1
2

Like ... Marketing !เทรนด์การตลาดยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ค 2554




MV Like P.O.I [Official]


Index Creative House Waming IV ทาง Money Chanel.mp4




Like ... Marketing !เทรนด์การตลาดยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ค 2554
โดย : อดิลฟิตรี ประพฤติสุจริต
ในปีนี้ มีข่าวน่าสนใจว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งแบรนด์ไทย แบรนด์เทศ ต่างทุ่มงบการตลาดออนไลน์เพิ่มขึ้นชนิดผิดหูผิดตา จากเดิมกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักพอประมาณกับงบออนไลน์ไม่เกิน 1% สำหรับงบรวมทั้งปี มาในปีนี้เปิดตัวกันคึกคัก มีค่ายใหญ่อย่างยูนิลีเวอร์ ที่ชิงแถลงข่าวไปก่อนแล้วที่งบออนไลน์เพิ่มเป็น 16-20% เรียกว่าแบรนด์ดังหลายค่ายต้องรีบหันมาดูกันทีเดียวครับ

ตัวเลขดังกล่าวอ้างอิงกับกลุ่มประชากรอินเทอร์เน็ตบ้านเราที่เพิ่มเป็น 22 ล้านคน และในนั้นก็เป็นกลุ่ม เฟซบุ๊คเกอร์ กว่า 7 ล้านยูสเซอร์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ดูมีอนาคตเลยทีเดียวสำหรับเมืองไทยในยุคที่ 3จี ยังไม่มีแบบเป็นเรื่องเป็นราว (นี่ถ้าเรามี 3จี จริงๆ จะขนาดไหน)

ดาวเด่นในตลาดออนไลน์ปีนี้คงหนีไม่พ้นเฟซบุ๊คละครับ มีคำแซวกันเล่นๆ เลยว่า ถ้าเราเห็นอะไรแล้วชอบอยากกด Like ได้จริงๆ เหมือนใน เฟซบุ๊คได้จริงคงจะดี อย่างเช่น เห็นสาวสวยเดินผ่านแล้วถูกใจจะวิ่งเข้าไปกด Like สักดีจะได้มั้ยหนอ

ได้นะครับ !! ... ทำเป็นเล่นไป !!

ด้วยการใช้เทคโนโลยี FBML ร่วมกับ RFID เราสามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆ แล้วละครับคุณผู้อ่าน ผมขอข้ามเรื่องเทคนิคไปก่อนนะครับ เอาเป็นถ้าใครสนใจก็อีเมลมาคุยกันส่วนตัวไปจะสะดวกกว่า เพราะรายละเอียดเยอะมาก

แต่ในเชิงการตลาดนั้น ถือว่านี่เป็นยุคที่เราจะเชื่อมโยงเฟซบุ๊คด้วยการ Like ซึ่งเมื่อก่อนทำได้เพียงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น มาสู่โลกออฟไลน์ได้จริงๆ ด้วย และทันทีที่ Like ไปแล้วก็จะ Feed เอาไปโชว์ที่ Activity Wall ของคนนั้นๆ ด้วย เรียกว่าเพื่อนทุกคนที่อยู่ในรายชื่อเพื่อนเฟซบุ๊คของเรา ก็จะรู้ไปด้วยว่าเราไป Like อะไรมา Like ที่ไหน อย่างไร

พอนึกภาพทางการตลาดออกไหมครับคุณผู้อ่าน

หลักการนี้ก็คือ การสร้างไวรัล (Viral) จากเรื่องจริงให้กระจายสู่ Page ของยูสเซอร์นั้นๆ ในเฟซบุ๊คครับ

ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า สมมติงานเปิดตัวคอนโด หรือหมู่บ้านจัดสรรสักโครงการหนึ่ง มีจัดแสดงห้องตัวอย่างไว้สัก 10 มุมสวยๆ แล้วเชิญชวนกลุ่มเป้าหมายที่ Target เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกเฟซบุ๊คอยู่แล้ว มาเยี่ยมชมมุมสวยที่เราจัดไว้ และถ้าถูกใจเค้าสามารถ “เอามือจริงๆ ไปกด Like” ที่ห้องตัวอย่างจริงๆ นั้นเลยจะดีมั้ย

ใช่แล้วครับ ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการตลาดอย่าง RFID ทำสิ่งที่ผมว่านี้ได้แล้ว

