1
2

บะหมี่น้ำหนึ่งชาม





Nagaoka Revival Prayer Fireworks 「Phoenix」
<} Jupiter sang by ayaka hirahara {>






บะหมี่น้ำหนึ่งชาม 
เรื่องเล่าดีๆ ที่อยากให้อ่าน





บะหมี่น้ำหนึ่งชาม... 
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง 
เราให้ชื่อเรื่องนี้ว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" 
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 24 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม 2528 
ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 
ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร 
การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น 
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี

" ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน 
ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง 
โดยปกติแล้วบน ถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่ 
แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน 
ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้าน เร็วกว่าปกติ 
เถ้าแก่ของร้าน " ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี 

ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน 
ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบาๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน 
คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน 
เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน 
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ท ลายสก๊อตเก่าๆ เชยๆ 

" เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา 

หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า " ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมคะ" 

เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก 
" ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง 

แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า " บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" 

บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่ เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน 
ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง 


 
 

สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย 
กินพลางพูดพลาง   " ทานเถอะครับ" 

ลูกคนพี่พูด " แม่ทานหน่อยสิครับ" 
ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน 

ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน 
แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า " ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)" 
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป 

" ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" 
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ 


ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี 
วันที่ 31 ธันวาคม ก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า 
ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา 
สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย 
และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง 



22.00 น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น 
ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ 
ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน 
พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย 
เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง 

" ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ" 

" ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ" 

เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว 
โต๊ะเบอร์สอง ตะโกนไปพลางว่า " บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" 

เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง 
" ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" 

เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า 
" นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ" 

" ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย" 
สามีตอบพลางแล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน 
เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม 

ภรรยาก็พูดขึ้นว่า " เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ" 
ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้น
แล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก 



สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง 
เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย 

" หอมจังเลย … ยอดไปเลย … อร่อยจริงๆ " 

" ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว" 

" ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ" 

กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน 
แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป 
" ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" 

มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป 
สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง 

ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก 
สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00 น.ไปแล้ว 
สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00 น. 
พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป 
พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียน 
ไว้ว่า " บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง 
แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า " บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน" 
30 นาทีก่อน เถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย " จองแล้ว" 
ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขก
ที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ 

22.30 น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฏตัวขึ้น 
พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง 
น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว 
เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก 

ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม 
" เชิญค่ะ เชิญค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ 

มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย 
ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงก เงิ่นเงิ่นว่า 
" รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ" 

" ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ" 

เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง 
แล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า " บะหมี่น้ำสองชาม"

" ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ" 



เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน 
สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก 
สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ 
ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน 
ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย 

" ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก" 

" ขอบคุณ ?"  " ทำไมครับ" 

" เรื่องเป็นอย่างนี้ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป
ได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ 
และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น 
ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน" 

" เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ 
ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร 

" แต่เดิมนั้นเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม 
แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว" 

" จริงๆ หรือครับ แม่" 

" จริงสิจ๊ะ  นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ 
ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร 
ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ 
ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก 
จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด" 

" ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ 
แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ" 

" ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ 
ไอ้น้องชายเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ" 

" ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริงๆ " 

" แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ 
คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง 
ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง 
คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า 
เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด 
เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ 
นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อนๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ 
ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง" 

" จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ" 

" หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า" 
น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ 
แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย" 

" เรียงความเขียนว่า … หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว 
ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ 
คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหาม รุ่งหามค่ำทุกวัน 
แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ 
น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย …" 

" ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 
พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ อร่อยมาก … 
สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว 
คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก 
แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก 
เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป 
พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อ ให้หมดให้เร็วที่สุด …" 

" ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ 
แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยม อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย 
แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน … ขอให้มีความสุขครับ … ขอบคุณครับ …" 



สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป 
พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ 
ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง 
พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ 

" พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า 
" วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ 
ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ" 

" จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรล่ะ" 

" ก็มันกะทันหันเกินไป ตอนแรกๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี 
ผมจึงพูดว่า … ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี 
น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน 
ดังนั้นในเวลาที่เพื่อนๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะ 
อยู่ร่วมกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน 
เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร" 

" เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม 
ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่ 
น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อ 
สักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ " 

" หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกิน 
กันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด 
ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี 
และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ" 

สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุกๆ ปี 
จ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณ ค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป 

มองตามหลังสามแม่ลูกไป 
เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริงๆ 
พร้อมกับกล่าวว่า " ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" 


และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง 
พอถึงเวลา 21.00 น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย 

" โต๊ะจอง"  ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอย 
การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย 
แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย 

ปีที่สอง ปีที่สาม โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม 
สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย 

กิจการของร้านฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว 
ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ 
จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม 

" นี่มันเรื่องอะไรกัน" ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา 
เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง 
โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง 
และไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก 
พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา 
โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า " โต๊ะแห่งความสุข" 
ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากินบะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้ 


ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลายๆ ปี 
พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว 
เจ้าของร้านค้าในละแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก 
ก็มักจะมารวมตัวฉลอง โดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก 
กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง 
แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน 
เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว 

ในวันนี้พอเลย 21.30 น.ไปแล้ว 
เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย 
ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ 
บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา 
ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน 
ต่างก็คึกคักกันมาก 

ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง 
ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมัน แต่ในใจต่างก็คิดกันว่า 
วันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง 
มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม พวกเขาบ้างก็กินเหล้า 
บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้าๆ ออกๆ 
พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป 
พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ 
แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ 
ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุกๆ เรื่อง 
จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน 
เวลาผ่านไปจนถึง 22.30 น. 
ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบาๆ 
ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน 
ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน 
พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง 
และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก 

ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า " ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ" 
เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น 

ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโน เดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน 
ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า 
" เอ้อ … รบกวน … รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ" 

ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที 
เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ 
กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน 

เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก 
" พวกคุณ .. พวกคุณ" เขาพูดได้เพียงแค่นั้น 

คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ ชายหนุ่มหนึ่งในสองคน
เห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ เถ้าแก่เนี้ยว่า

" พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มา 
สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ 
และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น 
พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้" 

" หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ 
ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว 
ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต 
ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว" 

" วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว 
แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ 
และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น 
ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต 
ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า 
พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร 
และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย" 

สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า 

เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู 

พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ 
แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า " อ้าว … เถ้าแก่ … เป็นอะไรไปล่ะ 
อุตส่าห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ 
" โต๊ะจอง" ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง 
รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า" 

ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก 
แล้วพูดว่า " ยินดีต้อนรับค่ะ … เชิญนั่งข้างในค่ะ … นี่ตาเฒ่า … บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง" 

เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า 
" ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม" 

หากดูกันตามจริงแล้ว 

สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย 
มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ 
รวมทั้งคำอวยพรว่า " ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" ก็เท่านั้นเอง 
แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์คับขันได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง 

เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว 
ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า " ใครที่อ่านเรื่องแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้" 
ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง 
แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกประทับใจจริงๆ 
จนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจ 
แต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจ 
และน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน .... Fwd.



สวัสดีปีใหม่ค่ะ
ปีใหม่ วันใหม่ เริ่มชีวิตใหม่ 
ขอให้มีความสุข สนุกสดใส 
สุขสำราญ ทั้งกายใจ 
สมหวังดังปรารถถนาทุกประการนะคะ






Merry Christmas and Happy New Year




santy'ping is coming to town



นางแบบ..ซานตี้เวียงพิงค์น้อยวัย 2 ขวบ 1 เดือน
น้องเวียงพิงค์@ WeingPing@





Santa Claus Is Coming to Town
เขียนขึ้นโดย J. Fred Coots และ Haven Gillespie



You better watch out
You better not cry
Better not pout
I'm telling you why
Santa Claus is coming to town
He's making a list,
And checking it twice;
Gonna find out Who's naughty and nice.
Santa Claus is coming to town
He sees you when you're sleeping
He knows when you're awake
He knows if you've been bad or good
So be good for goodness sake!
O! You better watch out!
You better not cry.
Better not pout, I'm telling you why.
Santa Claus is coming to town.
Santa Claus is coming to town.

Santa Claus Is Coming to Town
แปลเป็นไทย 
คอยดูให้ดีนะ
อย่าร้องไห้
อย่าหน้างอ
จะบอกให้ว่าทำไม 
ก็แซนตาคลอสกำลังจะมาเมืองเราน่ะซิ
ซานต้ากำลังทำรายการ
ตรวจทานถ้วนถี่
คราวนี้ซานต้าจะรู้ว่าเด็กคนไหนเกเร คนไหนเป็นเด็กดี
แซนตาคลอสกำลังจะมาเมืองเรา
ซานต้าเห็นเธอเมื่อยามเธอหลับ
ซานต้ารู้ เวลาเธอตื่นขึ้นมา
ซานต้ารู้ว่าเธอเคยทำดีหรือไม่ดี
ดังนั้น ทำตัวดีๆล่ะ
guru.sanook.com



มีของขวัญมาฝากจ้าา...
1. คลิกที่ - แสตมป์ ค่ะ
2. คลิกที่ - โคมไฟ ค่ะ
3. ช่วย ใส่หมวก ให้ Snowman ค่ะ
4. คลิกที่ - กล่องของขวัญ ค่ะ
5. คลิกที่ - กล่องของขวัญ สีแดง ค่ะ
6. คลิกที่ - กล่องของขวัญ สีฟ้า ค่ะ
7. คลิกที่ - ท้องฟ้า ค่ะ



ประวัติวันคริสต์มาส
(Christmas day) คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ (Christmas) ซึ่งมาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษ (เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1038) และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาสซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้นตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า



พระเยซูเจ้าประสูติ 
ในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่งจักรวรรดิโรมันซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดินโดยคีรีนิอัสเจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต

แต่ในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่าพระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไรด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่าเดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วยเพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ 

แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคมปี ค.ศ. 330ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย


ดังนั้นเป็นการฉลองการบังเกิดของพระเยซู 
ที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25ธันวาคม คำว่า " คริสมาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณ ว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038 และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas


คำอวยพร
Christmas ใน ภาษาไทย " คริสต์มาส "ก็มีความหมายเช่นกันคำว่า "มาส" แปลว่า "เดือน" เทศกาลคริสต์มาสจึง เป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพิเศษ คำว่า"มาส" คือ"ดวงจันทร์" ตีความหมายในภาษาไทยคือพระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก เหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืน Merry X’mas 

คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า"สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใชอวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ ถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึก ถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศประเพณี นี้ ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษ ที่ 4 และ ค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป


ในเทศกาลวันคริสมาส โดยส่วนใหญ่คำอวยพรสำหรับเทศกาลคริสมาสจะใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลงวันคริสมาส "ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนานส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ(ค.ศ.1840-1900)ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย




ซานตาคลอส
นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส แห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราชของไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟบังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดีซานตาครอสจริงๆแล้ว แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลยนักบุญนิโคลาส เป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเด็กๆ 

เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยม เด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ก็อยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกา 

โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลาสก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และ แทนที่จะเป็นสังฆราชซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้นก็กลายเป็น ชายแก่ที่อ้วนใส่ชุดสีแดงอาศัย อยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อน เป็นยานพาหนะมีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา


เพลงวันคริสต์มาส
เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งผู้แต่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเนื้อร้องเป็นภาษาลาตินลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่าเน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้นเริ่มจากประเทศอิตาลีโดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน

ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมืองเพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274)

และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Nigh , Holy Night

ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์(Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรียได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปเพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรกโดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้องซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก



Come, All Ye Faithful

Adeste Fideles

Silent Nigh , Holy Night



ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน การตกแต่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟสมิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศ อังกฤษและทั่วโลก


การทำมิสซาเที่ยงคืน 
เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็น วันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮมและไปยังถ้ำที่พระ เยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้นเมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับแต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น 

ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้งในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาส


เทียน และพวงมาลัย
ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัยแล้วเอาเทียน 4 เล่มวางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุก อาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อนคริสต์มาส 

ประเพณีนี้เป็นที่นิยม และแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมา มีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับ เทียนที่จุดไว้ตรง กลาง 1 เล่มไป แขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่าน ไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็น สัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ ของพระเป็นเจ้า



Merry Christmas and Happy New Year



ขออวยพรให้ท่านได้พบแต่สิ่งที่ดีๆ



Christmas Greetings Wishing you a prosperous New Year! Christmas Greetings
ขออวยพรให้ท่านจงเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูตลอดปีใหม่



Season’s Greetings– May love and laughter fill your life 
at Christmas and throughout the New Year.
เทศกาลแห่งการอวยพร ขออวยพรให้ความรัก และเสียงหัวเราะเติมเต็มชีวิตของคุณ
ในวันคริสต์มาสตลอดไปถึงวันปีใหม่

Thanks : http://th.wikipedia.org/wiki






1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss