| | | ไม่ทันขาดคำคุณหมอ น้องเราก็โพล่งขึ้น...
“หนูไม่คุยกับเขาหรอกค่ะ เขาพยายามติดต่อมา แต่หนูก็ไม่อะไรทั้งสิ้น เพราะหนูไม่เชื่อเขาอีกแล้ว หนูมีแต่แค้นเขาค่ะ”
หมออังฯ ใจเย็นรับสถานการณ์อารมณ์คนไข้มาก เธอยิ้มอธิบายต่อ
“อืม ต้องคิดว่าการแก้แค้น คนที่เจ็บกว่าคือ เรา เพราะบางครั้งเขาไม่ได้มารู้สึกด้วย เขาก็ไปแฮปปี้ของเขา ไปกับคนใหม่ หรือไปกับเพื่อนเขาแล้ว
เราต่างหากที่เป็นคนทุกข์อยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นถ้าทำไป มีแต่ผลเสียกับตัวเรา เราน่าจะเลือกใช้วิธีอื่น”
ว่าแล้ว หมอก็ชี้แนะ 6 ขั้นตอนการวางจิตวางใจ สำหรับทุกคนที่กำลังอยู่ในภาวะอกหักรักคุด ไปด้วยกันไม่ไหวแล้ว เรานำมาฝากท่านผู้อ่านตามนี้เลยจ้า
Step#1 ยอมรับความจริง
โดยทั่วไป เราต้องมองและยอมรับความจริงว่า คนนี้ไม่ใช่ของเราแล้ว เราต้องมีความหวัง สักวันหนึ่งต้องมีคนที่ดีกว่าเขาแน่นอน ทว่ากรณีแม่น้องสาวผู้กำลังเฮิร์ท หมอเจาะรายละเอียดว่า
“เราต้องมองตามความเป็นจริง และพยายามดูว่าเขาคิดยังไง เขาพยายามเลิกฝ่ายโน้นมั้ย จริงจังเด็ดขาดรึเปล่า เราอาจยอมรับได้ โอเค มันก็ต้องมีคนที่สมหวังผิดหวังในเรื่องของความรัก หรือถ้าเขาเป็นคนลักษณะนิสัยเจ้าชู้มีกิ๊กและชอบโกหกอย่างนี้ไปแล้ว แก้ไม่ได้ เราก็มาดูว่าเราจะทนอยู่กับคนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ได้มั้ย ถ้าเกิดเราอยู่ต่อ เราต้องอดทนสภาพแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไหวมั้ย คือ ต้องคุยกับเขา ต้องมีการสื่อสารกับเขา ไม่ใช่ว่าไปสรุปเอาเอง
ถ้าเขายืนยันบอกจะคบกับเรา ก็โอเคให้โอกาสเขา
ถ้าทำผิดมาเป็นครั้งที่สิบแล้ว ก็บอกไม่ต้องมาหาแล้ว เราเองต้องกล้าหาญที่จะตัดสินใจ เขาคงไม่รักเราจริง ไม่งั้นเขาคงไม่ทำให้เราเสียใจ พฤติการณ์เขาออกมาแบบนี้เป็นตัวพิสูจน์ได้ดีกว่าคำพูด ถ้าเขามีคนอื่นบ่อยและมาแก้ตัว เราก็ไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดเขาอีกต่อไป เพราะพฤติกรรมมันฟ้องหลายครั้งแล้ว
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ที่แท้เขาไม่ได้รักเราจริง เรากับเขาไม่ได้มีความผูกพันเป็นคนรักกันต่อไปแล้ว ถ้าเรายอมรับความจริงตรงนั้น ความฝันที่จะกลับมาดีเหมือนเดิมก็จะลดลงคือ ยอมรับความจริง” Step#2 ยุติความสัมพันธ์
“หมายถึงว่า พยายามไม่ไปเจอ ไม่ไปคุยกับเขา หรือเอาของที่เขาเคยให้ ของใช้ร่วมกัน มานั่งมอง บางคนไปโกรธไปตามรังควานเขา จริงๆ แล้ว มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น หนึ่ง-คุณก็เจ็บมากขึ้น สอง-ยิ่งตาม เขายิ่ง reject คุณ เหมือนยิ่งวิ่งตามเขายิ่งวิ่งหนี มันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นตัวน่ารังเกียจ ตอกย้ำความรู้สึกว่า เราเป็นคนที่ไม่มีคุณค่าเลยสำหรับเขา
ทีนี้คนเราโดยมากเมื่อตัดสินใจแล้ว ไม่ค่อยมีการเปลี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเขาบอกเลิกเรา เขาต้องการมีคนอื่น เขาก็จะไม่หันกลับมา”
Step#3 หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นคิดถึงเขา
บางคนชอบตอกย้ำฟังเพลงเศร้า ซึ่งหมออังฯ บอกว่า
“เป็นเรื่องธรรมดา ช่วงเศร้าย่อมอยากฟังเพลงเศร้า แต่อย่าปล่อยให้อยู่อย่างนี้นานๆ”
เพราะการตอกย้ำความรู้สึกผิดหวังเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายเก่าๆ สถานที่ที่เคยไปเที่ยวไปกินข้าวด้วยกัน กระทั่งเปิดเพลงอกหักฟังอยู่เป็น 100 รอบ ฯลฯ มันเท่ากับว่า กำลังขุดหลุมฝังตัวเอง จมอยู่แต่สิ่งที่กระตุ้นให้คิดถึงเขา ชีวิตคุณก็จะไม่ไปไหนสักที
Step#4 ยืนยันว่าตัวเราเองมีคุณค่า
“ยืนยันคุณค่าในตัวเรา ไม่ใช่ว่าเขาทิ้งเราไป เขาไม่เลือกเรา กลายเป็นเราไม่ดี ไม่มีคุณค่า ซึ่งจริงๆ แล้ว หลายคนรักเรา พ่อแม่รักเราเห็นคุณค่าเราเสมอ แต่เรามักลืมมองตรงนั้น”
หมออังฯ เผยว่า คนที่มองว่าตัวเองไร้ค่ามักใช้วิธีฆ่าตัวตาย
“ที่เจอคนไข้มีไม่ถึงฆ่าตัวตาย แต่จะเป็นโรคซึมเศร้า เก็บตัวอยู่คนเดียว หวนคิดแต่เรื่องนี้ รู้สึกผิดตลอดเวลา คิดแต่ว่าชีวิตไม่มีความหวังอีกแล้ว ขาดเขาไปจะอยู่ยังไง อยู่คนเดียวคิดคนเดียวบ่อยๆ เข้า มันเหมือนโปรแกรมตรงนั้นยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น”
หมอให้สังเกตว่า หากมีอารมณ์เศร้าผิดปกตินานกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ทำอะไรก็สะดุด มีอาการนอนไม่หลับ กินไม่ลง หรือกินเยอะเกิน สมาธิความจำลดลง และมีผลกระทบกับเรื่องการงาน
“ถ้าไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ เช่น เก็บตัว งานก็ไม่ไปทำ เพื่อนก็ไม่อยากเจอ แต่น้องไปทำงานได้ใช่มั้ยคะ”
หมอหันไปถามแม่น้องสาวคนสวย(แต่แฟนไปมีคนอื่น!) ซึ่งเราตอบแทนว่า-ได้ แค่หลบไปวันสองวันก็ต้องกลับมาทำงาน เพราะไม่อยากฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว
“นี่แสดงว่าไม่เป็นไร แค่ drop ไปหน่อยเพราะเศร้า แต่ยังดำเนินชีวิตประจำวันเป็นปกติได้ แต่ถ้าใครมีอาการอย่างที่บอกนานเกิน 2 สัปดาห์ ก็อาจเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้าได้ อาจต้องพบจิตแพทย์เพื่อทำการช่วยเหลือต่อไป”
Step#5 อย่าอยู่คนเดียว
จงหากิจกรรมทำซะ ซึ่งหมออังฯ บอกว่า แม้กระทั่งไปหาหมอดูก็โอเคนะ
“อาจไปดูหมอ ให้กำลังใจทำโน้นนี่ โอเค ไปตรงนั้นแล้วช่วยเรื่องจิตใจได้ หรือระหว่างนี้อาจไปหาอะไรที่ตัวเองชอบ ไปเล่นกีฬามันช่วยให้หลั่งเอนโดรฟิน(Endorphine) ความทุกข์มันก็จะลดลง เราก็ได้หลีกเลี่ยงได้เบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องที่มันเศร้า
สำคัญคือ อย่าอยู่คนเดียว สามารถออกไปทำงานได้เหมือนน้องคนนี้ยิ่งดี มีเพื่อนคอยให้กำลังใจ หลายๆ คนดีขึ้น เพราะมีเพื่อนที่ดี ครอบครัวที่เข้าใจ จะฟื้นได้เร็วมาก”
Step#6 เยียวยาด้วยเวลา
“จริงๆ แล้ว บอกไม่ได้ว่าต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไร บางคนอาจเป็นเดือน บางคนเป็นปี” หมออังฯ กล่าวว่า
“เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานทางอารมณ์ไม่เหมือนกัน บางคนรักมาก เศร้ามาก ขึ้นอยู่กับระยะเวลา ขึ้นอยู่กับระดับความสัมพันธ์ และขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม คนที่มีเพื่อนดี เพื่อนที่เข้าใจ หรือแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน หมายถึง คนที่เรียนดีทำงานดีอยู่แล้ว สุขภาพจิตดีอยู่แล้ว ก็ฟื้นกลับมาได้ง่าย แต่คนที่อะไรก็ไม่มี งานไม่มี ทำอะไรไม่สำเร็จ ยิ่งมาถูกทิ้งอีก มันก็จะฟื้นตัวช้ากว่า
แต่พอเวลาผ่านไป เราไปเจอคนที่ดีกว่า เราไปเจออะไรใหม่ๆ หรือชีวิตเราแฮปปี้ขึ้น มันแค่ต้องใช้ 'เวลา' โดยธรรมชาติ 'เวลา' จะทำให้ดีขึ้น คุณอาจจะเจอคนใหม่ หรือกลับมาคืนดีกับคนเก่าก็ได้ เพราะเวลาผ่านไป เขาเจอคนอื่น แล้วเขารู้สึกย้อนกลับมาคนที่เขารักจริงๆ คือ เรา”
แต่ดูเหมือนว่า ‘เวลา’ ผ่านไป 2 เดือนกว่าแล้ว น้องสาวเรากลายเป็นสาวโสดเนื้อหอม ขณะที่ฝ่ายชายยังพยายามตามง้อจนล่าสุดงัดมุขขอขมาด้วยการจะ “ลาบวช”
|