สมมติว่าเราเชิญคนที่มาสัก 100 คน ใน 100 คนนั้นมีเพื่อนออนไลน์สัก 300 คน ก็เท่ากับว่าในวันนั้นๆ มีไวรัลคอนเทนท์ ที่ถูกแชร์ไปยัง Wall ของ เฟซบุ๊คกระจายตัวกว่า 30,000 ครั้งต่อหนึ่งห้องตัวอย่าง ถ้ามีจัดสัก 10 มุมสวยก็คูณ 10 ไปสิครับ จะได้เท่ากับ 300,000 ครั้งต่อวันเลยทีเดียว

ข้างต้นเป็นไอเดียในการทำ Like ... Marketing ควบคู่กับเทคโนโลยี RFID นะครับ ซึ่งก็ถือเป็นอีกยุคหนึ่งที่เราจะก้าวเข้าสู่ ไวรัลคอนเทนท์ที่แท้จริงเสียที และคอนเทนท์เหล่านี้ ก็ถูกเชื่อมโยงกันผ่านโซเชียล เน็ตเวิร์ค ที่แข่งแรงในตัวเองในทันทีและได้ผล

ในงานเปิดบ้านที่ Index Creative Village : ผ่ากะโหลก ชะโงกดูงาน Episode IV ที่ผ่านมา ผมเองก็ได้แนะนำเทคนิคนี้ไปใช้ในอีเวนท์ดังกล่าวด้วย ก็เรียกว่าผลตอบรับที่ได้คุ้มเกินการลงทุนเลยทีเดียว

Index Creative House Waming IV รายการ Cybercity.mp4


ผ่ากะโหลก ชะโงกดูงาน Episode IV4

ผมเก็บภาพและเรียบเรียงกลยุทธ์ Like ... Marketing ! นี้ไว้เป็นเรื่องราวพร้อมคำอธิบายอย่างละเอียดไว้แล้วละครับ ถ้าคุณผู้อ่านท่านไหนสนใจอีเมล มาทิ้งไว้ที่ ap@indexcreativeonline.com นะครับ แล้วผมจะส่งไฟล์ไปให้อ่านกันเป็นไอเดีย

ในเคส Like ... Marketing นี้ผมจะไปขยายความในเสวนาจิบกาแฟกับผมในครั้งที่ 3 ด้วย ใครสนใจก็ลงชื่อไว้ล่วงหน้าที่อีเมลข้างบนนี้เช่นเคยครับ แล้วเจอกันจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด ถึงเทคนิคการทำและแผนการตลาด ที่เราจะไปประยุกต์ใช้งานอย่างละเอียด ในโต๊ะกาแฟเสวนาส่วนตัวครั้งหน้านะครับ

วันนี้ผมจะขยายความเข้าไปในรายละเอียดของการทำ Like Marketing เพิ่มอีกหน่อย เพื่อให้คุณผู้อ่านได้เห็นภาพชัดยิ่งขึ้นไปว่า ทำไปทำไม ได้อะไร Like มีผลทางการตลาดอย่างไร

ณ วันนี้ การทำแฟนเพจของแบรนด์ต่างๆ ในเฟซบุ๊ค ถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก ใครไม่มีนี่คือลำบากแน่นอน นอกจากจะอวดใครไม่ได้แล้วยังทำให้ตกเทรนด์ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นสมาชิกที่มีการเคลื่อนไหวชนิดนาทีต่อนาที จำนวนกว่า 7 ล้านคน และมีแนวโน้มจะเป็น 10 ล้าน หรือ 15 ล้านคนในสิ้นปี 2554 ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง การศึกษาดี เปิดกว้าง และมีกำลังซื้อสูง

แฟนเพจมีคน Like มากหรือน้อย สำคัญอย่างไรในเชิงการตลาด
เป็นคำถามคลาสสิกที่ผมโดนถามเลยครับคุณผู้อ่าน คำตอบง่ายๆ คือ จำนวนแฟนเพจไม่สำคัญเท่ากับจำนวนความเคลื่อนไหวของสมาชิก ที่รับข่าวและเข้ามามีส่วนร่วมกับแฟนเพจของเราครับ จริงๆ วิธีดูก็ไม่ยาก คุณผู้อ่านลองเข้าไปหน้ารีพอร์ตของแฟนเพจตัวเอง แล้วก็ลองดูที่ทางระบบเค้าเรียบเรียงไว้ให้ ก็จะเห็นชัดว่าอะไรเป็นอะไร

ตัวเลขสรุปจะบอกไว้เลยว่าถ้านับเป็นเปอร์เซ็นต์ มีคนเข้ามาเคลื่อนไหวในหน้าแฟนเพจคุณสักกี่มากน้อย ซึ่งดูแล้วได้ผลยังไงก็เมลมาปรึกษากันได้นะครับ สำหรับผมคิดว่าจำนวนความเคลื่อนไหวควรจะเกินกว่า 50% ขึ้นไป ถ้าไม่ได้งั้นก็เสียเวลาเปล่าในการทำการตลาดบนเฟซบุ๊คกันละครับ

แล้วเราจะเอา Like ของแฟนเพจไปทำอะไร
อันนี้ก็คลาสสิกครับ เจอลูกค้าหลายรายพยายามกดดันให้ผมทำให้หน้าแฟนเพจของเขามีจำนวนการ Like มากๆ แต่พอผมถามกลับไปว่าจะ Like ไปไหน คำตอบ คือ Like ไว้ก่อน !!

จริงๆ แล้ว จำนวนการ Like ก็เท่ากับจำนวนผู้ติดตามความอัพเดทความเคลื่อนไหวของหน้าแฟนเพจของแบรนด์ของคุณเอง แต่มันก็คงไม่ง่ายขนาดว่า Like กัน 100 ครั้งแล้วจะมีคนตามอ่านตามอัพเดทเรา 100 คนนะครับ เจ้าเฟซบุ๊คนี่ก็ร้าย คือ บางครั้งถ้าเราไป Like หน้าไหนไว้แล้วเซ็งจิตกับข้อความอัพเดทนั่นโน่นนี่ก็สามารถ Unlike หรือเลือกที่จะ Like ไว้แหละ แต่ซ่อนข่าวไม่ให้โชว์ที่หน้ากระดานข้อความ ถ้าเป็นแบบนี้ก็จบข่าว ปั่น Like ไปก็ไม่ช่วยอะไร ต้องหันมาปรับกลยุทธ์ด้านคอนเทนท์ให้มีความน่าสนใจ หรือเพิ่มลูกเล่นเข้าไปเช่นสร้างแอพพลิเคชั่น หรือสร้างเกมอะไรง่ายๆ ให้มีอะไรได้ลุ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง นี่ก็จะเป็นทางช่วยให้การ Like นั้น มีประสิทธิภาพมากกว่าแค่การเอาจำนวนไปโชว์ชาวบ้านเค้าว่า Like ฉันเยอะไปวันๆ

อะไรคือแรงจูงใจทำให้ Like หรือ ไม่ Like
คำตอบอยู่ที่คุณเจ้าของแบรนด์ว่าจะเอาอะไรไปให้คนอื่นเขา Like ถ้าเอาโฆษณา โปรโมชั่น ข่าวพีอาร์เรื่องของคุณ ที่ไม่เกี่ยวกับเขา เขาก็คงไม่ Like หรอกครับ จะพูดให้ชัด นี่คือ โซเชียล มีเดีย เป็นช่องทางส่วนตั๊วส่วนตัวที่เฟซบุ๊คบรรจงสร้างสรรค์ไว้ให้ ผู้ใช้คือพระเจ้าจริงๆ ครับ อะไรชอบไม่ชอบเลือกได้ ไม่เห็นด้วยไม่อยากรับรู้แล้วตัดแบรนด์คุณออกจากวงจรของเขาก็ทำได้ แถมถ้าไม่พอใจก็ไปบอกต่อๆ กันในกลุ่มก๊วนก็ทำได้อีก

ดังนั้น แบรนด์คงต้องกลับมาถามตัวเองแล้วว่า วิธีการง่ายๆ ดังเช่นการโฆษณาสื่อสารการตลาดแบบเดิมๆ คงใช้กับเจ้าโซเชียล มีเดีย นี้ไม่ได้แล้ว ต้องหามุขใหม่ หาหนทางใหม่ๆ ที่จะทำยังใจให้ถูกใจเขา Like ให้เขา Like คุณด้วยความชื่นชอบ มีส่วนร่วม และเขาเองต้องได้ประโยชน์ในแบบที่เรียกว่า วิน วิน ด้วยกันทั้งคนทั้งแบรนด์ จริงๆ ไม่ยากหรอกครับ ไว้ในฉบับถัดๆ ไปผมจะเอากรณีตัวอย่างที่ทำไว้มาให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันแน่นอนครับผม

ทิ้งท้ายเรื่องมีตติ้งครั้งที่ 3 ที่ผ่านมา มีคนไม่ได้เข้าเยอะเลย ผมขออภัยจริงๆ ครับ เราจัดกันสนุกๆ แบบแฟนคอลัมน์เจอกันกระชับมิตร ผมไม่นึกว่าจะมีคนเมลมากว่า 300 ฉบับ เพื่ออยากมาเจอกัน เอาไว้โอกาสหน้า ผมหาสถานที่เหมาะเจอกันได้เยอะๆ แล้วจะนัดคุณผู้อ่านอีกครั้งนะครับ ใครอยากลงชื่อไว้ก็เมลมาได้เหมือนเดิมไม่ว่ากันครับ ครั้งต่อไปคงว่ากันด้วย Like Marketing ภาค 2 ฉบับเด็กแนว Like แบบอินดี้กันสักหน่อย

อย่าลืมนะครับ โซเชียล มีเดีย เป็นสื่อแนวใหม่ วิธีการคิด ปฏิบัติคงต้องปรับต้องเปลี่ยนใหม่พอสมควรครับ ก่อนเริ่มทำการตลาดแบบโซเชียล มีเดีย ผมว่าถ้าเราลองหัดเล่นเองสักนิดได้ก่อนคงจะดีครับ จะได้รู้ว่าจริงๆ มันเป็นอย่างไร สนุกยังไงกัน ไอ้เจ้าเฟซบุ๊ค หรือทวิตเตอร์ เนี่ยะ ถ้าคุณผู้อ่านสนุกได้แล้ว เดี๋ยวผมจะมาหาทางแยบยลเนียนๆ ให้เอาไปใช้กันครับ

เหตุใดลูกค้าถึง ‘Like ถูกใจ’ Fan Page

ปัจจุบันมี Fan Page เกิดขึ้นมากมายบน Facebook และต่างต้องใช้กลยุทธ์ในการเพิ่มจำนวน Fan หรือ Like ให้ได้มากที่สุด เพราะถือได้ว่าเป็น KPI หรือการวัดผลของเจ้าของ Page หรือนักการตลาดมากที่สุดในขณะนี้ แต่เหตุใดลูกค้าหรือผู้บริโภคถึงอยากจะ Become Fan หรือ Like Fan Page ล่ะ

ExactTarget และ CoTweet คงคิดเช่นเดียวกันและได้ทำสำรวจเพื่อหาคำตอบที่ใกล้เคียงที่สุด และพบว่า 40% ของผู้ตอบแบบสอบถามนั้นเป็น Fan ให้กับ Fan Page เพราะว่าต้องการได้รับส่วนลดและโปรโมชั่นที่ดีจากแบรนด์สินค้านั้นๆ คำตอบนี้มาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนอันดับที่สองคือต้องการสนับสนุนแบรนด์ที่ตนชอบ (37%) และเพื่อต้องการรับ Free Gifts (36%)

ลองมาดูกันว่าอะไรทำให้ผู้บริโภคต้องการ Like Fan Page

และเหตุผลว่าทำไมคนถึงใช้ Facebook

Expanded findings of the research include:
• 64% ของผู้บริโภคชาวอเมริกันใช้ Facebook เป็นเว็บไซต์หลักในการเข้าสังคมออนไลน์
• 30% ของผู้บริโภคใช้ Facebook ในยามที่รู้สึกเบื่อหรือเซ็ง และอีก 31% บอกว่าเล่น Facebook เพราะติดแบบไม่รู้ตัว
• 65% ของผู้ใช้ Facebook จะเข้า Facebook เพียงแค่ก่อน และหลังเลิกงาน หรือหลังจากเรียนเสร็จ และมี 69% ที่ใช้ใน Facebook ในช่วงสุดสัปดาห์หรือวันหยุด และยังรู้สึกอยากให้แบรนด์สินค้ายังคงติดต่อกับพวกเขาในช่วงกลางคืน วันสุดสัปดาห์ในแบบเดียวกันกับวันธรรมดา
• ผู้หญิง (63%) จะใช้ Facebook ในการรักษาสัมพันธ์กับเพื่อนและคนรู้จักมากกว่าผู้ชาย (54%), ใช้ติดต่อกับเพื่อน และใช้เป็นการจัดการกับสังคมของตนเอง
• 50% ของจำนวนแฟนทั้งหมด จะเป็น Fan หรือ Like Fan Page ประมาณ 1-4 แบรนด์สินค้า
• 17% ของผู้บริโภค มักซื้อสินค้าหลังจากเป็น Fan ของ แบรนด์สินค้านั้นๆ
ข้อมูลที่ให้มานี้ ถึงจะเป็นการทำสำรวจจากผู้ตอบแบบสอบถามชาวอเมริกัน แต่ก็น่าจนำมาใช้ได้สำหรับตลาดเมืองไทย ไม่มากก็น้อย

http://www.marketingoops.com/reports/research/like-fan-page/
http://bit.ly/ftTTSe
http://bit.ly/f0szfe







1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss