My Boss My Hero (สั่งเจ้าพ่อไปเรียนหนังสือ) : ชั้นเรืยนก็เหมือนองค์กร

Nagase Tomoya - Tokio Tribute It`s my Life !!! my boss my hero - sorafune My Boss My Hero: ชั้นเรืยนก็เหมือนองค์กร ยิ่งสูงยิ่งหนาว เป็นคำกล่าวที่ทุกคนรับรู้กันดี แต่ในเมื่อคนทำงานส่วนใหญ่ล้วน ติดกับดักแห่งการต้องการความก้าวหน้าในการทำงาน จนบางครั้งบางคนอาจลืมซึ่งอุดมการณ์และเป้าหมายในการก้าวเข้าสู่วิชาชีพ ลืมตั้งคำถามกับการดำเนินชีวิตของตนเอง ลืมตั้งคำถามว่า กำลังทำอะไรอยู่หรือทำไปเพื่ออะไร หรือ ทำเพื่อใคร? “ซาคากิ มาคิโอะ” ทายาทรุ่นที่ 3 ของแก็งค์ยากูซ่าเขี้ยวคม จบแค่ม.ต้นและถนัดใช้กำลังเป็นที่สุด แต่กำลังตกที่นั่งลำบาก เมื่อเก้าอี้ทายาทหนึ่งเดียวของเขาถูกสั่นคลอนด้วยน้องชายที่กำลังเรียนเศรษฐศาสตร์ เพราะนายใหญ่แห่งเขี้ยวคมลั่นวาจาชัดเจนว่า “ถ้าเอ็งเรียนไม่จบม.ปลาย ก็ไม่มีสิทธิ์จะเป็นหัวหน้าแก็งค์” เหมือนถูกหยามเกียรติ ที่จะต้องให้ชายฉกรรจ์วัย 27 ปีกลับไปเป็นนักเรียนม.ปลายอีกครั้ง คนที่แม้บวกเลขยังไม่ถูก อ่านตัวคันจิยังยาก ภาษาอังกฤษไม่ต้องพูดถึง ต้องกลับไปเรียนใหม่ เขากำลังได้รับการตั้งคำถามว่า การกลับมาเรียนเขาทำเพื่ออะไร และทำเพื่อใคร คำตอบคือเพื่อเป้าหมายเดียว คือกลับมาเป็น “หัวหน้าแก็งค์” สิ่งแรกที่ “ซาคากิ” ทำหลังจากเข้าไปเรียนคือ การอาสาเป็นหัวหน้าห้อง มีคนในปกครอง 27 คน อาณาจักรจำลอง และงานแรกของการฝึกบริหารกำลังคน ครอบครัวธุรกิจหลายแห่งอาจมีสถานการณ์คลับคล้ายกับ ซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่อง “My Boss My Hero” ที่ไม่อาจไว้ใจได้เต็มร้อยกับการที่จะมอบภารกิจทั้งหมดให้ทายาทรับช่วงต่อ อาจจะด้วยปัจจัยภายในองค์กร หรือปัจจัยภายนอกองค์กรที่บีบคั้น “ซาคากิ” เจอแรงบีบคั้นจากคนภายในที่แบ่งขั้วชัดเจน ฝ่ายสนับสนุนผู้พี่ และฝ่ายสนับผู้น้อง แต่ทางออกที่ดีของความขัดแย้งภายในคือ “การเลือกตั้ง” แต่การเคี่ยวแข่งเขตพื้นที่การปกครองกับแก็งค์อื่น เป็นเรื่องของบารมีล้วนๆ ซึ่งต้องค่อยๆ สั่งสม แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาต้องบริหารจัดการคน 27 คนที่เขาต้องรับผิดชอบให้ทุกคนจบม.ปลายไปพร้อมกัน คุณสมบัติของผู้นำปฏิเสธไม่ได้ว่า “ความฉลาด” เป็นสิ่งที่ลูกน้องต้องการเห็น หากแต่ “ซาคากิ” ยังไม่มีมัน ทว่าเขาอาศัยความจริงใจ ทุ่มเท และความรักพวกพ้องพาแก็งค์เล็กๆ ของเขาไปถึงความสำเร็จ สิ่งที่สนับสนุนว่าความมุ่งมั่นของ “ซาคากิ” สัมฤทธิ์ผลคือ ผลการวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอเนีย: UCLA (กรมสุขภาพจิต,2543) ของ ความสำเร็จในการเป็นผู้นำมีส่วนเกี่ยวข้องกับความฉลาดมีส่วนเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 93 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลจากคุณสมบัติอื่นได้แก่ ความไว้วางใจ ความมีสมดุล การรับรู้ความเป็นจริง ความซื่อสัตย์ ความเป็นอยู่ และการมีอำนาจเหนือคุณสมบัติด้านเชาวน์ปัญญาเหล่านี้เป็นที่มาของ EQ หรือความฉลาดทางอารมณ์ทั้งสิ้น สอดคล้องกับการเปิดเผยของ Daniel Goleman (1999) ที่กล่าวว่า ความฉลาดทางอารมณ์มีความสำคัญเป็นสองเท่าของความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) รวมกับทักษะทางเทคนิคในการช่วยให้ทำงานได้สำเร็จ การที่ “นายใหญ่” แห่งแก็งค์ยากูซ่าให้ลูกชายคนโตกลับไปเรียนหนังสือ อาจจะต้องการ เพิ่มความฉลาดทางสติปัญญาจากติดลบ ให้กระเตื้องใกล้ 7 เปอร์เซ็นต์ เข้าไปบ้าง และเพิ่มศักยภาพของการสร้างความไว้วางใจให้ลูกน้อง และเหนืออื่นใดต้องสร้างความซื่อสัตย์ให้เกิดขึ้นอย่างเต็มเปี่ยมในใจของยากูซ่า ผู้นำต้องมีความสามารถในการควบคุมและกำกับพลังอำนาจทางอารมณ์ของตน เพื่อเป็นการเสริมสร้างความพึงพอใจขวัญกำลังใจและแรงจูงใจของพนักงาน ส่งเสริมประสิทธิผลขององค์การ โดยเฉพาะในภาวะแวดล้อมที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ต่อพนักงาน ดังที่ “ซาคากิ” ทำสำเร็จแล้วใน “My Boss My Hero” http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9540000077204 http://swhappinessss.blogspot.com