1
2

กระถางดอกไม้ให้คุณ คริ คริ (Facepot)


กระถางดอกไม้ให้คุณ คาราบาว



กระถางดอกไม้ให้คุณ คริ คริ
มาลองทำกระถางดอกไม้ สนุกๆ กัน

เทคนิค : หาภาพจากแมกกาซีน หรือภาพของคุณ เลือกต้นไม้ที่ปลูกแล้วเหมาะกับภาพของเราให้ดูออกเป็นมงกุฏ หมวก หรือทรงผมก็ได้ แล้วแต่จินตนาการของเรา ขอให้สนุกนะคะ!

จะใช้ต้นไม้จริง หรือ ต้นไม้ปลอมก็ได้ค่ะไม่ว่ากันค่ะ

จะสนุกมากถ้าทุกคนในครอบครัวได้มีกระถางเป็นของตัวเอง
ทุกคนจะได้ดูแลกระถางต้นไม้ของตัวเอง

ระวังเรื่องการรดน้ำด้วยนะคะ

www.gettyimages.com
www.istockphoto.com
http://good.kz/adds/EXPERIMENTS/Facepot





ผลไม้ 3 ชนิด เคล็ดลับทำหน้าเด็ก แบบไม่เสียตังค์ อิ อิ




LOOK YOUNGER! w/ Happy Face Yoga Facial Exercises


อยากหน้าเด็ก... มาทำ เฟซโยคะ-หัวเราะบำบัด กันเถอะ
ผลไม้ 3 ชนิด เคล็ดลับทำหน้าเด็ก แบบไม่เสียตังค์ อิ อิ

ผู้หญิง ย่อมรักสวยรักงามกันอยู่แล้ว แต่การจะรักษาความงามให้คงอยู่เป็นเรื่องยาก แม้ว่าสมัยนี้จะมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผิวของคุณอ่อนเยาว์ได้มากมาย ซึ่งค่าใช้จ่ายย่อมสูงตามไปด้วย แต่ถ้าคุณอยากประหยัดเงินในกระเป๋าแล้วละก็ ลองมารู้จักกับการทำ "เฟซโยคะ" (Face Yoga) และ "หัวเราะบำบัด" กันดีกว่า

เฟซโยคะ-ปลดพันธนาการแห่งวัยของผิวพรรณ
ฉัตริษา ศรีสานติวงศ์ สาวสวยอดีตพิธีกรรายการบ้านเลขที่ 5 ซึ่งผันตัวเป็นบิวตี้กูรูเจ้าของ
พ็อกเก็ตบุ๊ค ‘โยคะหน้าเด็ก’ ที่ดึงศาสตร์เพื่อสุขภาพมาผนึกรวมกับความงาม ให้นิยามเกี่ยวกับ เฟซโยคะ (Face Yoga) ว่า “เทคนิคเฟสโยคะเป็นการบริหารกล้ามเนื้อผิวหน้า จะช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดดีขึ้น การนวดจะกระตุ้นการถ่ายเทของเสียของร่างกาย ซึ่งควรดูแลควบคู่กับการใช้ครีมบำรุงผิวและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี จะทำให้ผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์สมวัยได้ โดยเทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้มีอายุตั้งแต่ 23 ปีขึ้นไปถึง 55 ปี ซึ่งควรบริหารทุกวัน”

3 ผลไม้เคล็ดลับหน้าเด็ก
ฉัตริษาเฉลยเทคนิคศาสตร์โยคะหน้าเด็กว่า “แค่ผลไม้ 3 ผลก็ทำให้คุณดูเด็กลงได้” แต่ไม่ใช่การรับประทานแบบทั่วไป เพราะผลไม้ 3 ชนิดที่ว่าคือวิธีการพูดเพื่อวอร์มอัพกล้ามเนื้อบนหน้าก่อนดูแลผิวพรรณด้วยครีมบำรุงเพื่อคงความเยาว์วัย

กล้วยน้ำว้า: วิธีหน้าเด็ก-คอเต่งตึงแบบ 2 ขั้นตอน
1. ทำใบหน้าตรงพูดคำว่า ‘กล้วย-น้ำ-ว้า’ โดยออกเสียงช้าๆ เอาความรู้สึกไว้ที่มุมปาก
2. เสร็จแล้วทำหน้าเอียง 45 องศา พูดอีกครั้ง แล้วกลั้นหายใจค้างไว้ 5 วินาทีแล้วค่อยหายใจออก

แตงโม: วิธีกระชับผิวรอบมุมปาก
1. เริ่มจากพูดคำว่า ‘แตง’ โดยเอาความรู้สึกไว้ที่มุมปาก ฉีกยิ้มออกให้กว้างๆ
2. คำว่า ‘โม’ ห่อปากให้เป็นรูปตัวโอ ค่อยๆ ปล่อยลมออกจากปากให้ยื่นออกไป

ลิ้นจี่: วิธีบริหารแก้มโชว์ผิวสวย 3 ขั้นตอน (เล็ก-กลาง-ใหญ่)
1. ลิ้นจี่แรกให้พูดห่อปากเล็กๆ เหมือนลิ้นจี่ผลเล็ก
2. ลิ้นจี่ลูกกลาง เมื่อพูดคำว่า ‘ลิ้น-จี่’ เสร็จให้เหยียดปากให้กว้างกว่าเดิม
3. ลิ้นจี่ลูกใหญ่ พยายามพูดโดยเหยียดปากให้มากที่สุด ทำตาให้โตขึ้น ค้างไว้ 5 วินาที เพื่อยกกระชับแก้ม

หัวเราะบำบัด
เสียงหัวเราะจากหัวใจเพื่อผิวสดใสภายนอก
ดร. จิตรา ดุษฎีเมธา เจ้าแม่ศาสตร์หัวเราะบำบัด ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ไขความกระจ่างว่าการหัวเราะจะช่วยเรื่องผิวพรรณอ่อนเยาว์ได้ “การหัวเราะเป็นการดีท็อกซ์ผิวจากภายใน เมื่อเราหัวเราะสีหน้าจะแลดูสดชื่นไปด้วย กล้ามเนื้อ
ผ่อนคลายจากความตึงเครียด เมื่อจิตใจหัวเราะผิวพรรณก็จะสดใสเปล่งปลั่งไปด้วย แต่ควรดูแลผิวพรรณด้วยครีมบำรุงที่ทรงประสิทธิภาพเพื่อลดเลือนความหม่นหมองแห่งวัยควบคู่กัน”

4 เทคนิคหัวเราะเผยผิวใส
‘หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส’ ประโยคนี้คงเอ้าท์ไปแล้ว เมื่อสาวๆ จะได้รู้ประโยคฮิตใหม่ ‘หัวเราะวันละนิด หน้าใสไร้
ริ้วรอย’ จากการหัวเราะและเปล่งเสียงง่ายๆ ‘โอ-อา-อู-เอ’

ท้องหัวเราะ-โอ:
1. ยืนตัวตรง แนบแขนข้างลำตัว ยกแขนขนาบพื้นระดับเอว แล้วกำมือชูนิ้วโป้ง
2. หายใจเข้า แล้วค่อยผ่อนออก เปล่งเสียง ‘โอ๋....โอ..โอ...’ เป็นจังหวะ ยื่นมือออกไปข้างหน้า โดยขยับกล้ามเนื้อหน้าท้องพร้อมการออกเสียง

อกหัวเราะ-อา:
1. แบมือกางแขนออกด้านข้าง ให้ข้อศอกอยู่ระดับเอว
2. หายใจเข้า แล้วผ่อนลมหายใจออก เปล่งเสียง ‘อ๊า...อา...อา...’ เป็นจังหวะ ยกแขนขึ้นลงพร้อมกับยกไหล่และหน้าอกรับจังหวะกับการออกเสียง

คอหัวเราะ-อู:
1. แนบแขนข้างลำตัว ยกแขนขนาบพื้นระดับเอว แล้วกำมือหลวมๆ ทำเหมือนปืน
2. หายใจเข้า แล้วผ่อนลมหายใจออก เปล่งเสียง ‘อู๋...อู..อู..’ ทำท่ายิงปืนออกพร้อมกับเคลื่อนเอวให้เข้ากับจังหวะ

หน้าหัวเราะ-เอ:
1. กางแขนออกด้านข้างแล้วยกมือขึ้นตั้งฉาก แบมือออก
2. หายใจเข้า แล้วผ่อนลมหายใจออก เปล่งเสียง ‘เอ๋...เอ..เอ...’ ขยับตัวซ้าย-ขวาไปมา พร้อมขยับทุกนิ้วมือ

“หัวเราะ” ทุกวัน สร้างภูมิคุ้มกันโรค
เสียงหัวเราะขำขันที่ เราได้ยินกันนั้นแสดงถึงอารมณ์ของเจ้าของเสียงว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ที่แจ่ม ใสเบิกบาน แต่ท่านทราบหรือ ไม่ว่า การหัวเราะนอกจากจะ ทำให้สุขภาพจิตได้ผ่อนคลายแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกายมหาศาลทีเดียว…

พญ. อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า การหัวเราะบำบัดในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ
คือ หัวเราะแบบธรรมชาติมาจากใจ ซึ่งเกิดจากการถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขันอันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำ วัน
และ หัวเราะเพื่อการบำบัดรักษา

ซึ่งการหัวเราะทั้ง 2 รูปแบบล้วนมีประโยชน์
คือ ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนประเภทปลุกเร้าเพื่อบำบัดจิตใจและฟื้นฟูร่างกาย
ทำให้การทำงานของระบบ ต่างๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบหายใจ
ช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญของออกซิเจน ระบบขับถ่าย
ช่วยทำให้การทำงานของลำไส้เป็นปกติ ระบบการย่อยอาหาร ระบบกล้ามเนื้อบนใบหน้า ระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้ผิวพรรณดี เป็นต้น

จากผลการศึกษาหลายชิ้น แสดงให้เห็นว่า การหัวเราะขำขันจากความรู้สึกลึกๆ จากภายในอย่าง แท้จริง โดยไม่เสแสร้งจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่มีประโยชน์ ออกมาส่งผลดีต่อระบบร่างกายในส่วนต่างๆ ได้แก่ ช่วยป้องกันภาวะหัวใจวาย ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดหัวใจ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด (กรณีคนไข้ที่เป็นเบาหวาน) ทำให้ระบบคุ้มกันทำงานดีขึ้น มีประสิทธิภาพ นอนหลับสบาย คลายความวิตกกังวล

