อัญมณีประจำเดือนเกิด Garnet Birthstone เดือนมกราคม โกเมน Garnet แดงแก่ก่ำ โกเมนเอก โกเมนเป็นอัญมณีในตระกูล Garnet มีความแข็ง 7 – 7.5 โมส์ (Moh) มีความวาวแบบแก้ว คำว่า Garnet มาจากภาษาละตินว่า Granatus แปลว่า เหมือนเมล็ดพืช ผู้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าอัญมณีชนิดนี้มีสีแดงเพียงสีเดียวตามคำกลอนนพรัตน์ "แดงแก่ก่ำ โกเมนเอก " แต่จริง ๆ แล้ว แต่อัญมณีชนิดนี้มีสีมากถึง 15 สี ยกเว้นสีน้ำเงิน ส่วนสีแดงเป็นสีของโกเมนที่มีมากที่สุด ประเภทที่นิยมนำมาทำเครื่องประดับ คือ อัลมานไดน์ (Almandine) มีสีแดงเข้ม สีแดงอมน้ำตาล หรืออมม่วง และไพโรบ (Pyrope) มีสีแดงสดซึ่งสอดคล้องกับรากศัพท์ภาษากรีกโบราณที่แปลว่า ไฟ ด้วยความที่เป็นอัญมณีสีแดงที่เกิดจากธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบและบางครั้งก็มีสีสันสวยงามมาก จึงทำให้บางคนมักเข้าใจผิดว่าเป็นทับทิม แต่โกเมนต่างกับทับทิม คือ โกเมนส่วนใหญ่มีสีแดงอมน้ำตาล แต่ทับทิมมีสีแดงสดใส และโกเมนมีความแข็งน้อยกว่าทับทิม โกเมนเป็นที่รู้จักกันมาแต่โบราณ กล่าวกันว่า โนอาห์ (Noah) ผู้พาสิ่งมีชีวิตหนีน้ำท่วมโลก ใช้โกเมนประดับเรือเรืออาร์ค ( เครื่องรางป้องกันภัย นักเดินทางในสมัยโบราณมักจะพกโกเมนติดตัวไว้เพราะเชื่อกันว่าสามารถปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากภยันตรายต่าง ๆ และช่วยส่องแสงในตอนกลางคืนด้วย แต่ผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พบว่าเกิดจากการหักเหของแสง โกเมนยังเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความศรัทธาอีกด้วย บ้างก็เชื่อกันว่าทำให้ผู้สวมใส่อายุยืน ทางด้านการบำบัด โกเมนเป็นอัญมณีสีแดง จึงมีพลังช่วยรักษาสมดุลของระบบหมุนเวียนโลหิต ช่วยกระตุ้นผู้ที่มีความเฉื่อยชาทางเพศ นอกจากนี้ โกเมนยังมีคุณสมบัติในการกระตุ้นความรู้สึกและอารมณ์ ดังนั้น หากนำไปให้ผู้ที่มีปัญหาซึมเศร้าสวมใส่ โกเมนจะช่วยกระตุ้นให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น เพิ่มความเข้มแข็งให้กับผู้ใส่ ไพโรป โกเมน (Pyrope Garnet)ตำนานเกิดโกเมน ตามคัมภีร์พระเวทบันทึกไว้ว่า อัญมณีสีแดงชนิดนี้เกิดจากเล็บเท้าของอสูรชื่อวลาซึ่งถูกเหล่าเทวดาหลอกมาสังหารแล้วแยกชิ้นส่วนร่างกายของอสูรตนนี้ออกอันเนื่องมาจากอสูรวลามีอำนาจเหนือพระอินทร์ คอยกดขี่ข่มเหงเทวดาอื่น ๆชิ้นส่วนร่างของมารวลาที่ตกลงมาบนโลกมนุษย์ได้กลายเป็นอัญมณีชนิดต่าง ๆ ส่วนเล็บเท้าของอสูรวลาที่หล่นลงมาบนโลกมนุษย์นั้นได้รับการบูชาจากพญานาคแล้วปล่อยลงบริเวณเทือกเขาหิมาลัย แหล่งที่พบโกเมน จากตำนานการเกิดโกเมน