นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ 294 :: กรกฎาคม ๕๒ ปีที่ ๒๕ คอลัมน์รับอรุณ : บูมเมอแรงแห่งชีวิต พระไพศาล วิสาโล เมื่อเราเหวี่ยงบูมเมอแรงออกไป สักพักมันก็จะย้อนกลับมาหาเรา ใช่หรือไม่ว่าการกระทำของเราก็เช่นกัน เราทำอะไรกับสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นย่อมส่งผลกลับมาที่เรา แม้จะไม่รวดเร็วหรือชัดเจนเหมือนบูมเมอแรงก็ตาม เมื่อเราจัดดอกไม้ให้งดงาม ดอกไม้นั้นก็กลับมาจัดใจเราให้งดงามตามไปด้วย เวลาเราจัดวางสิ่งของให้เป็นระเบียบ ดูแลบ้านให้สะอาด ใจเราก็พลอยเป็นระเบียบและสะอาดไปด้วย แต่ถ้าเราทิ้งของระเกะระกะ ปล่อยให้บ้านรกสกปรก บ้านนั้นก็ปรุงแต่งใจเราให้รกรุงรังไปด้วย สิ่งของที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น มิได้เป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเดียว หากยังกระทำต่อเราด้วย คนที่ให้คุณค่าสูงส่งแก่เพชรนิลจินดา ย่อมรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าหรือสถานะสูงส่งขึ้นยามได้สวมสร้อยเพชร แต่บางครั้งก็ถึงกับนอนไม่หลับหากมีเพชรเม็ดงามอยู่ใต้เตียง ต้นไม้ในสวน ทีแรกเราเป็นฝ่ายดูแลรักษามัน แต่เมื่อเติบใหญ่ มันกลับดูแลรักษาเรา เช่น ให้ร่มเงา ให้อาหาร เป็นสวัสดิการในยามแก่ หรือปกป้องร่างของเราในยามสิ้นลม ดังชาวต้งในประเทศจีนซึ่งมีหน้าที่ดูแลต้นไม้ประจำตัว(ที่ปลูกตั้งแต่แรกเกิด)ไปจนตลอดชีวิต และเมื่อสิ้นลมต้นไม้ต้นนั้นจะถูกโค่นเพื่อทำเป็นโลงบรรจุร่างของเขา ของชิ้นใดก็ตามหากเรายึดว่าเป็น “ของเรา”เมื่อใด มันก็จะมีอิทธิพลต่อเราทันที จนเรากลายเป็น “ของมัน”ไปเลยก็มี เช่น ยอมตายเพื่อรักษามันเอาไว้ ถ้ามันเกิดมีอันเป็นไป เสียหาย เสื่อมทรุด หรือสูญไป เราก็อาจล้มทรุดไปด้วย หรือถึงกับหมดสติไปเลยก็ได้ มิใช่แต่สิ่งที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้เท่านั้น แม้แต่สิ่งที่เป็นนามธรรมก็เช่นกัน ทีแรกเราปรุงแต่งมัน ต่อมามันกลับเป็นฝ่ายปรุงแต่งเรา จนถึงขั้นเป็นนายเรา ความคิดทั้งหลายที่เราก่อรูปขึ้นมาในหัว มันสามารถทำให้เรากินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะใจถูกมันสั่งให้คิด ๆ ๆ ต่อไปไม่ยอมหยุดบางครั้งมันก็ชักนำหรือบงการให้เราทะเลาะเบาะแว้งกับใครก็ได้หากเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น แม้คนนั้นจะเป็นพ่อแม่ ลูกหลานหรือคนรักก็ตาม ถ้ายึดมั่นถือมั่นกับความคิดใดมาก ๆ มันจะทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางไม่ให้เราเห็นหรือยอมรับความจริงที่สวนทางกับความคิดนั้น มันจะสั่งให้เราบอกปัดความจริงนั้นและจมอยู่ในความคิดนั้นต่อไป แต่ถ้าปรุงแต่งและหลงจมอยู่กับความคิดว่าฉันเป็นคนไร้ค่าเมื่อใด ความคิดนั้นก็สามารถบัญชาให้เราทำร้ายตัวเองได้เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ว่าทุกวันนี้เรากำลังกลายเป็นทาสของความคิดที่ตัวเองสร้างขึ้นมาทั้งนั้น สิ่งของฉันใด คนก็ฉันนั้น ไม่ว่าเราจะเกี่ยวข้องกับใคร คนนั้นย่อมมีอิทธิพลต่อเราเสมอไม่มากก็น้อย แม้แต่ผู้นำที่มีอำนาจก็หนีความจริงไม่พ้นว่า ลูกน้องไม่ได้อยู่ในอิทธิพลของเขาแต่ฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อเขาด้วย อย่างน้อยเขามีอำนาจได้ก็เพราะการยอมรับของลูกน้อง ถ้าลูกน้องไม่ยอมรับหรือไม่ให้ความร่วมมือเขาก็ทำอะไรไม่ได้ หรือถึงกับต้องลงจากอำนาจไป มองให้ลึกลงไป