นางกระดานกับพระราชพิธีตรียัมปวายในคตินิยมทางศาสนาพราหมณ์นั้นเชื่อว่า พระอิศวรจะเสด็จลงมาเยี่ยมโลกมนุษย์ในช่วงเดือนบุษยมาส (เดือนยี่)ทุกปี เมื่อพระอิศวรผู้เป็นเจ้าเสด็จมาก็จะประทานพรให้โลกมนุษย์อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข พระองค์จะบันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่พืชพันธุ์ธัญญาหาร ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล น้ำท่าบริบูรณ์ ดังนั้นจึงได้จัดประเพณีโล้ชิงช้าหรือประเพณีตรียัมปวายขึ้นในเดือนยี่ทุกปี และก่อนที่จะถึงเวลาที่พระอิศวรจะเสด็จมาถึงนั้น ก็จะทำพิธีอัญเชิญเทพสี่องค์ คือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระธรณี และพระคงคา มาเตรียมการรอรับเสด็จพระอิศวรก่อนด้วย
(ภาพนางกระดานใน"โรงชมรม" ซึ่งเป็นเสาสี่ต้น ดาดเพดานด้วยผ้าขาวล้อมรอบด้วยราชวัตรฉัตรธง)
ในการอัญเชิญเทพทั้งสี่องค์ดังกล่าวนั้น ได้มีการแกะสลักพระรูปของเทพดังกล่าวลงบนแผ่นไม้กระดานเป็นสัญลักษณ์สมมุติจำนวน 3 แผ่น คือ พระอาทิตย์และพระจันทร์แผ่นหนึ่ง พระธรณีแผ่นหนึ่ง และพระคงคาอีกแผ่นหนึ่ง จากนั้นจะมีการทำพิธีอัญเชิญไม้กระดานสัญลักษณ์เทพทั้งสี่จากในเทวสถานไปยังหลุมที่ขุดขึ้นจำนวนสามหลุมซึ่งอยู่ด้านข้างระหว่างสถานพระอิศวรหรือโบสถ์ใหญ่กับสถานพระคเณศหรือโบสถ์กลาง โดยแต่ละหลุมจะมีการตั้งเสาจำนวนสี่เสาดาดเพดานด้วยผ้าขาว ข้างนอกมีราชวัตรสี่มุม ปักฉัตรกระดาษ ผูกยอดกล้วยยอดอ้อยเพื่อรอรับเสด็จพระอิศวรตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ สำหรับกระดานรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์ลงหลุมตะวันออก กระดานรูปพระแม่ธรณีลงหลุมกลาง และกระดานรูปพระแม่คงคาลงหลุมตะวันตก ซึ่งทั้งสามกระดานหันหน้าออกมาทางทิศใต้ โดยจะเชิญนางกระดานตั้งอยู่ในหลุมเป็นเวลา 3 วันจากนั้นจึงทำพิธีเชิญนางกระดานขึ้นจากหลุมกลับไปรักษาไว้ในเทวสถานตามเดิม
ช้าเจ้าหงส์ : การขับกล่อมถวายพระเป็นเจ้าในพระราชพิธีตรียัมปวายการช้าหงส์ มีลักษณะการอ่านเวทเป็นทำนองฉันท์ใช้ขับกล่อมบูชาเทวรูปพระอิศวรหรือเทวรูปพระนารายณ์ ที่ถูกนำไปประดิษฐานอยู่ในบุษบกหงส์รูปร่างคล้ายเปล พร้อมกับแกว่งไกวไปด้วยในพระราชพิธีตรียัมปวาย ตรีปวาย จึงเรียกอีกอย่างว่า กล่อมหงส์
(พราหมณ์กำลังประกอบพิธีช้าหงส์ในพระราชพิธีตรียัมปวาย ภายในสถานพระอิศวร)ทำนองฉันท์กล่อมหงส์มีทั้งหมด 4 ทำนอง แต่ละทำนองก็มีท่วงทำนองลีลาเฉพาะตัว ผู้ที่เคยได้ฟังมักกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นลีลาของเสียงอันไพเราะนุ่มนวลยากจะหาฟังจากที่อื่น พราหมณ์ทั้งหลายมักจะกล่าวอ้างว่า ฉันท์กล่อมหงส์ดังกล่าวได้รจนามานับเป็นพันๆ ปีก่อนพุทธกาลแล้ว โดยยังคงรักษาท่วงทำนองการออกเสียงของอักขระและพยัญชนะ (เป็นอักษรคฤนถ์) อย่างโบราณไว้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าลือต่อกันมาว่าน้ำตาเทียนที่หยดจากเทียนติดตามไฟที่จุดอยู่ที่ปากหงส์ตลอดพิธีที่เรียกกันอย่างติดปากว่า "สีผึ้งปากหงส์" เป็นที่ปรารถนาของเหล่าขุนนางข้าราชการ ตลอดจนประชาชนที่เข้าร่วมพิธี เพราะถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถดลบันดาลให้สำเร็จสิ่งต่างๆ ได้นั่นเอง
(พระมหาราชครูประกอบพิธีตรียัมปวายก้าวข้ามหินบด ซึ่งเรียกเป็นการเฉพาะว่า "บัพโต"ถือเป็นสัญลักษณ์แทนโลก อันเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย)
การสวดมุไรย : บทบูชาพระเป็นเจ้าในพระราชพิธีตรียัมปวาย
จากหนังสือเก่าของเทวสถานที่ใช้ในการสวดขณะประกอบพิธีตรียัมปวายในสถานพระอิศวรและสถานพระคเณศคือ “บูชามุไรยโบสถ์ใหญ่” และ “บูชามุไรยโบสถ์กลาง” ตามลำดับ ข้อความที่ปรากฏอยู่ในตำราทั้งสองฉบับ เป็นข้อความเดียวกับที่ปรากฏในบทสวดภาษาทมิฬของคัมภีร์ “ติรุวาจกม” ซึ่งประพันธ์ขึ้นทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย
(การสวดมุไรยภายในสถานพระคเณศ ที่เรียกว่า “บูชามุไรยโบสถ์กลาง”)
ตำราที่ชื่อ “เปิดประตูศิวาลัย” ใช้ในการสวดสำหรับเปิดประตูศิวาลัยไกรลาศในตอนต้นของพิธีตรียัมปวายและตรีปวาย มีข้อความแบ่งออกเป็นสามบทคือ เปิดประตูศิวาลัย เปิดประตูศิวาลัยตำหนักแก้วไกรลาศ และเปิดประตูไกรลาส ซึ่งทั้งหมดก็มีที่มาจากบทสรรเสริญพระศิวะเป็นภาษาทมิฬอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งพราหมณ์ทางอินเดียใต้เรียกว่า “เทวารมฺ” ด้วย
พราหมณ์ในไศวนิกายทางอินเดียใต้ นิยมที่จะสวดมนต์ที่เขียนอยู่ในคัมภีร์ติรุวาจกมควบคู่ไปกับเทวารมฺ ในการบูชาพระศิวะหรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า พระอิศวร ภายในศาสนสถานของพระองค์เป็นพิเศษ ทั้งนี้ชาวทมิฬนิยมเรียกชื่อคัมภีร์สำคัญทั้งสองฉบับดังกล่าวรวมเข้าด้วยกันว่า “ติรุมุไรย”
คำว่า “ติรุ” เป็นคำที่ชาวทมิฬใช้นำหน้าชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นสิ่งที่ตนเคารพสักการะ ส่วนคำว่า “มุไรย” แปลว่า คำวิงวอน ดังนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่าพราหมณ์ที่เข้ามาในสยามตั้งแต่ดั้งเดิมยังพอจดจำเค้าความแต่เก่าก่อนของต้นฉบับได้บางส่วน จึงเรียกชื่อตำราที่ใช้ในการสวดขณะประกอบพิธีตรียัมปวายในสถานพระอิศวรและสถานพระคเณศดังกล่าวว่า “บูชามุไรยโบสถ์ใหญ่ และบูชามุไรยโบสถ์กลาง” นั่นเอง
ส่วนในพิธีตรีปวาย พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีจะใช้หนังสทอที่มีชื่อว่า “สวดมุไรยสถานพระนารายณ์” ในการสวดประกอบพิธี ข้อความในตำราโบราณฉบับนี้ตัดตอนมาจากบทมนต์ภาษาทมิฬในคัมภีร์ “มาลายิรทิวฺย ปฺรพนฺธมฺ” หรือที่เรียกอีกชื่อว่า “ทิวฺยปฺรพนฺธมฺ” ที่พราหมณ์ไวษณพนิกายในอินเดียใต้ใช้สวดหรือขับร้องบูชาพระวิษณุหรือที่เรียกอีกอย่างว่าพระนารายณ์ในศาสนสถานของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พราหมณ์สวดบูชาติรุมุไรย
หนังสือ “ปิดประตูศิวาลัย” ที่ใช้ในการสวดตอนปลายพระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย นั้นน่าจะเป็นการตั้งชื่อให้รับกับบทเปิดประตูศิวาลัยที่ใช้ในตอนต้นของพิธี ได้ปรากฏคำว่า “เทวะเมาะฬิ” อยู่ที่ตอนปลายของบท คำดังกล่าวอาจจะพร่องมาจาก “ติรุวายโมฬิ” ที่แปลว่า คำปากอันประเสริฐ โดยถือเป็นคาถาบทหนึ่งในคัมภีร์ทิวฺยปฺรพธมฺ เช่นเดียวกับข้อความในหนังสือสวดมุไรยสถานพระนารายณ์