รอเปล่งประกาย เพชรแท้ที่ขุดได้จากเหมืองเพชรในประเทศแอฟริกาใต้ นำแสดงบนหน้าเว็บ ไซต์
ได้รับความสนใจจากนักนิยมเพชรว่าเป็นเพชรธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
และหากได้รับการเจียระไนให้ส่งประกายระยิบมูลค่าเพชรเม็ดนี้จะพู่งกระฉูดยิ่งขึ้นไป.
นสพ.เดลินิวส์
http://www.git.or.th/
การทำเหมืองเพชร
โยเซฟ อาชเชอร์: การเจียระไนเพชรคัลลิแนน
บ่ายวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1908 ช่างเจียระไนเพชรระดับปรมาจารย์ชื่อ โยเซฟ อาชเชอร์ เตรียมตัดเพชรคัลลิแนนซึ่งเป็นเพชรดิบลือชื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพชรสีขาวแกมฟ้าเม็ดนี้เป็นของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งประเทศอังกฤษ มีทั้งผู้แทนของกษัตริย์ ผู้สื่อข่าว และผู้ร่วมงานรวมอยู่ในกลุ่มคนที่เฝ้าดูอาชเชอร์ในเวลาบ่าย ที่สำคัญเสมอชีวิตนี้ อาชเชอร์ผนึกเพชรเม็ดนี้แน่นในเบ้ารูปร่างคล้ายถ้วยไข่ขนาดใหญ่พิเศษ และนำเบ้าไปใส่ในแอ่งหน้าเครื่องตัดอย่างระมัดระวัง เขาสอดใบมีดเหล็กทื่อลงไปในร่อง ยกแท่งโลหะขึ้นแล้วทุบโครมลงไปบนใบมีด
ผู้ชมอ้าปากค้างเมื่อใบมีดเหล็กหักแต่เพชรยังไม่บุบสลาย อาชเชอร์เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก และเรียกหาใบมีดใบใหม่ ครั้งนี้เพชรแยกเป็น 2 ส่วนตามข่าวลือโยเซฟ อาชเชอร์โล่งใจเป็นลม ภายหลังเขาปฏิเสธอย่างฉุนเฉียว แถมยังแถลงว่าเรื่องเป็นลมไกลจากความเป็นจริงลิบลับ ที่จริงเขาดื่มแชมเปญกับน้องชายทั้ง 4 คน และผู้อำนวยการร่วมของบริษัทโยเซฟ อาชเชอร์และสหายแห่งอัมสเตอร์ดัมต่างหาก
ขนาดจริง เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนเม็ดนี้ยาวเกือบ 10 ซม. สูง 6.4 ซม. ขนาดเท่าๆ กับกำปั้นผู้หญิงทีเดียวครั้งแรกที่ผู้อำนวยการเหมืองเพชรชื่อ เฟรเดอริก เวลล์เห็นเพชรยักษ์เม็ดนี้ เขาคิดว่ามันเป็นก้วและมีคนเล่นตลกกับเขา แต่ปรากฏว่ามันเป็นเพชรจริง
การเตรียมงาน “การตัดครั้งยิ่งใหญ่”
โยเซฟ อาชเชอร์ ช่างเจียระไนเพชรชาวอัมสเตอร์ดัม และผู้ช่วยศึกษาเพชรคัลลิแนนอย่างละเอียด เขาพิจารณาว่าจะตัดหรือจะเลื่อนออกเป็น 2 ชิ้นดีไม่ว่าวิธีใดก็มีความเสี่ยงที่เพชรจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งนั้น
หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบถึงรูปทรงเฉพาะตัวและโครงสร้างของเพชร อาชเชอร์ตัดสินใจใช้วิธีตัด เขาใช้เวลา 2 สัปดาห์ สกัดร่องบนเม็ดเพชรด้วยชิ้นเพชรคมกริบเพราะเพชรเท่านั้นที่สามารถจะตัดเพชรได้ เมื่อถึงวันแห่ง “การตัดครั้งยิ่งใหญ่” เขาก็ได้สร้างประวัติศาสตร์การตัดเพชรได้สำเร็จ
งานต่อมาของกลุ่มอาชเชอร์คือการเจียระไนและขัดเกลาเพชรทั้ง 2 เม็ดเพื่อไปประดับร่วมกับเพชรเครื่องราชกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักร ระหว่างนั้นหนังสือพิมพ์ทั่วโลกต่างประโคมเรื่องราว และข่าวคืบหน้าล่าสุดของเพชรเม็ดนี้
ชาวเหมืองในเหมือง พรีเมียร์ไมน์ ใกล้เมืองพรีตอเรีย เมืองหลวงของแคว้นทรานสวาลพบเพชรคัลลิแนนในเดือนมกราคม ค.ศ. 1905 เขาสังเกตบางอย่างที่ “ใหญ่และสุกใส” ฝังอยู่ในผนังด้านหนึ่งของเหมือง จึงตามผู้อำนวยการเฟรเดอริก เวลล์มาดู เวลล์แคะวัสดุชิ้นนื้ออกมาจากผนังด้วยมีดพับ
ต่อมาไม่นานมีการยืนยันว่าหินที่พบเป็นเพชรแน่ เพชรเม็ดนี้มีน้ำหนักประมาณ 680 ก. ยาวประมาณ 10 ซม. สูง 64 ซม. และกว้าง 12.7 ซม. เก็บไว้ในตู้นิรภัยของเหมือง แต่ต่อมาส่งไปเก็บที่ศูนย์อำนวยการใหญ่ของบริษัทในโจฮันเนสเบิร์ก รวมอยู่กับเพชรที่ขุดได้ในสัปดาห์นั้น โดยส่งไปทางเกวียนที่ใช้ลาลากเป็นระยะทาง 80 กม.
