บทแห่งไฟ
ธรรมชาติของไฟ นั้นเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และเปี่ยมไปด้วยอันตราย
บทนี้จึงว่าด้วยการต่อสู้ทั้งแบบหนึ่งต่อหนึ่ง หรือการโรมรันทั้งกองทัพ ดังนั้นยุทธวิธีต่างๆ ที่จะนำมาชิงชัยจะถูกนำมาอธิบายไว้ในบทนี้
โดยทั่วไปมีความเชื่อว่าเคล็ดลับของชัยชนะคือความรวดเร็ว หลายสำนักเน้นฝึกฝนความรวดเร็วของร่างกายเพราะเชื่อว่าความเร็วกว่าเพียงเล็กน้อยจะนำมาซึ่งชัยชนะ แต่วิถีของ “มุซาชิ” มุ่งเน้นว่าการเล็งเห็นถึงยุทธวิธีของฝ่ายตรงข้ามจึงเป็นหนทางที่แท้จริงสู่ชัยชนะ
Episode 45: The final showdown between Musashi and Sasaki Kojiro.
Musashi tells Kojiro, "You just threw your life away",
referring to Kojiro's scabbard. From the 1984 NHK TV
series starring Koji Yakusho and based on the book by Eiji Yoshikawa.
ปัจจัยสำคัญ อย่างหนึ่งของการพิชิตชัย คือการเลือกทำเลสถานที่ จะต้องเลือกตำแหน่งที่สูงกว่าของฝ่ายตรงข้ามเป็นการข่มขวัญ ให้แสงสว่างอยู่ด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนสายตา และเป็นทิศทางที่แสงจะรบกวนคู่ต่อสู้ ในขณะจู่โจมจะต้องไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูเห็นตำแหน่งทิศทางตลอดจนสภาพแวดล้อมที่ก้าวผ่าน และบีบคั้นฝ่ายตรงข้ามเข้าสู่จุดอับ แม้แต่การต่อสู้ในห้องหับก็ต้องคำนึงถึงข้าวของเครื่องใช้ในห้องเพื่อใช้ประโยชน์ในการกีดขวางคู่ต่อสู้
การเคลื่อนไหวแรก
“มุซาชิ” กล่าวถึงการเคลื่อนไหวแรกว่ามีเพียง 3 กรณีท่านั้นคือ
1.จู่โจมเพื่อมุ่งเป็นฝ่ายรุก
2.ตั้งรับการจู่โจมจากฝ่ายตรงข้าม
3.การจู่โจมพร้อมฝ่ายตรงข้ามในรูปแบบแรก
ต้องพิจารณาถึงตำแหน่งแง่มุมที่จะลงมือแล้วลงมือทันทีโดยปราศจากความลังเลด้วยพลัง และความเร็วที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม หากแต่ต้องออมรั้งพลังสำรองไว้อีกส่วนหนึ่ง ไม่ควรทุ่มเทพลังทั้งหมดลงไปกับการโจมตีครั้งแรกเพียงครั้งเดียว
ในรูปแบบที่สอง เมื่อตั้งรับให้อยู่ในสภาวะว่างเปล่าผ่อนคลายเหมือนไร้กำลัง แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามโถมเข้าใส่ ให้ถอยหลังเพิ่มระยะห่างอย่างรวดเร็ว และเมื่อสภาวะจู่โจมของคู่ต่อสู้ถึงที่สุดก็จะเป็นจังหวะรุกไล่กลับเพื่อเอาชัย และในรูปแบบสุดท้าย จะต้องอาศัยการตอบโต้ที่สงบเยือกเย็น ประกอบกับการเคลื่อนไหวหลอกล่อ และเมื่อคู่ต่อสู้อยู่ในระยะหวังผลจึงฉกฉวยโอกาสจู่โจมพิชิตศึกอย่างรวดเร็ว
การจะบรรลุถึงผลของการเคลื่อนไหวแรก จะต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจกับฝ่ายตรงข้ามทั้งในแง่ของบุคลิกและการเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ ที่จะสะท้อนถึงจุดแข็งและจุดอ่อนออกมา
ในแง่ของการศึกสงครามก็คือศึกษาถึงรูปแบบการเดินทัพ ขวัญ และกำลังใจของไพร่พล ตลอดจนหลักจิตวิทยาของฝ่ายตรงข้าม และพื้นที่ในการทำสงครามเพื่อสืบค้นถึงจังหวะและช่องว่างในการจู่โจม เมื่อเรียนรู้ถึงฝ่ายตรงข้ามก็จะสามารถหยุดยั้งความคิดที่จะจู่โจมจนอยู่ในสถานะที่จะชักนำคู่ต่อสู้แทนที่จะถูกชักนำ ต้องล่วงหน้าก่อนการกระทำของฝ่ายตรงข้ามเสมอเพื่อก่อกวนสิ่งที่คู่ต่อสู้จะดำเนินการให้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์
เช่นในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามโถมเข้าประชิดให้หยุดยั้งการจู่โจมด้วยการฉากหนี กล่าวคือไม่ยอมให้คู่ต่อสู้อยู่ในสภาวะที่ได้เปรียบแม้แต่น้อย ในกรณีของการศึกสงคราม หากฝ่ายตรงข้ามจู่โจมจากระยะใกล้ด้วยธนูหรือปืนไฟเราก็จะต้องบุกจู่โจมจากระยะไกลด้วยธนูหรือปืนไฟ เราก็จะต้องบุกจู่โจมเข้าใกล้เพื่อทำลายระยะที่มีเปรียบของฝ่ายตรงข้าม และใช้ดาบด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง ในการเข้าต่อสู้โรมรันแน่นอนว่าการฝ่าข้ามไปในลักษณะนี้จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก หากแต่เมื่อฝ่าข้ามไปได้ก็จะล่วงรู้ถึงจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ จึงต้องอาศัยความบากบั่นอดทนเช่นเดียวกับการล่องเรือข้ามมหาสมุทรจนถึงฝั่ง ต้องเข้าใจความรู้สึกนึกคิดจนเหมือนกับจะกลายเป็นฝ่ายตรงข้าม
เมื่อบรรลุถึงขอบเขตนี้ก็จะสามารถคาดการณ์ถึงดาบต่อไปของฝ่ายตรงข้ามได้ อันนำมาซึ่งความมีเปรียบอย่างต่อเนื่อง แม้เมื่อคู่ต่อสู้เข้าสู่ภาวะพังพินาศ เราก็สามารถที่จะรับรู้และฉกฉวยจังหวะเข้าพิชิตชัยได้ในที่สุด หากเมื่อเข้าสู่ภาวะของการค้ำยัน เราจะต้องเปลี่ยนแผนที่วางไว้ทันที เพราะเป็นสัญญาณว่าฝ่ายตรงข้ามอาจล่วงรู้ถึงสภาวะของเรา หากยังดื้อดึงยืนกรานก็รังแต่จะสูญเสียกำลัง
การสร้างสภาวะผ่อนคลายก็สามารถแพร่ระบาดสู่ฝ่ายตรงข้าม หากเราสามารถสร้างสภาวะผ่อนคลายขึ้นจนมอมเมาให้ฝ่ายตรงข้ามย่อหย่อนเราก็จะโจมตีเข้าไปได้ เหมาะสำหรับใช้ออกในยามที่เผชิญศึกที่ยืดเยื้อ จึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงวิธีการแทรกซึมเข้าไปยังฝั่งตรงข้าม ในกรณีที่ไม่สามารถคาดการณ์ถึงแผนการของฝ่ายตรงข้ามได้ กลยุทธ์ที่ควรใช้ออกเรียกว่า "การเคลื่อนเงา" อันเป็นรูปแบบการแสร้งโจมตีแบบดุเดือดรุนแรง เพื่อบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามเผยแผนการที่แท้จริงออกมา
เมื่อสามารถล่วงรู้ถึงแผนการของฝ่ายตรงข้าม หากฝ่ายตรงข้ามเริ่มดำเนินกลยุทธ์ เราก็จะต้องชักจูงเปลี่ยนแปลงทิศทางของฝ่ายตรงข้ามให้อยู่ในทิศทางและแง่มุมที่เราสามารถควบคุมไว้ได้โดยสิ้นเชิง
แนวทางหนึ่งในการมีชัยเหนือคู่ต่อสู้ คือการทำให้ฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสภาวะที่เสียสมดุล ปราศจากขวัญและกำลังใจ โดยมีแนวทางหลักๆ 3 ประการ คือ
1.สร้างความวิตกหวาดกลัวให้เกิดกับฝ่ายตรงข้าม
2.ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าเราสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
3.ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจคาดเดาสถานการณ์แท้จริงได้
กลยุทธ์การขู่ขวัญมักถูกใช้ออกเพื่อทำลายความคิดต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม สามารถทำได้ทั้งจากรูปแบบของการจัดทัพให้ดูยิ่งใหญ่ทั้งๆที่ความจริงมีไพร่พลอยู่ไม่มากนัก การจัดแบ่งกองทัพออกจู่โจมกระหนาบข้างเพื่อตัดกำลังและสร้างความหวาดกลัวตลอดจนการใช้ฝุ่นควันในการพรางตาฝ่ายตรงข้าม หรือการใช้เสียงทำลายขวัญ
ในกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามมีความแข็งแกร่งไม่สามารถเอาชัยได้ในการโจมตีทั้งหมด เราก็จะต้องศึกษาถึงแง่มุมสำคัญของคู่ต่อสู้อันเป็นจุดยุทธศาสตร์หลักเพื่อโถมกำลังเข้าจู่โจมทำลาย เพราะหากสามารถควบคุมจุดยุทธศาสตร์ได้ ก็จะมีชัยในขั้นสุดท้าย
ในขณะเดียวกันเราจะต้องสร้างความสับสนให้กับฝ่ายตรงข้าม เพื่อไม่ให้ล่วงรู้ถึงเส้นทางการเดินทัพและแง่มุมในการโจมตีที่แท้จริง ซึ่งสามารถทำได้จากการล่อหลอกด้วยเส้นทางการสลับเปลี่ยนตำแหน่งที่ไม่แน่นอน ตลอดจนการเปลี่ยนระดับความเร็ว
ในกรณีพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งหรือมีกำลังพลมากกว่า จะต้องทำให้ทัพของฝ่ายตรงข้ามตกอยู่ในสภาวะยุ่งเหยิง โดยการโจมตีเข้าไปยังจุดต่างๆของฝ่ายตรงข้าม เมื่อฝ่ายตรงข้ามทุ่มเทเข้ามารับมือ เราก็จะถอนกำลังไปโจมตีจุดอื่นแทน
รูปแบบเช่นนี้จะสร้างความปั่นป่วนรวนเรให้กับฝ่ายตรงข้าม เมื่อเราพบว่าคู่ต่อสู้เพลี่ยงพล้ำแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีไพร่พลมากกว่า แต่ก็ขาดขวัญกำลังใจ ก็นับเป็นโอกาสอันดีในการเข้าบดขยี้ทำลายล้างให้ย่อยยับ ไม่เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ถอยหนีซึ่งอาจหวนกลับมาได้อีก การจะให้ฝ่ายตรงข้ามพ่ายแพ้นั้นไม่ใช่เป็นเพียงความพ่ายแพ้ภายนอก หากแต่จะต้องเป็นการยอมรับทั้งกายใจ เพราะจิตใจที่ไม่พ่ายแพ้ย่อมสามารถรวบรวมกำลังขึ้นต่อสู้ใหม่อยู่เสมอ
ในทางตรงข้าม หากเราต้องตกอยู่ในจุดอับมีสภาพเป็นเบี้ยล่างจนไม่สามารถแก้สถานการณ์ได้ ควรที่จะเลิกล้มแผนที่ได้วางไว้ทั้งหมดเสียแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เพราะการแก้ไขปัญหานั้นในบางสถานการณ์ยังยากยิ่งกว่าการสร้างใหม่เสียอีก
จะต้องดำเนินการในสิ่งตรงข้ามกับความคาดหวังของฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงไม่ควรที่จะใช้กลยุทธ์เดิมซ้ำสอง และควรที่จะมุ่งให้ความสนใจกับหลักใหญ่ใจความ เพราะการให้ความสำคัญกับรายละเอียดปลีกย่อยมากเกินไปอาจนำไปสู่ความเข้าใจถึงสถานการณ์ที่แท้จริงอย่างผิดเพี้ยน
แนวทางของมุซาชิ คือเน้นให้ความสำคัญกับการรุก ต้องสร้างโอกาสให้อยู่ในสภาวะรุกเสมอ ผู้ที่มีชัยได้จะต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักจนมีความแข็งแกร่งดุจหินผา สามารถรับมือกับการจู่โจมได้ในทุกรูปแบบ
แก่นแท้ของชัยชนะ คือการเรียนรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของฝ่ายตรงข้าม ในแง่ของการทำศึก ต้องเข้าใจไพร่พลของฝ่ายตรงข้ามประดุจว่าเป็นไพร่พลของตนเอง เมื่อบรรลุถึงขอบเขตนี้แล้ว “มีดาบ” กับ “ไร้ดาบ” ก็ไม่มีความแตกต่างกัน ผู้มีชัยไม่จำเป็นจะต้องมีดาบเสมอไป