รัก เป็น ของเธอ
คนบางคนเอา "ความรัก" เป็นเครื่องต่อรองการใช้ชีวิต หมดความรัก ชีวิตก้อหมดความหมาย
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ใช้ชีวิตมาได้ดิบดี ไม่มีปัญหาอะไร พอเจอความรัก ก้อหน่วงเหนี่ยวมาเป็นสมบัติของตัวเอง
มอบชีวิตทั้งชีวิตให้ตกอยู่ในความดูแลของความรักและเมื่อวันหนึ่งที่เขาเดินจากไป ก้อกลับมองเห็นว่า
เขาเอาความรักนั้นไปด้วย เหมือนเขาเอาชีวิตเราไปด้วย แล้วร่างกายของเราจะอยู่อย่างไร เมื่อโดนขโมยวิญญาณ
และชีวิตไปเธอคงลืมไปแล้วว่า เธอได้สร้างความรักขึ้นมาด้วยตัวเธอเอง
เขาไม่ได้เป็นคนเอาความรักมา ความรักของเขาก้อคือของเขา ของเธอก้อคือของเธอ เมื่อของเขาหมด แล้วเขาเดินกลับไป
ทำไมของเธอต้องหมดไปพร้อมกับเขา มันไม่ได้เริ่มขึ้นมาพร้อมกันด้วยซ้ำ ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากหัวใจเดียวกันสักหน่อย
หัวใจหนึ่งหายไป แต่เธอก้อยังหายใจอยู่ และความรักของเธอมันก้อยังอยู่กับหัวใจเธอ
ถ้าเธอใช้ "ความรัก' เป็นข้ออ้าง ทำไมเธอไม่ใช้ความรักที่อยู่ในใจเธอดูแลชีวิตเธอล่ะ มันยังมีความหมายต่อใครอีกหลายคน
เลิกมองตัวเองว่าเป็นผู้ถูกดูแล แต่มองกลับไปว่า เธอต้องมีชีวิตอยู่เพื่อดูแลอะไรบ้าง
เธอจะรู้ว่าชีวิตเธอมีความหมายแค่ไหน และไม่มีใครเอาความรักของเธอไปจากใจเธอได้
ถ้าเธอโยนความหมายของชีวิตให้ความรัก เธอก็ต้องรู้ด้วยว่า ความรักแบบไหนที่จะทำให้ชีวิตเธอมีความหมาย
Voice Mail Box
“มีคนเคยบอกว่า...ชีวิตคือความบังเอิญ..แต่ความบังเอิญบางครั้งก็เปลี่ยนแปลง..มุมมองเราใหม่ทั้งชีวิต”
ผมไม่เคยเชื่อในข้อความนี้...จนกระทั่งวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ผมเปิดมือถือขึ้นตอนเช้า ผมได้รับข้อความ SMS บอกว่า ผมมีข้อความเสียงฝากไว้ ใน Voice Mail Box ของผมให้โทรเข้าไปฟัง...
ผมกด เข้าไปฟัง แต่พอฟัง...ผมกลับรู้สึกแปลกใจใหญ่เพราะเสียง! ของคนที่ฝากข้อความไว้นั้นผมไม่คุ้นเอาเสียเลย...
และยิ่งฟังข้อความที่ฝากไว้...ยิ่งน่าจะไม่เกี่ยวกับผมเลยด้วยซ้ำ แต่เสียงเศร้า ของชายสูงวัยนั้น ทำให้ผมสะดุดใจผมอย่างยิ่ง
“ชัย...นี่พ่อนะ พ่อพยายามติดต่อลูกหลายครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้ คือ พ่อต้องเข้ารพ.ไปผ่าตัดอาทิตย์หน้า และหมอให้พ่ออยู่ที่
โรงพยาบาลตั้งแต่พรุ่งนี้..ที่บ้านไม่มีคนอยู่..ถ้าลูกว่างก็แวะมาได้ที่ โรงพยาบาลโคราช บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มาก......”
เสียงปลายทาง..สิ้นสุดลง ผมอึ้งและ...งง กับข้อความที่เพิ่งฟังจบไป อยู่พักหนึ่ง
ผมไม่ได้ชื่อชัย...และผม ก็ไม่มีพ่ออยู่โคราช พ่อผมเสียไปนานมากแล้ว...
ผู้ชายคนนั้นคง..กดเบอร์โทรผิด ผมคิดแค่นั้น และพยายามไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งฟังมา
ทำไมต้องสนใจ????..มันไม่เกี่ยวกับผม..!
แต่ตลอดวันนั้น เสียงล้าๆ เหนื่อยๆ ของชายคนนั้นที่ฝากไว้ใน Voice Mail Box วนเวียนเข้ามารบกวนใจผมเป็นระยะ...
ผมได้แต่คิดว่า ผมมีสิทธิ์ที่จะลืมมัน? มันไม่ใช่หน้าที่อะไรของผมที่จะต้องสนใจ กับแค่การฝากข้อความผิดเบอร์...แต่ประโยค
“บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มากนัก......”
มันทำให้ผมรู้สึกแย่ หากไม่ลุกมาทำอะไรสักอย่าง
ผมตัดสินใจโทรกลับไปที่หมายเลขที่โทรมาฝากข้อความไว้....ซึ่งเป็นโทรศัพท์บ้าน...
ผมโทรไปหลายต่อหลายครั้ง ไม่มีคนรับสาย....ใช่ป่านนี้เค้าคงอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
ผมได้แต่ถอนใจและพยายามบอกว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว...!
แต่ตอนเย็นของวันนั้น ในที่สุด ความสำนึกดี..(ที่มีอยู่ไม่มากนักในตัวผม)
ก็(ดัน) ดลบันดาลในให้ผม หาทางออกได้ว่า ผมน่าจะลองโทรไปหาเบอร์มือถือที่ใกล้เคียงกับผมดู
เผื่อบางที อาจจะมีเบอร์ใด...ที่อาจจะเป็น ลูกชายของคนที่ฝากข้อความไว้ก็ได้
เพราะถ้ากดผิดได้แสดงว่าหมายเลขคงจะห่างกันไม่มาก
ผมตัดสินใจไล่...กดเบอร์มือถือ ที่ใกล้เคียงกับเลขหมายโทรศัพท์ของผม ตั้งใจว่าจะกด แค่สิบเบอร์แรก...เท่านั้น
โดยเรียงจากเลขที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด...ผมทำมันด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่นักหรอก..
เพราะมันไม่สนุกเลยที่คุณจะต้องโทรไปหาใครที่ไม่รู้จักแล้วบอกเค้าว่า
“สวัสดีครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ..! .ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียงกับคุณ คือ คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า....”
ทายซิครับ...ผมได้รับคำตอบ....อะไรบ้าง?
บ้างก็วางสายใส่อย่างไม่ปราณี...
บ้าง..ก็ถามกลับมาว่า คุณบ้าหรือเปล่า?
แต่คำตอบยอดนิยมที่ผมได้รับ...คือ....“ขอโทษนะค่ะ...ดิฉันไม่ซื้อประกันตอนนี้...และทำบัตรเครดิตครบทุกธนาคารแล้วค่ะ”
ผมอยากจะบ้าตาย..ผมไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องประกัน กับ บัตรเครคิตซะหน่อย..เฮ้อ...
บางที...คนสมัยนี้ คงยุ่งเกินกว่าที่จะ คุยกับคนแปลกหน้า..ก็ได้...มั้ง……
ผมนึกโกรธ เจ้าความสำนึกดีในตัวเอง...ที่มันยังดึงดันพยายามต่อ...
จากที่ตั้งใจว่า จะโทรแค่ 10 เบอร์ที่ใกล้เคียงเท่านั้น แล้วผมก็ลามปราม...โทรไปถึง..สามสิบเบอร์
แต่ในที่สุด..ผมก็ต้อง..ถอนใจ ...หมดหวัง..เมื่อเบอร์สุดท้ายก็ติดต่อไม่ได้
ผม...ตัดสินใจฝากข้อความ Voice Mail ของหมายเลขที่ผมลองสุ่มโทรไป... ด้วยประโยคที่ผมพูดซ้ำกันมากกว่า 30 รอบ อย่างเชี่ยวชาญ
“สวัสดีครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียงกับคุณ คือ คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด
และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า....”
ผมวางสาย...เบอร์โทรที่เป็น...เป้าหมายสุดท้าย...เสร็จสิ้นไปแล้ว...
ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่า...ผมทำดีที่สุดแล้ว...และไม่ควรรู้สึกผิดอะไรอีก
ผมหลับตานึกภาพพ่อของคนที่ชื่อชัย....ที่ต้องนอนป่วยโดดเดียวที่โรงพยาบาล
ผมได้แต่หวังว่า เค้าจะมีช่องทางการติดต่อสื่อสารอย่างอื่นที่ทำให้สองคนนี้ได้คุยกันได้
แต่แล้ว...สวรรค์ ก็คงมีตาอยู่บ้าง...
(จริงๆผมว่า สวรรค์น่าจะมี Call Center เพราะถ้ามีแค่ตาบางทีอาจจะมองไม่เห็นทุกคนที่เดือดร้อน...)
แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากเลขหมายหนึ่งเข้ามา.... นั่นคือ...เลขหมายสุดท้ายที่ผมฝากข้อความไว้ใน Voice Mail นั้นเอง
“ขอโทษนะครับ...คุณใช่คนที่ฝากข้อความไว้ใน Voice mail ของผมหรือเปล่า? ผมชื่อชัย…”
และแล้ว...ภาระกิจอันยิ่งใหญ่...ของผมก็สำเร็จ...เมื่อคนที่ชัยโทรกลับมาจริงๆ
แม้ในน้ำเสียงของเค้าดูจะไม่ค่อยไว้วางใจกับเรื่องที่ผมเล่าเท่าไหร่...และยังสงสัยอยู่หลายประเด็น
แต่เมื่อผมบอกว่า...เขาสามารถโทรไปสอบถาม ที่โรงพยาบาลโคราชได้ว่ามีชื่อพ่อเค้าอยู่หรือเปล่า
เขาวางหูและเงียบหายไปพัก...และโทรกลับมาขอบคุณผม
เพราะที่โรงพยาบาลโคราชยืนยันว่ามีคนป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่ชื่อตรงกับคุณพ่อของเค้าจริงๆ
ผม...อึงไปพัก..เมื่อรู้ว่า...น้ำเสียงล้าๆ...ที่ผมได้ยินจาก Voice Mail Box นั้น
เกิดจากการเป็นโรคร้ายระยะสุดท้าย..
ชัยรีบเดินทางกลับไปโคราช เขาไปถึงก่อนที่พ่อจะผ่าตัด..
แค่หนึ่งวัน ชัย โทรมาขอบคุณผมอีกครั้ง
เขาเล่าว่าสาเหตุที่..เขาต้องปิดมือถือ หนีหน้าครอบครัว..และคนอื่น..
เพราะธุรกิจที่เขาที่กรุงเทพมีปัญหา...เขาต้องหนีเจ้าหนี้...ที่ตามทวงอย่างหนัก
เขาบอกว่า...แต่สิ่งที่โชคดีที่สุดของเขา..ตอนนี้ อย่างน้อย เขาก็ได้มีเวลาได้ดูแลพ่อ แม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก็ตาม
ผมยังเก็บข้อความเสียง ของคุณพ่อของชัยเอาไว้ และ แอบกด เข้าไปฟังอีกหลายครั้ง
เพราะ ท่ามกลางชีวิตที่ยุ่งวุ่นวาย..จนไม่มีเวลาจะสนใจคนอื่น..ของผม
ข้อความเสียงนั้น ใน Voice Mail Box ที่ผมได้รับโดยบังเอิญนั้น..
....คอยเตือนให้ผมรู้ซึ้ง ถึงความหมายของคำว่า
“การที่เรายอมลำบากเพียงเล็กน้อย...เพื่อคนอื่นบ้างนั้น ใครจะรู้ว่า...
บางที มันอาจจะหมายถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดของอีกคนหนึ่งก็ได้”
"ครบ" แต่ทำไมเหมือน "ขาด"
ถ้าไม่มีเวลา อ่านเฉพาะสีแดง
ก็ได้นะคะ อ่านนะ 2-3 ประโยค
ก็ทำให้เราได้คิดอะไรบางอย่างได้
เพื่อน Forward mail เรื่องนี้มาให้
อ่านแล้วได้แง่คิด เตือนใจหลายอย่าง เลยอยากนำมาแบ่งปันค่ะ
เคยได้ยินชื่อหนังสือ ' ไม่ครบ ๕ ' ครั้งแรกจากพี่จิก
ประภาส ชลศรานนท์ ค่ะ ตั้งแต่นั้นก็ขวนขวายไปหาหนังสือ เล่มนี้มาอ่าน
มันเต็มตื้น มีความสุข และหัวเราะเยาะตัวเองเป็นระยะ ๆ
คนไทยเรา เมื่อไหร่ที่กำลังจะได้ ต้อนรับสมาชิกใหม่ในครอบครัว
เรามัก ภาวนาขอให้เด็กที่เกิดมามีอวัยวะครบ ๓๒ แต่ในญี่ปุ่นมักน้อยกว่าเรามากค่ะ
เค้าขอแค่เพียงเด็กที่เกิดมามีอวัยวะ ครบ ๕ ก็พอแล้ว คือ ๑ หัว ๒ แขน ๒ ขา
หนังสือเรื่อง ' ไม่ครบ
๕ ' เขียนโดยผู้ชายคนหนึ่ง ฮิโรทาดะ โอโต ทาเกะ ที่เกิดมาขาดไปตั้ง ๔ ไม่มี ๒ แขน ไม่มี
๒ ขา ใช้ชีวิตครึ่งท่อนอยู่บนรถเข็น แต่สีหน้าแวว ตาไม่มีรอย หม่น แห่งความน้อยเนื้อต่ำใจ
ที่มีไม่เท่า คนอื่นแม้แต่น้อย ยิ้มใส ๆ ที่ยิ้มได้ทั้ง
ใบหน้าและสายตาภายใต้แว่นกลม ๆ ขาว ๆ ตี๋ ๆ
คนที่มีแค่หัวกับลำตัว
เขาใช้ชีวิตได้อย่างไร ต้องลองไปอ่านดู ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศชาตินิยม
และเป็นสังคมอันหนึ่งอันเดียวกันเหลือเกิน จนบางทียากที่จะยอมรับความแตกต่าง
แปลกดีค่ะ คนญี่ปุ่นมีปัญหาในการอยู่ร่วมกับคนพิการ ไม่ใชใจร้ายนะคะ แต่
ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวต่อคนพิการอย่างไร ไม่คุ้น ไม่ชิน โอโตทาเกะถ่ายทอดชีวิตของตัวเองในหนังสือ
เพื่อที่จะบอกว่า ' ความพิการคือความไม่สะดวก
แต่ไม่ ใช่ความไม่สบาย ' การดูแลเขาไม่จำเป็น ต้องสงสาร
หรือประคองเสียจนทำให้ เขารู้สึกด้อยค่า
แค่อำนวยความสะดวกบางอย่างที่เขาขาดก็เพียงพอแล้ว
โชคดีเหลือเกินที่เขาเกิดมาในครอบครัวที่เข้าใจ แม่ส่งเรียนในโรงเรียนของเด็กปกติ
ให้เขาได้รู้จักการใช้ ชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาคนหนึ่งทั่วไป จนวันนี้
คนที่มีร่างกายไม่ครบ ๕
อย่างเขาสามารถฝึกฝนและเพียรพยายามจนเล่นบาสเกตบอลและเบสบอลได้ พอเรียนจบ
ก็มาทำงานเป็นผู้สื่อข่าวกีฬา เมื่อไม่นานนี้ มีข่าวของเขาลงใน หนังสือพิมพ์อีกครั้ง
ล่าสุด เขาลาออกแล้ว
เพื่อมาประกอบอาชีพที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุดตอนนี้...คือการเป็นคุณครูค่ะ
สอนวิชาศีลธรรมให้กับเด็ก ป.๑-ป.๖ ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว
เพื่อสอนให้เด็กเรียนรู้ถึงความแตกต่างในสังคม นอกจากตำราเรียนแล้ว
สื่อการสอนที่ดีที่สุดอีกชิ้นหนึ่งของเขาก็คือ ประสบการณ์ชีวิตจริงที่เด็ก ๆ
ได้เรียนรู้โดยมองจากชีวิตของ คุณครูโอโตทาเกะคนนี้นี่เอง (อ่านออก เสียงแบบ '
ทีวีแชมเปี้ยน ' จะได้อารมณ์มาก)
คุณครูให้สัมภาษณ์ว่า ความฝัน สูงสุดอีกอย่างของเขาคือ อยากให้คน
ในโลกอยู่กันอย่างสันติ...
หากศักยภาพและตัวตนของผม
ทำให้เข้าใกล้ความหวังแม้เพียงก้าวเดียว
ผมก็พอใจและรู้ซึ้งถึงความหมายของการได้เกิดมาบนโลกนี้แล้ว
นั่น สิคะ ทำไมบางทีที่เรารู้สึกแย่ เราชอบถามตัวเองว่า
ทำไมเรื่องนี้ต้อง เกิดขึ้นกับเรา ? ทำไมโลกไม่ยุติธรรมกับเรา
? ในขณะที่โลกสร้างอาวุธครบ มือมาให้
สร้างลมหายใจไว้เป็นเสบียง แล้วปล่อยเราลงมาต่อสู้ ในขณะที่บางคน
โลกให้แต่ลมหายใจ แต่เขายังพยายามหาคุณค่าและประโยชน์ของตัวเอง
ที่จะให้กับโลกใบนี้ ทำไมเราถึงได้คิดต่างกันขนาดนี้
อ่านแล้วบางทีถึงอยากหัวเราะเยาะตัวเองไงคะ ๒ แขน ๒ ขาไม่มี
สิ่งที่ยากที่สุดของเขาคือเดิน หรือกอด ใครสักคน ซึ่งเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับ
เรา แต่ทำไมชีวิตที่มีอวัยวะเกิน ๕ อย่างเราถึงยิ้มได้ไม่เท่าเขา ทุกข์โศกเสียใจ
ท้อใจกับบางเรื่องมากจนเกิน จำเป็น ทั้ง ๆ ที่เรามีในสิ่งที่คนอื่นขาด
ตั้งมากมาย
หายใจลึก ๆ ค่ะ เวลาเจอปัญหา ถ้าหายใจเข้าแล้วยังหายใจออกได้ นั่น
แสดงว่าทุกอย่างยังเป็นเรื่องเล็กอยู่ เพราะลมหายใจยังเป็นของเรา
เมื่อไรก็ตามที่เราเจอเรื่องหนักมาก ๆ แล้วยัง
สามารถใช้นิ้วมือกดโทรศัพท์ไปเล่าให้ ใคร ๆ หรือแม้แต่ดีเจฟังได้ว่า ฉันแย่ แล้ว
เศร้าเหลือเกินละก็ แปลว่าเรายัง โชคดีกว่าคนอื่นอีกมาก
ชีวิตไม่ครบ ๕ อย่างคุณครูโอโต- ทาเกะ ๒ แขน ๒ ขาที่คุณครูไม่มี
ทดแทนไม่ได้กับหัวใจที่อาจมีมากกว่า คนอื่น ๆ ชีวิตครึ่งท่อนบนรถเข็น คือ
กำลังใจของคนทั่วโลกที่มีโอกาสได้เรียน รู้ชีวิตของคุณครู และแอบอิจฉารอยยิ้ม
หลังแว่นตานั้นอยู่..
ถ้าชีวิตนี้มีโอกาสยิ้มได้มากเท่า ที่ครูยิ้ม...ก็ดีใจมากแล้ว