ที่นี่เองที่เพชรได้รับการขนานนามตามชื่อของประธานบริษัทคือ นายธอมัส คัลลิแนน ซึ่งในอดีตเป็นช่างก่ออิฐ และได้สร้างฐานะจากงานก่อสร้าง เขาซื้อเหมืองพรีเมียร์ไมน์ไว้เมื่อหลายปีก่อนคัลลิแนนไมมีความสุขนักที่เป็นเจ้าของเพชรเม็ดนี้เพชรมีน้ำหนัก 3,106 กะรัตก่อนเจียระไน นับว่ามีมูลค่าสูงกว่าเพชรใหญ่ที่สุดเม็ดก่อนของโลกที่ชื่อว่าเอกเซลซิออร์ ถึง 3 เท่า เพชรเอกเซลซิออร์ก็พบจากเหมืองอีกแห่งหนึ่งในประเทศแอฟริกาใต้ชื่อจาร์เกอร์สฟองเตน ในปี ค.ศ. 1893 นักธุรกิจเจ้าของเพชรเอกเซลซิออร์ ไม่สามารถขายมันในรูปของเพชรดิบได้ ผู้ที่ซื้อเพชรดิบไปจะต้องนำมันไปเจียระไนการเจียระไนเพชรขนาดใหญ่มีความเสี่ยงสูงมาก หากเจียระไนพลาดเพชรจะเสียไป ธอมัส คัลลิแนนจึงเกรงว่าเมื่อเทียบขนาดกับเพชรรุ่นพี่แล้ว เพชรของเขาคงขายได้ยากกว่า
หย่อนเพชรลงในกระเป๋าเสื้อ
ตัดครั้งแรก เพชรถูกแยกเป็น 3 ชิ้น ขนาดต่างกันไป
ในที่สุดรัฐบาลทรานสวาลก็ซื้อไปด้วยราคา 150,000 ปอนด์สเตอร์ลิงตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี นายพล ลุยส์ โบธา ผู้นำขึ้นถวายพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนม์พรรษา 66 พรรษา เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1907 ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงสัมพันธไมตรีหลังจากผู้ตั้งถิ่นฐานชาวดัตช์แพ้อังกฤษในสงครามบัวร์ระหว่าง ค.ศ. 1899 – 1902 และทรานสวาลก็ได้รับสถาปนาเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร เพชรส่งถึงอังกฤษทางเรือท่ามกลางการโหมประชาสัมพันธ์ เล่ากันว่าเพชรที่ส่งไปเป็นของปลอมเพื่อลวงผู้ที่คิดกระทำโจรกรรม เพชรเม็ดจริงส่งตามมาในปีถัดมา พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงเชิญพี่น้องอาชเชอร์มาลอนดอนเพื่อตรวจสอบเพชรคัลลิแนน พี่น้องตระกูลนี้ประสบความสำเร็จในการตัดแต่งเพชรเอกเซลซิออร์มาแล้วในปี ค.ศ.1903 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดตั้งพระทัยจะให้เจียระไนเพชรเม็ดเดียว
ชิ้นที่ใหญ่ที่สุด ภาพขนาดเท่าของจริงแสดงเพชรใหญ่สุดทั้ง 7 เม็ดที่ได้จากการตัดครั้งถัดๆ มา มีคนคิดว่าเพชรเม็ดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเพชรที่มีขนาดใหญ่กว่า รอยบนผิวที่เห็นเป็นรอยแยกธรรมชาติ ตระกูลอาชเชอร์ยังคงเชื่อว่ายังมีอีกส่วนหนึ่งของเพชรนี้ และหวังว่าสักวันหนึ่งจะพบ“เสี้ยวที่หายไป” ในเหมืองพชรประเทศแอฟริกาใต้
อัญมณียักษ์ เพชรหลัก 2 เม็ดค่อยๆ ได้รับการตัดและฝนจนกระทั่งมีรูปทรงขั้นสุดท้ายอย่างที่เห็น
หลังจากตรวจดูคร่าวๆ พี่น้องอาชเชอร์กราบบังคมทูลว่าไม่อาจเจียระไนเป็นเม็ดใหญ่เม็ดเดียวได้ เพราะเพชรมีจุดดำใหญ่ซึ่งจะสะท้อนกับทุกเหลี่ยม จึงต้องส่งเพชรไปตัดและเอาจุดดำออกที่อัมสเตอร์ดัม มีการออกแถลงการณ์ว่าจะนำเพชรไปฮอลแลนด์ทางเรือพิฆาตภายใต้การคุ้มกันอย่างเข้มงวด ที่จริงขณะที่อยู่ในพระราชวังบัคกิงแฮมนั้นอับราฮัม อาชเชอร์หย่อนเพชรลงกระเป๋าเสื้อแล้วเดินทางกลับบ้านทางรถไฟและเรือข้ามฟาก
เศษหินของสมเด็จย่า
ราชกกุธภัณฑ์อันทรงเกียรติ ใน ค.ศ. 1908 เพชรเม็ดรองคัลลิแนนที่ 2 นำไปประดับที่พระมงกุฎแห่งสหราชอาณาจักรถัดต่อจากทับทิมแบล็กพรินซ์ อีก 2 ปี ต่อมาเพชรเม็ดใหญ่กว่า คือ คัลลิแนนที่ 1 นำไปติดประดับคธายอดกางเขน
เมื่อมาถึงศูนย์อำนวยการของบริษัทที่ปลอดภัยแล้ว พี่น้องอาชเชอร์จึงพิจารณาและตัดสินว่าเพชรนี้มีลำดับสีเด่นๆ ถึง 9 สี เรียงลำดับตั้งแต่ขาวฟ้าที่ยอดลงมาจนถึงเหลืองที่ฐาน เว้นจากจุดดำแล้ว เพชรนี้เป็นเพชรที่บริสุทธิ์ที่สุด หลังจากตัดแบ่งเพชรเป็น 2 ซีก แล้วเขาก็แย่งย่อยอีกจนเป็นเพชรขนาดใหญ่ 7 เม็ด และเพชรเหลี่ยมเกสรขนาดย่อม 98 เม็ด ต่อมาก็คือการขัดเกลา เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดชื่อคัลลิแนนที่ 1 เป็นเพชรรูปหยดน้ำ หนัก 530.2 ระรัต มีหน้าตัด 74 เหลี่ยม ประดับอยู่บนคทายอดกางเขน ยังคงถือว่าเป็นเพชรเจียระไนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพชรเม็ดรองชื่อคัลลิแนนที่ 2 เป็นเพชรรูปไข่หนัก 317.4 กะรัต หน้าตัดมี 66 เหลี่ยม ประดับบนพระมหามงกุฎ เพชรดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องราชกกุธภัณฑ์ซึ่งเก็บว้าที่หอคอยลอนดอน
ต่อมาเพชรที่เหลือตกเป็นของพระราชินีแมรี ซึ่งเป็นพระสุณิสาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 เพชร 2 เม็ดประดับบนมงกุฎของพระราชินีแมรี เม็ดอื่นๆ เป็นสมบัติในพระราชวงศ์ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเรียกเพชรเหล่านี้อย่างทรงเอ็นดูว่า “เศษหินของสมเด็จย่า”
http://ecurriculum.mv.ac.th/science/library_sci/phisics111/203.158.100.100/
เพชร คำว่าเพชร Diamond มาจากคำว่า Adamas ในภาษากรีก ซึ่งหมายถึงชัยชนะ และมีความหมายถึง ความรักที่นิรันดร เพชร จึงเป็นสัญลักษณ์ที่เราใช้พิธีหมั้น เป็นการแสดงออกถึงความรักของชายหญิงที่มีต่อกัน คนอินเดียสมัยโบราณ เชื่อว่าเพชรมีพลังอำนาจทำให้ได้รับชัยชนะ และยังใช้เพชรประดับเทวรูปเพื่อสักการะบูชา กษัตริย์ของอินเดีย มีความเชื่อว่าเพชรสามารถป้องกันภยันตรายจากปีศาจ และชัยชนะแห่งสงครามอีกด้วย เพชร ถือเป็นสารที่แข็งที่สุด มีความแข็งเท่ากับ 10 ในโมห์สเกล หรือมีความแข็งมากกว่าทับทิม 140 เท่า เพชร เกิดจากการตกผลึกภายใต้ความร้อนและความกดดันใต้เปลือกโลกนับเป็นเวลาหลายล้านปี ผลึกเพชรที่พบบ่อยเป็นรูปทรงปิรามิดสองชิ้นมีฐานติดกันและแยกจากกันไม่ได้ จึงหมายถึงความรักที่เป็นนิรันดร์ เพชร เป็นผลึกบริสุทธิ์ของ คาร์บอน ซึ่งเป็นสสารตามธรรมชาติที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุด เพชรเท่านั้นที่จะขีดข่วนหรือตัดเพชรอีกเม็ดหนึ่งได้ เมื่อเป็นดังนี้ ใครที่มีเครื่องประดับเพชรก็ไม่ควรวางใกล้ชิดกันมากเกินไป เพราะหากเกิดการเสียดสีก็จะเป็นรอยได้ เพชรก่อตัวจากส่วนลึกในผิวโลก เมื่อคาร์บอนตกผลึกภายใต้แรงดันมหาศาลก็เคลื่อนตัวขึ้นมาพร้อมกับการระเบิดของภูเขาไฟ และเมื่อภูเขาไฟสงบลง ผลึกเพชรจะถูกฝังอย่ในแมกม่าที่แข็งตัวแล้ว ซึ่งทางธรณีวิทยาเรียกว่า คิมเบอร์ไลท์ Kimberlite