สิ่งของหรือผู้คนจะมีผลกระทบต่อเราอย่างไร ขึ้นอยู่กับการกระทำหรือวิธีการที่เราเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น คนที่กระทำกับผู้อื่นด้วยความรักหรือความเคารพ ย่อมได้รับความรักหรือความเคารพกลับคืนมา อาสาสมัครหลายคนที่ไปช่วยดูแลเด็กเล็กในสถานสงเคราะห์ พบว่าตนเองมีความสุขอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจไปให้ความสุขแก่เด็ก แต่กลับได้รับความสุขจากเด็กคืนมาอย่างไม่คาดฝัน บางคนรู้สึกว่าชีวิตของตนมีคุณค่ามากขึ้น เพราะความรักที่ได้กลับคืนมาจากเด็ก ชายหนุ่มบางคนถึงกับยอมรับว่า “ชีวิตผมสมบูรณ์ขึ้นเพราะเด็ก ๗ ขวบ” ให้ความรักก็ย่อมได้รับความรัก ให้ความสุขก็ย่อมได้รับความสุข แต่ถ้าคิดจะเอาความรักหรือตักตวงความสุข กลับไม่ได้ หรือได้ความเกลียดชังและความทุกข์มาแทน ทั้งนี้เพราะเมื่อเริ่มจากความเห็นแก่ได้ ก็ย่อมกระทำหรือแสดงออกด้วยความเห็นแก่ตัว อีกฝ่ายจึงตอบโต้ด้วยความเห็นแก่ตัวกลับมา ถ้าหวังตักตวงความสุขจากเขา เขาก็คิดตักตวงความสุขจากเราเช่นกัน ยิ่งแสดงออกด้วยความโกรธเกลียดแล้ว ก็แน่นอนเลยว่าย่อมได้รับความโกรธเกลียดกลับมา จะพูดว่าความโกรธเกลียดที่เหวี่ยงใส่เขา ย้อนกลับมาหาเราก็คงไม่ผิดนัก ทำอย่างไรย่อมได้ผลอย่างนั้น แต่ผลที่ย้อนกลับมาหาเรานั้นไม่จำเป็นต้องเกิดจากใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ หากเกิดจากการกระทำของเราเอง คนที่ชอบใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น ความรุนแรงนั้นเองจะย้อนกลับมาปรุงแต่งจิตใจของเขาให้เป็นคนก้าวร้าว โหดเหี้ยม หรือหยาบกระด้าง หรือทำให้จิตใจมีความดำมืดมากขึ้น จนสามารถทำสิ่งเลวร้ายได้ง่าย ตำรวจที่ชอบใช้วิธีการเหล่านั้นกับโจร ในที่สุดก็จะมีจิตใจใกล้เคียงกับโจรเหล่านั้น แม้แต่คนดีที่พร้อมใช้วิธีการฉ้อฉลสกปรกกับคนชั่ว หากทำเช่นนั้นบ่อย ๆ ก็จะกลายเป็นคนชั่วไปโดยไม่รู้ตัว มีผู้หนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “เมื่อคุณสู้กับอสูร พึงระวัง อย่าให้ตัวเองกลายเป็นอสูรไปด้วย” คนที่ยึดมั่นในความถูกต้องหรือผู้ที่ถือตัวว่าเป็นฝ่ายธรรมะ มักตกอยู่ในกับดักดังกล่าว เพราะเมื่อเห็นคนชั่ว ย่อมอยู่เฉยไม่ได้ ด้วยถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องจัดการกับคนชั่วเหล่านั้น ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนดีก็ยิ่งรู้สึกว่าตนมีความชอบธรรมที่จะจัดการกับคนเหล่านั้นด้วยวิธีใดก็ได้ เพื่อพิทักษ์ความถูกต้องหรือปกป้องธรรมะ เนื่องจากมีความโกรธเกลียดที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงพร้อมจะใช้วิธีที่ดุดัน ก้าวร้าว และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มต้นจาก ประณามด่าว่า โกหก หลอกลวงใส่ร้าย หลอกลวง ไปจนถึงลงมือฆ่า ดังกรณีบินลาเดนกับพวก หรือกลุ่มคริสตียนหัวรุนแรง การณ์จึงกลายเป็นว่ายิ่งพยายามปกป้องธรรมะมากเท่าไร ก็ยิ่งทำผิดศีลธรรมมากเท่านั้น ในเมืองไทยแนวโน้มเช่นนี้นับวันจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ครูที่เจ้าระเบียบหรือเคร่งศีลธรรม หากเอาแต่บ่นว่าหรือดุด่าลูกศิษย์ที่เกเร แม้จะยังไม่ถูกลูกศิษย์แผลงฤทธิ์หรือตอบโต้เอาคืน แต่การดุด่าว่ากล่าวเป็นอาจิณนั้นก็จะย้อนกลับมาหล่อหลอมจิตใจของครูให้เป็นคนหงุดหงิดเจ้าอารมณ์ รวมทั้งทำให้มีบุคลิกเคร่งเครียด หรือถึงกับหน้างอไปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าชอบจับผิดนักเรียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีนิสัยระแวง มองคนในแง่ลบ ไม่ใช่กับลูกศิษย์เท่านั้น แต่กับเพื่อนร่วมงานและคนในครอบครัวด้วย ที่จริงแม้ยังไม่ได้แสดงออกกับใครเลย เพียงแค่นึกคิดหรือรู้สึกต่อใครบางคนอยู่ในใจ ความรู้สึกนึกคิดนั้นก็ย้อนกลับมาส่งผลต่อเรา เช่น ถ้าโกรธเกลียดใคร แล้วปล่อยให้ความโกรธเกลียดนั้นดำรงอยู่ไปเรื่อย ๆ ความโกรธเกลียดนั้นก็กลับมาบีบคั้นบั่นทอนจิตใจ ทำให้เครียดหนักขึ้น นานเข้าก็กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ ที่ร้ายกว่านั้นก็คือความพยาบาทเจ้าคิดเจ้าแค้นจะถูกปลุกให้กำเริบจนครอบงำใจ ผลก็คือตนพร้อมจะทำสิ่งที่เลวร้ายได้เสมอ ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงผลต่อสุขภาพและวิถีชีวิต เช่น กินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายเจ็บป่วยด้วยสารพัดโรคซึ่งบางครั้งหาสาเหตุทางกายไม่พบ เมื่อเราโกรธเกลียดใครสักคน อยากให้เขามีอันเป็นไป คนแรกที่เดือดร้อนทันทีคือเรา ไม่ใช่ใครที่ไหน ในทางตรงข้ามหากเรามีเมตตาต่อผู้คน อยากให้เขามีความสุข แม้ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ความสุขก็เกิดขึ้นแล้วกับเราเป็นคนแรก เพราะเมตตานั้นย่อมนำความสงบเย็นมาสู่จิตใจ และทำให้ความทุกข์ของเรากลายเป็นเรื่องเล็กลง ไม่เพียงเท่านั้น หากเราลงมือทำเพื่อช่วยให้เขามีความสุข การกระทำอันกอปรด้วยเมตตานั้นจะช่วยลดความเห็นแก่ตัวในใจเรา ขณะเดียวกันก็ปลุกพลังฝ่ายบวกให้มีกำลังมากขึ้น ได้เห็นศักยภาพและคุณค่าของตัวเอง ยิ่งเห็นเขามีความสุข ความสุขนั้นก็ย้อนกลับมาทำให้เรามีความสุขมากขึ้น รู้สึกว่าชีวิตได้รับการเติมเต็ม หากทำด้วยใจอันเป็นกุศลหรือทำด้วยความรู้สึกที่เป็นบวก แม้จะกระทำกับสิ่งของที่ไร้จิตวิญญาณ ความรู้สึกและการกระทำอันเป็นกุศลนั้นก็ยังส่งผลย้อนกลับมาที่ผู้กระทำอยู่ดี ชายชราผู้หนึ่งเป็นอาสาสมัครช่วยแยกขยะ และทำให้ขยะนั้นกลับมามีคุณค่าขึ้นใหม่ (เช่น เอาไปรีไซเคิลหรือขายต่อ) หลังจากทำมาได้ไม่กี่เดือน เขาพบว่าเขาได้กลายเป็น “ขยะคืนชีพ” จากเดิมที่รู้สึกว่าตนไร้ค่า ได้แต่อยู่รอวันตาย กลับกลายเป็นคนที่มีชีวิตชีวาและรู้สึกเป็นบวกกับตนเองอีกครั้งหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง การที่เขาพากเพียรทำให้ขยะในมือกลับมาเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า มันได้ช่วยให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนจาก “ขยะ”ในความรู้สึกของเขากลายมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่าน่าภูมิใจ ไม่ว่าเราจะทำหรือรู้สึกนึกคิดอย่างไร ไม่เคยสูญเปล่า มันไม่เพียงส่งผลต่อผู้อื่นหรือสิ่งภายนอกเท่านั้น หากยังส่งผลย้อนกลับมาที่ตัวเราเองด้วยในลักษณาการที่สอดคล้องกัน ไม่ช้าก็เร็ว นี้คือกฎธรรมชาติที่พุทธศาสนาเรียกว่า“กฎแห่งกรรม” เมื่อเราโกรธเกลียดหรือทำร้ายใครสักคน ไม่ต้องรอปีหน้าหรือชาติหน้า มันได้ส่งผลร้ายต่อตัวเราแล้วอย่างน้อยก็ในจิตใจ ในทางตรงข้ามหากเรามีเมตตากรุณาและช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ผลดีก็เกิดขึ้นแล้วกับเราทันที โดยไม่ต้องรอให้เขามาตอบแทนบุญคุณของเรา อยากให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีอะไรดีกว่าการคิดดี พูดดี และทำดี ความดีที่ทำนั้นไม่ช้าก็เร็วย่อมย้อนกลับมาหาเราในที่สุด |