แรงบันดาลใจหากันได้ที่ไหน “สิ่งที่นายทำนะ ดีแล้ว เราเห็นด้วย ชื่นชมกับสิ่งที่นายทำอยู่ และ เฮ้ย เพื่อน นายไม่ได้อยู่คนเดียวนะ เราอยู่ฝ่ายนายเสมอ เราสนับสนุนนาย” ดังนั้นการให้กำลังใจกันจึงเป็น “การชื่นชมยินดีเห็นด้วย” และเป็นการบอกว่าถ้าเราเผชิญปัญหาอะไร ก็มีเขาที่เต็มใจจะช่วยเราคือเป็น “กำลังเสริมสำรอง” และทำให้เรารู้สึกว่า “ไม่โดดเดี่ยว” ดังนั้นการให้ “กำลังใจ” ก็คือการให้ “การชื่นชมยินดีเห็นด้วย + กำลังเสริมสำรอง + ความรู้สึกที่ไม่ต้องโดดเดี่ยว” กำลังใจที่ให้กันก็คือการมีส่วนร่วมยินดีและความหวังดีของคนที่ให้ต่อกันและกัน และเมื่อได้รับกำลังใจ ความรู้สึกถูกต้องชอบธรรมในการกระทำสิ่งนั้นมันจะตามมาด้วยพร้อมๆกัน แต่มันยังมีอะไรที่มนุษย์เราต้องการมากไปกว่านั้น ตอนนี้หลายๆ คน แม้มีกำลังใจที่พ่อ แม่ พี่ น้องและเพื่อนๆ คอยให้กำลังใจอยู่ก็ยังรู้สึกขาดอะไรอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “แรงบันดาลใจ” ซึ่งมักเริ่มต้นด้วยการจุดชนวนทางความคิดหรือการจุดประกาย “ในตัวเราเอง” เวไนยสัตว์ ก็คือ สัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล มาถึงตอนนี้มีการค้นพบมากมายแล้วว่าสัตว์อื่นๆ หลายชนิดใช้เหตุผลในระดับเบื้องต้นได้เช่นพวกลิงชั้นสูงหรือปลาโลมา ดังนั้นผมจะขอ update นิยามของมนุษย์ใหม่ในแบบของผมเองว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่เข้าถึงซึ่งเหตุผลและความหมาย และเหตุผลและความหมายเป็นองค์ประกอบสำคัญของศิลปวิทยาการและอารยธรรม ศิลปวิทยาการและอารยธรรมของมนุษย์เริ่มต้นขึ้นเมื่อมนุษย์เริ่มเพาะปลูกเป็น เริ่มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นแหล่งอาหารได้ จึงทำให้ท้องอิ่มอยู่ตลอดโดยไม่ต้องออกไปล่าสัตว์หรือหาของป่า และได้ประโยชน์อื่นๆ จากการเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกเช่น ได้เครื่องนุ่งห่มและเครื่องมือ เป็นต้น มนุษย์จึงเริ่มมีเวลาเหลือมากขึ้นและเมื่อท้องอิ่ม พักผ่อนพอ มีปัจจัยสี่ครบ จึงมีเสรีภาพเหลือ มีเวลาอยู่กับตัวเอง และมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรสิ่งต่างๆที่เป็นจุดกำเนิดของศิลปวิทยาการขึ้น ดังนั้น ความรัก จึงเป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นเรื่องที่รู้สึกได้โดยปัจเจกบุคคล เมื่อเรามีความรักกับใครสักคนมันจะมีแรงบันดาลใจให้เราทำอะไรดีๆ กับคนๆ นั้นได้เสมอได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องแสร้งทำ หรือต้องจำกันว่าต้องทำ (ต้องจำวันเกิดคนรัก จำของที่ชอบกิน ฯลฯ) และแน่นอนว่าเราต้องมีสติและรู้จักตัวเองให้ดีก่อนจะรักอะไรสักอย่าง เพราะบางอย่างมันไม่ได้วัดกันด้วยการใช้สมองคือเรื่องของเหตุผล คือมันไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรมข้อห้าม แต่ด้วยความเป็นมนุษย์มีหัวใจที่รู้สึกถึง “ความหมาย” เราจะรู้ได้เองว่าอะไรบางอย่างนั้นเราไม่อาจทำได้เพราะมัน “ไม่งาม” (คือไม่สมควร) ในบริบทนั้นๆ ดังนั้นก่อนที่จะรักอะไรหรือทำอะไรสักอย่างเราคงจะต้อง “use your brain, but follow your heart” เพื่อไม่ให้ความรักเป็นเพียงความหลง ความรัก นั้นสุดวิเศษ เพราะเมื่อเรามีรัก เราก็จะมีแรงบันดาลใจในสิ่งๆ หนึ่งทำให้เราทำสิ่งๆ หนึ่งที่หลายคนอาจเห็นว่ามันเป็นเรื่องเหนื่อยหน่ายและลำบากได้ โดยที่เราไม่รู้สึกอยากจะหยุดทำ เลิกทำได้เลย เมื่อหลายคนถามผมว่าทำไมผมเลือกเป็นนักฟิสิกส์ ทั้งๆ ที่หลายคนเห็นเป็น“วิชาลำเค็ญ” นั่นก็เพราะว่าผมรักมัน และก็ไม่ใช่ว่าผมรักมีรักเดียวกับวิชานี้ ผมยังรักและชอบอีกหลายวิชาและรักงานอดิเรกอีกหลายอย่าง และก็มีอีกหลายวิชา หลายเรื่่องหลายประเด็นที่ผมไม่รัก ไม่ชอบเอาเสียเลย (เช่น การเมืองในปัจจุบัน) ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านก็คงเป็นเช่นเดียวกันกับผม ถึงตอนนี้ผมก็ยังเห็นด้วยกับไอน์สไตน์ดังคำกล่าวข้างบนและก็อยากเพิ่มต่อไปอีกว่า “แรงบันดาลใจสำคัญยิ่งกว่าจินตนาการและจินตนาการสำคัญยิ่งกว่าความรู้” เอาละครับเราเมื่อเรามีแรงบันดาลใจแล้ว แรงบันดาลใจทำให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างไร ก่อนอื่นคำถามมีอยู่ว่า “ความสำเร็จนั้นหรือคืออะไร” แปลความกันตามภาษาไทยที่ผมเข้าใจความสำเร็จน่าจะแปลว่า การบรรลุซึ่งเป้าหมายหรือประสงค์บางอย่าง และเป้าประสงค์ของแต่ละคนนั้นมันก็เฉพาะเจาะจงแตกต่างกันออกไปตามบริบท ตามสถานการณ์และตามทัศนะของแต่ละคน สำหรับผมแล้ว ความสำเร็จคือความสุข (แน่นอน เงินไม่ใช่ความสุข แต่เงินทำให้เกิดความสุขในบางเรื่องได้) ทีนี้ “ความสุขคืออะไร” จะวัดกันได้อย่างไร ความสุขของผมรวมเอาสิ่งทั้งหมดที่พูดมาก่อนนี้ซึ่งนั่นก็คือ (1)แรงบันดาลใจซึ่งเกิดจากความรัก (2)กำลังใจซึ่งเป็นความชื่นชมยินดี มีมิตรภาพ ไม่โดดเดี่ยว และ (3)เสรีภาพซึ่งรวมความถึงการมีกินมีอยู่ มีสิ่งประทังชีวิตที่พอเพียงและมีสิทธิ์ที่จะคิดและทำภายใต้เหตุผลและความหมาย เห็นด้วยกับผมหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ท่านผู้อ่านครับ สำหรับผมเองแล้วสมการความสำเร็จก็คือสมการการได้มาซึ่งเป้าหมาย สมการนี้ก็คือสมการความสุขนั้นเองครับ สมการความสุขของผมเขียนได้ง่ายๆ ดังนี้ Success = Love + Joy + Freedom (พูดในใจให้ได้ยิน: ผมกำลังฟุ้งเรื่องกลศาสตร์ของความรู้สึกหรือนี่.......ฟิสิกส์ไปทั่วจริงๆ ผมได้ยินคำพูดว่า Success is love, joy and freedom นี้มาจากหนังวัยรุ่นอเมริกันเรื่องหนึ่งที่ผมได้ดูแค่ตอนจบเรื่องในรายการทีวีเมื่อเร็วๆ นี้ มันตรงกับที่ผมคิดก็เลยเขียนเรื่องนี้ให้อ่านกันครับ) เกี่ยวกับผู้เขียน บุรินทร์ กำจัดภัย สำเร็จการศึกษาด้านฟิสิกส์ทฤษฎีและจักรวาลวิทยาจากประเทศอังกฤษ มีอาชีพเป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎี ปัจจุบันทำงานวิจัยและสอนในฐานะอาจารย์ประจำที่สถาบันสำนักเรียนท่าโพธิ์ฯ วิทยาลัยเพื่อการค้นคว้าระดับรากฐานหรือ IF มหาวิทยาลัยนเรศวร Perspective 7 เป็นบทความเกี่ยวกับทรรศนะของตัวผู้เขียนเองซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ ต่อธรรมชาติ สังคม และปรัชญา ทรรศนะเหล่านี้นำเสนอในหลายประเด็นผ่านหลายเรื่องราวจากประสบการณ์ของผู้เขียนเองโดยผ่านเลนส์ตาของวิทยาศาสตร์ “สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าศีลธรรมและจารีต คือสติและการรู้จักตัวตนของตัวเอง" |