เราจะหาเพชรได้จากที่ไหน?เราหาได้จากในน้ำ ตามชายฝั่งทะเล ตามลำธารน้ำ หรือต้องไปขุดที่เหมืองเพชร แล้วเหมืองเพชรล่ะอยู่ที่ไหน? แหล่งที่ค้นพบเพชรและเป็นที่รู้จักกันดี คือที่อินเดีย จากนั้นก็พบที่บราซิล ออสเตรเลีย รัสเซีย บอสวานา และที่อัฟริกาใต้ เราจะขุดหาเพชร จะต้องไปหาสายแร่กันก่อน ทำวิจัย ติดต่อสัมปทานที่ดิน อีกทั้งลงทุนนำเครื่องขุด เครื่องร่อน เครื่องมือต่าง ๆ อีกร้อยแปดอย่าง เดอร์เบียส์จึงก่อตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมข้างต้น มีนักวิชาการหัวกระทิเดินทางไปทั่วเพื่อหาสายแร่ ทำวิจัยว่าถ้าลงทุนเครื่องมือเครื่องจัก คนงาน ไปแล้วจะสามารถขุดเพชรได้ปริมาณเพียงพอคุ้มค่าใช้จ่ายหรือไม่ เมื่อขุดพบแล้วจะเก็บรักษาและขายก้อนเพชรดิบไปให้แก่โรงงานต่อไปได้อย่างไร รวมถึงการควบคุมราคาเพชรดิบไม่ให้เกิดภาวะเฟ้อในตลาด
เพชรได้รับการยกย่องว่าเป็นอัญมณีที่มีค่าควรเมืองมานานหลายพันปีแล้ว
กษัตริย์ในสมัยโบราณนิยมประดับเครื่องทรงด้วยเพชร เพราะถือว่าเพชรเป็นสัญลักษณ์ของการมีอำนาจ และวาสนา คนยุโรปสมัยกลางเชื่อว่าเพชรเป็นวัตถุมงคลที่สามารถขจัดปัดเป่าภัยอันตรายจากภูติผีปีศาจทั้งหลายทั้งปวงได้ พระนาง Mary แห่งสกอตแลนด์ ทรงสวมแหวนเพชร เพราะพระนางทรงเชื่อว่า เพชรจะช่วยให้พระนางปลอดภัยจากการถูกลอบปลงพระชนม์ (แต่แหวนเพชรวงนั้นก็มิได้ช่วยให้นางรอดพ้นจากการตัดสินประหารชีวิตโดยพระนาง Elizabeth ที่ 1 แห่งอังกฤษ) ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 ผู้คนเชื่อว่า เพชรมีเพศ คือเพศผู้กับเพศเมีย หากเรานำเพชรมาอยู่รวมกันจะมีลูกเพชรเกิดขึ้น และการได้เห็นเพชรก่อนออกเดินทาง จะนำโชคลาภมาให้ เป็นต้น
มาถึงสมัยปัจจุบัน เพชรเป็นสัญลักษณ์สากลที่ใช้ในพิธีหมั้น เป็นเครื่องหมายแสดงความจริงใจและความเสมอต้นเสมอปลายของผู้ให้
เราสามารถพบเพชรได้ในทุกหนทุกแห่งบนโลกและบางครั้งเราก็ได้เพชรจากอุกาบาตนอกโลก ในปี พ.ศ. 2409 ได้มีการพบเพชรที่เมือง Kimberley ในประเทศแอฟริกาใต้ และนับแต่ปีนั้นเป็นต้นมาอุตสาหกรรมเพชรก็เจริญรุ่งเรืองมาจนทุกวันนี้ เพชรสีฟ้าขาวเป็นเพชรที่มีผู้คนต้องการใช้มากที่สุด ความต้องการเพชรได้เพิ่มขึ้นทุกปี จนเกินความสามารถในการหาได้จากธรรมชาติ เช่นเราต้องใช้เพชรในการเคลือบหน้าต่างดาวเทียม ใช้ในการตัดโลหะ ใช้ฉาบเตาปฏิกรณ์ปรมาณู ฯลฯ เพราะเพชรมีความสามารถในการตัดหรือขัดวัตถุอื่น ๆ และสามารถนำความร้อนได้ดี มันจึงเหมาะสำหรับการนำมาใช้ในชิ้นส่วนของวงจร
อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเพชรถูกราดด้วยกรดหรือด่าง มันจะไม่แสดงปฏิกิริยาเคมีใด ๆ
และหากเราทำให้ อุณหภูมิของเพชรสูงถึง 700 องศาเซลเซียส มันจึงลุกไหม้เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้นเราจะใช้เพชรตัดเหล็กกล้าไม่ได้ แต่กรณีของเพชรตัดเพชรนั้น โอเค ด้วยประการทั้งปวง นับเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่เรา เชื่อว่าไม่มีอะไรในโลกจะแข็งเท่าเพชร แต่ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามสังเคราะห์สาร ชนิดใหม่ที่ไม่เป็นสนิม ที่ทนความร้อนได้ดี และที่สุดของที่สุดคือ ที่แข็งกว่าเพชร และหากทำได้ คุณประโยชน์นานับปการ ก็จะเกิดขึ้นทันที
ในสภาพความเป็นจริงนั้น ความแข็งของสารใด ๆ ก็ตาม
นอกจากจะขึ้นกับความหนาแน่น ในการเรียงตัวของอะตอมของสารนั้นแล้ว ยังขึ้นอยู่กับแรงดึงดูดระหว่างอะตอมเหล่านั้นด้วย หากอะตอมเรียงกันอยู่อย่างหนาแน่น และมีแรงดึงดูดระหว่างกันมาก สารนั้นก็จะแข็ง เพชรธรรมชาติมีลักษณะโครงสร้างของอะตอม เป็นดังที่ว่านี้ ดังนั้นหลักการในการทำสารซูเปอร์ที่แข็งคือ เราต้องจัดให้อะตอมของสารนั้นอยู่ใกล้กันมาก จนทำให้อะตอมเหล่านั้น สามารถใช้อิเล็กตรอนร่วมกันได้ A. Liu และ M. Cohen แห่งมหาวิทยาลัย California ที่ Berkeley สหรัฐอเมริกาคำนวณพบว่า สารประกอบของคาร์บอน และไนโตรเจน คือ C3N4 (Carbon Nitride) น่าจะมีสมบัติซูเปอร์แข็งกว่าเพชร
เมื่อปีกลายนี้ Y. Chung แห่ง Northwestern University ที่ Illinois ได้สังเคราะห์แผ่นฟิล์มที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน
และไนโตรเจน ความหนา 0.01 มิลลิเมตร ในการทดสอบความแข็งของฟิล์มที่ได้ เขาได้ใช้วัสดุปลายแหลมที่ปลายทำด้วยเพชร กดลงบนฟิล์ม หากฟิล์มนั้นแข็งน้อยกว่าเพชร เขาน่าจะเห็นรอยบุ๋มได้ แต่ Chung มิได้เห็นริ้วรอยใด ๆ เขาจึงสันนิษฐานว่า ฟิล์มที่ได้แข็งกว่าเพชร หรือไม่นั้น มันก็เป็นฟิล์มที่ยืดหยุ่นได้อย่างวิเศษ เพราะเวลาเขาถอนปลายเข็มเพชรออก ฟิล์มพองตัวกลับตำแหน่งเดิมทันที่ Chung กับคณะยังไม่ประสบความสำเร็จในการปลูกผลึก C3N4 มาทดสอบให้แน่ใจ
ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครมั่นใจว่า มนุษย์เราสามารถสร้างสารที่แข็งกว่าเพชร ได้หรือไม่
และหากทำได้ เราก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้ จะมีคนนิยมใช้กันมากแค่ไหน หรือความพยายามของเราในครั้งนี้ เป็นเพียงการวิจัยเพื่อให้รู้แต่อย่างเดียวเท่านั้น ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ท่านอื่น ๆ มีความเห็นว่า นอกจาก C3N4 แล้ว สารประกอบพวก Boron Nitride ก็มีสิทธิ์จะแข็งยิ่งยวดได้เหมือนกัน และเมื่อเร็ว ๆ นี้ A. Ruoff แห่งมหาวิทยาลัย Cornell คำนวณพบว่า C60 ( Buckminster fullerene) หากได้รับความดันสูงถึง ถึง 20,000 บรรยากาศ จะตกผลึกและแข็งยิ่งกว่า C3N4 เสียอีก
ก็คงจะเป็นว่า ทำไปทำมา คาร์บอน (C ) ก็ยังคงครองราชบัลลังก์แห่งความแข็ง สืบต่อไปเหมือนเดิม
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : www.eduzones.com
ความเชื่อในพลังอำนาจของเพชร
- คำว่า Diamond มาจากคำว่า Adamas ในภาษากรีก แปลว่า ไม่สามารถเอาชนะได้
- ชาวกรีกและโรมันเชื่อว่าเพชรคือหยาดน้ำตาของเทพเจ้า สามารถมีพลังเอาชนะข้าศึกได้
- ชาวฮินดูมักฝังเพชรไว้ในลูกตาของเทวรูป
