Happinessss
1
2
บริหารคนนอกตำรา บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา
ยืนหยัด ยืนยง
บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา
บริหารคนนอกตำรา บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา
โดย : ชนิตา ภระมรทัต
แช่ - ชุบ - ขัด
คือ สูตรพัฒนาศักยภาพคนของประธานเครือสหพัฒน์
บิลล์ เกตส์
และ
สตีฟ จ๊อบส์
คือบุคคลระดับโลกที่จะถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่นว่า แม้พวกเขาจะเรียนไม่จบแต่กลับประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด
เช่นเดียวกับ
บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา
ประธานเครือสหพัฒน์ ที่ได้รับการยอมรับเป็น
Role Model
หรือ
ต้นแบบผู้บริหารของประเทศไทยที่ไร้ใบปริญญา
ซึ่งปัจจุบันท่านผู้นี้วางมือจากบทนักรบแนวหน้า และปรับบทบาทตัวเองมาเป็นผู้ลอบสังเกตุการณ์เบื้องหลังฉาก คือไม่ได้ดูแลธุรกิจใดอย่างใกล้ชิด ให้อิสระผู้บริหารอย่างเต็มที่ แต่ที่ดูเป็นพิเศษก็คือ ตัวเลข ( อย่าขาดทุนเป็นใช้ได้)
ในวันที่กรุงเทพธุรกิจมีโอกาสเข้าพบ บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ได้เล่าว่าความสำเร็จที่ปรากฏให้เห็นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากหัวคิดหรือน้ำพักน้ำแรงของ (เขา) คนเพียงคนเดียว แต่ต้องอาศัยทีมที่ดี
ซึ่งทีมที่ดีที่ว่านี้จะต้องมีคนเก่งอย่างน้อยสัก 3 คน
" ความเก่งไม่ได้อยู่ที่คนเดียว เก่งคนเดียวไม่สามารถทำงานกับคนอื่นได้ก็จะไม่เก่ง ดังเช่นประเทศจีนที่ต้องมี เหมาเจ๋อตง โจวเอินไหล จูเต๋อ ถึงสามารถครองประเทศได้ "
เพราะการแข่งขันของโลกธุรกิจในยุคปัจจุบันแตกต่างจากธุรกิจยุคสมัยก่อนอย่างมากมาย ดังนั้นธุรกิจในวันนี้จะอาศัยคนเก่งเพียงคนเดียวไม่ได้ ไม่มีวันจะมีวันแมนโชว์
ขณะที่ความสำเร็จของธุรกิจในอดีต ซึ่งอยู่ในรูปแบบของครอบครัว หรือที่ภาษาจีนเรียกว่า กงสี จะขึ้นอยู่กับผู้นำเป็นหลัก
" ทุกคนมีสิทธิ์เป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นลูกคนโต คนที่สอง หรือคนที่สาม ถ้าตัวเขาเป็นผู้นำ ซึ่งที่ผ่านมาความสำเร็จส่วนใหญ่เกิดจากความเสียสละของผู้นำ รวมถึงความสามัคคีในครอบครัว "
แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวล้มเหลวก็เกิดขึ้นเพราะผู้นำไม่เสียสละ และมีการแตกความสามัคคี
บุณยสิทธิ์บอกว่าส่วนใหญ่เมื่อพี่น้องต่างมีครอบครัว ต่างมีภรรยาที่สุดก็หนีไม่พ้นวังวันเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างต้องการดึงผลประโยชน์จากส่วนกลางเข้าหาครอบครัวของตัวเอง จนทำให้พี่น้องที่เคยสามัคคีแตกความสามัคคี
กลายเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า ระบบกงสีจะอยู่ได้ไม่เกินสองหรือสามเจนเนอเรชั่น
หากแต่บุณยสิทธิ์ยืนยันเครือสหพัฒน์นั้นไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว และไม่ได้เป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เจนเนอเรชั่นที่ 2 แล้ว (บุณยสิทธิ์นับรุ่นของปู่คือนายฮกเปี้ยวเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 1 และพ่อหรือนายเทียม โชควัฒนาเป็นเจนเนอเรชั่นที่สอง และเขาก็คือเจนเนอเรชั่นที่ 3)
"ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ท่านได้ปรับกิจการแบบครอบครัวให้เป็นรูปแบบของบริษัท และพี่น้องของเราแต่ละครอบครัวเป็นผู้ถือหุ้น และถือการปันผลเป็นหลัก มีการทำบัญชี มีการวางระบบการทำงานทุกอย่างให้เป็นสัดส่วนแบบสากล รวมถึงถ้าเห็นบริษัทไหนมีผลประกอบการดีก็พยายามจะดันบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทมหาชน"
และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้บริหารเบอร์หนึ่งจึงไม่จำกัดเพียงแค่ตระกูลโชควัฒนา เท่านั้น
"หากใครมีความสามารถก็ขึ้นมาได้เลย ไม่จำเป็นเลยว่าต้องเป็นโชควัฒนา"
ผู้บริหารรุ่นต่อไปของเครือสหพัฒน์ควรมีคุณสมบัติอย่างไร
เขาตอบว่า
ต้องมีความสามารถ สร้างผลงานอย่างชัดเจนและ รู้จักคนเยอะหรือการมีคอนเน็กชั่นที่ดี
นั่นเอง
เพราะเครือสหพัฒน์จะเดินเร็วขึ้นกว่านี้หากมีผู้บริหารเก่ง แต่ถ้าไม่เก่งจะเดินได้ช้าลง แต่ถ้าไม่เก่งเลยก็อาจขาดทุนป่นปี้ (แต่อย่าลืมต้องมีทีมงานที่ดีด้วย)
แต่ในฐานะของเบอร์หนึ่งก็ต้องทำหน้าที่ฝึกฝน (โค้ช) คนรุ่นต่อไปจนเก่งและแกร่ง ซึ่งสไตล์ของบุณยสิทธิ์ก็คือ ใช้วิธีสอนให้เรียนรู้งานกันที่หน้างาน โดยลุยทำงานไปพร้อมๆ กัน เพื่อจะได้สอนกันชัดๆ เข้าใจกันได้ชัดๆ ถึงสิ่งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง
ด้วยวิธีนี้ทำให้เขามั่นใจว่าเบอร์หนึ่งของบริษัทในเครือสหพัฒน์ในวันนี้ เช่น บุญฤทธิ์ มหามนตรี อภิชาติ ธรรมมโนมัย พิพัฒน์ พะเนียง เวทย์ รวมถึงบุญเกียรติและบุญชัย โชควัฒนา จึงเก่งและแกร่งชนิดที่หมดห่วง
อย่างไรก็ดี เขาบอกว่า
แม้คนจะเก่งหรือเป็นมืออาชีพ แต่เหมือนกับพืช หากใช้ปุ๋ยผิดสูตร หรือปลูกผิดที่ก็อาจไม่เจริญงอกงาม
แช่ - ชุบ - ขัด
ก็คือ สูตรพัฒนาศักยภาพคนของประธานเครือสหพัฒน์ท่านนี้
ขั้นตอน -แช่
หมายถึง
กระบวนการฝึกฝนฝีมือ
โดยเอาไว้ใช้กับคนที่ยังไม่เก่ง ชั่วโมงบินยังไม่สูง รวมทั้งคนที่อาจจะเรียนมาน้อย วุฒิการศึกษาต่ำ
ขั้นตอน -ชุบ
หมายถึง
กระบวนการสร้างผลงานให้เข้าตาผู้บริหาร
ผู้ที่เข้าสู่ขั้นตอนนี้ล้วนเป็นคนเก่งและมีความสามารถทำงานได้ผลตามใบสั่ง
ขั้นตอน- ขัด
หมายถึง
กระบวนการทำให้คนเก่งกลายเป็นคนเก่งเหนือขึ้นไปยิ่งขึ้น ( หรือ Talent )
รวมไปถึง
เร็ว- ช้า- หนัก- เบา
เคล็ดลับความสำเร็จในเรื่องของ
"จังหวะ
"
ในการทำงานที่มักจะได้ยินเขาเอ่ยถึงอยู่เสมอ
บุณยสิทธิ์ บอกว่าเรื่องอย่างนี้ เป็นเรื่องพูดยาก และสอนลำบาก จะสังเกตุได้ว่าแม้บางคนจะพยายามตลอดชีวิตก็ไปไม่ไกลถึงปลายทางของสูตรสำเร็จดังกล่าว
และไม่ได้หมายความว่า สูตรสำเร็จของเขาก็คือ สูตรสำเร็จของคนทุกๆ คน
ปัจจุบัน แม้ว่าในการกระทำนั้นบุณยสิทธิ์จะถอยห่างจากธุรกิจมาในระดับหนึ่ง แต่จิตวิญญานของเขายังคงเต็มร้อย เพราะทุกวันนี้เขาก็ยังคงพักอาศัยอยู่ในห้องแถวใกล้ๆ กับบริษัท
"ถ้าถอยออกไปเลยจะทำให้เราไม่รู้อะไร แต่ถ้าเรายังคงนั่งอยู่ในบริษัทแม้จะนั่งเฉยๆ แต่เราจะรู้เทรนด์ธุรกิจ อันนี้จะดี อันนี้จะไม่ดี"
เขาให้เหตุผล และกล่าวต่อว่า มีอีกหลายธุรกิจเขามองว่าน่าสนุกและถ้าหากยังอยู่ในวัยยังหนุ่มยังแน่นก็คงจะทำ
" อสังหาริมทรัพย์ รีเทล อาหาร ผมว่าน่าทำทั้งนั้น แต่คงไม่ใช่เวลานี้..ผมอายุมากแล้ว เพราะถ้าเราคิดจะทำอะไร เราต้องออกมาลุยเอง เหมือนเมื่อก่อนที่ทุกธุรกิจผมลุยเองทำเองทั้งหมด ไม่เพียงแค่นั่งดูเท่านั้น"
ด้วยสไตล์
"นักลุย"
แบบนี้จึงไม่น่าแปลกที่เขาผู้นี้สามารถขยายธุรกิจเดิมจากรุ่นพ่อที่มีเพียง 70-80 บริษัท ให้เพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าตัวคือเป็น 300 แห่ง หากแต่เป้าหมายของเขา ไม่ได้หมายถึงความยิ่งใหญ่
" หลักคิดของผม คืออยากให้สหพัฒน์มีขนาดใหญ่ในแบบพอดิบพอดี เหมือนต้นไม้ถ้าต้นใหญ่เกินไปจะโดดเดี่ยวและทวนลม เมื่อปะทะลมมากๆ ที่สุดก็จะโค่นลงได้ แต่ผมอยากจะปลูกป่า คือสร้างต้นไม้ต้นเล็กๆ หลายๆ ต้นให้รวมเป็นผืนป่าที่สามารถต้านทานลมโดยไม่มีวันถูกโค่น"
โดยต้องอยู่ภายใต้กรอบของคุณธรรม และซีเอสอาร์ ด้วย
"เร็ว ช้า หนัก เบา"
สูตรเจ้าสัวสหพัฒน์
“แนวคิดการทำงานของผมไม่มีอะไรเป็นความลับ การทำงานไม่ได้มีต้นแบบมาจากชาติใด ประเทศไหนมีอะไรดีก็นำมาปรับใช้ได้ทั้งหมด
แต่ต้องรู้จักวิเคราะห์เหตุการณ์ เวลาที่เหมาะสม การทำงานของเรารู้จัก
“... เร็ว ช้า หนัก เบา”
บังเอิญผมไม่ได้เรียนหนังสือ จึงพยายามหาวิธีการทำธุรกิจแบบไม่อาศัยหนังสือ
แต่อาศัยเรียนรู้จากสิ่งที่อยู่รอบตัว หรือบางครั้งแอบดูคนอื่นทำ และไปลอกเลียนแบบเขามาและปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง ”
" เจี้ย ยู่ เล้ง โจ้ว ซื่อ ยู่ โฮ้ "
แปลเป็นไทยได้ความว่า
กินข้าวต้องเร็วเหมือนมังกร ทำงานต้องทำให้เหมือนเสือ และก็ไม่แต่ผมคนเดียวเท่านั้น ลูกๆ ทุกคนก็ปฏิบัติอย่างนี้
เร็ว ช้า หนัก เบา
ปรัชญาชีวิตข้อนี้ต้องจดจำขึ้นใจ แล้วใช้เป็นหลักในการทำงาน เป็นแนวทางของการปฏิบัติตนมิให้ผิดพลาดหรือล้มเหลว เป็นการรู้จักการทำงานแต่ละชิ้น แต่ละอัน แล้วลงมือปฏิบัติได้ด้วยความพยายามอันถูกต้องเหมาะสม สอดคล้องกับจังหวะชีวิตที่ควรจะเป็น
งานบางอย่าง
เป็นงานที่รีรอชักช้าไม่ได้ ต้องรีบทำเหมือนกับสุภาษิตทีว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก
งานบางอย่าง
ต้องตัดสินใจเร็ว แก้ไขเร็ว ทำให้จบเร็ว ไม่เช่นนั้นปัญหาที่มีอยู่อาจลุกลามไปใหญ่โตกว้างขวาง หรือโอกาสที่มีอยู่อาจสูญเสียไปก็ได้
งานบางอย่าง
เป็นงานที่ผลีผลามไม่ได้ เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ คอยเป็นค่อยไป เหมือนสินค้าบางตัวที่จะทำ จะให้โตเร็วพรวดพราดไม่ได้ อาจต้องค่อย ๆทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะได้ไม่ผิดพลาด งานที่ต้องใช้เวลายาวนานแก้ไขใจร้อนไม่ได้ ก็ไม่ควรจะรีบร้อน เพราะถ้าใช้เวลาน้อยเกินไป รีบเร่งเกินไป จะมีข้อบกพร่องเกิดขึ้นได้
งานบางอย่าง
ถ้าทำแล้วโหมหนักเอาจริงเอาจังเหมือนการออกสินค้าบางตัว ในสภาวะที่ตลาดมีการแข่งขันสูง เราอาจมีความจำเป็นที่จะต้องต่อสู้อย่างรุนแรง อันนี้ก็คือสิ่งที่ต้องทำอย่างหนัก หน่วง
"หมั่นพิจารณาอยู่เสมอว่า งานไหนทำก่อน งานไหนทำทีหลัง
งานไหนต้องจริงจัง และงานไหนต้องพอควร"
งานบางอย่าง
นั้นจะโหมเลยทันทีไม่ได้ต้องค่อย ๆ ทำค่อย ๆ ลอง บางเวลาสิ่งที่เคยทำหนักยังต้องผ่อนลงมาบ้าง เพราะถ้าทุ่มเทเกินไปก็มิใช่จะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น เสียเวลากับงานนั้นมากเกินไป ทั้ง ๆทีประโยชน์ที่พึงได้ก็ไม่คุ้ม งานอย่างนี้ก็ต้องทุ่มเทแต่พอควร
หลักปรัชญาข้างต้นนั้นจะทำให้เราหมั่นพิจารณาอยู่เสมอว่า
งานชิ้นไหนต้องทำก่อน.....
เร็ว
งานชิ้นไหนต้องทำหลัง....
ช้า
งานไหนที่ต้องทุ่มเทอย่างจริงจัง.....
หนัก
งานไหนที่ทุ่มเทแต่พอควร......
เบา
เพื่อให้เรากะจังหวะเวลาและกำหนดความเข้มข้นของความพยายามทีเหมาะสมกับงานแต่ละชิ้นที่เราจะต้องทำ
:: bangkokbiznews.com ::
:: oknation.net ::
บทความใหม่กว่า
บทความที่เก่ากว่า
หน้าแรก
1
2
Wish You Happinessss
Success is not the key to happiness.
Happiness is the key to success.
If you love what you are doing,
you will be successful.
~ Albert Schweitzer ~
Wish You Happinessss