หนูจ๋อยเชื่อ ว่า
หลายๆ ท่าน คงเคยรู้สึก อย่างที่หนูรู้สึก
หลายท่านผ่านไป...ไม่ติดใจอะไร
บางท่าน เริ่มมี คำถามขึ้นในใจ
สิ่งนี้คืออะไร ..........เราคิดนึกไปเอง
หรือ คือ หนึ่งในความ " มหัศจรรย์ ของจิต "
หลายๆ ครั้ง หนู กำลังทำสิ่งหนึ่งอยู่ แล้ว ต้องหยุดชะงัก
นิ่งไปชั่วอึดใจ ...เอ๊ะ!!!
ดูราวกับเราเคยทำสิ่งนี้ ล่วงไปแล้วนี่
ทำไมเราคุ้นเคยกับที่นี่
ทำไมเรา คาดคะเนได้ว่า
เดี๋ยวเราจะพบอะไร เพราะจิตเราคุ้น และ เคยชินกับสิ่งนี้ๆ
มาแล้ว แต่ตอบตัวเองไม่ได้ว่า เมื่อไหร่?
อาจไม่ใช่ ภพ ชาตินี้
อาจติด ตามเรามา
เพื่อนๆ เคยรู้สึก อย่างหนู มั้ย คะ?
ประสบการณ์ "เดชาวู" (Deja vu) จิตมนุษย์..สุดอัศจรรย์
"เอ๊ะ!เหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วนี่!
เชื่อว่าทุกท่าน?
คงจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน
คือบางครั้งทำอะไร
เพลินๆอยู่ กลับมีความรู้สึกน่าพิศวงว่า
เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่นั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
แถมบางครั้งเรายังรู้ด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นอีก!
เข้า ใจว่าภาษาไทยไม่มีคำเรียก
เลยต้องขอใช้ศัพท์ฝรั่งไปก่อน คือเดชาวู
มาจาก deja vu
ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า"เคยเห็นมาก่อนแล้ว"
เรื่องเดชาวู นักวิทยาศาสตร์จะว่าอย่างไร
ในเมื่อมันเกิดกับคนทั้งโลกไม่ว่า
จะเป็นคนไทยคนจีนหรือฝรั่งหมอฝรั่งเขาทำวิจัยเอา
ไว้
พบว่าเด็กที่อายุน้อยที่สุดที่มีประสบการณ์เดชาวูคือ 5ปี
แต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดตอนช่วงอายุ 15-25ปี
คุณหมอดร.Vernon Neppeผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเรื่องนี้
ได้แบ่งประสบ การณ์ลักษณะนี้เป็นแบบย่อยๆได้ถึง 21 แบบ
เช่น deja vecu (เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว)
deja senti(เคย รู้สึกอย่างนี้มาแล้ว)
และdeja visite(เคยมาสถานที่นี้มาแล้ว)
เป็นต้นมีทฤษฎีอธิบายไหม?
เรื่องพิศวงแบบนี้ย่อมมีคำอธิบาย ทั้งแบบลึกลับแกมไสยศาสตร์
ไปจนถึงทฤษฎีทางการแพทย์และ
จิตวิทยาสมัยใหม่อย่างเช่นบางท่านก็เสนอง่ายๆว่าจริงๆแล้ว
เหตุการณ์มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่เราดันลืมไปเอง
แต่การอธิบายแบบนี้นอกจากจะไม่ให้อะไรมากแล้วก็ยังมี
ข้อโต้แย้งตามมาอีกมากมายบางท่านก็ใช้ความเชื่อเรื่องชาติก่อน
เรื่องกายทิพย์หรือความสามารถพิเศษในการหยั่งรู้อนาคตล่วงหน้า
(ที่ฝรั่งเรียกว่าclairvoyance)ในการอธิบาย เช่น
ชาติก่อนเรา อาจจะเคยอยู่ในสถานที่แห่งนั้นๆมาก่อน
หรือกายทิพย์ ของ เราไปแวะเวียนสถานที่แห่งนั้นมาก่อน
แต่คำอธิบายแบบนี้ไม่สามารถอธิบายในกรณี
รู้สึกถึงการดำเนินไปของเหตุการณ์ (ที่รู้สึกว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้ว)
อันเป็นส่วนสำคัญของเดชาวูบาง ลักษณะได้
บางท่านก็ บอกว่า เดชาวู เกิดจากการที่จิตปรับการ รับรู้เรื่องเวลา
เพื่อหลีกเลี่ยงประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์
แต่คำอธิบายนี้ ก็ไม่ค่อยเข้า เค้าเช่นกัน เพราะความรู้สึก ตอนเกิดเดชาวู
นั้นมักจะไม่ได้คุกคามคนที่รู้สึกแต่อย่างใด
ในปีค.ศ.1955 คุณหมอ Wilder Penfieldซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน
การผ่าตัดสมอง ได้ทำการทดลองโดยใช้กระแสไฟฟ้า อ่อนๆกระตุ้น
กลีบขมับของสมองของคนทั่วไปและพบว่าประมาณ 8% ของผู้ถูกทดลอง
เกิดมีความจำขึ้นมาได้ซึ่ง อาจเรียกว่าเป็น
เดชาวูที่เกิดจากการกระตุ้น(artificially stimulate dejavu)
ในปัจจุบันการ แพทย์สมัยใหม่จะอธิบายว่าเดชาวูมักจะเกิดกับ
คนที่เป็น โรคลมบ้าหมูเนื่องจากมีปัญหาที่สมองกลีบขมับ(temporall obeepilepsy)
หรือมักจะเกิดภายหลังจากที่สมองกลีบขมับได้รับความเสียหายก่อนจาก
กันคุณลองเงยหน้ามองไปสำรวจรอบๆตัวดูสักนิด
ถ้าคุณรู้สึกว่าเคยอ่านบทความนี้มาก่อนโดยมีสภาพแวดล้อมคล้ายๆกัน
แบบนี้นี่ก็dejavuแน่ๆ
ลางสังหรณ์ - เดจาวู (DEJA VU)
เราทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ นั่นคือ เมื่อ ได้พบบุคคลแปลกหน้า หรือเห็นภาพสถานที่บางแห่ง ก็หวนรำลึกขึ้นฉับพลันว่า เอ๊ะ...เราได้เคยเห็นเขาผู้นั้นหรือสถานที่นั้นมาก่อนนี่นา แต่จะเป็นเมื่อใด ที่ใด นึกไม่ออก ดูรางเลือนประหนึ่งฝันไปละที่สำคัญสำหรับบางคนก็คือ เมื่อได้เห็นภาพนั้นแล้ว ต่อมาก็ได้เกิดเหตุการณ์จริงๆ ขึ้นประจักษ์ตา ทุกสิ่งในเหตุการณ์ นั้นเหมือนกับที่ได้เห็นล่วงหน้ามาก่อนโดยไม่ผิดเพี้ยน ปรากฏการณ์เหล่านี้ไทยเราอาจเรียกว่า ลางสังหรณ์ ภาพนิมิต ญาณบอกเหตุ แต่ทั่วโลกรู้จักกันดีในชื่อว่า เดจาวู
เดจาวู (DEJA VU)
เดจาวู (DEJA VU) แปลว่า เคยได้พบเห็นมาแล้ว คำว่าเดจาวูได้บันทึกขึ้นมาจากนักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศส Emile Boirac (1851–1917) ในหนังสือ L'Avenir des sciences psychiques (แปลว่า อนาคตของวิทยาศาสตร์จิตวิทยา) เคยไหม "รู้สึกเคยผ่านมาแล้ว" ญาณพิเศษ ทุกคนมี..ชาติก่อน, โลกคู่ขนาน, พลังจิต หรือรู้สึกไปเอง เดจาวู ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นปรากฏการณ์ที่มนุษยชาติพบพาน ทุกเพศวัย ทุกชนชาติแห่งหน คำอธิบายที่เรามักอ้างให้ตัวเองคือ "คิดไปเองน่า" เราคิดไปเองจริงหรือ ?
[ แก้ไข ] ทฤษฎีแรก อดีตชาติ
สิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีก เราจะผ่านประสบการณ์มากมาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำ แล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อนเดจาวู เป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ.. ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า เดจาวู มันเกิดจากการที่ขณะหลับ จะมีการหลับอยู่หลายขั้น (ประมาณ 5 ขั้น) ถ้าเห็นอนาคตที่เคยทำ ก็จะอยู่ประมาณขั้นที่ 3 ยิ่งขั้นมากขึ้น ความสัมพันธ์กับร่างกายและวิญญาณ จะยิ่งห่างไกลกันออกไป ถ้าหลับลึกถึงขั้นที่ 5 ก่อนหลับจะรู้สึกชาตามร่างกายทั้งตัว ขยับตัวเองไม่ได้ พูดไม่ได้ (ลักษณะที่คนทั่วไปเรียกว่าถูกผีอำ) ถ้าหลับในสภาพนี้ อัตราค่าซิงโครกับร่างกายจะลดต่ำ ลงจนเหลือ 0 แล้ววิญญาณก็จะหลุดออกจากร่างกาย..
ทฤษฎีที่สอง พลังจิต
บ้างก็ว่า เดจาวู เป็นพลังจิตรูปหนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นทิพจักขุญาณ (ความรู้คล้ายตาทิพย์) ซึ่งได้มาจากการเจริญสมถะภาวนาในหมวดของกสิณ 3 กองคือ
- เตโชกสิณ (กสิณไฟ)
- โอทากสิณ (กสิณสีขาว)
- อาโลกสิณ (กสิณแสงสว่าง)
เราทุกคนมีพลังจิต เพียงแต่จะอ่อนจะเข้ม บางทีเพราะเราไม่ได้ฝึก จะเก็บกดไว้ภายใน วันดีคืนดีก็ล้นออกมา ตามตำรา ถ้าได้ฝึก เราสามารถควบคุมได้ มีนักพยากรณ์หลายคน พยากรณ์ได้จากการเพ่ง ว่ากันว่า มีผู้หนึ่งมีเดจาวูแรงกล้ามาก หาใครเปรียบได้ไม่ เขาชื่อ นอสตราดามุส
ทฤษฎีที่สาม จักรวาลคู่ขนาน
อธิบายเกี่ยวกับ โลกคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน ก่อนหมายถึง จักรวาลที่ดำเนินไปพร้อมกับจักรวาลที่เราอยู่นี้ ทฤษฎีนี้นักฟิสิกส์ริเริ่มคิดขึ้นมา มีเหตุการณ์ที่เราลังเลอยู่ 2 ทาง แต่เราก็ตัดสินใจไปทางหนึ่ง แล้วคิดไหมว่า ถ้า ณ วันนั้นเราติดสินใจเป็นอย่างอื่น อะไรจะเกิดขึ้นในโลกนี้ที่เรามีตัวตนอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันก็มีเราอีกคนหนึ่งในอีกโลกหนึ่ง และมีโลกคู่ขนานมากมายนับไม่ถ้วน..เช่น ขณะนี้เราได้ตัดสินใจบางสิ่ง ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จ ขณะที่อีกคนของเราได้ตัดสินใจไปอีกทางทำให้ชีวิตตนเอง และผู้อื่นเสียหาย ก็เป็นได้ อีกตัวอย่าง บางครั้งคุณอยากฆ่าตัวตายแต่คุณล้มเลิก บางทีคุณในโลกคู่ขนานอาจฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้อะไรประมาณนี้ ตัวอย่าง ปัญหาทางทฤษฎีมิติเวลา สมมติคุณเดินทางย้อนเวลาได้ เมื่อวานคุณเก็งหุ้นตัวหนึ่ง วันนี้หุ้นนั้นล้ม คุณล้มละลาย คุณเดินทางย้อนเวลาไปเตือนคุณในอดีตคุณในอดีตรู้คำเตือน และยกเลิกหุ้นตัวนั้น เมื่อวานคุณไม่ได้ถือหุ้นตัวนั้น ถ้าเช่นนั้น วันนี้คุณไม่ได้ล้มละลาย ในเมื่อคุณไม่ได้ล้มละลาย คุณก็ไม่ได้เดินทางย้อนเวลาไปบอกตัวเองในอดีต คุณในอดีตก็ไม่รู้ว่า หุ้นตัวนั้นจะล้ม และเก็งหุ้นตัวนั้นตกลงวันนี้คุณล้มละลายหรือเปล่า
ทฤษฎีเกี่ยวกับโลกคู่ขนาน
จึงถูกคิดขึ้นเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ความผันผวนของมิติเวลาเหล่า นี้ ทุกๆเหตุการณ์ที่เรามี 2 ตัวเลือก จะเกิดโลกคู่ขนาน 2 โลก และจาก 2 โลก ถ้าเราเจอเหตุการณ์อื่นที่ต้องตัดสินใจ 2 ทาง แต่ละโลก จะเกิดโลกคู่ขนานอีก 2 โลก โลกคู่ขนานจึงมีจำนวน นับไม่ถ้วน จากตัวอย่างเรื่องหุ้น ทฤษฎีอธิบายว่า คุณไม่อาจเปลี่ยนอดีตของตัวได้ เมื่อคุณเดินทางไปบอกตัวเองให้เลิกหุ้นนั้น คุณในอดีต ที่ตัดสินใจไม่เอาหุ้นนั้น จะเกิดอนาคตที่วันนี้คุณไม่ล้มละลาย.. จริง แต่เป็น คนละอนาคต กับวันนี้ของคุณ ที่คุณล้มละลาย คือเกิดเป็น 2 โลก คุณกลับมาปัจจุบัน โลกวันนี้ คุณก็ยังล้มละลายอยู่ดี แต่โลกที่คุณย้อนไปบอก คุณอีกคนนั้นเขาไม่ล้มละลาย (ถ้าใครเคยดูการ์ตูนดราก้อนบอลแซดคงเข้าใจมากขึ้น ทรังค์ย้อนเวลาจากโลกที่ถูกหมายเลข 17,18 ทำลาย มาในปัจจุบัน ในที่สุดโลกที่เขามา ไม่ถูกทำลาย แต่เขากลับไป โลกของเขาก็ยังเป็นโลกที่ถูกทำลายอยู่ดี ไม่เช่นนั้นเขาจะมาได้อย่างไร) มีคนผูกทฤษฎีเดจาวู กับทฤษฎีจักรวาลคู่ขนาน กล่าวว่า การที่เรารู้สึกหรือเห็นภาพที่คล้ายว่าเคยทำมาก่อน นั่นแหละ คุณเคยทำจริง แต่เป็นคุณในอีกโลกหนึ่งต่างหากที่ได้ทำ คุณในทุก ๆ โลก ถูกผูกกันด้วยสายใยบางอย่าง อาจเป็นเพราะ สมองมีคลื่นตรงกัน ก็เป็นคุณคนเดียวกันนี่นา ในบางจังหวะที่เหมาะสม กระแสประสาทจูนกัน คุณก็ได้รับรู้ถึงกระแสความคิดจากคุณในอีกโลก
ทฤษฎีสุดท้าย คิดไปเอง
ตามแนวคิดของหลักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า เกิดจากสมองแปลข้อมูล ผิดพลาด พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ได้เห็นมาแล้วหรอก แต่คิดไปว่าเห็นมาแล้ว ทางการแพทย์เรียกว่า การไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองเกิดการผิดปกติ ทำให้การกระทำที่กำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้น คลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้..สมองคนเราก็เหมือนเครื่องจักรย่อมเกิดข้อผิดพลาด บ้างอธิบายว่า เดจาวู เกิดจากเมื่อสมองรับภาพมาจากประสาทตา ก็นำมาแปลความหมาย สมองมี 2 ซีก ตามี 2 ข้าง ประสาทตาซ้ายเข้าสมองซีกขวา ประสาทตาขวาเข้าสมองซีกซ้ายฉะนั้นสมองทั้งสอง ต้องทำงานประสานกันและกันอย่างมาก เมื่อเกิดสมองข้างหนึ่ง เกิดส่งข้อมูลมาช้าไปเพียงนิดเดียว ทำให้สมองแปลความหมายของภาพนั้นว่า เป็นภาพจากความจำไม่ใช้ปัจจุบันทำให้รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เจอนั้นเคยเห็น มันมาก่อน.. มีหลักฐานว่า โดยส่วนมาก คนที่เป็นลมบ้าหมู หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็น จะมีโอกาสเกิดบ่อยกว่า และมีโอกาสเกิดบ่อยมากขึ้น ก่อนที่จะมีอาการชักกระตุก
หลักฐานอ้างอิง
เหตุการณ์ที่รัสเซีย
ครั้งที่จักรพรรดินโปเลียนบุกรัสเซียในปี ค.ศ.1812 ภริยาของท่านเคานท์ตูชคอฟ นายพลรัสเซียได้ฝันว่า เธออยู่ในโรงเตี๊ยมของเมืองหนึ่ง ซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วบิดาของเธอก็เข้ามาในห้อง อุ้มลูกชายคนเล็กของเธอมาด้วย และบอกแก่เธออย่างเศร้าสร้อยว่า สามีของเธอเสียชีวิตในการศึกแล้ว “ความสุขของลูกจบสิ้นแล้ว” ผู้เป็นบิดากล่าว “สามีของลูกได้ล้มลง และสิ้นใจที่โบโรดิโน”ฝันนี้บังเกิดขึ้นแก่เธออีกสองครั้งจนเธอได้เล่าให้สามีฟัง ทั้งสองค้นหาดูในแผนที่ แต่ไม่พบเมืองโบโรดิโนแต่อย่างใด
ทว่าในวันที่ 7 กันยายน 1812 ทัพรัสเซียได้ถอยร่นและต่อสู้กับฝรั่งเศสอย่างดุเดือดที่ตำบลเล็กๆชื่อโบโร ดิโน ห่างทางตะวันตกของกรุงมอสโก 70 ไมล์ โดยเคาน์เตสส์ตูชคอฟกับครอบครัวพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ไม่ไกลจากแนวรบที่สามีของเธอเป็นผู้บัญชาการเท่าใดนัก เช้ารุ่งขึ้น บิดาได้อุ้มลูกชายคนเล็กของเธอเข้ามาในห้องและกล่าวว่า “สามีของลูกได้ล้มลง และสิ้นใจที่โบโรดิโน”
เหตุการณ์บนเรือ ซิตี้ออฟไลม์ริค
ส่วนเหตุการณ์ที่ผสมผสานถึงฝันกึ่งจริงได้เคยเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1963 บนเรือ “ซิตี้ออฟไลม์ริค”ที่แล่นจากลิเวอร์พูลไปนิวยอร์ก และเผชิญกับพายุกลางมหาสมุทรแอตแลนติกนานกว่าสัปดาห์ ทำให้ ครอบครัวทางบ้านต่างพะวงเป็นห่วงผู้โดยสารที่อยู่บนเรือ หลังคลื่นลมสงบ วิลมอท หนึ่งในผู้โดยสารจึงหลับสนิทได้ เขาฝันว่าได้เห็นภรรยาในชุดนอน เดินเข้ามาในห้องพัก เธอชะงักลังเลเมื่อพบว่ามันเป็นห้องคู่ และมีชายอีกคนหนึ่งนอนอยู่เตียงบนเหนือสามีเธอ ชายผู้นั้นจ้องดูเธอ ครั้นแล้วเธอก็ได้ตรงไปหาสามีที่เตียง จุมพิตเขา และออกไปอย่างเงียบๆ
วิลมอทตื่นขึ้นและเห็นชายที่อยู่ข้างบนกำลังมองเขาอยู่ ชายนั้นชื่อเตท อยู่ในอาการตะลึงงัน ที่ได้เห็นสตรีเข้ามาเยี่ยมเยือนวิลมอท เขาเล่าให้วิลมอทฟังถึงลักษณะของเธอและเหตุการณ์ซึ่งตรงกับที่วิลมอทฝันทุก ประการ เมื่อวิลมอทกลับถึงบ้าน ภรรยาได้ถามว่า รู้สึกหรือไม่ว่ามีใครไปเยี่ยมเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยในตอนสี่โมงเช้าของวันหนึ่งเธอรู้สึกเคลิ้มไปว่า เธอได้ไปหาเขา เธอผ่านความมืดแห่งท้องทะเลขึ้นไปบนเรือกลไฟลำหนึ่ง เดินจากดาดฟ้าลงไปยังห้องพักข้างล่างและได้พบเขา “คุณอยู่ในห้องพักที่ มีเตียงบนด้วยใช่มั้ย ผู้ชายที่นอนอยู่บนนั้นจ้องมาที่ฉัน ทำให้ฉันกลัวไม่กล้าเข้าไป แต่แล้วฉันก็เดินไปที่เตียงคุณ ก้มลงจูบแล้วก็ออกจากห้องไป” เธอเล่า
นอกจากนี้ ก็ยังมีเดจาวูอื่นๆ ที่เราอาจเคยได้ยินได้ฟังกัน อย่างเช่นเมื่อได้พบใครเป็นครั้งแรกแล้วเกิดอาการ “ปิ๊ง” ขึ้นมาทันที ... ใช่เลย เขาคนนี้แหละที่เคยปรากฏในจินตนาการของเรา หรือบางคนที่เคยเขียนภาพทิวทัศน์จากจินตนาการ แล้วก็ได้ไปพบทัศนียภาพนั้นตรงกับที่เขียนไว้เป๊ะๆ... เนินตรงนั้น...ต้นไม้ใหญ่ตรงนั้น...วัวกำลังยืนเคี้ยวเอื้องอยู่ตรงนั้น
บางคนมีประสบการณ์เดจาวูที่น่าอกสั่นขวัญหาย นั่นคือได้เกิดเห็นภาพนิมิตเป็นอุบัติเหตุบนท้องถนน เห็นภาพรถพังพินาศ คนบาดเจ็บและตายเกลื่อน และแล้วต่อจากนั้นไม่นาน เขาก็ผ่านไปพบเห็นอุบัติเหตุกับตาจริงๆ ทุกอย่างตรงกับภาพนิมิตที่เขาได้เห็นล่วงหน้า