- เพลโต นักปราชญ์ชาวกรีก เชื่อว่าเพชรเป็นสิ่งมีชีวิต
- ในยุคกลาง และเรเนอซองส์ แหวนที่ฝังเพชรจะถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถดลใจข่มข้าศึก และเป็นสัญลักษณ์แห่งพลัง
- ชาว ยุโรปเริ่มนำเพชรมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งฝรั่งเศษไม่อนุญาติให้ผู้อื่นยกเว้นกษัตริย์เท่านั้น
- คนส่วนหนึ่งสวมใส่เพชรเพื่อ แสดงถึงความกล้าหาญ และ พลังทางเพศ และ เพื่อดึงดูดความสนใจ
- คนส่วนหนึ่งเชื่อว่า การสวมใส่เพชร สามารถนำพาโชคลาถ และความสำเร็จมาให้ และสามารถแก้ไขดวงชะตาได้
- เพชร ได้รับการยอมรับให้เป็นสัญลักษณ์แทนรักแท้ และเป็นอัญมณีประจำราศี ของราศีเมษจากอดีต สู่ปัจจุบัน เพชรแท้ยังคงไว้ซึ่งความหลงไหลอย่างลึกซึ้งในฐานะสัญลักษณ์แห่งความรักและพลัง ความหายาก และความงามอย่างหาเทียบมิได้คือคำตอบ ของความต้องการครอบครองสิ่งนี้
โหสุดยอดเลยค่ะ ขุดกันขนาดนี้เลยหรอ
หลุมใหญ่ขนาดมหึมานี้ ตั้งอยู่ในเขต Eastern Siberia ใกล้ๆ กับเมือง
Mirna โดยเหมือนเพชรนี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1.25 กิโลเมตร ลึกถึง
525 เมตร เลยทีเดียว สุดยอดเลยค่ะ ถ้าดูจากตามภาพที่มีลูกศรชี้เอาไว้
นั่นคือรถบรรทุกขนาดยักษ์ที่ใช้ในเหมือง ขนาดเป็น Big Foot
แล้วนะรถยังแทบมองจากภาพถ่ายไม่เห็นเลย
แต่ก็มีเรื่องสยองๆ อยู่เหมือนกันตรงที่ มีเฮริคอปเตอร์ตกไปหลายลำแล้ว
เพราะมีแรงดึงดูดที่หลุมนี้ จนต้องประกาศห้ามทำการบินเหนือหลุมนี้เด็ดขาด
น่ากลัวมากๆ เพราะว่าอากาศภายในหลุมจะค่อนข้างแปรปวนได้ตลอดเวลา
ส่วนเหมือนนี้จะจุดเพชรไปได้กี่กระรัต กี่ตันแล้ว
อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ที่แน่ๆ ลองไปเดินใกล้ๆ แล้วก้มๆ มองๆ
หาเพชรดูแล้วกัน เผื่อมีหลุดรอดออกมาบ้างครับ
Diamonds: Gem & Diamond Mining Technology
Photos: Public Domain
Diamond & Gem Mining - Extraction Methods
Article Copyright © 2009 AllAboutGemstones.com
Diamonds and other precious and semi-precious gemstones are extracted from the earth using five basic mining techniques. These diamond extraction methods vary depending on how the minerals are deposited within the earth, the stability of the material that surrounds that desired gem or mineral, and the peripheral damage that will be done to the surrounding environment. The principle methods of diamond extraction are:
- Artisanal Mining
- Hard Rock Mining
- Marine Mining
- Open Pit Mining
- Placer Mining
Hard-Rock Diamond Mining
The term "hard-rock mining" (top of page, left) refers to various techniques used to extract gems, minerals, and ore bodies that are in situ, and can only be accessed by tunneling underground and creating underground "rooms" or "stopes" that are supported by timber pillars or standing rock.
Accessing the underground ore is achieved via a horizontal passageway called a "decline," or a by a vertical "shaft." A decline is a spiral (corkscrew) tunnel which circles the ore deposit, while a shaft is vertical tunnel used for ore haulage, running adjacent to the ore. A decline is typically used for mining personnel, machinery, and access to the ore.
Open Pit Mining
Open-pit diamond mining, also known as "open-cast mining" (top of page, center) is a method of extracting rock and minerals from the earth by removal from a machine-dug open pit or burrow. Open pit mines are typically used when mineral deposits are found close to the surface or along defined kimberlite pipes.
Diamonds in Kimberlite Matrix - Photo: USGS | Alluvial Diamond - Smithsonian Museum |
Open pit mining is used when the surface material (overburden) covering the deposit is relatively thin and/or the desired minerals are imbedded within structurally unstable earth (cinder, gravel, or sand) that is unsuitable for tunneling. Small "pit lakes" tend to form at the bottom of open-pit mines as a result of groundwater intrusion.
Placer Mining
Placer diamond mining, also known as "sand-bank mining" (top of page, right) is used for extracting diamonds and minerals from alluvial, eluvial, and or colluvial secondary deposits, and is a derivative form of open-cast mining used to extract minerals from the surface of the earth without the use of tunneling. Excavation is accomplished using water pressure (hydraulic mining), mechanized surface excavating equipment, or hand digging (artisanal mining). Diamonds and most gemstones are hard, highly resistant to weathering, and have a specific gravity that is higher than that of common minerals, rock or sedimentary soil, therefore, they tend to concentrate in alluvial deposits in the same way that gold placers develop. Gems are separated from waste material using various sifting and sorting techniques such as cone screens, box screens, or pans, which concentrate the heavier gems at the bottom, or sort material according to size.
Marine Mining
Marine mining technology only became commercially viable in the early 1990s. Marine diamond mining employs both "vertical" and "horizontal" techniques to extract diamonds from offshore placer deposits, at a maximum depth of 500 feet. Vertical marine mining uses a 6 to 7 meter diameter drill head to cut into the seabed and suck up the diamond bearing material from the sea bed. Horizontal mining employs the use of Seabed Crawlers (remotely controlled, CAT-tracked underwater mining vehicles) move across the sea floor pumping gravel up to an offshore vessel. While on board, the gravels are separated and sorted into three sizes, with the middle size being a candidate for final sorting.
Artisanal Mining
Artisanal diamond mining (aka "small-scale mining") involves nothing more that digging and sifting through mud or gravel river-bank alluvial deposits (above, right) with bare hands, shovels, or large conical sieves. Laborers who work in artisanal diamond mining are called "diamond diggers" (below left). Artisanal diamond mining is a form of "subsistence based" non-mechanized mining that is used in poorer countries throughout the world.
Artisanal diamond mining is used throughout west Africa, in conflict zones where mechanized mining is impractical and unsafe. Artisanal diamond mining accounts for 90% of Sierra Leone'sdiamond exports and is the country's second largest employer after subsistence farming. It is also used extensivly in Angola, the Congo (DROC), and Liberia.
Diamond Geology & Kimberlites
Kimberlite Pipes
Diamonds form at a depth greater than 93 miles (150 kilometers) beneath the earth's surface. After their formation, diamonds are carried to the surface of the earth by volcanic activity. As this molten mixture of magma (molten rock), minerals, rock fragments, and diamonds approaches the earth's surface it begins to form an underground structure (pipe) that is shaped like a champagne-flute.
These pipes are called "kimberlites" or "kimberlite pipes" (see diagram below). Kimberlite pipes can lie directly underneath shallow lakes formed in the inactive volcanic calderas or craters.
Kimberlite is a diamondiferous igneous-rock matrix composed of carbonate, garnet, olivine, phlogopite, pyroxene, serpentine, and upper mantle rock, with a variety of trace minerals. Kimberlite occurs in the zone of the Earth's crust in vertical structures known as kimberlite pipes (above, right). Kimberlites are found as "dikes" and "volcanic pipes" which underlie and are the source for rare and relatively small volcanoes or "maars" (above, left). Kimberlite pipes are the most significant source of diamonds, yet only about 1 in every 200 kimberlite pipes contain gem-quality diamonds. Many kimberlite pipes also produce alluvial diamond placerdeposits.
Diamond bearing kimberlite in some parts of South Africa is black in color (above, right). Most kimberlite is called "blue-ground" kimberlite (above, left) or "yellow-ground" kimberlite and can be found worldwide. The name "Kimberlite" was derived from the South African town ofKimberly where the first diamonds were found in this type of rock conglomeration (see section on "Kimberley - North Cape" below).
Open Pit Mine - Photo: Public Domain |
Lamproite Pipes
Lamproite pipes produce diamonds to a lesser extent than kimberlite pipes. Lamproite pipes are created in a similar manner to kimberlite pipes, except that boiling water and volatile compounds contained in the magma act corrosively on the overlying rock, resulting in a broader cone of eviscerated rock at the surface. This results in a martini-glass shaped diamondiferous deposit as opposed to kimberlite's champagne flute shape.
The Argyle diamond mine in Western Australia is one of the first commercial open-cast diamond mines that is dug along an olivine lamproite pipe. The Argyle pipe is a diatreme, or breccia-filled volcanic pipe that is formed by gas or volatile explosive magma which has breached the surface to form a "tuff" (consolidated volcanic ash) cone. Breccia is a rock composed of angular fragments of several minerals or rocks in a matrix, or "cementing material," that may be similar, or different in composition to the fragments themselves. There are several types of breccia which are categorized based on their geological origin, including: hydrothermal breccia,igneous breccia, impact breccia, sedimentary breccia, and tectonic breccia.
Alluvial (Placer) Diamond Deposits
The location of alluvial (secondary or placer) diamond deposits is controlled by the surrounding topography. Alluvial diamond deposits are usually located within river terrace gravels that have been transported from their location of origin, usually from kimberlite deposits.
Diamondiferous material tends to concentrate in and around 'oxbow lakes,' which are created by abandoned river meanders. These dried 'lakes' receive river water during seasonal flooding which transports large amounts of sediment held in suspension.
Alluvial Diamonds from Africa - Photo: Public Domain | Diamonds in Kimberlite Matrix - Photo: NASA |
The alluvial terrace gravels (below, left) and marine gravels of the south-western coastline of Africa represent the some of the world's largest placer diamond deposits. The world's largest known gem quality alluvial diamond deposits are located along the Namib Desert coastline of southwestern Africa, known as the Sperrgebiet or "forbidden territory," and along the Orange River near Alexander Bay. Namibia's placer diamond deposits are between 40 and 80 million years old, carried from their primary origination point on the Kaapvaal Craton, in central South Africa and Botswana.
Alluvial diamond mining in Angola takes place along a meandering stretch of the Cuango River flood-plain which is also along the south-western coastline of Africa. Some of the largest and highest gem-quality diamonds produced from alluvial placer diamond mining have come from this region, including Angola's two largest diamonds at 105.9k and 101.8k.
Alluvial Terrace Gravels - Photo: Wiki | Diamond-Bearing 'Diamondiferous' Gravel |
Many of these alluvial diamond deposits occur in Pleistocene and Holocene successions (1.8 million to 10,000 years ago). The diamonds within these deposits were transported from deeply-eroded diamondiferous kimberlites or, to a lesser extent, from olivine lamproites formed during the Cretaceous or Permo-Triassic period. Westward draining river systems transported these diamonds to Africa's continental coastline for final deposition within on-shore marine terrace gravels. Diamonds that were transported downstream, but were not deposited on land, made their way to the sea bed just offshore. Diamonds in marine areas are typically trapped in bedrock depressions such as gullies, potholes, depressions, channels or other trapsites for diamondiferous deposits.
Diamond Mines of the World: Active Diamond Mines
List of Active Diamond Mines
All Contents Copyright © 2009 AllAboutGemstones.com
Currently there are eleven major 'diamond producing' nations, and a host of other counties with operational and/or historic alluvial, open pit, and hard rock diamond mines. There are also several African nations with ongoing off-shore dredging/vacuming operations.
These lists also contains new project explorations, mining operator info, mining industry insidenews, links to satellite images of the mines (where available), and any relevant geographic data.
ศึกษาเพื่มเติมได้ที่นี่ค่ะ http://www.allaboutgemstones.com/diamonds.html