ส่วนเล็บเท้าของมารวลาบนเทือกเขาหิมาลัยได้กลายเป็นแหล่งที่พบโกเมนมากในปัจจุบัน นั่นคือ ศรีลังกา อินเดีย นอกจากนี้ยังพบโกเมนที่ออสเตรเลีย แอฟริกา สาธารณรัฐเชคด้วย ส่วนในประเทศไทยพบโกเมนคุณภาพดีที่จันทบุรี ตราด และยังพบที่เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง เชียงราย ตาก กำแพงเพชรบ้าง Amethyst Birthstone for February. Symbol of Wisdom, Strength and Confidence. เดือนกุมภาพันธุ์ อะมีทิสต์(Amethyst) อะมีทิสต์ (Amethyst) เป็นอัญมณีสีม่วงที่เกิดจากซิลิคอนออกไซด์ อยู่ในแร่ตระกูลควอร์ตซ์ (Quartz)ซึ่งเป็นแร่ที่มีมากที่สุดในโลก มีความแข็ง 7 โมส์ (Moh) มีความวาวแบบแก้ว สีของมันมีตั้งแต่สีม่วงอ่อนไปจนถึงสีม่วงเข้ม สำหรับอะมีทิสต์สีอ่อน เรียกว่า Rose de France ส่วนสีเข้ม เรียกว่า ม่วงดอกตะแบก อะมีทิสต์เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะอัญมณีศักดิ์สิทธิ์สำหรับการสักการะ ชาวอียิปต์โบราณนับถืออะมีทิสต์มาก มีการฝังแอเมทิสต์ทรงหัวใจไว้ในสุสานของฟาโรห์จำนวนมากตามคำสอนในคัมภีร์แห่งความตาย (The Book of the Dead) ส่วนทางด้านศิลปะ ชาวอียิปต์ได้สลักรูปแมลงจากอัญมณีสีม่วงนี้ ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้กล่าวถึงอะมีทิสต์ว่าเป็น 1 ในอัญมณี 12 ชนิดที่ประดับลงบนจีวรของพระชั้นผู้ใหญ่ ดังนั้น ต่อมา อะมีทิสต์จึงกลายเป็นอัญมณีที่ใช้แสดงฐานะพระชั้นผู้ใหญ่ของคริสตจักร สังเกตได้จากแหวนของพระสันตปาปาและแหวนของพระที่มีบรรดาศักดิ์สูง แหวนของพระเหล่านี้ประดับด้วยอะมีทิสต์ทั้งสิ้นส่วนบนเสื้อพิธีของบาทหลวงก็ประดับอะมีทิสต์ลงไป จนปัจจุบันนี้ อะมีทิสต์กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของบาทหลวง นอกจากนี้โบสถ์ในยุคกลางก็ประดับประดาไปด้วยอะมีทิสต์เช่นกัน (และ เพราะเชื่อกันว่าสีม่วงเป็นสีแห่งความศรัทธาในศาสนา) อัญมณีแห่งความมีสติ อัญมณีแห่งความมีสติ อะมีทิสต์มีคุณสมบัติช่วยคุ้มครองให้พ้นจากภยันตรายเช่นเดียวกับโกเมน ในสมัยก่อน บรรดาทหารจึงนิยมสวมใส่อัญมณีสีม่วงนี้เพื่อช่วยให้มีชัยเหนือศัตรู ทางด้านการบำบัด อะมีทิสต์เป็นอัญมณีสีม่วงซึ่งเป็นสีแห่งจิตวิญญาณ จึงมีพลังช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัส ช่วยขจัดความคิดที่ชั่วร้ายและชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ ก่อให้เกิดสมาธิและการเรียนรู้ สำหรับผู้ที่เป็นโรคนอนไม่หลับ หากวางอัญมณีชนิดนี้ไว้ใต้หมอนจะช่วยให้หลับง่ายขึ้น หรือหากวางไว้บนหน้าผากจะช่วยรักษาอาการปวดศีรษะด้วย แอเมทิสต์ยังมีพลังช่วยในการฟอกเลือด หรือสร้างเม็ดเลือดได้ ดังนั้นจึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือด "Amethyst" มาจากคำว่า "Amethystos" ในภาษากรีก แปลว่า การมีสติ ไม่มึนเมา จึงเชื่อกันว่าแอเมทิสต์มีคุณสมบัติทำให้ไม่เมาอีกด้วย ชาวโรมันเชื่อว่าหากดื่มเหล้าจากจอกแอเมทิสต์ หรือแช่อัญมณีชนิดนี้ไว้ในเหล้าจะช่วยให้ไม่ให้เมา ในปัจจุบัน ถ้วยไวน์ในบางแห่งจึงยังคงแกะสลักจากแอเมทิสต์ ทางด้านความรัก คนโบราณเชื่อกันว่า ถ้านำอะมีทิสต์รูปหัวใจประดับบนเรือนทองคำหรือเงิน และบ่าวสาวมอบให้แก่กันและกัน ทั้งคู่จะมีชีวิตรักที่มีความสุขตลอดไป อะมีทิสต์ (Amethyst)ตำนานเกิดอะมีทิสต์ ตำนานการเกิดของอะมีทิสต์เกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่ง เทพไดโอนิซุส (Dionysius) เทพเจ้าแห่งเมรัยทรงกริ้วที่มนุษย์ไม่สนใจพระองค์ จึงสาปแช่งให้มนุษย์คนต่อไปที่เดินผ่านมาถูกเสือฆ่า แต่ผู้ที่เดินผ่านมา คือ สาวน้อยชื่ออะมีทิสต์ (Amethyst) ซึ่งกำลังเดินทางไปสักการะเทพธิดาไดอานา (Diana) เมื่ออะมีทิสต์ เห็นเสือเข้ามาใกล้จึงร้องขอให้เทพธิดาไดอานาช่วย เทพธิดาไดอานาจึงเสกให้อะมีทิสต์กลายเป็นผลึกแก้วควอทซ์ เมื่อเทพไดโอนิซุสทรงทราบถึงเจตนาของอะมีทิสต์ก็รู้สึกละอายพระทัย จึงทรงเทเหล้าองุ่นลงบนร่างของอะมีทิสต์เพื่อเป็นการไถ่โทษ ทำให้ร่างของเธอกลายเป็นสีม่วง และกลายมาเป็นอัญมณีสีม่วงนี้ที่เรารู้จักกัน
เดือนมีนาคม อะควอมารีน (Aquamarine) อะควอมารีน ของขวัญจากทะเล อะควอมารีน (Aquamarine) อัญมณีสีฟ้าใสนี้อยู่ในตระกูลเบริล (Beryl) ตระกูลเดียวกันกับมรกตจึงมีความแข็ง 7.5 โมส์ และมีความวาวแบบแก้วเช่นเดียวกัน คำว่า "Aquamarine" นั้นมาจากภาษาละติน แปลว่า น้ำทะเลซึ่งเป็นสีของอัญมณีชนิดนี้นั่นเอง สีของอะควอมารีนซึ่งเกิดจากธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ มีตั้งแต่สีฟ้าอมเขียวไปจนถึงสีเขียวอมฟ้า แต่สีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ สีฟ้าที่ไม่มีสีเขียวปนอยู่เลยหรือสีน้ำทะเลซึ่งเป็นสีที่หายากจึงมีการปรับปรุงคุณภาพของอะควอมารีนโดยการเผาเพื่อขจัดสีเขียวออกไป จึงอาจกล่าวได้ว่า อะควอมารีนในปัจจุบันนี้ล้วนผ่านการปรับปรุงคุณภาพด้วยวิธีนี้มาแล้วทั้งสิ้น ด้วยสีฟ้าใสที่เย็นตาของอะควอมารีน จึงเป็นอัญมณีที่ดึงดูดใจหญิงสาวทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็นอัญมณีที่บรรดานักออกแบบชื่นชอบและเลือกนำไปทำเป็นเครื่องประดับต่าง ๆ มากมาย เครื่องรางนำโชคของนักเดินเรือ จากนิทานเก่าแก่ของอิตาลี ได้กล่าวไว้ว่า เทพเนปจูน เทพแห่งมหาสมุทรได้มอบอะความารีนให้เป็นของกำนัลแก่นางเงือกเสมอ นักเดินเรือในสมัยโบราณเชื่อว่าอะความารีนเป็นหินนำโชค สามารถคุ้มครองพวกเขาจากภยันตรายต่าง ๆ จากทะเลได้ และยังช่วยไม่ให้เมาคลื่นด้วย พอถึงยุคกลางของยุโรป เชื่อกันว่า อะความารีนจะช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถเอาชนะความชั่วร้ายที่เข้ามารังควานได้ อัญมณีสีฟ้าเป็นสีที่ให้ความรู้สึกสงบ มองดูเยือกเย็น มีพลังในการขจัดความสับสนวุ่นวายภายในจิตใจได้ ดังนั้นหากสวมใส่อะความารีนไว้ก็จะช่วยคลายความวิตกกังวล หรือความคิดด้านลบออกไปได้ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความรู้สึกไว้วางใจกัน ความเข้าใจกัน ทำให้สัมพันธภาพยั่งยืนนาน หากคู่รักเลือกใส่อะความารีนก็จะช่วยให้ชีวิตแต่งงานมีความสุข ทางด้านการบำบัดรักษา อะความารีนมีพลังช่วยบรรเทาการเจ็บป่วยที่เกิดจากความร้อนได้ด้วย เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือลดไข้ ช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวเนื่องกับระบบประสาทและลำคอ แหล่งที่พบอะควอมารีน แหล่งที่พบอะควอมารีนมากที่สุด คือ บราซิล รองลงมาคือ ประเทศในแถบแอฟริกา เช่น ไนจีเรีย โมซัมบิก มาดากัสการ์ และยังพบได้ที่ อัฟกานิสถาน ปากีสถาน กลับสู่หน้าหลักการดูแลรักษา การดูแลรักษา การดูแลรักษาอะความรีนนั้นทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ใช้น้ำสบู่อุ่น ๆ ล้างแล้วใช้ผ้าเช็ดให้สะอาด ปล่อยให้แห้งระวังผงฝุ่นหรืออัญมณีชนิดอื่นที่มีความแข็งมากกว่า เพราะอาจทำให้เป็นรอยขูดขีดได้ และหลีกเลี่ยงจากความร้อนสูงเพราะอาจทำให้มลทินภายในอะความารีนขยายตัวและอาจทำให้แตกได้ Diamond เดือนเมษายน เพชร (Diamond) “ เพชร อัญมณีที่แข็งแกร่ง ” เพชร (Diamond) คือ อัญมณีอันเป็นที่ปรารถนาของผู้คนทุกยุคทุกสมัย เพราะเป็นอัญมณีที่มีทั้งความงดงามและความแข็งแกร่งเกินกว่าจะหาอัญมณีชนิดอื่นใดมาเทียบได้ มนุษย์เรารู้จักเพชรตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว โดยขุดพบครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย อินเดียจึงกลายเป็นศูนย์กลางผลิตและจำหน่ายเพชรตั้งแต่นั้นมา ต่อมาตลาดเพชรเริ่มขยายตัวไปสู่ยุโรปเมื่อวาสโก ดา กามาค้นพบเส้นทางการเดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮป ( ส่วนผู้ที่ทำให้เพชรเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรป คือ แอ็กเนส โชเวล เธอได้สวมใส่เพชรเป็นเครื่องประดับไปในงานของราชสำนักฝรั่งเศสเป็นคนแรก ทำให้ผู้คนในงานได้ประจักษ์ถึงประกายอันงดงามของอัญมณีชนิดนี้ และต่อมาเพชรจึงแพร่กระจายไปทั่วโลก เป็นที่นิยมกันอยู่ทุกวันนี้ อัญมณีแห่งอำนาจ เพชร หรือ Diamond เป็นคำที่มาจากภาษากรีกว่า Adamas แปลว่า ไม่มีใครเอาชนะได้ ส่วนในภาษาไทย “เพชร ” มาจากคำว่า “ วัชระ ” ในภาษาสันสกฤตซึ่งแปลว่า สายฟ้า หรืออาวุธของพระอินทร์ เชื่อกันว่าเพชรจะช่วยให้ผู้ที่สวมใส่มีชัยชนะเหนือผู้อื่นเสมอ และเพชรยังมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้นั้นให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง ประสบแต่โชค นอกจากนี้ เพชรยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ทางด้านการบำบัดรักษา เพชรช่วยป้องกันการอักเสบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ สำหรับผู้ที่สูญเสียความมั่นใจหรือต้องการความกล้าหาญ เพชรมีพลังช่วยกระตุ้นให้เกิดความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างมีสติ และยังช่วยชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ด้วย เพชร กำเนิดเพชร ตามตำนานในคัมภีร์พระเวทบันทึกไว้ว่า เพชรเกิดจากชิ้นส่วนกระดูกทั้งหมดของอสูรวลาที่ร่วงหล่นลงมาบนโลกมนุษย์ แต่ในทางวิทยาศาสตร์ เพชรเป็นผลึกบริสุทธิ์ของธาตุคาร์บอน (C) ที่อยู่ในส่วนลึกลงไปในเปลือกโลกธาตุคาร์บอนเหล่านี้โดนความร้อนและแรงดันมหาศาลเป็นเวลานานหลายล้านปีทำให้เกิดการเรียงตัวใหม่อย่างมีระเบียบและตกผลึกเป็นผลึกเพชร เมื่อภูเขาไฟระเบิดขึ้นเพชรจึงเคลื่อนตัวขึ้นสู่เปลือกโลกให้มนุษย์ได้ค้นพบคุณค่าของมัน เพชรคุณภาพดีมีสีขาวบริสุทธิ์หรือไร้สี ไม่มีตำหนิใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เพชรส่วนใหญ่มักจะมีสีขาวอมเหลือง เพชรสีขาวบริสุทธิ์จึงมีราคาสูงเพราะหายาก อย่างไรก็ตาม ยังมีเพชรอีกประเภทหนึ่งที่มีราคาสูงและหายากกว่าเพชรสีขาวบริสุทธิ์ นั่นคือ เพชรสี เพชรสีมีหลายสี เช่น เหลือง ส้ม น้ำตาล แดง ชมพู เขียว น้ำเงิน ยิ่งเพชรสีมีสีเข้มมากเท่าไร มูลค่าก็สูงตามไปด้วย แหล่งที่พบเพชร แหล่งที่พบเพชรมากมากที่สุด คือ ประเทศคองโก นอกจากนี้ยังพบได้ที่ประเทศบราซิล ประเทศในแถบแอฟริกา รัสเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย การดูแลรักษา สำหรับการดูแลรักษาเพชรนั้นทำได้ง่าย เพียงแค่ล้างด้วยน้ำยาล้างอัญมณี หรือล้างด้วยน้ำสบู่อุ่น ๆ และอย่าเก็บเพชรไว้ปนกับอัญมณีชนิดอื่นหรือปนไว้กับเพชรด้วยกัน เพราะอาจทำให้อัญมณีชนิดอื่นเกิดรอยขูดขีดได้ หรือถูกเพชรด้วยกันขูดขีดเป็นรอย Emerald เดือนพฤษภาคม มรกต (Emerald) “ มรกต อัญมณีแห่งโชคลาภและความรุ่งเรือง ” มรกต (Emerald) เป็นอัญมณีในตระกูลเบริล (Beryl) ซึ่งเป็นอัญมณีตระกูลเดียวกันกับอะความารีน (Aquamarine) จึงมีความแข็ง 7.5 โมส์ (Moh) มีความวาวแบบแก้ว มรกตเป็นอัญมณีที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยอียิปต์ มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า พระนางคลีโอพัตราเคยเป็นเจ้าของเหมืองมรกตใกล้ทะเลแดงในอียิปต์ และจากการขุดค้นทางโบราณคดี พบว่ามีการแกะสลักมรกตเป็นรูปตัวด้วงและแมลงมีปีกต่าง ๆ ด้วย บนมงกุฎของพระเจ้าซาร์ (Czar) กษัตริย์แห่งรัสเซียก็ประดับด้วยมรกตด้วย คำว่า "Emerald" มาจากภาษากรีกว่า Smaragdos แปลว่า หินสีเขียว สีเขียว คือ สีที่เป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต สีแห่งความอุดมสมบูรณ์ จึงเชื่อกันว่ามรกตนำมาซึ่งโชคลาภ ความร่ำรวย ชาวเปรูในสมัยก่อนนับถือมรกตเป็นอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ เชื่อกันว่ามีอำนาจปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ได้ ด้วยความศรัทธาของชาวเปรู พวกเขาได้สร้างศาลเจ้าที่เก็บมรกตจำนวนมากเพื่อสักการะบูชาอัญมณีชนิดนี้ สีของมรกตเป็นสีที่เย็นตา จึงมีผลดีต่อสายตา นอกจากนี้ มรกตยังมีพลังช่วยบำบัดอาการอักเสบต่าง ๆ ช่วยรักษาโรคติดเชื้อเรื้อรัง สำหรับผู้ที่เหนื่อยล้าจากการทำงานหนักหรือผู้ที่เพิ่งฟื้นจากการเจ็บป่วย หากสวมใส่มรกต อัญมณีชนิดนี้จะช่วยคืนพลังได้ มรกตยังเป็นอัญมณีที่เทพธิดาวีนัส เทพธิดาแห่งความรักโปรดปรานมาก เชื่อกันว่ามรกตมีพลังอำนาจทำให้คู่รักมีความซื่อสัตย์ต่อกัน เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรักที่จริงใจ เหมาะที่จะให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน ตำนานกำเนิดมรกต คัมภีร์พระเวทบันทึกไว้ว่ามรกตเกิดจากน้ำดีของอสูรวลาซึ่งถูกเหล่าเทวดาหลอกมาสังหารแล้วแยกชิ้นส่วนร่างกายของอสูรตนนี้ออกอันเนื่องมาจากอสูรวลามีอำนาจเหนือพระอินทร์ คอยกดขี่ข่มเหงเทวดาอื่น ๆ น้ำดีเหล่านี้ถูกพญานาคชื่อ วสุกีนำไป แต่ระหว่างทางที่ลงจากสวรรค์ พญานาควสุกีถูกพระครุฑและพญาหงส์ขัดขวางไว้ ทำให้พญานาควสุกีกลัวและทำน้ำดีร่วงหล่นลงมาบริเวณเทือกเขามณิกยาหรือบริเวณแนวภูเขาของแอฟริกาใต้กับอเมริกาใต้ในปัจจุบัน และบริเวณเทือกเขาหิมาลัย แหล่งที่พบมรกต จากบริเวณต่าง ๆ ที่พญานาควสุกีทำน้ำดีร่วงลงมา ได้กลายมาเป็น แหล่งมรกตในปัจจุบัน ประเทศที่มีมรกตมากที่สุด คือ ประเทศโคลัมเบียซึ่งขุดเหมืองมรกตกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เหมืองที่มีชื่อ ได้แก่เหมือง Muzoเหมือง Gachala
เดือนมิถุนายน มุก ( “ มุก...อัญมณีจากสิ่งมีชีวิต” ไข่มุก อัญมณีแห่งความบริสุทธิ์ที่สตรีทั่วโลกหลงใหลนั้น ตามตำนานในคัมภีร์พระเวทบันทึกไว้ว่า ไข่มุกเกิดจากฟันของอสูรวลา ฟันเหล่านี้ร่วงหล่นลงมาบนโลกมนุษย์แล้วหลุดเข้าไปอยู่ในเปลือกหอยมุกทำให้เกิดมุกขึ้น แต่แท้จริงแล้ว ไข่มุกเกิดจากการที่มีเม็ดทรายหรือสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในตัวหอยมุกทำให้หอยมุกเกิดความระคายเคืองจึงต้องขับ “ น้ำมุก ” (Narce) ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ออกมาเคลือบสิ่งปลอมนั้น น้ำมุกที่หอยมุกขับออกมาทำให้สิ่งแปลกปลอมนั้นมีความแวววาว ยิ่งหอยมุกขับน้ำมุกออกมาเคลือบนานเท่าไร สิ่งแปลกปลอมนั้นก็มีความแวววาวและความงดงามมากขึ้นเท่านั้น ในปัจจุบัน มีมุกเลี้ยงซึ่งเกิดขึ้นโดยการเลียนแบบการเกิดมุกธรรมชาติ นั่นคือ ใส่แกนของไข่มุกเข้าไปในตัวหอยมุก แล้วนำกลับลงไปในทะเล หอยมุกก็จะขับน้ำมุกออกมาเคลือบไปเรื่อย ๆ ประมาณครึ่งปีจึงนำหอยมุกกลับขึ้นมา วิธีการเลี้ยงหอยมุกนี้พัฒนาขึ้นโดยโคคิจิ มิกิโมโตะ (Kokichi Mikimoto) เมื่อ ค . ศ .1893 ไข่มุกไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวเท่านั้น ยังมีสีเหลือง สีชมพู และสีดำ แต่ไม่ว่าไข่มุกจะมีสีใด ลักษณะของไข่มุกที่ดีควรมีทรงกลม แวววาวและสะอาด มุก (Pearl)มุก... อัญมณีเลอค่า มนุษย์เรารู้จักไข่มุกมาเป็นเวลานานแล้ว เชื่อกันว่ามีการค้นพบไข่มุกครั้งแรกในบริเวณตะวันออกกลาง ว่ากันว่าพระนางคลีโอพัตราทรงใช้ตุ้มหูมุกเป็นเครื่องประดับ และมักจะจุ่มตุ้มหูมุกลงไปในเหล้าองุ่นก่อนดื่มเพราะเชื่อว่าไข่มุกมีพลังช่วยคงความหนุ่มสาวเอาไว้ได้ กวีชาวกรีกนามว่า โฮเมอร์ ซึ่งเป็นกวีในยุคเมื่อ1,200 – 850 ปีก่อนคริสตศักราชได้กล่าวถึงการใช้ไข่มุกเป็นเครื่องประดับของเทพธิดายูโนไว้ในวรรณกรรมของเขาด้วย หญิงสาวชาวโรมันก็นิยมสวมใส่ไข่มุกเช่นเดียวกัน ส่วนชาวจีนในสมัยก่อนใช้ไข่มุกเป็นเครื่องบอกยศถาบรรดาศักดิ์ สัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ ไข่มุกเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ด้วยสีอันนุ่มนวลงดงามของอัญมณีชนิดนี้ เมื่อหญิงสาวนำมาใส่จึงช่วยกระตุ้นให้ความเป็นกุลสตรีเด่นชัดขึ้น ทำให้เกิดความนุ่มนวลอ่อนหวาน นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่าหากวางไข่มุกไว้ใต้หมอนจะช่วยให้คู่สามีภรรยาที่ไม่มีบุตรได้มีบุตรสมหวัง ทางด้านการบำบัดรักษา ไข่มุกเป็นอัญมณีธาตุน้ำ จึงเชื่อกันว่าไข่มุกมีพลังช่วยลดไข้หรือโรคที่เกิดจากความร้อน ช่วยบำบัดอาการของคนที่เป็นโรคไต หอบหืด เสมหะ และระบบทางเดินหายใจไม่ปกติ แหล่งผลิตไข่มุก ในประเทศไทย ภูเก็ตนับเป็นแหล่งผลิตที่มีคุณภาพดีระดับโลก สามารถสนองความต้องการของตลาดโลกได้เป็นจำนวนมาก ส่วนแหล่งเพาะเลี้ยงที่อื่น เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย พม่า จีน ฟิลิปปินส์ ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.sgs.ac.th/School/JewelryKnowledge/Zodiac.aspx |