นอกจากนี้ยังมีผลการ วิจัยพบอีกว่า การหัวเราะบำบัดยังช่วยลดอาการปวดและสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้โดยไม่ ต้อง อดอาหาร เพราะการหัวเราะใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เวลาเราหัวเราะมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อทำงาน อย่างเต็มที่จนบางครั้งเกิดอาการเจ็บหน้าท้องหรือที่เราเรียกกันว่า ท้องแข็ง จึงถือเป็นการเผาผลาญได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่ซึมซับความเครียดของ ผู้ใหญ่และไม่สามารถระบายออกได้ จึงควรกระตุ้นให้เด็กได้หัวเราะบ่อยๆ เพราะการหัวเราะจะทำให้หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ส่งผลให้เด็กๆ มีการพัฒนาการทางสมองที่ดีอีกด้วย

ดังนั้นเราจึงควรหันมา ใส่ใจสุขภาพด้วยการหัวเราะ เพราะเสียงหัวเราะเป็นกุญแจสู่การมีสุขภาพดี โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ผู้ใหญ่ควรหัวเราะให้ได้ 17 ครั้งต่อวัน ส่วนเด็กๆ ถ้าหัวเราะ 40 ครั้งต่อวัน จะยิ่งดีมาก ๆ สำหรับที่มาของอารมณ์ขันนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง คุณหมอ แนะนำว่า เพียงแค่เราหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผลเป็นความน่ารักของธรรมชาติที่จะทำให้เรา รู้สึกขำตัวเองว่าหัวเราะทำไม วิธีนี้จะช่วยให้เกิดอารมณ์ขันอย่างแท้จริงได้เช่นกัน

ไม่น่าเชื่อว่าการหัวเราะจะมีประโยชน์มากมายเช่นนี้ใช่ไหมคะ…การที่เรามี สุขภาพจิตดีจะช่วยนำไปสู่สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตามมา แถมใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ชิดเพราะเป็นคนอารมณ์ดี ถือเป็นการสร้างเสน่ห์ไปในตัว

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://women.kapook.com/health00202/
http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9540000020981

BEFORE

AFTER







ช็อกโกแลต ซีสต์ …ปวดท้องประจำเดือน (Chocolate cyst หรือ Endometriosis)




โรคช็อคโกแลตซีสต์.mp4



ช็อกโกแลต ซีสต์ …ปวดท้องประจำเดือน

ภัยเสี่ยงหญิงตัดมดลูกทิ้ง…มีบุตรยาก!!! (เดลินิวส์)

ผู้หญิงเมื่อประจำเดือนมาทีไร หลายคนมัก มีอาการปวดท้องร่วมด้วยเสมอ แต่หากปวดมากและบ่อยครั้งขึ้น พึงระวัง…อาจเป็น “ช็อกโกแลต ซีสต์” ได้!

นพ.อุดมศักดิ์ ศรีแสงนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์ เล่าถึงการเกิดของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ให้ฟังว่า โดยปกติในระหว่างรอบประจำเดือน เยื่อบุมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ ใน 1 รอบประจำเดือน จะยาวประมาณ 28 วัน ซึ่งอาจสั้น หรือยาวกว่านี้ ในแต่ละบุคคล โดยนับวันที่ประจำเดือนหมด คือ ประมาณวันที่ 5 รังไข่จะผลิตฮอร์โมนเพศสตรีมากระตุ้นเยื่อบุมดลูกให้เจริญและหนาตัวขึ้น มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงมากขึ้นเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์

ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน เยื่อบุมดลูกจะหนากว่าระยะเริ่มต้นถึง 10 เท่า และช่วงนี้จะมีการตกไข่ ไข่จะถูกจับเข้าไปในท่อนำไข่ และถ้าได้ปฏิสนธิ กับเชื้ออสุจิ จะเคลื่อนเข้าไปในมดลูกและฝังตัวอยู่ในเยื่อบุมดลูก ถ้าไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ จะสลายตัวไป ระดับฮอร์โมนก็จะลดลงโดยมีการลอกหลุดตัวของเยื่อบุมดลูกกลายเป็นประจำเดือน ออกมาประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือนแล้วก็เริ่มต้นรอบเดือนใหม่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในทุกๆ เดือน

แต่สำหรับโรคนี้ เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน ที่เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งจะมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่ภายในมีเลือดเคลื่อนตัวออก จากโพรงมดลูกหลุดไปติดตามท่อนำไข่ แล้วไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่างๆ เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ โดยหากมารวมอยู่ที่ รังไข่จะเรียกว่า ช็อกโกแลต ซีสต์ มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนช็อกโกแลตซึ่งเป็นเลือดเก่า แทนที่จะออกมาทางช่องคลอดตามปกติ โรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่า “เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่” (Endometriosis)

“มีอาการปวดท้องน้อย เรื้อรังเมื่อมีประจำเดือน โดยจะปวดด้านหน้า ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกราน ส่วนด้านหลังตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อยปรากฏการณ์นี้จะเป็นเช่นนี้ทุกๆ เดือนและเกิดปฏิกิริยาขึ้นทุกครั้งที่มีเลือดออกพร้อมกับการมีประจำเดือน ทำให้มีเยื่อพังผืดหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ ในอุ้งเชิงกราน บางครั้งถุงเลือดที่มีอยู่เดิมแตกออกมา ทำให้เลือดและเยื่อบุมดลูกกระจายไปเจริญขึ้นในที่อื่น ทำให้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การมีพังผืดตามอวัยวะต่างๆ มากเช่นนี้เป็นผลให้การตกไข่ออกจากรังไข่ไปไม่ดีหรือไปไม่ได้ และท่อนำไข่ก็ไม่สามารถทำงานในการจับไข่เข้าไปได้ เพราะมีการยึดรั้งจากพังผืดหรือทำให้ ท่อนำไข่ตีบตันเป็นสาเหตุสำคัญของการมีบุตรยาก”

สิ่งที่จะบ่งชี้ว่า อาการปวดดังกล่าวเป็นอาการปวดท้องธรรมดาหรือเป็นอาการปวดของโรคนี้ คือ อายุ โดยจะพบมากในสตรีที่มีอายุ 30-40 ปี หรือวัยก่อนหมดประจำเดือน ในกรณีที่ไม่เคยปวดมาก่อน แต่พออายุ 30 ปีขึ้นไปแล้วกลับมีอาการปวดและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือน สันนิษฐานได้ว่าอาจปวดจากเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ได้ ฉะนั้น เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีประจำเดือนเท่านั้น โดยก่อนวัยมีประจำเดือนหรือวัยหมดประจำเดือนจะไม่พบโรคนี้

เนื่องจากเป็นโรคที่ ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ส่วนมากเป็นทางกรรมพันธุ์ พบประวัติว่า มารดา พี่ น้อง เป็นโรคนี้ แต่โชคดี คือ มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีบรรเทาอาการปวดจึงรักษาตามอาการ หากมีอาการปวดเพียงเล็กน้อยจะประคบด้วยน้ำร้อน ปวดกลางๆ แต่ทนได้ให้ทานยาแก้ปวด ถ้าปวดมากต้องใช้ยาเฉพาะทาน

พบว่า ประมาณร้อยละ 43 ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์หลัง มีอาการประมาณ 1 ปี การตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติ ที่ชัดเจน หลังการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือการทำอัลตราซาวด์ อาจจะพบถุงน้ำที่รังไข่ ในบางครั้งอาจต้องใช้วิธีตรวจโดยการใช้กล้องส่องเข้าไปในช่องท้อง

กรณี ถุงน้ำที่รังไข่มีขนาดเล็กอาจจะให้การรักษาด้วยยา ร้อยละ 60 ที่รักษาด้วยยาไม่ดีขึ้นต้องผ่าตัด จากการศึกษาพบว่า การรักษาอาการปวดที่เกิดจากภาวะช็อกโกแลต ซีสต์ แพทย์นิยมให้ผู้ป่วยฉีดยาคุมกำเนิดทุก 3 เดือน เป็นเวลา 12 เดือน หรือให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนต่ำ พบว่า ทั้งสองวิธีได้ผลสามารถทำให้ขนาดของช็อกโกแลต ซีสต์ลดลง

ภาวะของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดอาการปวดทุกครั้งเมื่อมีประจำเดือน ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข หากปล่อยทิ้งระยะเวลาไว้นานอาจทำให้เกิดการสร้างเยื่อพังผืดขึ้นมาล้อมรอบ ยิ่งถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่จะทำให้ผ่าตัดได้ยาก เนื่องจากขณะทำการผ่าตัดเอาพังผืดออกอาจทำให้มีโอกาสทะลุไปโดนลำไส้ใหญ่ได้ จำต้องผ่าตัดเพื่อเย็บลำไส้ซ้ำอีกครั้ง

นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวว่า “สตรีที่เป็นโรคนี้จะมีภาวะมีบุตรยากขึ้นกว่าคนไม่เป็นโรค บางรายแพทย์ตรวจพบโรคนี้จากการตรวจหาสาเหตุของการไม่มีบุตร เมื่อทำการรักษาหรือผ่าตัดช็อกโกแลต ซีสต์ออกไปแล้วอาจทำให้มีลูกได้ แต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มีโอกาสเพิ่มมากขึ้น”

ถ้าเป็นแล้วไม่ต้อง กลัว สามารถรักษาได้ แม้จะไม่หาย ขาดมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก แต่ไม่ควรประมาท เพราะ ถ้าปล่อยให้เป็นมากๆ อาจถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากในผู้ป่วยบางราย จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพ เช็กร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะได้รักษาแก้ไขได้ทัน

เมื่อมีอาการปวดในระหว่างมีประจำเดือนอย่าชะล่าใจ…หากอาการปวดนั้นทวีขึ้นเรื่อยๆ ทุกเดือน!!


ช็อคโกแลต ซีสต์ (Chocolate cyst หรือ Endometriosis)
ผู้หญิงหลายท่านอาจเกิดอาการปวดท้องเวลาเป็นประจำเดือน เพราะ prostaglandin ที่หลั่งออกมาในช่วงเป็นรอบเดือน นอกจากปวดท้องแล้วก็อาจจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน

Prostaglandin : สารชนิดหนึ่งในร่างกายซึ่งคล้ายฮอร์โมน คือ ต้นเหตุที่ทำให้ปวดท้องขณะมีประจำเดือน และ เป็นสารชนิดที่ทำให้ผู้หญิงเราเกิดอาการปวดท้องตอนจะคลอดลูก... สารนี้จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมดลูกหดตัว เพื่อช่วยให้ร่างกายขับประจำเดือนออกมา บางท่านอาจเริ่มวิตกกังวลถึงโรคภัยที่ผู้หญิงมักจะกลัว ไม่ว่าจะเป็น เนื้องอก มะเร็ง ผังผืด ที่อาจพบในระบบสืบพันธุ์

โรคช๊อกโกแลตซีส (chocolate cyst : one having dark, syrupy contents, resulting from collection of hemosiderin following local)

1. คำจำกัดความของโรคช๊อกโกแลตซีส
ช๊อกโกแลตซีส หมายถึง ''ถุงน้ำที่มีสารของเหลวสีคล้ายกับช๊อกโกแลตอยู่ภายใน'' ความรุนแรงมากพอสมควร

การเรียกตามลักษณะที่เห็นความจริงแล้ว คำเต็มก็คือ..... ''โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ เอ็นโดเมทริโอซิส

ปกติตัวเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก ควรจะอยู่เฉพาะภายในโพรงมดลูกเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ตัวเยื่อบุโพรงมดลูกนี้กระจายออกนอกตัวโพรงมดลูกไปเกาะอยู่ที่ใดก็ตามก็จะเป็นโรคของตำแหน่งนั้นเกิดขึ้น

2. ในปัจจุบันพบผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากน้อยแค่ไหน
โรคนี้พบได้บ่อยขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย
เราจะพบมากที่สุดก็คือ พบได้ 10- 20% ในกลุ่มของผู้ที่อยู่ในวัยที่มีประจำเดือน
กลุ่มคนลูกยากจะเป็น 30-45% คำว่าผู้ป่วยที่มีลูกยากก็คือ คู่สมรสที่แต่งงานเกิน 1 ปี มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ และไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เอง

3. กลไกที่ก่อให้เกิดโรค
ปัจจุบันนี้เรายังไม่ทราบกลไกที่ทำให้เกิดโรคที่แท้จริง แต่มีทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อถือคือ ทฤษฎีของแซมซัน จะมีเลือดประจำเดือนส่วนน้อยส่วนหนึ่งไหลกลับเข้าไปในช่องท้อง โดยผ่านท่อรังนำไข่ เลือดประจำเดือนที่ไหลเข้าสู่ช่องท้องก็จะนำเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูกไปด้วย แต่ตำแหน่งของเซลล์นี้ถ้าไปฝังตัวอยู่ที่อวัยวะไหนก็จะทำให้เกิดโรคนี้ขึ้นในอวัยวะนั้น ส่วนมากเราจะพบมากในบริเวณรังไข่

4. นอกจากนั้นยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคอีกหรือไม่
ผู้หญิงปกติทุกคนจะมีการไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือน แต่บางคนเป็นโรค, บางคนไม่เป็นโรคขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยง คือ
4.1 มีประวัติครอบครัว โดยเฉพาะทางมารดาหรือว่าพี่สาว, น้องสาวของผู้ป่วย ถ้าเกิดเป็นโรคนี้ตัวผู้ป่วยจะมีโอกาสเป็นโรคที่สูงขึ้นมากกว่าคนทั่วไป 3-10 เท่า
4.2 กลุ่มผู้ป่วยที่มีการทำงานของรังไข่นาน ๆ รังไข่ทำงานนานในกรณีที่เริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อยหรือประจำเดือนรอบสั้น เดือนหนึ่งมีมากกว่า 2 ครั้ง หรือออกมากหรือออกนานมากกว่า 7 วัน
4.3 กลุ่มที่มีความผิดปกติโดยกำเนิด ของทางออกของประจำเดือน กรณีนี้เราจะเจอได้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเยื่อพรหมจารีปิด

5. ปัจจัยลดความเสี่ยงของโรคอยู่ 3 ปัจจัย คือ
5.1 การตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่มีการตั้งครรภ์หลายครั้งโอกาสเป็นโรคก็จะน้อยลง การตั้งครรภ์ผู้หญิงจะไม่มีภาวะของการมีประจำเดือนไปเป็นเวลา 9-10 เดือน หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด ซึ่งยาคุมกำเนิดจะมีฮอร์โมนที่มีชื่อว่า โปเตสเซอโรน
5.2 การออกกำลังกายมาก ๆ โดยเฉพาะการออกกำลังตั้งแต่วัยรุ่นจะต้องออกกำลังกายมากกว่าสัปดาห์ละ 7 ชม. อันนี้จะเป็นการลดฮอร์โมนเอสโตเจน เป็นผลทำให้เกิดโรคน้อยลง
5.3 การสูบบุหรี่ จะทำให้เกิดเอสโตนเจนน้อยลง โอกาสการเกิดโรคก็จะน้อยลง แต่ที่กล่าวมาก็ไม่ ได้หมายความว่าจะสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนต้องสูบบุหรี่

6. ลักษณะอาการผิดปกติเบื้องต้นเป็นอย่างไร
6.1 คนไข้จะมีอาการปวดประจำเดือนทุกเดือน แต่อาการปวดประจำเดือนก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคนี้ ซึ่งลักษณะอาการปวด คือ มีอาการปวดอย่างรุนแรงและจะปวดมากขึ้นมากขึ้นทุกเดือน เป็นอย่างนี้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ
6.2 มีอาการเจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
6.3 ผู้ป่วยจะมีบุตรยาก

7. เราจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้หรือไม่
อาศัยจากประวัติก่อนทำการตรวจร่างกายคนไข้ และจะมีการช่วยวินิจฉัยหลายอย่าง เช่น ....การทำอัลตราซาวด์ ส่องกล้อง ตรวจภายในอุ้งเชิงกราน การเจาะเลือดตรวจทูเมอร์ ....
การวินิจฉัยโรค ถ้าเกินเราอัลตราซาวด์แล้วเราเห็นก้อนชัด ๆ ก็จะสามารถบอกได้ทันที แต่ในกลุ่มที่คนไข้ที่มีผลการตรวจคนไข้ไม่ชัดเจน กลุ่มนี้เรามักจะต้องใช้วิธีส่องกล้องตรวจภายในอุ้งเชิงกราน

8. จะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกหรือไม่
ในกรณีที่เราผ่าตัดเอาเฉพาะพยาธิสภาพออก โดยที่เก็บตัวมดลูกและรังไข่ไว้คนไข้ ก็จะมีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีก

9. อันตรายของโรคนี้มากน้อยแค่ไหน
ในกรณีที่เป็นมาก ๆ คนไข้ก็จะมีพังพืดเกิดขึ้นในอุ้งเชิงกราน ผังพืดที่เกิดขึ้นมีการรัดอวัยวะที่สำคัญหลายอย่าง เพราะฉะนั้นการผ่าตัดจำเป็นต้องอาศัยฝีมือขอศัลยแพทย์ที่ดี พอประจำเดือนมาครั้งต่อไป ตัวโรคก็จะโตขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นหากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ก้อนช๊อกโกแลตซีสเกิดแตก สารของเหลวที่อยู่ภายในก็จะออกมากระตุ้นเยื่อบุช่องท้อง ทำให้คนไข้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน

10. การป้องกันควรทำอย่างไร
เพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือน ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการตรวจภายใน หรือ มีเพศสัมพันธ์ขณะที่มีประจำเดือน
ในหญิงกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ เราอาจพิจารณณาให้การป้องกันด้วยการกินยาคุมกำเนิด เริ่มตั้งแต่วัยเริ่มมีประจำเดือนและหยุดยาต่อเมื่อมีบุตร ขอแนะนำให้ผู้หญิงที่แต่งงาน ตั้งครรภ์เร็ว ๆ

1. ทำไมหญิงยุคใหม่เป็นโรคนี้กันมากขึ้น ?
"ถ้าดูในเรื่องงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเยื่อบุโพรงมดลูกเติบโตผิดที่พบว่า ถ้านำผู้หญิง 100 คนมาทำการส่องกล้องเข้าไปดูในขณะที่มีประจำเดือน ผู้หญิงเกือบทั้ง 100 คน จะมีภาวะลือดระดูไหลย้อนกลับเข้าไปในช่องท้องทุกคน"

2. ทำไมบางคนเกิดอาการเป็นถุงน้ำซึ่งทำให้ เกิดความเจ็บปวดมากมาย แต่บางคนไม่เป็น ?
คนไข้กลุ่มที่เป็นถุงน้ำมักจะมีปัญหาในเรื่องภูมิคุ้มกันบางอย่างบกพร่องซึ่งไม่สามารถจะทำลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่เติบโตผิดที่นี้ได้ ในขณะที่ผู้หญิงปกติทั่วไปจะมีภูมิคุ้มกันซึ่งสามารถทำลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญเติบโตผิดที่ได้ "ส่วนที่ดูเหมือนกับว่าผู้หญิงในปัจจุบันเป็นโรคนี้กันมาก ก็เพราะความเจริญก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยี

3. อาการที่น่าสงสัยว่า จะเป็นถุงน้ำช็อกโกแลตเกี่ยวกับเรื่องเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่

ผู้หญิงที่เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ จะมีอาการปวดท้องมากเวลาที่มีประจำเดือน
"การที่จะแยกว่าอาการปวดท้องเมื่อมีประจำเดือนจะเป็นอาการที่บ่งบอกว่าสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ เรื่องอายุ นั่นคือถ้าอายุยังไม่มาก แล้วปวดท้องเวลาที่มีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะเป็นอาการปวดท้องธรรมดา แต่กรณีที่ไม่เคยปวดประจำเดือนมาก่อน พออายุ 30 ปีขึ้นไปอยู่ๆ ก็มีอาการปวดประจำเดือนขึ้นมา และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือนที่ผ่านไป อาการดังกล่าวค่อนข้างบ่งชี้ว่าน่าจะเป็น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่"

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://women.kapook.com/health00202/
http://www.healthcorners.com/2007/news/Read.php?id=6021

take care นะจ๊ะ




1-2-3 แชะ! ฮาวทูโพสท่า-แอ๊บหน้า สวยสะดิ้งขึ้นกล้องแบบดาราดัง




Behind the scenes at Megan Fox's Cosmo cover shoot!



1-2-3 แชะ! ฮาวทูโพสท่า-แอ๊บหน้า
สวยสะดิ้งขึ้นกล้องแบบดาราดัง

By Lady Manager

เคยเห็นมั้ย? ผู้หญิงบางคนหน้าอย่างเงือกแต่เวลาถ่ายรูปขึ้นกล้องดันดูดีชะมัด เจอตัวจริงแทบจะกรี๊ดใส่หน้าลมแทบจับ นี่มันใช่คนเดียวกันในรูปจริงรึ!

อ๊ะ! เรื่องแบบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน้าตาสวยเพียงอย่างเดียวซะเมื่อไหร่ มิใช่ว่าจะมายืนนิ่งทำหน้าไก่กาปลาชะโด เอ้า! คนเราต้องรู้มุม จุดไหนด้อยก็อย่าโชว์ซิ ยิ่งในสังคมโลกออนไลน์ด้วยแล้ว แอ๊บง่ายจะตาย เดี๋ยวนี้หนุ่มสาวเขาไม่ได้ไปเดินล่อเสือล่อตะเข้เดินขอเบอร์จีบกันแถวสยามเหมือนเมื่อก่อนซะที่ไหน โลกเฟซบุ๊ก (Facebook) กำลังผงาดฟาดใจมนุษย์โลกซะขนาดนั้น ถูกเพ้งใช่เลย! เขาดูหน้าตากันในรูปโปรไฟล์นั่นแหล่ะ ใครสวยใครหล่อ add เป็นเพื่อนมั่วซั่วกันไปหมด ดังนั้นรูปถ่ายจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการโดน "ปิ๊ง"

เอางี้! เรามีเทคนิกการถ่ายรูปให้ดูดีขึ้นกล้องมาฝากกัน กับช่างภาพแฟชั่นชื่อดังแห่งคอสโมโพลิแทน (Cosmopolitan) เดวิส แฟคเตอร์ (Davis Factor) ผู้เคยลั่นชัตเตอร์สาวคนดังอย่างแองเจลิน่า โจลี (Angelina Jolie) และคาเมรอน ดิแอซ (Cameron Diaz) เฉิดฉายขึ้นปกคอสโมฯ มาแล้ว แถมยังเป็นผู้ก่อตั้งเครื่องสำอางสแมชบ็อกซ์ (Smashbox) อีกด้วยแน่ะ!

ให้ไว! คุณพี่เดวิดเค้าใจดี ฮีจะมาเปิดเผยแชร์ประสบการณ์การแอ็กท่า พร้อมตัวช่วยอย่างอื่นให้สะดิ้งหน้าแจ่มขึ้นกล้องดั่งนางแบบมืออาชีพบนแม็กกาซีน

อ้าวงั้นโพสเลยค้า 1-2-3 แชะ!! อ่าห๊ะ

แสงจัดผัดหน้าผ่อง
แน่นอนคุณๆ ย่อมเคยมีประสบการณ์ถ่ายรูปย้อนแสง ภาพที่ได้หน้าตาจะออกมาลักษณะเหมือนโดนของอมทุกข์ หมดราศี มีแต่ราคีล้วนๆ มองมุมไหนแลดูหมดอาลัยตายอยาก

ขอแนะนำด่วน! พยายามอย่าถ่ายภาพย้อนดวงอาทิตย์ เพราะมันจะมืดตื๊ดตื๋อ หรือไม่งั้นอับจนหนทางไร้แสงแห่งดวงตะวันจริงๆ คุณจงให้ตากล้องสาดไฟแฟลช หรือพยายามหอบสังขารตนเองไปอยู่ในที่สว่างๆ แสงจ้า เป็นใช้ได้!

เอียงข้าง 45 อาศาฯ พรางหน้าบาน
คุณสามารถอำพรางโหนกหน้าปูด กรามบานใหญ่ ได้เพียงรู้มุมนิดเดียวเท่านั้นเอง เพียงยืนตัวตรง และหันข้างเล็กน้อยทำมุม 45 องศาฯ บิดไหล่ให้อยู่ใกล้กล้อง จิกตาจ้องเลนส์ให้ละลายไปต่อหน้าต่อตา ทริกง่ายๆ แค่นี้ทำให้คุณดูหน้าเล็กเหมือนไปฉีดโบท็อกซ์มาเลยล่ะ

หากเทคนิคนี้ยังเอาไม่อยู่ หน้ายังบานเป็นกระด้งไม่เสื่อมคลาย จงนำปอยผมด้านข้างมาปิดแก้ม บังโหนก แต่อย่าให้ถึงขนาดกลัวหน้าใหญ่มาก ปิดหน้าจนเหลือแต่ตาเลยนะ ขอร้อง เพราะมันจะเหมือนผีจูออนกันเลยทีเดียวเชียว อะจึ๋ยย!

กดหน้าต่ำสไตล์แอ๊บแบ๊ว
หากรู้ตัวว่าไม่สวยขั้นเทพจริง! อย่าถ่ายรูปเสยคางเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจจะหน้าขึ้นอืด ภาพที่ได้จะสยองมาก ยิ่งคนดั้งแหนบยิ่งหลอนไปกันใหญ่ เห็นแต่รูจมูก สงสารคนโดนถ่ายมั่งเห๊อะ!

ควรถ่ายในระดับสายตา หรือมุมสูง ง่ายๆ เพียงกดหน้าให้ต่ำคล้ายคนเขินอาย หรือลองไปถามสาวแอ๊บแบ๊วเขาทำกันอย่างไร เอียงหน้าเหลือกตา ทำหน้าให้น่ารักที่สุดในชีวิต ใครจะว่าแก่แล้วไม่เจียมก็ช่างเหอะ! แต่ไม่ต้องทำปากจู๋คล้ายเปรตขอส่วนบุญ และไม่ต้องทำท่าสิ้นคิดชูสองนิ้วด้วยหรอกนะ

และหากผู้หญิงนางไหนคางสั้น หน้าทู่ เรามีเทคนิคสวยแจ่มเบาๆ มาฝาก ให้ทำคางยื่นออกมาเล็กน้อยแต่พองาม ใบหน้าจะได้สัดส่วนครบองค์ประกอบความงามมากขึ้นเลยล่ะ

เซย์ "ชีส" ยิ้มสวยหยดย้อย
เปล่งเสียงเบาๆ เก๋ๆ ว่า "ชีส (Cheese)" คุณก็จะได้รอยยิ้มดุจสาววัยใส ตรึงใจหวานหยดย้อย จะได้รอยยิ้มแบบไม่เห็นเหงือก รูปปากลักษณะนี้กำลังงาม แต่อย่าทะลึ่งเพิ่มอีกตัวว่า "ชีสซี่ (Cheesy)" ล่ะ เพราะรอยยิ้มที่ได้จะดูแปลกตา ดั่งสาวกร้านโลกกรำศึก อีกทั้งเห็นเหงือกบานด้วย ดูไม่ธรรมชาติ คล้ายแก๊งสาวเชียร์ลีดเดอร์ต่อตัวที่ต้องทำหน้ามันส์สุดเหวี่ยงพร้อมเต้นสะบัดอยู่ตลอดเวลา

เอางี้! ถ้าเขินอายกล้อง ลองฝึกยิ้มเซย์ชีสในกระจกดูก่อน ว่าควรยิ้มมากน้อยเพียงใดถึงจะงาม และอย่ายิ้มมากเพราะตีนกาจะโผล่ นอกจากนี้ ริ้วรอยจะแห่ขบวนตามกันมาฝังรกรากบนหน้าคุณ (สำหรับสาววัย 30+) ไม่รู้ด้วย

ปากชมพูอวบอิ่มสดใส
อีกวิธีหนึ่งที่เยี่ยมมากเสกใบหน้าของคุณให้ดูสดใส นอกจากการเพิ่มรอยยิ้มแล้วเซย์ชีสแล้ว การทาลิปสติกสีชมพูอ่อนระเรื่อ และทับด้วยลิปกลอส (Lip Gloss) นั้นยังเป็นสิ่งสำคัญอีกด้วย เพราะช่วยขับใบหน้าให้ดูมีน้ำมีนวล แจ่มใส มีชีวิตชีวา แหม…ยังไง้ยังก็ดีกว่าปากซีดเหมือนคนป่วยอยู่ดีนั่นแหล่ะ

การทาลิปสติกสีชมพูอ่อนใส ยังช่วยทำให้ใบหน้าดูเด็กลงด้วย กระชากวัยได้อย่างไม่เคอะเขินใครอีกด้วย

โบกรองพื้น หน้าอย่ามันเยิ้ม
การแต่งหน้าช่วยเพิ่มมิติบนใบหน้า และอำพรางจุดอับ ริ้วรอยด่างดวงได้อีกด้วย การลงรองพื้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก หน้าจะเด้ง หรือดับก็อยู่ที่ขั้นตอนนี้แหล่ะ จากนั้นเสริมไฮไลท์ให้หน้าดูสว่างใน 5 จุด ดังนี้ หน้าผาก จมูก ใต้คาง โหนกแก้ม และโหนกคิ้ว

ระวัง! อย่าให้ความมันเยิ้มย่างกรายเข้ามาในแตะใบหน้าเชียว กลบด้วยแป้ง ซับด้วยทิชชู่ให้เกลี้ยง!

แต่งตาเข้ม เฉี่ยวเอ็กซ์
ดวงตาทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวา นัยน์ตาสื่ออะไรได้หลายอย่าง ใช้อายชาโดว์ (Eye Shadow) สีเข้มปาดลงไปครึ่งรอยพับตา ส่วนบริเวณหางตาไล้สีให้เข้มสุดและเบลนหัวตาอ่อนสุด ส่วนช่วงโหนกคิ้วใช้นิ้วแตะชิมเมอร์ (Shimmer) เล็กน้อยเพื่อให้ดูมีมิติ ดวงตาสว่างไสว และกรีดอายไลเนอร์เส้นดำคมกริบ

ตบท้ายด้วยมาสคาร่า (Mascara) ที่จะช่วยเนรมิตขนตาคุณให้เรียงตัวสวยเป็นแพแถมยาวขึ้นอีกด้วย หากสาวท่านไม่มีขนตาเป็นของตัวเอง อย่าได้น้อยใจในโชควาสนา ลงทุนกันซักหน่อย ควักตังค์ซื้อ "ขนตาปลอม" ติดป้าบเข้าให้ อุ้ย! สวยเช้งอย่าบอกใครเชียวล่ะคุณน้องเอ้ย!

เรียบเรียงจากคอสโมโพลิแทน
http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9540000023271





1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss