนักของวัตถุ (นิวตัน)
n = จำนวนรอกเดี่ยวเคลื่อนที่

รอกพวงระบบที่ 2 ประกอบด้วยรอก 2 ตับ ตับบนแขวนติดเพดาน วัตถุผูกติดกับรอกตัวล่างสุด ของตับล่าง ใช้เชือกเส้นเดียวคล้องรอบรอกทุกตัว โดยปลายข้างหนึ่งผูกติดกับรอกตัวล่างสุดของตัวบน หรือตัวบนสุดของตับล่างปลายอีกข้างหนึ่งใช้สำหรับดึง



สูตรที่ใช้ คำนวณ

ก. E = ข. E =
E = แรงความพยายาม หรือแรงที่ใช้ดึงวัตถุ (นิวตัน)
W = แรงต้านทานหรือน้ำหนักของวัตถุ (นิวตัน)
n = จำนวนรอก

รอกพวงระบบที่ 3 ประกอบด้วยรอกเดียวตายตัว 1 ตัว ที่เหลือเป็นรอกเดี่ยวเคลื่อนที่ ปลายข้างหนึ่งของเชือกที่คล้องรอบรอกทุกตัวผูกติดกับคานตรงอันหนึ่งวัตถุผูกติดกับคานนี้ ปลายอีกข้างหนึ่งของเชือกผูกกับรอกตัวถัดไป เหลือปลายสุดท้ายใช้สำหรับดึง



สูตรที่ใช้ คำนวณ

E =
E = แรงความพยายาม หรือแรงที่ใช้ดึงวัตถุ (นิวตัน)
W = แรงต้านทานหรือน้ำหนักของวัตถุ (นิวตัน)
n = จำนวนรอกเดี่ยวเคลื่อนที่





What is a lever?  

2. คาน (lever)

แรง (force) คือ อำนาจอย่างหนึ่งซึ่งสามารถทำให้หรือพยายามทำให้วัตถุเปลี่ยนภาวะจากการหยุดนิ่ง เป็นการเคลื่อนที่ หรือภาวะจากการเคลื่อนที่เป็นการหยุดนิ่ง หน่วยของแรง แรงมีหน่วยเป็นนิวตัน (N)

ผลของแรง

แรงทำให้วัตถุเคลื่อนที่ตามแนวแรง เกิดเป็น งาน
แรงทำให้วัตถุหมุนรอบจุดๆ หนึ่ง เกิดเป็น โมเมนต์

งาน (work) หมายถึง ผลคูณของแรงกับระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไปตามแนวแรง หรือ

งาน = แรง × ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ตามทิศทางของแนวแรง
หน่วยของงาน งานมีหน่วยเป็น นิวตันเมตร หรือจูล

ถ้าออกแรงกระทำต่อวัตถุแล้ววัตถุไม่เคลื่อนที่ หรือวัตถุเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ตั้งฉากกับแนวแรงที่กระทำกับวัตถุ จะไม่มีงานเกิดขึ้นจากแรงนั้น



โมเมนต์ (moment) หมายถึง ผลคูณของแรงกับระยะทางตั้งฉากจากจุดหมุนไปยังแนวแรง หรือ

โมเมนต์ = แรง × ระยะทางตั้งฉากจากจุดหมุนไปยังแนวแรง
หน่วยของโมเมนต์ โมเมนต์มีหน่วยเป็น นิวตันเมตร

โมเมนต์มี 2 ชนิด คือ

โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา



กฏของโมเมนต์

เมื่อวัตถุชิ้นหนึ่งถูกกระทำด้วยแรงหลายแรง แล้ววัตถุนั้นอยู่ในภาวะสมดุลจะได้ว่า

ผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา = ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา
W = แรงความต้านทานหรือน้ำหนักของวัตถุ
E = แรงความพยายาม
F = จุดหมุนหรือจุดฟัลครัม
a = ระยะทางตั้งฉากระหว่างจุดหมุนถึงแรงความต้านทาน
b = ระยะทางตั้งฉากระหว่างจุดหมุนถึงแรงความพยายาม
ถ้าคาน AB อยู่ในภาวะสมดุลจะได้

โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา = โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา

คาน คือ วัตถุที่ยาว แข็ง อาจตรงหรืองอก็ได้ และหมุนรอบจุดหมุนได้เมื่อมีแรงภายนอกมากระทำ คานแบ่งเป็น 3 อันดับ โดยถือว่าจุดหมุนและแรงความพยายามเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ดังนี้

คานอันดับที่ 1 คือ คานที่มีจุดหมุน (F) อยู่ระหว่างแรงความพยายาม (E) และแรงต้านทาน (W)



คานอันดับที่ 2 คือ คานที่มีแรงความต้านทาน (W) อยู่ระหว่างแรงความพยายาม (E) และจุดหมุน (F)



คานอันดับที่ 3 คือ คานที่มีแรงความพยายาม (E) อยู่ระหว่างความต้านทาน (W) และจุดหมุน (F)





ตัวอย่างการคำนวณ คานโตสม่ำเสมอยาว 1 เมตร ที่ปลายทั้งสองมีวัตถุหนัก 240 นิวตัน และ 160 นิวตัน แขวนไว้ตามลำดับ จงหาว่าจะต้องแขวนคานที่จุดใด คานจึงจะสมดุล

สมมติให้แขวนคานห่างน้ำหนัก 240 นิวตัน เป็นระยะทาง X เมตร

โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา = โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา
240 × X = 160 × (1-X)
240 X = 160 - 160X
240X + 160X = 160
400X = 160
X = 160 / 400
X = 0.4 เมตร
แขวนคานห่างน้ำหนัก 240 นิวตัน เท่ากับ 0.4 เมตร


What is an inclined plane?

3. พื้นเอียง (inclined plane)

พื้นเอียง คือ เครื่องกลที่ช่วยผ่อนแรง มีลักษณะเป็นไม้กระดานยาวเรียบ ใช้สำหรับพาดบนที่สูงเพื่อขนย้ายวัตถุขึ้นสู่ที่สูงโดยการลากหรือการผลัก

ประโยชน์ของพื้นเอียง คือ ช่วยอำนวยความสะดวก และช่วยผ่อนแรงในการขนย้ายสิ่งของขึ้นหรือลงจากยานพาหนะ



สูตรที่ใช้คำนวณเรื่องพื้นเอียง

งานที่ให้กับเครื่องกล = งานที่ได้จากเครื่องกล
E d1 = W d2
E = แรงความพยายามหรือแรงที่ใช้ลากวัตถุ (นิวตัน)
d1 = ความยาวของพื้นเอียง (เมตร)
W = แรงความต้านทานหรือน้ำหนักของวัตถุ (นิวตัน)
d2 = ความสูงของพื้นเอียง

ตัวอย่างการคำนวณ นาย ก. ใช้พื้นเอียงยาว 8 เมตร วางพาดกำแพงสูง 2 เมตร โดยให้ปลายของพื้นเอียงอยู่บนกำแพงพอดี แล้วลากวัตถุหนัก 500 นิวตัน ขึ้นไปไว้บนกำแพง จงหาว่านาย ก ออกแรงเท่าใด

ให้ออกแรงลาก = X นิวตัน

งานที่ให้ = งานที่ได้
แรงที่ใช้ลาก × ความยาวพื้นเอียง = น้ำหนักวัตถุ × ความสูงพื้นเอียง
X × 8 = 500 × 2
X = 500 × 2 / 8 = 125 นิวตัน
แรงที่ออกเท่ากับ 125 นิวตัน

ตัวอย่างการคำนวณ เด็กชายดำออกแรง 60 นิวตัน ก็สามารถลากวัตถุหนัก 300 นิวตัน ขึ้นไปตามพื้นเอียง ซึ่งวางพาดกำแพงสูง 1.5 เมตรได้ จงหาว่าพื้นเอียงยาวเท่าใด

งานที่ให้ = งานที่ได้
แรง × ความยาวพื้นเอียง = น้ำหนักวัตถุ × ความสูงพื้นเอียง
60 × ความยาวพื้นเอียง = 300 × 1.5
ความยาวพื้นเอียง = 300 × 1.5 / 60 = 7.5 เมตร


Simple Machines: Wheel and Axle

4. ล้อและเพลา (Wheel and Axle)

ล้อและเพลา เป็นเครื่องกลที่ช่วยผ่อนแรงประกอบด้วยวัตถุทรงกระบอก 2 อันติดกัน อันใหญ่เรียกว่าล้อ อันเล็กเรียกว่าเพลา ใช่เชือก 2 เส้น พันรอบล้อเส้นหนึ่ง อีกเส้นหนึ่งพันรอบเพลาโดยพันไปคนละทาง ปลายข้างหนึ่งของเชือกที่พันรอบเพลาผูกติดกับวัตถุ ปลายข้างหนึ่งของเชือกที่พันรอบล้อใช้สำหรับออกแรงดึง



สูตรที่ใช้คำนวณเรื่องล้อและเพลา

E R = W r (ไม่คิดแรงเสียดทาน)
E = แรงความพยายามหรือแรงที่ใช้ดึง (นิวตัน)
R = รัศมีของล้อ (เมตร)
W = แรงความต้านทานหรือน้ำหนักของวัตถุ (นิวตัน)
r = รัศมีของเพลา (เมตร)


Simple Machines: What is a wedge?  

5. ลิ่ม

ลิ่ม เป็นเครื่องกลที่ช่วยผ่อนแรงรูปร่างคล้ายขวาน ใช้สำหรับตอกลงในเนื้อวัตถุเพื่อให้เนื้อวัตถุแยกออกจากกัน



สูตรที่ใช้คำนวณเรื่องลิ่ม

E H = W L
E = แรงความพยายามหรือแรงที่ตอกลิ่ม (นิวตัน)
H = ระยะทางที่แรงความพยายามเคลื่อนที่ หรือระยะทางที่ลิ่มจมลงในเนื้อไม้ (เมตรหรือเซนติเมตร)
W = แรงความต้านทานหรือแรงอัดของเนื้อไม้ (นิวตัน)
L = ระยะทางที่แรงความต้านทานเคลื่อนที่ หรือระยะทางที่เนื้อไม้แยกออกจากกัน (เมตรหรือเซนติเมตร)

What is a screw?  

6. สกรู (screw)

สกรู เป็นเครื่องกลที่ช่วยผ่อนแรงมีรูปร่างคล้ายบันไดเวียนวนรอบแกนอันหนึ่ง สกรูใช้สำหรับยกวัตถุหนักๆ ขึ้นสูงๆ โดยแรงความพยายามเคลื่อนที่เป็นวงกลมขณะที่แรงความต้านทานเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิ่ง ดังรูป



สูตรที่ใช้คำนวณเรื่องสกรู

W × P = E × 2πR
W = แรงความต้านหรือน้ำหนักของวัตถุ (นิวตัน)
P = ระยะทาง 1 ช่วงเกลียว (เมตรหรือเซนติเมตร)
E = แรงความพยายามหรือแรงที่กระทำกับสกรู (นิวตัน)
R = รัศมีของการหมุนหรือความยาวของด้ามแม่แรง (เมตรหรือเซนติเมตร)

:: docs.google.com ::
:: tumblr.com ::





1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss