1
2

The Gentle Way of Playboy ( วิกรม กรมดิษฐ์ )



MV เจ้าชู้ไม่รู้ตัว


The Gentle Way of Playboy
( วิกรม กรมดิษฐ์ )

“ผมรู้สึกว่า เมืองไทยมีอะไรตั้งเยอะที่ต้องเปลี่ยน แต่คนไทยขี้เกรงใจ ไม่พูดความจริง หรือไม่ก็คิดว่า ถ้าพูดไปแล้วเดี๋ยวมีปัญหา เพราะฉะนั้น เมืองไทยเราก็เลยเหมือนเปิดตาข้างหนึ่ง ปิดตาข้างหนึ่ง”

เรื่อง : กองบรรณาธิการ TASTE
ภาพ : OOFSIDE

บุรุษสูงวัย ท่วงท่าสุขุม แต่ทว่าไม่เคร่งขรึม แย้มยิ้มในแววตา 59 กะรัต ผ่านถ้อยคำออกมา หลังจากที่ “เรา” โยนคำถามแกมความสงสัยว่าเพราะอะไร หลายครั้งหลายหน เราถึงได้ยิน-ได้อ่าน ความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ของเขาอันตรงไปตรงมา ราวกับว่าในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขาต้องเกรงกลัวได้เลย

วาจาข้างต้นนั้น แม้จะฟังดูจริงจังอย่างยิ่ง ซีเรียสอย่างยิ่ง แต่ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมา กลับเนิบนุ่มละมุนหู ไร้ความกระด้างกร้าว

“ผมคิดว่า ถ้าเราคิดจะรักบ้านเมืองเรา เราต้องพูดให้ชัดเจน แต่ต้องไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่ใช่พูดเพราะต้องการผลประโยชน์ ต้องการชื่อเสียงหรืออะไร เราต้องทำด้วยความจริงใจ ต้องไม่หลอกลวงตัวเอง ไม่บิดเบือนความจริง แต่เท่าที่เห็น หลายคนหลอกตัวเอง เพราะมันมีอะไรแอบแฝง”

วิกรม กรมดิษฐ์ เว้นช่องไฟให้กับการนิ่งคิด ชั่วขณะผีเสื้อขยับปีก ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นผู้ตั้งคำถามแทนเรา สืบสาวหาต้นทางว่าเพราะอะไร จึงเลือกที่จะมานั่งสนทนากับเขา ในชั่วโมงนี้?

ก็จริง, ทำไม เราต้องมานั่งคุยกับผู้ชายคนนี้ เพราะที่ผ่านๆ มา อาจกล่าวได้ว่า เรื่องราวของเขาได้รับการบอกและเล่ามาแล้วไม่รู้กี่ร้อยกี่พันหน้ากระดาษ จนกระทั่งเราเชื่อว่า แม้ไม่ต้องพรรณนาบอกความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับชายผู้นี้ ผู้อ่านที่สายตากว้างไกลของเรา ก็คงรับรู้กิตติศัพท์ของบุรุษสูงวัยผู้นี้อย่างดีแล้ว

แว่วๆ มาว่า เมื่อไม่กี่วันก่อน “วิกรม กรมดิษฐ์” ประธานมูลนิธิอมตะ เพิ่งกลับมาจากการคาราวานด้วยรถมอเตอร์โฮมซึ่งกินระยะเวลายาวนานกว่าสองเดือน ซึ่งแน่นอนว่า เป้าหมายปลายทางของกองคาราวานนี้ นอกเหนือจากเดินทางท่องโลกเพื่อสัมผัสวิถีชีวิต วัฒนธรรม ธรรมชาติ ในหลากหลายท้องถิ่น ทั้งไทย จีน ลาว เวียดนาม เรื่องราวระหว่างทางเหล่านี้ยังจะถูกนำเสนออย่างสมบูรณ์แบบให้คนไทยได้ชมกันผ่านรายการ “เบิกฟ้าท้าโลก” ในช่วงต้นปีหน้าด้วย

นี่คือหนึ่งเรื่องใหม่ของผู้ชายคนนี้ แต่นี่ยังไม่ใหม่เท่ากับว่า เร็ววันนี้ เขาจะมีหนังสือชื่อใหม่ออกมาอีกหนึ่งเล่มในชื่อ “ชีวิตใหม่”

นั่นแหละ เรารู้แล้วว่า จะคุยกับเขาด้วยเรื่องอะไร?

วิกรม กรมดิษฐ์
กับชีวิต 3 มิติ

“ผมชอบเขียนหนังสือ ไม่ใช่เพราะต้องการคำสรรเสริญเยินยออะไร แต่มองว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อการช่วยลดต้นทุนทางสังคม อย่างผมอายุ 59 ถามว่า ทำไมเราไม่เอาประสบการณ์ที่เราเดินผ่านมา ให้คนอายุ 23 หรือ 33 ดู เพื่อให้เข้าใจว่าผมเดินมาอย่างนี้ได้อย่างไร ทีนี้ ถ้าคุณจะเดินต่อไป มันก็มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

ชายสูงวัย เปรียบเปรยกับสังคมของคนอังกฤษในมุมที่ว่าเพราะอะไร คนอังกฤษถึงเก่งกว่าคนไทย

เขาบอกว่า มันเชื่อมโยงมาจาก “หนังสือ”

“เพราะบรรพบุรุษของคนอังกฤษเขาเอาเรื่องราวต่างๆ มาเขียน อย่างเป็นจริง เขาไม่โกงความจริง ดำก็ดำ ขาวก็ขาว ฉะนั้น เวลาที่เราไปอ่าน ถ้าเรารู้ว่าตรงไหนมันดำ เราก็ไม่ควรที่จะไปพัวพันข้องเกี่ยวหรือซ้ำรอย มันก็เลยทำให้ต้นทุนของอังกฤษเขาก็ถูกลง

“สังเกตดูสิว่าหนังสือที่เขียนถึงประวัติของผู้คนในประเทศไทยนี่ มีสักกี่เล่มที่จะเขียนเป็นรูปสามมิติ หมายถึง มีเรื่องไม่ดี ทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง แต่เท่าที่เห็นมันเป็นแค่มิติเดียว คุณไปดูหนังสืองานศพสิ ต่างจากหนังสือของอังกฤษส่วนใหญ่ที่จะเป็นรูปสามมิติ ลูกหลานที่ได้อ่าน ก็ได้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก โอกาสที่จะผิดพลาด มันก็น้อย โอกาสที่จะเก่ง ก็เยอะ นั่นล่ะคือสาเหตุที่ผมอยากจะทำสิ่งต่างๆ อย่างที่ทำอยู่”

ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งที่วิกรม กรมดิษฐ์ หยิบมาขีดเขียน ในความคิดของเขา จึงพร่างพราวด้วยเรื่องราวความจริง ในทุกๆ ด้าน อย่างที่เขาบอก ทุกอย่างที่เขาเขียน ต้องเป็นจริง ต้องมีเหตุผล ไม่งมงาย และเป็นประโยชน์

“เหมือนอย่างที่ผมเขียนตอนคว้าปืนไปยิงพ่อ ในหนังสือ 'ผมจะเป็นคนดี' ผมก็เขียนหมด เพราะมันเป็นเรื่องจริง แล้วผมทำอะไรไม่ดีมา ก็พูดก็เขียนมัน เพื่อที่ว่า คนเป็นพ่อก็จะได้คิดถึงหัวอกของลูก แล้วคนที่เป็นลูกก็จะได้คิดถึงความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อบ้าง

“ชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตแบบสามมิติ เหมือนเหรียญน่ะ มันมีหน้าเดียวซะเมื่อไหร่ มันเป็นความจริง มนุษย์มีสามมิติ เราจะต้องไม่โกงความจริง อย่าไปหลอกลวงตัวเอง เราเป็นอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น”

“ไม่กลัวว่าโลกจะมองเราเป็นคนไม่ดีอะไรอย่างนั้นบ้างเลยหรือ?” น้ำเสียงของเรา เจือสงสัย

“ขอให้โลกมองเราให้ถูก ผมไม่กังวลเรื่องความผิด ผมกังวลว่าโลกมองเราไม่ถูก และมันไม่มีอะไรสายสำหรับวันนี้ แล้วมันไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้เราจะทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้ คิดสิว่าเราจะทำยังไงให้มันดีขึ้นแล้วก็เริ่มต้นทำไปตั้งแต่วันนี้นี่แหละ”

อาจเป็นเพราะเหตุนี้ จึงทำให้ลูกผู้ชายที่ชื่อ “วิกรม กรมดิษฐ์” ไม่เคยจะปกปิดหลบซ่อนตัวเอง แบบไม่เกรงว่าจะเสียภาพลักษณ์แห่งนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ ในใจของเขา นึกหวังเพียงช่วยลดทอนต้นทุนของสังคม เช่นเดียวกับหนังสืออีกเล่มหนึ่งซึ่งเขาบอกว่าเขียนไปได้ครึ่งเล่มแล้วอย่าง “มาย เลดี้” (My lady)

“ที่ผมอยากเขียนเล่มนี้ เพราะผมรู้สึกว่าไม่อยากให้พวกคุณเดินผิดพลาดในเรื่องความรักและครอบครัว อย่างในอดีต เราเองเคยทำอะไรที่มันไม่ดีหรือผิดพลาด ถ้าไปทำอะไรชั่ว ทำอะไรไม่ดี ก็ตีแผ่ออกมา นั่นคือความจริงที่เราเคยทำอะไรไม่ดี แต่เป้าหมายของเราคือต้องการให้เด็กๆ ดูว่า ชีวิตรัก ถ้าเข้าใจ ก็จะได้รู้วิธีการบริหารจัดการ ให้คนอื่นนำไปใช้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง แต่การที่จะเขาจะเอาไปใช้อย่างถูกต้องได้นี่ มันก็จะต้องได้รู้ทั้ง “ผิด ถูก ดี งาม” ไม่งั้นเขาจะไปรู้ได้อย่างไร”

ถามว่า “เขา”เคยผิดพลาดอะไรบนทางรถไฟสายความรัก?

วิถี Playboy
แบบลูกผู้ชายชื่อวิกรม

“เราก็เคยเป็นเพลย์บอยมาก่อน แต่เราพยายามจะบอกว่าทำไมเราเป็นเช่นนั้น แล้วมันก็สร้างความผิด ความเสียหาย นั่นเป็นที่มาของหนังสือเล่มดังกล่าว ว่าเราเคยทำอะไรที่ชั่วร้ายมาก่อน แต่เป้าหมายของเราคือ เราต้องการให้ไอ้ตรงนั้นน่ะ มันเป็นแผนที่ชีวิตของการเดินทางของพวกหนุ่มสาว ไม่ให้เค้าไปเดินเหมือนเรา หรือทำผิดแบบเดียวกับเรา หรือถ้าจะมีความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ต้องทำให้มันถูกต้อง”

ประวัติในส่วนที่เกี่ยวกับผู้หญิงของคุณ ใกล้ๆ กับฮิวจ์ เฮฟเนอร์ เจ้าของแม็กกาซีน Playboy หรือเปล่า...เราอยากรู้

“โอ๊ย ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ตอบเร็ว น้ำเสียงเหมือนเห็นขันในคำถามของเรา

“ผมนี่ ด้วยความที่เป็นเด็กซน สนุก ชอบทำอะไรที่ท้าทาย มันก็เป็นเรื่องกุ๊กๆ กิ๊กๆ แบบเด็กๆ แต่เราก็มาคิดภายหลังว่า เออ เราทำไปอย่างนั้นเพราะนึกสนุกสนาน แต่ก็ไปทำให้ชาวบ้านเค้าเสียหาย เราน่าจะกลับมาสะท้อนให้คนที่กำลังทำอยู่หรือคิดว่าจะทำ มันลดลง เราไม่ได้จะมาอวดโอ้ว่า แหม ฉันเคยฟันสาวมาแล้วเท่าไหร่ ไม่ต้องไปยึดติดตรงนั้นดีกว่า แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า สถิติเก่าๆ ห่วยๆ เลวๆ เราทำมาแล้วนี่ เหมือนมาสารภาพบาป สะท้อนให้มันเป็นตัวอย่าง ผู้ชายชื่อวิกรม ไม่มีความจำเป็นต้องขื่นขมหรือรู้สึกแย่กับคำว่า “เพลย์บอย”

“โอ้โห ถามจริงๆ ทุกวันนี้ มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่อยากเป็นเพลย์บอย ทุกๆ คืน มีสาวสวยๆ ไปกับคุณทุกคืน มีใครไม่ชอบบ้าง แต่ประเด็นก็คือว่า เราต้องเป็นสุภาพบุรุษ พูดความจริง ผู้ชายไทยหลายคน เป็นอีแอบ ทำทีเป็นคนดี แต่จริงๆ “อยาก” จะตาย แต่ตอแหล

“ผมอยากให้ผู้ชายหลายๆ คน ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ไม่หลอกลวงผู้หญิง เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งการพาผู้หญิงไปนอน โกหกตอแหลเขาสะบั้นหั้นแหลก หน้าตัวเมีย”

“สมมติว่าผมมีแฟนแล้ว เราจะบอกกับผู้หญิงอีกคนอย่างไร?” เราลองหยั่งเชิงเพลย์บอยรุ่นเก๋า

“ก็บอกเขาไปสิว่ามีแฟนแล้ว พูดตรงๆ เลย คือคนเรานะ ถ้าเป็นหมา ก็บอกเขาไปเลยว่าเราเป็นหมา ไม่ต้องทำฟอร์มเป็นเหมือนสิงโตแล้วเห่าออกมาเสียงเหมือนหมา หมากึ่งสิงโต มันไม่เป็นธรรมชาติ เป็นหมาก็บอกเป็นหมา เราไม่ใช่หมาขี้เรื้อน ไม่ใช่หมาหน้าตัวเมียก็เท่านั้นเอง ความจริงก็เท่านั้นเอง เค้าจะชอบเราหรือไม่ชอบเรา อยู่ที่เค้า แต่ไม่ใช่ไปโกหกให้เค้าเข้าใจผิดแล้วเกิดชอบเรา ไอ้พวกนี้มันหน้าตัวเมียนี่หว่า อย่างนี้ไม่ควร

“หรือทำผิดไปแล้ว ก็ปฏิเสธเค้าหูดับตับไหม้ ไอ้พวกนี้ก็ยิ่งหน้าตัวเมียเข้าไปใหญ่ ไปหลอกเค้านี่ก็ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษแล้ว ไปทำเค้าแล้วยังโกหกเค้าอีก”

ชายสูงวัย เว้นวรรคเล็กน้อย ปรายตามองมาที่เรา...ก่อนจะพูด คล้ายกระซิบ

“ผู้ชาย ก็คือผึ้ง แต่เราควรจะเป็นผึ้งที่ไม่เอาเปรียบ ไม่ทำร้าย ธรรมชาติมันก็อยู่ได้ เพราะธรรมชาติมันก็สร้างสรรค์ แต่ทุกวันนี้ ผู้ชายจำนวนมากเป็นคนขี้โกหก หลอกลวงให้ผู้หญิงเข้าใจผิดว่าพี่ยังโสด พี่รักเธอ เช้าไปส่ง เย็นไปรับ แต่พอถึงเวลาฟาดเขาไปแล้ว เป็นยังไง หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ เพราะมันไม่จริงใจ ถามว่า เราไปทำทำไมล่ะ ไปทำให้เค้าเสียหายทำไม ทำให้เขาร้องห่มร้องไห้ ฆ่าตัวตาย อันนั้นยิ่งบาปกรรมอีก”

คำพูดต่อมาของวิกรม ตั้งข้อสังเกตได้น่าคิดว่า สังคมทุกวันนี้ เสียหายเพราะ “เรื่องอย่างว่า” ค่อนข้างเยอะ

“เรื่องความมัน เรื่องความเสียว มนุษย์มันหลีกไม่พ้น แต่ความที่ไม่เป็นสุภาพบุรุษของหลายๆ คนนี่ชอบไปหลอก อย่างผม อาจจะเคยทำอะไรไว้เยอะ ในตอนนั้น แต่ผมไม่เคยหลอก ในชีวิตผมไม่เคยหลอกลวงผู้หญิง แล้วไม่เคยข่มขืนผู้หญิง”

เป็นเพลย์บอย
อย่าลืมเป็นสุภาพบุรุษ

ในความคิดเกือบ 60 ขวบ ของวิกรม กรมดิษฐ์ บอกกับเราว่า เขาไม่ปฏิเสธความเป็นเพลย์บอย ใครอยากจะเป็นก็เป็น แต่เป็นแล้ว ก็พึงสังวรณ์ระวังในสามข้อ

“ผมอยากจะพูดว่า ผู้ชาย อย่าใช้คำว่าเป็นสัตว์ตัวผู้แล้วก็สนองความเป็นผู้ชาย และไม่ควรใช้ความเป็นผู้ชายไปทำให้ผู้หญิงเสียหาย เช่น ไปทำให้เค้าท้องเพราะความใคร่ หรือไปทำให้เกิดเด็กขึ้นมาแล้วเด็กคนนั้นไม่มีคนดูแล เพราะความอยากในกามของเรา และเราก็ไม่ควรที่ใช้ความเป็นผู้ชายของเราไปหลอกลวงให้เขาเข้าใจผิดเพราะเรื่องเซ็กซ์ที่เราอยากจะมีกับเขา ผมว่าพวกนี้ไม่ใช่สุภาพบุรุษ พวกนี้น่าจะไปใส่ผ้าถุง เพราะมันเป็นเหมือนคนที่สิ้นคิด เพราะถูกอารมณ์นำพาไป

“ผู้ชายควรจะเข้าใจว่า โดยธรรมชาติแล้ว ตัวเองถูกสร้างขึ้นมาโดยอวัยวะส่วนนั้นของผู้หญิง แล้วก็อย่าให้อวัยวะส่วนนั้นนำพาเราไปทำในสิ่งที่จะทำลายศักดิ์ศรีของเรา อย่างนั้นมันไม่มีศักดิ์ศรี มันหน้าตัวเมีย มันไม่ใช่สุภาพบุรุษ ผู้ชายต้องแสดงความสง่างามด้วยการมีภาวะแห่งความเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะอยู่กับผู้หญิงหรืออยู่กับใคร

“ผมคิดว่า ผู้ชายจำนวนมาก มีเสน่ห์ด้านหน้าตา แต่อย่ามองข้ามความมีเส่นห์อันเกิดจากการเป็นสุภาพบุรุษตรงนี้ไป เพราะตรงนี้นี่แหละที่ทำให้ผู้หญิงเขาสนใจ ผู้หญิงหลายๆ คน ที่เขาสนใจผู้ชายบางคนเพราะเขาเห็นว่า คนนี้เป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษ แล้วเราก็พูดกับเขาตรงๆ สมมติว่าเราไม่ได้คิดจะไปแต่งงานกับเขาเลย เราก็พูดกับเขาว่าเราแค่อยากนอนกับเขา แต่ต้องพูดอย่างสุภาพ ไม่ใช่ไปพูดแบบหยาบๆ คายๆ พูดให้เขาเข้าใจว่า เราสนใจสรีระของเขา เราสนใจเรื่องธรรมชาติกับเขา แต่เราไม่เคยคิดที่อยากจะแต่งงานกับเขา เราก็ต้องแฟร์กับเขา ให้เขาเข้าใจอย่างถูกต้องว่าในใจของเราคิดยังไงกับเขา ถ้าเขาเห็นชอบ เขาก็ไปนอนกับเราเองแหละ ทำอย่างนี้ ผมว่าจบ ไม่มีปัญหา เราไม่ควรจะสำนึกเสียใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะมาร้องไห้เพราะเรา เพราะเราได้สื่อให้เข้าใจแล้วอย่างถูกต้อง ผู้ชายควรจะต้องทำอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าทำให้ผู้หญิงเข้าใจผิด แล้วก็คาดหวัง อย่างนี้ต่างหากที่ต้องการเสนอ”

ข้อที่สอง...

“เมื่อมีอะไรผิดพลาด เราต้องเป็นสุภาพบุรุษ ต้องหันหน้าเข้าหาปัญหาตรงนั้น แล้วเข้าไปแก้ เพราะว่าถ้าไม่แก้แล้วมีชีวิตอีกชีวิตหนึ่งเกิดขึ้นมานี่ มันเป็นบาปมหันต์เลย เด็กคนนั้นเกิดมาไม่มีพ่อแล้วต้องมีชีวิตอยู่ทั้งชาติ ไม่มีใครดูแล คิดดูว่ามันบาปแค่ไหน ความเลวของผู้ชายหลายๆ คนที่ไปทำผู้หญิงท้องแล้วก็ทิ้ง ผู้หญิงคนนั้นก็ต้องเดินไปตามยถากรรมของตัวเอง ผมว่าผู้ชายคนนั้นมันเลวยิ่งกว่าสัตว์อีก คุณดูหมาสิ ดูสิงโตสิ สัตว์นี่มันยังดูแลลูกมันอยู่เลย แต่ไอ้ผู้ชายคนนั้นน่ะมันเลวยิ่งกว่าสัตว์อีก ไอ้นี่เขาเรียกว่าสัตว์เดรัจฉานเลยล่ะ ผมว่าสัตว์เดรัจฉานพวกนี้น่ะ ควรจะเปลี่ยนพฤติกรรม ถ้าเรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังรับผิดชอบไม่ได้ แล้วเรื่องใหญ่ๆ จะรับผิดชอบได้เหรอ เพราะฉะนั้น ประเทศไทยเรา มันถึงมีแต่หน้าตัวเมียเยอะมาก ที่ทำอะไรแล้วหนีไง ไม่ยอมรับผิด ผู้ชายอย่างนี้ไม่น่าจะเป็นลูกผู้ชายหรอก”

เขาร่ายยาว ก่อนจะก้าวเข้าสู่ ข้อที่สาม...น้ำเสียงยังเสมอต้นเสมอปลาย ไม่แสดงความอ่อนล้า

“อย่าให้กิเลส หรือความใคร่ของเรา มันนำพาเราไปเป็นคนเลวเลย หรือถ้าเกิดอะไรที่เราทำผิดแล้ว ก็ต้องหันหน้าเข้าปัญหา แก้ปัญหา เพราะผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเราก็เคยมีความสัมพันธ์กับเขา เขาต้องไปตกระกำลำบาก ทั้งหมดนี้มันก็เป็นเพราะความมักง่ายของผู้ชายนั้นมีส่วนเยอะมาก เพราะความอยาก ความใคร่ ความคัน แล้วก็ไปปลดเปลื้องด้วยการหลอกต้มเค้า”

วิกรม กรมดิษฐ์ ปิดการสนทนาด้วยความหวังว่าหนังสือ My lady ที่จะออกในวันข้างหน้า คงเป็นที่พึ่งพาของสังคมได้ โดยเฉพาะบรรดาผู้ชาย ที่จะได้กลับมาตรวจสอบตัวเองและเคร่งครัดกับวิถีแห่งสุภาพบุรุษกันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนสังคมจะผุพังไปมากกว่านี้...

Plus+++

3 เคล็ดลับความร่ำรวย
สำหรับคนหนุ่มมีฝัน

ได้พบเจอกับเจ้าสัวผู้ประสบความสำเร็จทั้งที มันคงน่าเสียดาย ถ้าเราจะมองข้ามหรือเมินเฉยที่จะไม่ไถ่ถามเคล็ดลับความร่ำรวย ซึ่งวิกรม กรมดิษฐ์ ก็ไม่มีความคิดที่จะปกปิดวรยุทธ์นั้น...

1.
“ต้องรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงก่อนว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร ทำอะไรได้ดี แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ดี ต้องเคลียร์ตัวเอง

2.
“ต้องเคลียร์เป้าหมายในชีวิตว่าตัวเองอยากจะเป็นอะไร อยากทำอะไร หลายๆ คนที่เดินสะเปะสะปะ เพราะไม่รู้ ไม่เคยคิด ไม่เคยสนใจ ว่าฉันมีอะไรดีไม่ดี ฉันควรจะไปทางไหน ฉันควรจะเดินทางอย่างไรในอนาคต คือสังคมไทยนี่มีจำนวนคนเยอะมากที่ตำข้าวสารกรอกหม้อไปวันๆ แล้วก็ทำอะไรไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ แล้วแต่ดวง แล้วแต่โชคพาไป หวังน้ำบ่อหน้า เยอะนะแบบนี้

3.
“เราไม่ชอบเรียนก่อนรู้ และรู้ก่อนทำ เรียนก่อนรู้ หมายถึง ก่อนที่เราจะรู้ เราต้องเรียนก่อน ก่อนที่จะทำ เราต้องรู้ก่อน อย่างนี้มันก็เสี่ยงน้อยลง ไม่มีอะไรในโลกที่ไม่เสี่ยงในสิ่งที่เราไม่เคยทำ แต่ถ้าเรารู้ ความเสี่ยงมันจะลดน้อยลง คนไทยขาดการเรียนรู้ ขาดการศึกษาก่อนที่จะไปทำ แล้วไปทำอะไรก็ชอบที่จะบนบานศาลกล่าว จะไปบนทำไมกับพวกอิฐพวกปูน เราก็เป็นคนก่อเขามา สยามซีเมนต์นี่เราไปไหว้เขาทำไม ทำไมเราไม่กลับมากราบไหว้ความรู้ เราไม่มาศึกษาความจริง หาต้นเหตุ หาแนวทาง หา Know How อย่างนั้น น่าจะมีประโยช์มากกว่า”

http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9540000083821





1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss