พลอยประจำเดือนเกิด ธันวาคม - เทอร์ควอยซ์ (Turquoise)
เทอร์ควอยซ์ หรือ พลอยสีขี้นกการเวก
จัดเป็นอัญมณีประเภทหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายนับตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ (3000 ก่อนคริสตกาล) เป็นอัญมณีชนิดแรกๆ ของโลกที่มีการทำเหมืองมากว่า 3 พันปี โดยเฉพาะจากเปอร์เซีย หรือประเทศอิหร่าน ที่ในปัจจุบันจัดว่าเป็นเทอร์ควอยซ์ที่มีคุณภาพสูง และถูกนำเข้าสู่ทวีปยุโรปผ่านทางประเทศตุรกี (Turkey) Turquoise จึงมีรากศัพท์มาจากคำว่า "Turkish" นั่นเอง มีความเชื่อว่าผู้ที่สวมใส่เทอร์ควอยซ์จะไม่ถูกสัตว์มีพิษกัด ถ้าผูกเทอร์ควอยซ์ติดกับธนูจะทำให้ล่าสัตว์ได้ดีขึ้น ป้องกันการตกจากหลังม้า และสามารถบำบัดโรคตาได้ ถ้ามอบเทอร์ควอยซ์เป็นของขวัญ พลังอำนาจของเทอร์ควอยซ์จะเพิ่มขึ้น ดลบันดาลให้ผู้รับมีความสุข
ประมาณก่อนสมัยคริสต์ศักราช 5500ปี ชาวอียิปต์นำเทอร์ควอยซ์มาสวมใส่เป็นเครื่องประดับส่วนชาวอินเดียนแดงในอเมริกาได้นำเอาเทอร์ควอยซ์มาเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนและเป็นเครื่องประดับ ตำแหน่งหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงที่ยิ่งใหญ่เป็นผู้มีอำนาจมากก็จะประดับเทอร์ควอยซ์ที่มีคุณภาพสูง และยังมีความเชื่อถืออีกอย่างของชนเผ่าอินเดียแดงคือ การนำเอาเทอร์ควอยซ์ไปภาวนากับแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับ โยนเทอร์ควอยซ์ลงในแม่น้ำจะนำฝนมาให้
นอกจากนี้เทอร์ควอยซ์ยังจัดเป็นอัญมณีประจำวันเสาร์ และอัญมณีครบรอบแต่งงานปีที่ 11 ด้วย
สมบัติของเทอร์ควอยซ์
องค์ประกอบทางเคมี CuAl6(PO4)4(OH)8.5H2O สีฟ้านั้นเกิดจากธาตุทองแดง (copper, Cu) ส่วนสีเขียวนั้นเกิดจากธาตุมลทินเหล็ก (iron, Fe) ประกอบกับธาตุทองแดง
ชนิดของเทอร์ควอยซ์ เทอร์ควอยซ์มี 2 ชนิดคือ ชนิดที่มีเมทริก (Matrix) คล้ายใยแมงมุม กับชนิดที่ไม่มีเมทริก (เมทริก คือ เส้นลายหินที่เกิดขึ้นในเทอร์ควอยซ์ เป็นสีน้ำตาลหรือดำ) เทอร์ควอยซ์ที่มีคุณภาพดีที่สุดจะมีสีแจ่มชัด เรียบน้ำเงินปานกลาง และไม่มีเมทริก เทอร์ควอยซ์พบในสายแร่ (Vein)มีทั้ง ชิ้นใหญ่และชิ้นเล็ก ยากที่จะพบในเหมืองร่องน้ำ(Alluvial Deposits) ความร้อนสามารถทำให้พลอยระเบิดหรือเป็นรอยแตกได้ ถ้าใช้เข็มร้อนจี้(Hot point)พลอยจะเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลและแตก ปัจจุบันส่วนใหญ่ จะนำเทอร์ควอยซ์มาใช้ทำลูกปัด สร้อยคอ กำไลมือ แหวน หรือแกะสลักเป็น รูปแบบต่างๆ เทอร์ควอยซ์ที่มีคุณภาพดีจะเหนียว ส่วนชนิดที่มีคุณภาพต่ำจะมี ความเหนียวต่ำ เทอร์ควอยซ์เป็นพลอยประจำราศีเดือนธันวาคมร่วมกับเพทาย (Zircon)
ความแข็ง 5-6 ตามระดับความแข็งของโมห์
ค่าดัชนีหักเห 1.61
ค่าความถ่วงจำเพาะ 2.76
แหล่งกำเนิดเทอร์ควอยซ์
1. เนซาเบอร์อิหร่านเป็นแหล่งกำเนิดเทอร์ควอยซ์ที่มีสีสวยที่สุด เหมืองได้กลายเป็นเหมืองประวัติศาสตร์ เพราะกลายเป็นเมืองร้าง มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่1
2. ซีไน เพนีซูลาเป็นเหมืองที่เก่าแก่ที่สุดในสมัยก่อนคริสต์ศักราช 5500 ปี เหมืองต่างๆ อยู่ในสภาพขุดหมดไปแล้ว
3. สหรัฐอเมริกาปัจจุบันเป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่รัฐอริโซนา เนวาดา และ นิวเม็กซิโก
แหล่งเทอร์คอยซ์ที่สำคัญในปัจจุบัน ได้แก่ ประเทศอิหร่าน ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน
ชนิดและชื่อทางการค้า
1.เทอร์ควอยซเปอร์เชีย(Persian) เป็นชนิดที่มีคุณภาพดีที่สุด เพราะสีของเทอร์ควอยซ์เปอร์เชียจะเป็นสีฟ้าที่สวยงามมาก เปรียบเทียบสีของไข่นกโรบิน (Robin's Egg Blue) สีฟ้าเข้มปานกลาง ผิวภายนอกขรุขระเป็นรุน้อยที่สุด พื้นสีดูเรียบและเสมอ กึ่งโปร่งใส วาวแบบน้ำมัน อาจมีหรือไม่มีเมทริก (Matrix) เส้นลายหินคล้ายใยแมงมุม
2.เทอร์ควอยซ์อเมริกาหรือเม็กซิกัน (American or Maxican) สีฟ้าอ่อน ฟ้าอมเขีย เขียวอมเทา ชิ้นที่เป็นรูส่วนมากจะเอาขี้ผึ้ง หรือพลาสติกอุดให้เรียบ ทั่วไปจะไม่สามารถขัดให้เงามาก
3.เทอร์ควอยซ์อียิปต์ (Egyptian) สีฟ้าอมเขียว ถึงเขียวอมเหลือง จะมีธาตุ เหล็กมาก และสามารถขัดให้เงาได้ดีกว่า
4.เทอร์ควอยซ์เมทริก (Turquoise Matrix or Turquoise with Matrix) คือ เทอร์ควอยซ์ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับมีลายเส้นหินคล้ายใยแมงมุม หมายเหตุ เทอร์ควอยซ์ทั้งหมดจะเรียกเป็นอเมริกันเทอร์ควอยซ์( American Turquoise) หากมีคุณสมบัติแบบเปอร์เชีย(Persian)
เนื่องจากเทอร์ควอยซ์เป็นอัญมณีที่มีความแข็งไม่สูงและมีความพรุนสูงทำให้เทอร์ควอยซ์ธรรมชาติที่พบจะมีเนื้อร่วนซุยไม่สามารถเจียระไนได้ ดังนั้นเทอร์ควอยซ์ที่ซื้อขายกันในท้องตลาดจึงมักจะผ่านการปรับปรุงคุณภาพมาแล้วแทบทั้งสิ้น การปรับปรุงคุณภาพที่พบได้มาก คือการอัดด้วยสารโพลีเมอร์ ซึ่งอาจจะเป็น แว๊กซ์ หรือ สารเรซิน เข้าไปในเนื้อพลอยเพื่อเพิ่มความคงทนแข็งแรง ทำให้สามารถเจียระไนได้ง่ายขึ้น แต่ก็มีไม่น้อยที่พบว่ามีการย้อมสี หรืออัดด้วยโพลีเมอร์สีร่วมด้วยซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในตลาด นอกจากเทอร์ควอยซ์ปรับปรุงคุณภาพแล้วยังมีเทอร์ควอยซ์เทียม (imitation turquoise) ปะปนอยู่ในท้องตลาดอีกเป็นจำนวนมาก เช่น แก้ว พลาสติก หรือพลอยชนิดอื่นนำมาย้อมสี ดังนั้นการจะเลือกซื้อเทอร์ควอยซ์นั้นจึงควรอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ข้อมูลจาก git.or.th , SGS
เทอร์คอยส์...อัญมณีประจำราศีธนู
รายงานโดย :สถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (จีไอเอ):
การผจญภัยและการเดินทางคือสิ่งที่ชาวราศีธนูแสวงหามากที่สุด คนธาตุไฟแห่งจักราศีที่ 9 ตามตำราโหราศาสตร์นี้รักอิสระมากกว่าสิ่งใด
เขาหรือเธอเป็นคนที่มีบุคลิกกระฉับเฉง รักเพื่อนฝูง ชอบทำงาน ปรับตัวได้เก่ง และไม่ยึดติดกับอดีต
คนราศีนี้มีดาวพฤหัสบดีเป็นธาตุเจ้าเรือน ส่งผลให้เขาหรือเธอเป็นคนใฝ่รู้ ชอบค้นคว้าหาความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ คนราศีนี้เป็นคนมองโลกในแง่ดี ข้อเสียของคนราศีนี้คือเป็นคนตรงไปตรงมา บางครั้งก็ตรงแบบขวานผ่าซากจนทำให้บางคนไม่พอใจได้
หนุ่มสาวชาวราศีธนูไม่ชอบเรื่องจุกจิกหยุมหยิม เลยมักจะโดนเข้าใจผิดว่าเป็นคนไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่น ไม่โรแมนติก แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่า คนราศีนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนปลิ้นปล้อนหลอกลวงแน่นอน
อัญมณีประจำราศีธนูคือเทอร์คอยส์ หินสีฟ้าเชื่อว่าจะนำฝันดีให้ผู้สวมใส่
เทอร์คอยส์ (Turquoise)
คือหินสีฟ้า ที่มีเรื่องราวในอารยธรรมเก่าแก่มาหลายยุคหลายสมัย นักโบราณคดีบางคนเชื่อว่า เทอร์คอยส์ คือหินสีชนิดแรกที่มนุษย์เราจัดให้เป็นอัญมณี เนื่องจากมีหลักฐานทางโบราณคดี พบว่าราชวงศ์อียิปต์ได้นำเทอร์คอยส์มาสวมใส่เป็นเครื่องประดับตั้งแต่เมื่อ 5,500 ปีก่อน
คำว่า เทอร์คอยส์มาจากภาษาฝรั่งเศสโบราณอันหมายถึง “หินจากตุรกี” เนื่องจากในยุคก่อนหินสีฟ้านี้จะนำเข้าจากตุรกี เชื่อกันว่าเทอร์คอยส์คือหินที่มีพลังป้องกันภัยและทำให้ผู้สวมใส่หยั่งรู้ฟ้าดิน ชนเผ่าพื้นเมืองอินเดียนแดงเชื่อว่า เทอร์คอยส์เป็นหินแห่งท้องฟ้า นำลมหายใจและจิตวิญญาณ และเชื่อว่าเทอร์คอยส์ที่สวยที่สุดจะซ่อนอยู่ในดินแดนสุดปลายรุ้ง
ความเชื่อนี้แผ่มาถึงยุคคาวบอย สมัยนั้นคนนิยมพกเทอร์คอยส์ติดตัวเพื่อป้องกันการตกม้า และให้คุ้มครองเดินทางปลอดภัย บางตำนานกล่าวว่า เทอร์คอยส์มีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรคไขข้ออักเสบ อาการปวดสะโพก และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจได้
เทอร์คอยส์เป็นแร่ที่มีทองแดง ฟอสเฟต และอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ บางครั้งเราอาจจะพบเทอร์คอยส์ที่มีลวดลายเหมือนใยแมงมุมบนผิวหิน ซึ่งเป็นลักษณะธรรมชาติเกิดจากการก่อตัวของแร่ มักพบแทรกตัวอยู่ในหินภูเขาไฟ เทอร์คอยส์มีสีฟ้าโดดเด่นหลายเฉดสี ตั้งแต่ฟ้า สีฟ้าน้ำทะเล ไปจนถึงสีเขียวอมฟ้า มันวาวคล้ายขี้ผึ้ง หินสีชนิดนี้มีค่าความแข็งที่ 5-6 โมห์สเกล จัดว่าเป็นอัญมณีเนื้ออ่อน เป็นรอยขูดขีดได้ง่าย
แหล่งเทอร์คอยส์เก่าแก่อยู่ในประเทศอิหร่าน อันเป็นถิ่นกำเนิดของเปอร์เซียนเทอร์คอยส์ ซึ่งเป็นชื่อทางการค้าของเทอร์คอยส์ที่มีสีฟ้าสดสม่ำเสมอเท่ากันทั้งเม็ด ปัจจุบันนี้แหล่งเทอร์คอยส์ที่สำคัญอยู่ในทวีปอเมริกาและเอเชียแปซิฟิก
เทอร์คอยส์เป็นเครื่องประดับแฟชั่นยอดฮิต ที่มีความสวยงาม เรียบง่าย หลายคนอาจจะคิดว่าเทอร์คอยส์เป็นหินสีที่ราคาไม่แพงนัก แท้ที่จริงแล้วเทอร์คอยส์แท้ที่มีความสวยงามและหายากนั้นมีราคาสูงไม่แพ้อัญมณีชนิดอื่นๆ แต่การสังเกตแยกเทอร์คอยส์แท้ออกจากของเทียมนั้น ต้องอาศัยความรู้และความเชี่ยวชาญ เนื่องจากปัจจุบันมีเทคนิคปรับปรุงคุณภาพพลอยและการปลอมปนเทอร์คอยส์ออกมาหลายรูปแบบ
ชาวราศีธนูที่อยากได้เทอร์คอยส์มาเป็นของขวัญให้ตัวเองสำหรับปีใหม่นี้ ควรพาผู้รู้เรื่องอัญมณีไปเลือกซื้อด้วย หากเทอร์คอยส์ที่คุณหมายตาเอาไว้มีราคาแพง ควรเลือกที่มีใบรายงานคุณลักษณะของพลอยจากสถาบันอัญมณีศาสตร์ที่มีความน่าเชื่อถือประกอบการตัดสินใจ
หลังจากเลือกเทอร์คอยส์ที่ถูกใจได้แล้ว การเก็บรักษาก็เป็นเรื่องสำคัญ เทอร์คอยส์สามารถเปลี่ยนสีได้เนื่องจากความร้อนและสารเคมี ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการเก็บเครื่องประดับชนิดนี้ไว้ในที่ร้อนจัด พยายามไม่ให้ถูกสารเคมี เช่น น้ำหอมหรือเครื่องสำอาง ไม่ทำความสะอาดด้วยระบบอัลตราโซนิกหรือไอน้ำ
การทำความสะอาดด้วยน้ำสบู่อุ่นๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เทอร์คอยส์สวยงามแวววาวไปอีกนานเท่านาน
TURQUOISE December's birthstone
Origins Afghanistan, China, India, Iran & US
Colors Found Bluish green & sky blue
Family Turquoise
Hardness 5.00 - 6.00
Refractive Index 1.61 - 1.65
Relative Density 2.31 - 2.84
The name Turquoise is derived from the French "pierre turquois" meaning "Turkish Stone." This is because western Europeans mistakenly thought the gem came from Turkey.
In fact it came from the Sinai Peninsula or the Alimersai Mountain in Persia (now Iran), which has been mining Turquoise since 5000 BC. In Persian, Turquoise is known as "ferozah," meaning victorious and it is the national gemstone of Iran to this day.
Legends and lore
Turquoise was one of the first gemstones ever mined, dating back to 6000 BC in Egypt's Sinai Peninsula.
In ancient times the Egyptians, Persians, Mongols and Tibetans all valued Turquoise highly. The first millennium AD saw a big increase in the popularity of Turquoise with both the Chinese and Native Americans becoming captivated by this blue gem.
Turquoise has been used for thousands of years as jewelry by the ancient Egyptians, who buried fine pieces with mummies. When the tomb of Queen Zer was unearthed in 1900, a Turquoise and Gold bracelet was found on her wrist, making this one of the oldest pieces of jewelry on earth!
The Persians preferred sky blue Turquoise and as a result, the term "Persian Turquoise" is sometimes incorrectly used as a color grade, not as a geographical indicator.
In Mexico, the Aztecs began mining Turquoise between 900-1000 AD, often fashioning it into elaborate masks.
The Anasazi people of America mined Turquoise in what are now Arizona, New Mexico and Colorado. The city of Chaco Canyon became very wealthy based on the Turquoise trade, which was often exchanged for the feathers of tropical birds. Turquoise from this area found its way around the trade routes of the American continent and has been unearthed as far away as the great Mayan city of Chichén Itzá in the Yucatán. By the 16th century, the cultures of the American southwest were using Turquoise as currency.
In North America, the Zuni people of New Mexico have created striking Turquoise jewelry set in silver, once believing these protected them from demons. The Navajo believed that Turquoise had fallen from the sky and thus also protected them from demons, while Apache warriors believed that wearing Turquoise improved their hunting prowess. Apache legend has it that if Turquoise was affixed to a bow, the arrows shot from it would always hit their mark. All these tribes believed that Turquoise brought good fortune and happiness.
European interest in Turquoise can be dated to around 500 BC when the people of Siberia began using the gem, but it did not make an impact on western European fashion until the late middle ages when trading with the Near and Middle East increased.
While the Chinese had some mines in their empire, they imported most of their Turquoise from Persians, Turks, Tibetans and Mongols. In Asia it was considered protection against the evil eye. Tibetans carved Turquoise into ritual objects as well as wearing it in traditional jewelry. Ancient manuscripts from Persia, India, Afghanistan, and Arabia report that the health of a person wearing Turquoise can be assessed by variations in the color of the gem. Turquoise was also thought to promote prosperity.
It is also believed that Turquoise helps one to start new projects and protects the wearer from falling, especially from horses! In Europe even today, Turquoise rings are still given as forget-me-not gifts.
Montezuma's treasure, now displayed in the British Museum, includes a fantastic carved serpent covered by a mosaic of Turquoise. In ancient Mexico, Turquoise was reserved for the gods; it could not be worn by mere mortals.
Just the facts
Turquoise, a hydrated phosphate of copper and aluminum, is prized as a gemstone whose intense blue color is often mottled with veins of brown limonite or black manganese oxide (commonly known as Spider Web Turquoise). Turquoise is almost always opaque and polished as cabochons but rare, translucent gems also exist.
Turquoise jewelry in the US has long been produced by Native Americans (Zuni and Navajo peoples). Today, Turquoise is prominently associated with Native American culture particularly Zuni bracelets, Navajo concha belts, squash blossom necklaces and thunderbird motifs. Native American jewelry with Turquoise mounted in or with silver is actually relatively new. Some believe this style of jewelry was unknown prior to about 1880, when a white trader persuaded a Navajo craftsman to make Turquoise and silver jewelry using coin silver.
GemsTv.com
|