Gold Investment : เริ่มต้นซื้อ-ขายทองคำ
การลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้นก่อนจะไปถึงขั้นตอนของการซื้อขาย ต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นกันก่อน
Q การซื้อขายทองคำมีการส่งมอบทองคำกันจริงๆ หรือเป็นแค่สัญญาซื้อขายกันลอยๆ
A
การตกลงซื้อขาย ส่งมอบทองคำและชำระราคากันจริงๆ
แต่ปัจจุบันมีผู้สนใจลงทุนซื้อเป็นทองคำแท่งมากขึ้น
แต่ติดปัญหาเรื่องการจัดเก็บ เพราะไม่สะดวก และไม่ปลอดภัยเพียงพอ
แหล่งรับซื้อ-ขายทองคำบางแห่งจึงใช้ “ใบรับฝากทอง”
แทนที่จะมารับทองคำจริงๆ และนำกลับไปเก็บ
โดยใบรับฝากทองที่ออกจะเป็นในนามบริษัท
ซึ่งเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกทองคำโดยตรง
Q การซื้อขายทองคำมีการกำหนดราคาจากที่ใด
A สมาคมค้าทองคำ
Q ในการลงทุนควรจะซื้อทองชนิดไหน
A
ทองคำในการลงทุนมี 2 ชนิด คือ 96.5% และ 99.99%
ซึ่งจะเลือกซื้อแบบใดขึ้นกับลักษณะความต้องการในการลงทุน
โดยปกติแนะนำให้ซื้อ 96.5% เนื่องจากเป็นทองคำมาตรฐานของไทย
แต่หากต้องการซื้อเพื่อการผลิตหรือขายไปต่างประเทศก็ควรเป็นทองคำ 99.99%
ส่วนผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อออมควรเป็นทองคำ 96.5%
เพราะมีราคาแจ้งประกาศอย่างเป็นทางการ มั่นใจได้ว่าไม่ถูกโกง
Q การลงทุน 9999 กับ 965 อย่างไหนดีกว่า
A
การลงทุนใน 9999 จะซื้อขายกันที่ขั้นต่ำ 1 กิโลกรัม จึงต้องใช้เงินลงทุน 1
ล้านบาทเป็นอย่างน้อย ในขณะที่ 965 ซื้อขายที่ขั้นต่ำ 1 บาท
และสามารถตรวจสอบราคาที่แน่นอนได้จากสมาคมค้าทองคำ ในแง่ของผลกำไร ทอง
9999 ให้ผลกำไรที่ดีกว่า แต่อาจจะไม่มีสภาพคล่องดีเท่ากับ 965
เนื่องจากร้านทองเล็กๆอาจจะไม่มีเงินรองรับพอ สรุปคือ
ผู้เริ่มลงทุนควรจะลงทุนในทอง 965 ก่อน
Q อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำขึ้นลง
A
ราคาทองคำในไทยจะขึ้นกับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ ราคาทองคำตลาดโลก
และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐ
โดยราคาทองคำในไทยจะเพิ่มขึ้นเมื่อราคาทองคำตลาดโลกเพิ่ม
และเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
Q สิ่งที่ควรทราบสำหรับผู้ที่ต้องการเก็งกำไร มีอะไรบ้าง
A การลงทุนเพื่อเก็งกำไร สิ่งสำคัญที่ควรทราบ คือ 3E ได้แก่
Excess money คือ มีเงินเหลือ และ
ต้องทราบว่าจะแบ่งเงินออมกี่เปอร์เซนต์ มาลงทุนในทองคำ
ซึ่งจำนวนเงินที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 10% ต่อการซื้อ-ขายหนึ่งครั้ง
เพื่อกระจายความเสี่ยงและควบคุม Port การลงทุนให้เหมาะสม
Experince คือ ต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนทองคำให้เพียงพอก่อนที่จะเริ่มซื้อ-ขาย อย่างน้อย 1 เดือน
Education คือ ต้องศึกษาหาข้อมูลด้วยตนเอง
Q ข้อดี-ข้อเสียของการลงทุนในทองคำ เปรียบเทียบกับการลงทุนประเภทอื่นๆ
A (1) การลงทุนในธนาคาร พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงิน มีความเสี่ยงน้อย แต่ได้ผลตอบแทนที่ต่ำ
(2) การเล่นหุ้น มีความเสี่ยงต่อการขาดทุนที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน
โดยเฉลี่ยผลตอบแทนจากการเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะอยู่ที่ 5-7%
(3) การลงทุนในทองคำ
เหมาะที่จะลงทุนเนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาค่อนข้างแน่นอน
สามารถกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้ สภาพคล่องสูง
ซึ่งตามหลักการบริหารพอร์ตทั่วไปควรลงทุนในทองคำประมาณ 5 - 10 %
ของการลงทุนทั้งหมด
ส่วนประชาชนทั่วไปควรลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ
ประกอบกับขณะนี้ราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้นจึงเป็นช่วงที่เหมาะแก่การลงทุนที่สุด
แต่ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
จึงควรติดตามและศึกษาข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
Q การซื้อขายทองคำแท่ง หากลูกค้ามีกำไรที่เกิดจากการขายทองคำแท่ง จะมีการเรียกเก็บภาษีจากสรรพากรหรือไม่
A ไม่มีเนื่องจากทองคำแท่งจัดเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้เช่นเดียวกับ รถยนต์ จึงไม่มีการเรียกเก็บภาษีแต่อย่างใด
Gold Investment : แปลงน้ำหนัก&คิดราคาทอง
การแปลงน้ำหนักทองคำ
ทองคำ ความบริสุทธิ์ 96.5%
ทองรูปพรรณ 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
ทองคำแท่ง 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
ทองคำ ความบริสุทธิ์ 99.99%
ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 ออนซ์
ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม
การคิดราคาทองของสมาคมค้าทองคำ
การตั้งราคาทองนั้นอ้างอิงจาก 2 ปัจจัยหลักก็คือ Goldspot และค่าเงินบาท
Goldspot คือ ราคาทองเมืองนอก
โดย
ราคาทองที่เห็นนี้จะมีหน่วยเป็นเงินดอลล่าร์
ราคาทองจะวิ่งขึ้นลงตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง โดยมีแรงซื้อขายจากตลาดทั่วโลก
กราฟทองตัวนี้จึงมีความจำเป็นสำหรับการดูทิศทางราคาทองคำของนักลงทุนทองคำ
+ USD - THB คือ
ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลล่าร์
เมื่อราคาทองใช้เงินสกุลดอลล่าร์เป็นหลัก
เมื่อจะแปลงราคามาเป็นราคาในเมืองไทย
จึงต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลล่าร์ มาตีเป็นราคาซื้อขายในเมืองไทยอีกที
สูตรคำนวณราคาทองไทย = (spot gold+1) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.473
(ปัจจุบันอาจมีค่า K=กั๊ก เข้าไปด้วยจะเป็นบวก หรือ ลบ ก็แล้วแต่สมาคมท่านจะกรุณา ไม่มีกดตายตัว )
ช่วงนี้ได้ยินแต่เสียงบ่นของผู้ประกอบการทั้งหลายว่า เศรษฐกิจแย่
คนแก้ยังไม่เกิด ค้าขายอะไรก็เงียบ เพราะคนไม่ค่อยมีเงินกัน
แต่ร้านทองแถวเยาวราชนี่กลับกันเลย เพราะตั้งแต่มีการขยับขึ้นลงของราคาทอง
ทำให้คนแห่กันมาสนใจการเก็งกำไรกับทองคำแท่ง
เพราะถ้าเดาราคาถูกก็ได้กำไรมหาศาล ดีกว่าฝากเงินกับธนาคาร
แต่ในทางกลับกันถ้าเก็งพลาดก็เจ็บใจเพราะอาจซื้อทองในราคาที่สูงกว่าราคาใน
ปัจจุบัน จึงมีศัพท์เฉพาะสำหรับผู้เล่นทอง ที่เรียกกันหลายคำ
แต่ทำให้นึกภาพออกทันที เช่น
บางคนที่เข้าซื้อในราคาสูงก่อนที่ราคาทองจะตกวูบลงมา ก็จะเปลี่ยนสถานะจากคนกรุง กลายเป็น "ชาวดอย" ทันที เพราะต้องถือทองคำราคาสูงไว้ในมือ ไม่สามารถจะทำใจขายขาดทุน
ในขณะที่บางคนยอมขายขาดทุนเพราะคิดว่าราคาจะลงต่ำกว่านั้นได้อีก เรียกว่า "ตัดยอดดอย" เพื่อจะรอช้อนซื้อที่ราคาต่ำมากๆได้
และ
ก็จะมีบางคนที่ติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
ทั้งข่าวต่างประเทศ ในประเทศ ราคาน้ำมัน ค่าเงินบาท
เพื่อจะรอจุดที่ราคาต่ำสุดเพื่อช้อนซื้อ
แต่ปรากฎว่าราคาทองกลับดีดสูงขึ้นทันที ทำให้ซื้อไม่ทันอันนี้ก็จะเรียกว่า "ตกรถ หรือ ตกขบวน"
สำหรับคนที่สนใจจะเข้ามาเล่นทอง มีข้อปฎิบัติหลักๆดังนี้
1. มีเงินเย็นเป็นของตัวเอง ถ้าต้องเอาเงินหมุนธุรกิจ หรือกู้เงินมาเล่นไม่แนะนำ
4. ทำใจ ไม่ตื่นเต้นกับราคาที่พุ่งขึ้น-ดิ่งลงปุบปับ มีฉะนั้น ท่านจะเห็นแต่เส้นกราฟวิ่งขึ้นลงในความฝัน อันจะทำให้หลับไม่สนิท
5.
พยายามอย่าแห่ตามคนส่วนใหญ่
เพราะอย่าลืมว่าสมาคมค้าทองไม่ใช่มูลนิธิที่ไม่ได้แสวงหาผลกำไร
จะได้ยอมซื้อของแพง และขายของถูกเพื่อให้ผู้ซื้อได้กำไร
แต่มันเหมือนการเล่นไฮโลที่เจ้ามือใช้เต๋าถ่วงเพื่อจะกินเงินกองใหญ่
Play Safe Play Gold : ทำไมต้อง “ทอง”
(Marketeer/ต.ค./51)
เรื่อง : อังศุมาลิน ศิริมงคลกิจ / ภาพ : ชัชวาล โตวณะบุตร
คำกล่าวโบราณนี้ยังคงใช้ได้ดีในปัจจุบัน และยิ่งเห็นผลทันตามากขึ้นในยุคที่เศรษฐกิจไม่อำนวยในการเก็งกำไรในการลงทุนอื่น “ทอง” จึงทวีค่าขึ้นด้านความรู้สึกต่อการลงทุน
ดร.
อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิยาลัยรังสิต
และกรรมการบริหารขององค์กรมหาชนหลายแห่ง ทั้งบางจาก และอสมท.
ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าของประเทศไทยระบุว่า
สาเหตุที่ทองคำถูกให้ค่าว่าเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน
นั่นเพราะว่า “ทอง” นั่นมีค่าเป็นทั้ง “เงิน” และ ”สินค้า” ในตัวเอง และทองคือแร่ ที่มีมูลค่ามาตั้งแต่อดีตกาล
ด้วยระยะเวลากว่า 5,000 ปี ที่มนุษย์เรียนรู้ว่าทอง มีค่าเพียงใด
“ทอง”สำคัญแค่ไหน
จาก
วิวัฒนาการในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของมนุษย์ที่ผ่านมา
จากเดิมที่มนุษย์ใช้วัตถุแลกเปลี่ยนกับวัตถุ ในระบบที่เรียกว่าบาร์เตอร์
(Barter) มา
สู่ยุคที่มนุษย์กำหนดวัตถุอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมาเทียบค่าแทนตัวสินค้า
หลังจากนั่นมนุษย์ก็พัฒนาระบบเงิน ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
ออกมาใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม
วัตถุที่ใช้แทนค่าและสะสมมูลค่า หรือถ่ายโอนอำนาจซื้อของคนได้ตลอดกาล
มีพียง “ทอง” เท่านั้น
“การ
โอนอำนาจซื้อได้นี่ ยังเป็นการโอนอำนาจในระดับสากลได้ด้วย
นั่นหมายถึงว่าไม่ว่าคุณจะเป็นคนชาติไหน ภาษาไหนทองคำคือสิ่งที่มีค่า
เป็นสิ่งที่มนุษยชาติตกลงร่วมกัน
มันก็ไม่พ้นความหมายในเชิงปรัชญาอยู่ดีว่า ทองคือวัตถุที่คนสมมุติ ทอง
อยู่เหนือความน่าเชื่อถือไปแล้ว เพราะไม่ใช่ของที่มีอยู่ทั่วไป
เป็นสิ่งที่ต้องหา ต้องขุดขึ้นมา แล้วเอาไปทำ” อ.อนุสรณ์อธิบายความสำคัญของทอง
นอก
จากภาวะปกติที่ราคาทองแปรผันขึ้น-ลงตามค่าเงินบาทที่แปรผันตามดอลล่าร์
ราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญต่อการผลิตสินค้า
แต่เหตุผลที่ราคาทองขึ้นพรวดพราด มักเกิดจากตามสภาพเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักลงทุนทั้งรายเล็ก และระดับสถาบันฯ
เกิดความไม่มั่นใจในการลงทุนด้านอื่น ก็จะหันมาลงทุนในทอง หรือเรียกง่ายๆ
ว่า “ทอง” คือหลุมหลบภัยที่มีความมั่นคงในระยะยาว อีกส่วนหนึ่งคือความต้องการทองอย่างแท้จริงจากประเทศที่สภาพเศรษฐกิจเติบโต
“การ ที่ราคาทองคำมันพุ่งขึ้นมา
เพราะว่าระบบทุนนิยมโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างที่สำคัญ
ประการแรกก็คือ
ความเป็นโลกาภิวัตน์ทางการเงินมันชัดเจนกว่าโลกภาวัตน์ด้านอื่น
เงินไร้พรมแดนจริงๆ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การสื่อสาร
มันทำให้โลกการเงินขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมันใหญ่กว่าภาคการผลิต
อำนาจของมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และโดยธรรมชาติของเงิน เงินต้องหาผลตอบแทน
เงินไม่มีสัญชาติ แต่มันจะไปตามที่มันแสวงหากำไรได้
แล้วเวลาเงินเคลื่อนย้ายมากๆ มันมีผลต่อราคาสินค้า
และสิ่งที่คนจะเอาเงินใส่เข้าไป ก็ต้องเป็นของที่มีสภาพคล่องสูง
แล้วทองก็เป็นสินทรัพย์ที่ต่อสู้กับสภาพเงินเฟ้อได้
เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนไม่มั่นใจกับเงินในประเทศตัวเองก็จะมาลงกับทอง”
“การ ที่ทองราคาสูงขึ้น มันมีพื้นฐาน มีสตอรี่อธิบายว่าทำไม
อธิบายได้ว่าประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาอยู่ในระบบทุนนิยมแล้วเขา
ประสบความสำเร็จมาก คนก็เริ่มอยากจะบริโภค อยากมีคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น
คนก็อยากบริโภคทองมากขึ้น
โดยเฉพาะอินเดียกับจีนเขามีวัฒนธรรมที่ชอบใส่ทองอยู่แล้ว พอ
เศรษฐกิจเขาดีเขาก็ซื้อเยอะ มันมีคำอธิบายว่ามีอุปสงค์เพิ่มขึ้นจริง
แต่ซัพพลายมันต๊วมเตี๊ยม คือกว่าจะขุดทอง กว่าจะผ่านกระบวนการ
มันตามไม่ทัน ฉะนั้นราคาก็ขึ้น อีกส่วนเกิดจากการปั่นราคา
ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่า เราเคยเห็น 900 กว่าดอลล่าร์ต่อออนซ์
แล้วก็ลงมาถึง 700 กว่าดอลล่าร์ต่อออนซ์” นี่คือเหตุผลที่ทองราคาขึ้นในสายตาของดร.อนุสรณ์
“ทอง” ไลฟ์สไตล์เก่า Vs ใหม่
เมื่อพูดถึงทองในประเทศไทย หลายคนต้องคิดถึงเยาวราช ถนนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ถนนสายทองคำ” ที่
มีร้านขายทองเรียงอยู่มากถึง 132 ร้าน
ด้วยสภาพภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ดั้งเดิมที่อยู่ใกล้กับท่าน้ำราชวงศ์
ประกอบกับเป็นแหล่งคนจีนที่มีฝีมือทางช่างทองอยู่มากมาย
จึงเป็นเหตุผลที่คนต้องซื้อ-ขายทองที่เยาวราช
ในเมื่อทองแค่เศษเสี้ยวก็มีมูลค่า
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นนักเล่นทองมืออาชีพหรือขาจรที่อยากได้ทองมาประดับกาย
ก็ต้องมุ่งหน้ามาเยาราชเพื่อหาซื้อทองจากร้านดัง
ขณะเดียวกันความ
ต้องการบริโภคทองที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะเดียวกันพลังของเทคโนโลยี
ทำให้การลงทุนใน “ทองคำ” รูป แบใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ
ตามพัฒนาการโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยี การลงทุนทองในปัจจุบัน
ไม่จำเป็นว่าจะต้องถือทองอย่างเป็นรูปธรรม แต่สามารถถือหน่วยลงทุน
หรือซื้อแล้วฝากร้านให้เก็บรักษาแทนได้
ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงกับผู้ซื้อที่ต้องนำเงินหอบใหญ่จากธนาคารเข้าไป
ที่ร้านทอง แล้วแบกทองจากร้านกลับบ้าน
“การ ลงทุนแบบที่ไปยืนต่อแถวที่เยาวราชมันเป็นการลงทุนที่ไม่สะดวก
ถ้าจะถือว่าการซื้อทองเป็นการลงทุนนะ เพราะว่าคุณต้องเอาเงินสดมาซื้อทอง
แล้วถ้าจะขายก็ต้องเอาทองมาขายแล้วรับเงินสดกลับไป
ถ้ามองทองคำในแง่ของการลงทุนไม่จำเป็นต้องซื้อทองแบบที่เป็น Physical คือ
ทองเป็นก้อนๆ ก็ได้ ลงทุนผ่านกองทุนรวม อันนี้เหมาะสมกว่า
แต่ถ้าเรามองว่าการซื้อทองเป็นทั้งการลงทุนและเครื่องประดับเอามาใช้
สะสมเพราะความชอบ อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
เล่น “ทอง” ยังไงให้รวย
เมื่อ
คนไทยตื่นทอง เล่นซื้อ-ขาย กันแม้กระทั่งใบจอง
นักลงทุนรายใหม่ต่างทดลองเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทอง
ด้วยหวังว่าการลงทุนในทองจะให้ผลตอบแทนในระยะสั้น
ได้ดีกว่าเก็งกำไรในสินทรัพย์อื่นเมื่อดอกเบี้ยธนาคารก็ต่ำเตี้ยติดดิน
หุ้นดิ่งลงทั้งตลาดเป็นหมีถูกพิษแฮมเบอร์เกอร์
แต่ดร.อนุสรณ์กลับมองว่าทองอาจไม่ใช่คำตอบที่จะทำให้เกิดเศรษฐีในพริบตา
แต่การเล่นทองคือการลงทุนในระยะยาว
“ถ้า
มองทองคำเป็นเรื่องการลงทุน ผมไม่มองว่าทองคำเป็นสิ่งที่เหมาะสมนะ
เมื่อเทียบกับการลงทุนอย่างอื่นเพราะว่าอย่างอื่น เช่น หุ้น
ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว
มีงานวิจัยพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าภายในระยะเวลา 10-20 ปี
หุ้นให้ผลดีที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์”
ราคา
ทองจะกลับไปถึงหมื่นสาม หมื่นสี่อีกแต่มันจะใช้เวลานาน
ยกเว้นว่าจะมีเหตุการณ์ที่กระทบต่ออุปทานของทองคำหรืออุปสงค์อย่างชัดเจน
มันถึงจะทำให้วงจรกลับไปสู่ขาขึ้น ตอนนี้ผมว่าวงจรมันอยู่ในขาลงแล้ว ทอง
ขาขึ้นจะไม่นานแต่เร็ว ขาลงจะลงนาน ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะของทอง
จังหวะคือก่อนหน้านี้
ท้ายสุดนักเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ ได้ให้เทคนิคกว้างๆ สำหรับการลงทุนพร้อมฟันธงราคาเบื้องต้นไว้ว่า
“ตอน
นี้ก็ถือว่าเป็นจังหวะเหมือนกัน แต่เป็นจังหวะในการซื้อ
ยิ่งลงเรายิ่งต้องซื้อ ซื้อแบบค่อยๆ
ทยอยซื้อเพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าราคาไหนคือราคาต่ำสุด
ต้องซื้อเพื่อให้ราคาเฉลี่ยออกมาเหมาะสมที่สุด”
“ผม
คิดว่าราคาทองน่าจะลงไปถึงหมื่นต้นๆ
เศรษฐกิจสหรัฐเป็นแบบนี้มันจะกระทบต่ออุปสงค์ทั่วโลก
แต่ถ้าค่าเงินดอลล่าร์อ่อนลงมากๆ เงินที่ลงทุนในเงินจะโยกมาลงในทอง
คือมันจะต้องดูผลกระทบว่าผลที่ทำให้เศรษฐกิจที่ทำให้ชะลอตัว
มันแรงกว่าผลที่ก่อให้เกิดการโยกเงินมาทองคำหรือน้ำมันอันนี้จะทำให้ทองราคา
ลง ซึ่งผมมองว่าผลของเศรษฐกิจน่าจะแรงกว่าผลของการโยกเงิน
เพราะทุกคนเงินหมดกันหมด วันนี้มูลค่าของหุ้นบางตัวดีมากๆ
แต่ฝรั่งต้องจำใจขายเอาเงินเกลับ”
หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์ในวันที่ 16 กันยายน 2551
อยากเล่นทองต้องรู้ไว้
ราคาทองในประเทศไทยมาจากไหน?
ตั้งราคาทองในประเทศไทยจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ Goldspot และ USD-THB
-Goldspot คือ ราคาทองต่างประเทศ มีการซื้อขายทองโดยใช้เงินสกุลดอลล่าร์
-USD-THB คือ อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์
สูตรคำนวณราคาทองคำ = (spot gold + 1) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.473
เช็คราคาทองได้ที่ไหน
-หน้าร้านขายทอง
-สมาคมผู้ค้าทอง www.goldtraders.or.th
-ทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย)
ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
-ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99%
ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 ออนซ์
ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม
ขอบคุณ บทความการตลาด ตัวอย่างแผนการตลาด กลยุทธ์การตลาด ข่าวการตลาด
http://www.marketeer.co.th/inside_detail_new.php?inside_id=238
อ้างอิงจาก...http://www.ranthong.com/smf/index.php?topic=18903.msg377605;topicseen#new THANKSวันอังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน 2008 เรื่องคำชี้แจงการกำหนดราคาทองคำของสมาคมค้าทองคำ จาก สถานการณ์วิกฤตภาคการเงินของสหรัฐ ส่งผลให้ราคาทองคำในต่างประเทศถูกเทขายออกมาอย่างหนักจากกองทุนเก็งกำไร เพื่อนำเงินไปเสริมส่วนที่ขาดทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ทำให้ราคาทองคำในต่างประเทศร่วงลงอย่างมาก และรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมานั้น สมาคมค้าทองคำในฐานะผู้กำหนดราคาทองภายในประเทศ ขอ เรียนแจ้งให้ทราบว่า สมาคมมีความยากลำบากอย่างยิ่งในการกำหนดราคาทองคำของไทยให้สมดุลย์ในการซื้อ ขายให้เป็นไปตามความประสงค์ของทั้งผู้ต้องการซื้อและผู้ต้องการขาย ในช่วงที่ราคาทองคำปรับขึ้นและลงอย่างผันผวนอย่างนี้ แต่มีประชาชนทั่วไปผู้สนใจลงทุนในทองคำ ยังมีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของสมาคมค้าทองคำอยู่ ทางสมาคมจึงใคร่ขอเรียนชี้แจงดังต่อไปนี้ การกำหนดราคาทองของไทยนั้น ประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง โดยมีคณะกรรมการควบคุมราคาทองของสมาคมคอยดูแลตลอดช่วงเวลาการซื้อขาย โดยยึดถือหลักประชาธิปไตยในการกำหนดราคาทองคำ ถือเสียงส่วนมาก 3 ใน 5 เสียงในการตัดสินใจ ซึ่งคณะกรรมการประกอบไปด้วยคณะกรรมการจาก 1.ห้างทองจินฮั้วเฮง 2.ห้างทองฮั่วเซ่งเฮง 3.ห้างทองเลี่ยงเส็งเฮงพาณิชย์ 4.ห้างทองหลูชั้งฮวด 5.ห้างทองแต้จิบฮุย ซึ่ง สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม สำหรับในการกำหนดราคาทองของสมาคม จะอ้างอิงจากราคา Gold Spot บวกหรือลบค่า premium จากผู้ค้าทองในต่างประเทศ ( ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าเป็นสภาวะการนำเข้า หรือการส่งออก ) แล้วจึงนำมาคำนวณกับค่าเงินบาท จากนั้น จะทำการแปลงหน่วยน้ำหนักจากหน่วย ounze ให้เป็นหน่วยน้ำหนักของไทย คือ บาท โดยการตัดสินใจประกาศราคาทองในประเทศแต่ละครั้งนั้น ทางสมาคมจะต้องพิจาราณาองค์ประกอบของ Demand และ Supply ทองคำภายในประเทศเป็นสำคัญด้วย สำหรับตัวแปรที่สำคัญในการกำหนดราคาทองของไทย สามารถสรุปได้ 4 ประการดังนี้ 1. ราคาทองต่างประเทศ (Gold spot) 2. อัตราค่า Premium ( ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการนำเข้า/ส่งออกทองคำ ) 3. ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ 4. Demand และ Supply ของทองคำภายในประเทศ 1. ราคาทองคำต่างประเทศ (Gold spot) เป็น ราคาอ้างอิงทางอิเลกทรอนิกส์ ซึ่ง ยังไม่ได้มีการบวก หรือลบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในการส่งมอบทองคำ เป็นการซื้อขายทองคำที่ไม่มีการส่งมอบ ซึ่งหากท่านพิจารณาดูราคา Gold spot จะเห็นว่ามีทั้งฝั่ง Bid และ Ask ซึ่งก็คือราคารับซื้อ และราคาขายออกนั้นเอง ในการซื้อทองคำจากต่างประเทศนั้น ผู้ขายจะใช้ราคา Ask ในการคำนวณ ส่วนเมื่อเราขายกลับไปยังผู้ค้าทองคำต่างประเทศ จะใช้ราคา Bid ในการคำนวณ ดังนั้นทางสมาคมเองก็เช่นกัน ในการกำหนดราคาทองภายในประเทศก็ต้องคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย ว่าสภาวะตลาดทองคำภายในประเทศเป็นเช่นไร เช่นมีความต้องการซื้อทองคำอย่างมากก็ต้องนำเข้าทองคำ หรือหากมีความต้องการขายทองคำจำนวนมากก็ต้องส่งออกเป็นต้น 2. อัตราค่า Premium ( ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการนำเข้า/ส่งออกทองคำ ) เมื่อ มีความต้องการซื้อทองคำจำนวนมากจากผู้สนใจลงทุนในทองคำ และปริมาณทองคำภายในประเทศมีไม่เพียงพอ ร้านค้าทองจึงจำเป็นต้องอาศัยการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ ซึ่งก็คือการซื้อจากผู้นำเข้า ซึ่งผู้นำเข้าก็ต้องซื้อต่ออีกทอดหนึ่งจากผู้ค้าในต่างประเทศ โดยจะมีการคิดค่า Premium ค่า Premium ก็คือค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อที่นำเข้า หรือส่งออกทองคำ รวมถึงค่าขนส่ง ค่าความเสี่ยง ดอกเบี้ยธนาคาร ค่าประกันภัยต่างๆ ซึ่งถูกกำหนดมาโดยผู้ค้าทองในต่างประเทศ ซึ่งเรียกง่ายๆว่าเป็นต้นทุนในการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศเข้ามาขายผู้ บริโภคในไทยนั้นเอง โดยในการคำนวนจะนำราคา Spot บวกค่า Premium ดังกล่าวนี้เข้าไปด้วย ซึ่งในทางกลับกัน เมื่อมีประชาชนมาขายทองคำแท่ง คืนให้กับร้านทองจำนวนมากๆ ร้านทองจำเป็นต้องทำการขายกลับคืนมาให้กับบริษัทผู้นำเข้า และผู้นำเข้าก็จะทำการขายคืนกลับไปให้กับผู้ค้าทองในต่างประเทศอีกทอดนึง ซึ่งในจุดนี้ต่างประเทศจะใช้ราคา Spot ฝั่ง BID และหักลบค่าใช้จ่าย Premium ซึ่งในฝั่งขายออกนี้จะเรียกว่า Discount สำหรับสภาวะปกติค่า premium หรือ discount จะอยู่ที่ +1 ถึง 2 เหรียญต่อออนซ์ แต่ในสภาวะวิกฤตดังเช่นปัจจุบัน จาก การที่ราคาทองคำในต่างประเทศลดลงอย่างมาก และรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ทำให้มีความต้องการซื้อทองคำจากทุกประเทศในโลกพร้อมๆกัน ทำให้มี Demand ในโลกมาก เกิดการแย่งซื้อ ส่งผลให้มีการปรับขึ้นลงค่า premium และ discount จากผู้ค้าในต่างประเทศอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากเช่นกัน โดยอยู่ที่ช่วง +10 ถึง 20 เหรียญต่อออนซ์ และในบางครั้งสูงถึง +25 เหรียญต่อออนซ์ด้วย อย่างเช่นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน 3. ค่าเงินบาทต่อดอลล่าสหรัฐ ค่า เงินบาทในการคำนวณราคาทองในประเทศ จะใช้อัตราการโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งมีการเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกัน gold spot และมีการใช้ราคาในฝั่ง Bid และ Ask เช่นเดียวกัน สำหรับในสภาวะวิกฤตของสถาบันการเงินเช่นปัจจุบัน แต่ละธนาคารก็จะบวกค่าความเสี่ยงเข้าไปด้วยเช่นกัน 4. Demand และ Supply ภายในประเทศ คณะ กรรมการควบคุมราคาทองของสมาคม นอกจากจะพิจารณาราคา Gold Spot / ค่า Premium และค่าเงินบาท ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัย Demand / Supply ภายในประเทศด้วยเป็นหลัก เพื่อที่จะตัดสินใจประกาศราคาทองคำภายในประเทศ ณ ช่วงเวลานั้นๆ โดยคณะกรรมการกำหนดราคาทั้ง 5 ท่าน จะพิจารณาจากปริมาณ และราคาจากการซื้อขายระหว่าง 4.1 ผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออกทองคำ 4.2 ร้านค้าทองเยาวราช 4.3 ร้านค้าส่งทองคำ 4.4 ร้านค้าปลีกทองคำ 4.5 ผู้ลงทุนทองคำรายใหญ่ 4.6 ผู้ลงทุนทองคำรายย่อย กล่าว คือ มิใช่ว่าร้านทองจะซื้อขายกับประชาชนผู้สนใจลงทุนในทองคำเพียงฝ่ายเดียว ตามที่ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจ เป็นความเข้าใจที่ผิด ทุกภาคส่วนล้วนมีการซื้อและขายทองคำด้วยกันเองตลอดเวลาด้วย และการซื้อขายของร้านค้าทองด้วยกันเองนั้นจะมีปริมาณที่มากกว่าการซื้อขาย กับผู้ลงทุนทั่วไปหลายสิบเท่า เพราะ ฉะนั้นถ้าหากว่าสมาคมประกาศราคาทองคำสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงจากตลาดต่าง ประเทศมากไป ร้านทองด้วยกันเองจะมีการวิ่งเข้าหาซื้อ หรือเทขายกันเอง ส่งผลให้สมาคมต้องปรับราคาให้เหมาะสมในที่สุด เพื่อสะท้อนถึงความต้องการทองคำของตลาดตามความเป็นจริง ตามกฎของ Demand / Supply กลไกของตลาดดำเนินการไปด้วยตัวของมันเอง เช่น หากราคาทองของสมาคมประกาศต่ำกว่าตลาดโลกมาก ก็ จะมีกลุ่มผู้ตระเวนซื้อทองรูปพรรณเก่าตามร้านทองทั่วประเทศ และขายทองให้ผู้ส่งออกต่างประเทศได้ส่วนต่างผลกำไรโดยตรง โดยไม่ผ่านร้านทองทำให้ร้านทองเสียรายได้ส่วนนี้ไปอย่างเห็นได้ชัด หรือ หากมีการกำหนดราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโลกมาก ก็จะมีผู้นำเข้าทองนำทองมาขายให้ร้านทองโดยทันทีเช่นกัน เนื่องจากได้กำไรจากส่วนต่างที่มากนั้นจูงใจ ดังนั้น การที่ผู้สนใจลงทุนในทองคำดูราคา Gold spot จาก Website ต่างประเทศ แล้วนำมาคำนวณตามสูตรตรงๆ ก็จะได้ราคาที่ไม่สะท้อนความเป็นจริงในการซื้อขายที่มีการส่งมอบทองจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะเหตุการณ์ที่ไม่ปกติอย่างเช่นในปัจจุบัน (ทองคำแท่งขาดตลาดทั่วโลก) ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลที่นำเสนอข้างต้น จะเห็นว่าตลาดค้าทองคำของไทยนั้น เป็นตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ และสามารถดำเนินไปด้วยกลไกตลาดอย่างแท้จริง ปัญหาและอุปสรรคในการค้าทองคำปัจจุบัน 1. จาก การที่ราคาทองคำลดลงอย่างมากและรวดเร็วในขณะนี้ ทำให้มีความต้องการซื้อทองคำจากประเทศต่างๆทั่วโลกอย่างมาก ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถซื้อทองคำได้ในราคา Gold spot ดังที่เราเห็นได้จากที่หน้าจอ เพราะจะต้องบวกค่า premium เข้าไปจำนวนหนึ่ง จากผู้ค้าทองในต่างประเทศ และบริษัทผู้นำเข้าในประเทศ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ +1 ถึง 2 เหรียญต่อออนซ์ แต่ในปัจจุบันจะบวกมากถึง +10 ถึง 25 เหรียญต่อออนซ์ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น ซึ่งส่วนที่บวกเพิ่มขึ้นมานั้น ร้านค้าทองและผู้นำเข้าทองคำไม่ได้มีส่วนได้กำไรในค่า Premium ด้วยเลยแม้แต่น้อย ผลกำไรที่ได้อยู่ที่ผู้ค้าทองคำในต่างประเทศ และค่าใช้จ่ายของบริษัทผู้นำเข้า ทั้งสิ้น 2. เมื่อ มีประชาชนทั่วไปสนใจและต้องการซื้อทองคำจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา แต่ทองคำในโลกขาดตลาด ทำให้ผู้นำเข้าทองคำ และผู้ค้าทองในประเทศจำเป็นต้องดำเนินทุกวิถีทางเพื่อจัดหาทองคำมาจำหน่าย ให้แก่ผู้ต้องการลงทุนในทองคำ เช่นเดียวกันกับทุกแห่งในโลก เป็นการแย่งซื้อทองคำกันทั้งโลกในเวลาเดียวกัน ทำให้ผู้ค้าต่างประเทศกำหนดค่า Premium +10 ถึง 25 เหรียญต่อออนซ์ สูงกว่าในช่วงปกติเป็นอย่างมาก แต่ร้านทองก็จำเป็นต้องซื้อ เพื่อจะได้มีทองคำมาจำหน่ายแก่ลูกค้า และเมื่อทำการตกลงราคากันแล้วจะต้องโอนเงินสดไปต่างประเทศทันทีเต็มจำนวน ซึ่ง เป็นจำนวนเงินมหาศาลในแต่ละครั้ง และหลายวันที่ผ่านมา ทำให้ร้านค้าทองมีความเสี่ยงอย่างยิ่งในสภาวะการณ์สถาบันการเงินต่างชาติ ประสบปัญหาวิกฤติการเงินสหรัฐในขณะนี้ 3. เมื่อผู้นำเข้าโอนเงินไปต่างประเทศแล้วจำเป็นต้องรอกำหนดการจัดส่งอีก 10-15 วัน( สภาวะปกติใช้เวลาเพียง 2-3 วันทำการ) เนื่องจากผู้ค้าทองในต่างประเทศ ต่างอ้างว่าไม่มีทองคำ ต้องรอเวลาในการผลิตและส่งมอบ ร้านทองจึงมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก และ ล้วนขาดสภาพคล่องทางการเงิน อีกทั้งถ้าหากผู้ค้าทองในต่างประเทศเกิดมีปัญหาทางการเงินขึ้นมา บริษัทผู้นำเข้าทองคำ และร้านทองที่รับจองทองคำจากผู้ซื้อทองคำ ต่างก็คงมีปัญหาตามมาเป็นลูกโซ่อย่างแน่นอน เพราะร้านทองจะ ต้องรับผิดชอบเงินของลูกค้าที่จ่ายให้ไว้แล้ว ดังนั้น จึงทำให้ร้านทองโดยส่วนมากจึงไม่อยากจะซื้อทองคำเพิ่มเติมอีกจากผู้ค้าใน ต่างประเทศ เพราะจะต้องโอนเงินไปล่วงหน้าก่อนอีก ทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากปริมาณเงินที่โอนไปเพิ่มมากขึ้นอีก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมาร้านทองโดยส่วนใหญ่ในประเทศจะแจ้งลูกค้า ให้ทราบว่าไม่มีทองคำแท่งจำหน่าย เพราะทองหมดสต๊อค บางร้านจำเป็นต้องออกใบรับจองทองคำให้กับลูกค้าเพื่อไม่ต้องการเสียลูกค้า ซึ่งมีบางท่านไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ ต่างล้วนคิดไปว่าร้านทองต้องการเก็บทองไว้ขายตอนราคากลับขึ้นสูง ซึ่ง ไม่เป็นความจริงเลย เพราะกำไรของร้านทองจะมาจากการขายทองคำ และสามารถซื้อทองจากผู้นำเข้ากลับเข้าสต็อค ร้านทองก็จะได้ส่วนต่างกำไรในทันที แต่สาเหตุที่ร้านทองไม่มีทองจำหน่าย ก็เพราะว่าร้านทองไม่สามารถหรือไม่อยาก ซื้อทองคำเพิ่มจากผู้นำเข้านั่นเอง และผู้นำเข้าทองคำเองก็ไม่สามารถหาซื้อทองจากต่างประเทศได้อีกทอดหนึ่ง จากปัญหาว่าต้องรอการส่งมอบ 10-15 วัน ต้องโอนเงินไปต่างประเทศเต็มจำนวน และต้องรับความเสี่ยงจากสถาบันการเงินในต่างประเทศที่อาจจะประสบปัญหาแทน ลูกค้าผู้ลงทุนทั่วไป จึงทำให้ร้านค้าทองบางร้านลดความเสี่ยงโดยแจ้งลูกค้าว่าไม่ขายทองแท่ง รวมไปถึงการไม่ออกใบรับจองทองคำให้กับลูกค้าในช่วงที่ผ่าน ภาวะเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตลาดโลกร่วมถึงประเทศไทย ทุกท่านที่อยู่ในวงการค้าทองมานาน ต่างเพิ่งเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้พร้อมกันในครั้งนี้ รวมไปถึงทุกประเทศทั่วโลกล้วนประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน ทางสมาคมขอ ยืนยันว่าการกำหนดราคาทองของสมาคมค้าทองคำนั้น มีความเป็นเหตุเป็นผลพิสูจน์ได้ ที่ผ่านมาทางสมาคมได้เข้าชี้แจงเรื่องดังกล่าวนี้กับทางหน่วยงานราชการที่ เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ สคบ. คณะกรรมมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐสภา มาโดยตลอด โดยได้อธิบายข้อมูลที่เป็นจริงให้ทุกหน่วยงานทราบ ซึ่งเมื่อได้พิจารณาถึงหลักการและเหตุผลแล้ว ทุกหน่วยงานก็ยอมรับความเป็นจริงของตลาดการค้าทองคำของไทยในโลกยุคปัจจุบัน มี บางท่านเสนอไว้ที่สมาคมไว้ว่า ในช่วงนี้ท่านใดที่สามารถ ติดต่อซื้อทองคำแท่งจากต่างประเทศได้ในราคาที่คำนวณจากราคาเรียลไทม์ และค่า Premium ต่ำ กว่าที่ต่างประเทศกำหนดในปัจจุบัน และไม่จำเป็นต้องโอนเงินไปก่อน ทางสมาคม ยินดีติดต่อให้ร้านทองที่เป็นสมาชิกของสมาคมรับซื้อปริมาณไม่จำกัด โดยจะชำระให้ด้วยเงินสด และจะให้ค่าคอมมิชั่นอีกด้วย โดยให้ติดต่อผ่านสมาคมได้ทันที ซึ่งในจุดนี้แสดงให้เห็นได้ชัดว่า สูตรการคำนวณในสถานการณ์ปกติ (ราคาทองไม่ผันผวน/ไม่มี Demand จากประเทศต่างๆทั่วโลก) ไม่สามารถใช้ได้ในสภาวการณ์ปัจจุบันนี้อย่างสิ้นเชิง ท้ายที่สุดนี้ สมาคมขอเรียนให้ทุกท่านได้ทราบว่า สมาคมเป็นเพียงองค์กรที่คอยรักษาสมดุลของราคาการซื้อขายทองคำภายในประเทศไทย เท่านั้น ปัญหา ที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของผู้ที่ สนใจลงทุนในทองคำ และการประชาสัมพันธ์ของสมาคมที่ยังน้อยเกินไป ดังที่มีหลายท่านท้วงติงมา ในส่วนนี้สมาคมของน้อมรับไว้ และจะแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป. http://www.coverdd.com/gold-forum/gold-investment/ ทองคำจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีคุณสมบัติของทองคำ มีความแวววาวอยู่เสมอ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดังนั้น มนุษย์รู้จักทองคำมาตั้งแต่ประมาณ 5,000 ปี เป็นความหมายแห่งความมั่งคั่ง จุดหลอมเหลว 1064 และจุดเดือด 2970 องศาเซลเซียส ทองคำบริสุทธิ์จะไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมี(Chemicalinactive) ได้ง่าย
คุณสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอกที่เป็นประกายจึงทำให้ทองคำเป็น ทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในวงการเครื่องประดับทองคำ
การเกิดของแร่ทองคำสรุปจากเอกสารของกรมทรัพยากรธรณี ได้มีการแบ่งการเกิดของแร่ทองคำออกเป็น 2 แบบ ตามลักษณะที่พบในธรรมชาติได้ดังนี้
แหล่งแร่ทองคำปฐมภูมิในไทย เช่น
แหล่งแร่ทองคำทุติยภูมิในไทย เช่น
หน่วยน้ำหนักของทองคำ
การแปลงน้ำหนักทองคำ
หมายเหตุ: ทรอยออนซ์ เป็นหน่วยชั่งของโลหะมีค่า แต่มักเรียกสั้นๆ ว่า ออนซ์
การลงทุนทองคำการตั้งราคาทองในประเทศไทยจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ Goldspot และ USD-THB
สูตรคำนวณราคาทองคำ = (spot gold + 1) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.4729
ประโยชน์อื่น
ในทางอวกาศได้มีการนำทองคำมาใช้เป็นชุดนักบินอวกาศและแคปซูล
มีการใช้ทองคำเพื่อการครอบฟัน เชื่อมฟัน หรือการเลี่ยมทอง
มีการนำทองคำมาใช้เป็นวัสดุที่ทำหน้าที่สัมผัสในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รายชื่อของบริษัทและห้างหุ้นส่วนในธุรกิจค้าทองคำที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย
รายชื่อตลาดทองคำที่สำคัญของโลก
ทองคำ จาก GIT.or.th ที่อยู่ในกลุ่มโลหะประเภทเดียวกับเงิน แพลทินัม แพลเลเดียม โรเดียม อิริเดียม รูธินั่ม และออสเมียมที่หายาก ทองคำเป็นแร่ธาตุตามธรรมชาติซึ่งมีอยู่ในปริมาณน้อยมาก (~ 0.007 ppm) มีความคงทนต่อการเกิดปฏิกิริยาสูง จึงทนต่อการผุกร่อนไม่เกิดออกซิไดซ์กับอากาศ สามารถเก็บรักษาโดยคงรูปลักษณ์ดั้งเดิมอันสวยงามไว้ได้นานไม่มัวหมอง จึงนิยมนำมาใช้ทำเป็นเครื่องประดับ วัสดุทางทันตกรรม บางส่วนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และทองคำบริสุทธิ์ (99.999%) เป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ทองคำ (Gold) โดยมีสัญลักษณ์ทองเคมี คือ Au มาจากภาษากรีกว่า Aurum มีน้ำหนักอะตอม 196.966 amu ความถ่วงจำเพาะ 19.33 g/cc มีจุดหลอมเหลว 1064 องศาเซลเซียส จุดเดือด 2970 องศาเซลเซียส เป็นโลหะอ่อนสามารถตีเป็นแผ่นบางๆหรือดึงเป็นเส้นได้ โดยทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ออนซ์ สามารถดึงเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 35 ไมล์ มีค่าความแข็ง (Hardness) ~ 2-2.5 (เพชร = 10) หน่วยของน้ำหนักทองคำที่ใช้ทั่วไปคือ กรัม สำหรับประเทศไทยนิยมใช้หน่วยเป็นบาท มีค่าเท่ากับ 15.2 กรัม
การพัฒนาเทคนิคทางธรณีฟิสิกส์สำหรับการศึกษาแหล่งแร่ทองคำบริเวณเหมืองแร่ทองคำ
การทำเหมืองแร่ทองคำ
การทำเหมืองแร่เป็นการขุดเอาหินที่มีแร่ทองคำปะปนอยู่ทาผ่านกระบวนการต่างๆ
การทำเหมืองผิวดิน(Surface Mining) การ การขุดตักในการขุดตักแร่ทองคำมักจะมีนักธรณีที่คอยควบคุมขอบเขตหรือโซน แร่และ waste ออกจากกันอย่างชัดเจนเพื่อเป็นการควบคุมเกรด
การทำเหมืองใต้ดิน( Underground Mining) การทำเหมืองใต้ดินเป็นการทำเหมืองโดยเจาะตามสายแร่
ลักษณะการออกแบบเหมืองใต้ดิน
ปากปล่องเหมืองและการเจาะระเบิด
การเจาะระเบิดและการพัฒนาเหมืองเป็นที่ท่องเที่ยว
Thanks : http://www.mne.eng.psu.ac.th/knowledge/student/AKHOM_GOLD/gold%206.html http://www.ku.ac.th/kaset60/Theme05/theme-05-12/index-05-12.html http://www.git.or.th/ ลงทุนทองคำแท่งกับ Gold Future อะไรดีกว่ากัน? Gold Futures เริ่มเข้ามาในตลาดเมืองไทยโดยตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย เป็นผู้นำเข้ามาซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ ซึ่งเป็นตลาดหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปรากฏว่าได้รับความนิยมและตื่นตัวจากตลาดมากพอสมควร กล่าวคือ มีปริมาณการซื้อขายโดยเฉลี่ยจากเดือนแรกประมาณ 200 สัญญา เข้าสู่เดือนที่ 3 มีอัตราเฉลี่ยประมาณ 600 สัญญา โดยที่บางวันมีการซื้อขายทะลุขึ้นไป 1,000 สัญญา นั่นหมายความว่าตลาดเริ่มมีความคึกคัก หรือมีปริมาณการซื้อขาย (Liquidity) ที่ดีพอสมควร ยังพบว่านักลงทุนไทยโดยส่วนใหญ่ยังลงทุนใน Gold Futures Series ระยะ 2 เดือนเป็นหลัก กว่า 94% เป็น Series 2 เดือน ประมาณ 5% เป็น Series ของเดือนที่ 4 และเพียง 1% เป็น Series ของเดือนที่ 6 นั่นหมายความว่ามีนักลงทุนระยะสั้นเป็นหลัก แต่ไม่ได้หมายความว่านักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวจะลงทุนใน Series 46 เดือนไม่ได้ แต่เพียงแสดงให้เห็นว่านักลงทุนที่เป็นสถาบันยังไม่ใคร่ลงมาในตลาด Gold Futures เท่าไหร่นัก และถ้ามองและเข้าใจกันลึกซึ้งจริงๆ จะพบว่าการลงทุนหลายๆ ครั้งใน Series ระยะไกลมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า แต่ว่าสภาพคล่องการซื้อขายระยะ 2 เดือนแรกจะน้อยกว่า อธิบายให้เข้าใจลึกลงไป สภาพคล่อง Series ระยะ 4 และ 6 เดือน จะเริ่มมีเมื่อตัว Series ขยับเข้ามาในระยะ 2 เดือนแทน เอาเป็นว่าโดยสรุปในเมืองไทยขณะนี้คนนิยม Series 2 เดือน ซึ่งมีสภาพคล่องการซื้อขายสูงhttp://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=47806 คำถามที่ว่า ซื้อทองคำแท่งกับ GF อะไรดี กว่ากัน? ผมต้องอธิบายว่า ดีทั้ง 2 อย่าง ขึ้นอยู่กับท่านเป็นนักลงทุนแบบไหน และสามารถบริหาร Port การลงทุนของตนเองได้อย่างไร สามารถเข้าใจการลงทุนแบบ Gold Futures หรือเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ขนาดไหน เพราะการลงทุนทั้งทองคำแท่ง และ Gold Futures มีความเสี่ยง เพียงแต่ว่าทองคำแท่งท่านจ่ายเงิน 100% ความเสี่ยงจึงอยู่บนความผันผวนของราคา หรือทิศทางของราคาเพียงอย่างเดียว สำหรับ Gold Futures เองเขาบอกให้ลงทุนได้เพียง 10% ก็สามารถซื้อ 1 สัญญา มีมูลค่า 7 หมื่นบาท ผมไปสัมมนา หลายคนบอกว่ามันเป็นความเสี่ยงอย่างมาก ผมก็เลยตอบนักลงทุนคนนั้นว่า ท่านเข้าใจผิด เพราะว่าถ้าท่านมีเงิน 100% ท่านจะซื้อ 1 สัญญาก็ไม่มีใครเขาว่า และเป็นการดีที่สุดเหมือนที่ท่านซื้อทองคำแท่ง และท่านสามารถเหลือเงิน 90% อยู่ในบัญชีออมทรัพย์ของท่าน นั่นหมายความว่าคนโดยส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่ามีเงิน 10% และไปลงทุน Gold Futures ได้ และจะมีความเสี่ยง ผมพยายามบอกว่า คุณสามารถมีเงิน 100% แต่ซื้อ 1 สัญญาใช้เงิน 10% ความเสี่ยงจะเท่ากับที่คุณซื้อทองคำแท่งใช่หรือไม่ นักลงทุนท่านนั้นจึงถึงบางอ้อว่า จริงๆ แล้วความเสี่ยงเขาบอกว่าขึ้นอยู่กับการบริหารเงินลงทุนที่ท่านมีอยู่ต่างหาก เอาล่ะ นอกจากนี้การลงทุนในทองคำสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความรู้และความเข้าใจว่าทองทำไมถึงขึ้น หรือทองทำไมถึงลง และเมื่อเข้าใจแล้วจึงจะต้องมาผสมผสานกับวิธีบริหารเงินลงทุนของท่านดังที่กล่าวแล้วข้างต้น ดังนั้น ความเสี่ยงในการลงทุนจึงขึ้นอยู่กับวิธีการที่ท่านลงทุนมากกว่าขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นทองแท่งหรือ Gold Futures สรุปว่า พอจะเข้าใจในเบื้องต้นว่า จริงๆ แล้วโอกาสในการลงทุน Gold Futures เขาให้ท่านใช้เงินน้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านมีเงินเพียงเท่านั้นและนำมาลงทุน ยกตัวอย่างเช่น ท่านต้องการซื้อบ้าน 1 หลัง มูลค่า 1 ล้านบาท เขาให้วางเงินดาวน์เพียง 5 หมื่นบาท และสามารถซื้อบ้านหลังนั้นได้ ที่เหลือผ่อน ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมี 5 หมื่นบาท แล้วจะไปซื้อบ้านหลังนั้น ถือว่าเป็นการบริหารเงินผิด ท่านต้องมีเงินอย่างน้อย 2-3 แสนบาทขึ้นไป และหวังพึ่งธนาคารเพื่อผ่อนบ้านต่างหาก กลับมาหา Gold Futures คือ ให้ท่านลงทุน 10% ของมูลค่าสัญญา ก็คือไม่ได้หมายความว่าท่านมีเงินทั้งเนื้อทั้งตัวเพียง 10% เอาล่ะ หวังว่าท่านจะเข้าใจวิธีบริหารเงินทุนในเบื้องต้นง่ายๆ ของ Gold Futures กัน คราวนี้เรามาดูว่าเจ้า Gold Futures กับทองคำแท่งมันต่างกันอย่างไร ผมได้นำตารางเปรียบเทียบความแตกต่างของทองคำแท่งและ Gold Futures อย่างง่ายๆ ให้ดู 7 หัวข้อ อย่างไรก็ดี มีข้อพึงระวังของ Gold Futures คือ นักลงทุนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนใน Gold Futures เนื่องจากใช้เงินลงทุนเพียง 10% โอกาสทำกำไรสูง แต่หากขาดทุนก็จะเป็นจำนวนที่สูงเช่นกัน ดังนั้น Gold Futures จึงเหมาะสำหรับนักลงทุน ดังนี้ 1.มีเงินน้อย แต่ต้องการลงทุนในทองคำ 2.มีความรู้ในการลงทุน พร้อมที่จะศึกษาและติดตามการลงทุน ดังนั้น จะเห็นได้ว่า Gold Futures จึงเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดที่ต่างประเทศได้รับความนิยมอย่างสูง อันจะเห็นได้ว่า Gold Futures ในต่างประเทศจะมีมูลค่าการลงทุนสูงกว่าตลาดทองคำแท่งถึงประมาณ 100 เท่า ในท้ายที่สุด ขอปิดท้ายตลาดทองคำแท่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือในช่วงวันที่ 11-15 พ.ค. เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าภาพรวมใน 5 วันที่ผ่านมา ราคาทองคำต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 17 เหรียญสหรัฐ จากระดับ 913 เหรียญสหรัฐในวันจันทร์ มาอยู่ที่ระดับ 930 เหรียญสหรัฐในคืนวันศุกร์ แต่สิ่งที่ทำให้ราคาทองคำไทยไปไกลไม่ค่อยได้ คือค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างมาก ตามค่าเงินสกุลของภูมิภาค โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจาก 34.80 บาทในเช้าวันจันทร์ ลงมาอยู่ที่ระดับ 34.55 บาทในวันศุกร์ จึงทำให้ราคาทองคำไทยดูเหมือนจะไปไหนไม่ค่อยไกล แถวๆ ระดับ 15,000-15,150 (ราคาขายออก) อย่างไรก็ดี ภาพรวมหรือทิศทางราคาทองคำถ้าวิเคราะห์ทางเทคนิคอยู่ในเกณฑ์ถือว่าดี การที่ราคาทองคำยืนเหนือระดับ 910 เหรียญสหรัฐได้ และสามารถไต่ระดับสูงจนมาปิดที่ 930 เหรียญสหรัฐในคืนวันศุกร์ ถือเป็นสัญญาณตลาดกระทิงโดยสมบูรณ์ โดยราคายืนอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยทุกเส้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 7 วัน, 20 วัน, 30 วัน, 50 วัน, 100 วัน และ 200 วันก็ตาม Oscillator ต่างๆ เป็นสัญญาณซื้อโดยมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 935 เหรียญสหรัฐ และถ้าสามารถทะลุ 935 เหรียญสหรัฐ ก็จะสามารถไปสัมผัสระดับสูงสุดเดิมเมื่อเดือนมี.ค. ที่ระดับ 960 เหรียญสหรัฐได้ โดยมีระดับ 950 เหรียญสหรัฐ เป็นแนวต้านทางจิตวิทยาเท่านั้น แนวรับสำคัญอยู่ที่ 920 เหรียญสหรัฐ และ 910 เหรียญสหรัฐ ตามลำดับ ปรากฏว่าสัญญาณทางเทคนิคต่างๆ ค่อนข้างมีผลต่อราคาทองคำ ณ ขณะนี้อย่างมาก หรือพูดได้ว่าสูงกว่าปัจจัยพื้นฐาน 9:1 สำหรับค่าเงินบาทโอกาสที่จะแข็งค่าไปจากนี้ก็ยังมีอยู่ หลังจากที่ราคาหลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 34.80 บาทลงมา สัญญาณทางเทคนิคทั่วไปดูเหมือนว่าจะแข็งค่าต่อ กล่าวโดยสรุป การลงทุนในทองคำ ณ ขณะนี้มีความน่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง หรือ Gold Futures จะมีโอกาสที่นักลงทุนสามารถเพิ่มผลกำไรและสร้างความมั่นคงได้มากกว่าตลาดหุ้น ไม่ต้องเลือกจำนวนหุ้นมากมายให้เกิดความสับสน แต่แน่นอน ควรจะลงทุน ให้ถูกทาง จะต้องศึกษาให้ดี และเลือก Broker ที่มีความเชี่ยวชาญในระบบค้าทองคำอย่างแท้จริงเท่านั้น |