1
2

Happinessss Fb : Beautiful World Part 11




Happinessss Fb : Beautiful World Part 11

1. เกาะมุก-ถ้ำมรกต จังหวัดตรัง ประเทศไทย

 
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/3ZNPRI7m01g


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/ED2GU
          
นับเป็นจุดเด่นที่สุดในทะเลตรัง ลักษณะของเกาะทางด้านทิศตะวันตกส่วนใหญ่เป็นโขดหน้าผาหินสูงตระหง่านหันหน้าออกสู่ทะเล ทางฝั่งตะวันออกเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมง ที่ยังคงวิถีชีวิตของชาวเกาะไว้อย่างดี สามารถเดินเที่ยวรอบเกาะได้ และทางด้านทิศตะวันตกของกเกาะมุก มีถ้ำมรกตหรือถ้ำทะเลซึ่งมีความงดงามตระการตาอย่างมาก จากปากทางเข้าถ้ำเป็นโพรงเล็กๆ การเข้าชมภายในถ้ำ จะต้องว่ายน้ำลอยคอเข้าไป ระยะทาง 80 เมตร 

พิสูจน์พลังแสงแห่งมรกตที่ ทุกวันเวลาในยามบ่าย เมื่อพลังแสงแห่งดวงตะวันสาดส่องพื้นน้ำ ถ้ำมรกตก็พลันเปล่งประกาย เป็นสีมรกตได้อย่างไม่น่าเชื่อ

" ถ้ำมรกต" เป็นถ้ำที่อยู่บนเกาะมุก อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม 

ถ้ำมรกต
ธรณีวิทยาของถ้ำมรกตประกอบด้วยหินปูนชั้นหนาสลับกับหินปูนชั้นบาง มีการวางตัวทำมุมค่อนข้างสูงกับแนวระนาบ มีรอยเลื่อนขนาดเล็กพาดผ่านวางตัวอยู่ในแนวเกือบเหนือ-ใต้ บางชั้นมีซากดึกดำบรรพ์หอยตะเกียง หอยสองฝา และคดข้าวสารทำให้แปลความหมายได้ว่ามีการสะสมตัวของชั้นหินปูนในยุคเพอร์เมียน (280-240 ล้านปีโดยประมาณ) ตัวถ้ำมีลักษณะคล้ายปล่องเกิดเนื่องจากการยุบตัวของถ้ำหินปูนและโพรงใต้ผิวดิน ประโยชน์ตรงๆ ก็คือเป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยหลุมยุบที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต หรือถ้าจะคิดทำปูนซีเมนต์หรือวัสดุก่อสร้างก็ใช้ได้ แต่คงไม่ได้รับอนุญาตแน่ๆ และคงไม่มีใครคิดจะเข้าไปทำกลางทะเลแบบนั้น

ถ้ำมรกต ถ้ำมหัศจรรย์กลางทะเล จะเข้าออกได้เฉพาะช่วงน้ำลงเท่านั้น ปากถ้ำเป็นโพรงเล็กๆ การเข้าออกจะต้องลอยคอในน้ำ ลอดถ้ำอันมืดมิด ผ่านเส้นทางคดโค้ง ระยะทางประมาณ 80 เมตร เข้าแถวเรียงหนึ่งตามคนนำทาง จับคนข้างหน้าไว้ให้มั่นไม่งั้นอาจหลงทางได้ เมื่อพ้นปากถ้ำออกมาอีกด้านหนึ่งจะเป็นหาดทรายขาวสะอาดล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงชัน ที่มีฟ้าสีครามเป็นหลังคา และผนังแต่งแต้มด้วยลายเขียวของใบไม้ โพรงที่ลอดเข้าถ้ำมรกตจะอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของตัวเกาะ ยามแสงอาทิตย์ทำมุมพอเหมาะทั้งเกาะและเวิ้งถ้ำก็พลันกลายเป็นสีเขียวมรกตงดงาม

บริเวณปากทางเข้าถ้ำแสงจากภายนอกจะสะท้อนกับน้ำภายในถ้ำทำให้เห็นน้ำเป็นสีเขียวมรกต ดูแปลกตาและมหัศจรรย์ในความสวยงามที่ธรรมชาติได้บรรจงสร้าง เมื่อพ้นปากถ้ำออกมาอีกด้านหนึ่งจะเห็นหาดทรายขาวสะอาดล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงชัน นั่งเล่นน้ำได้ เกาะมุกมีที่พักเอกชนบริการ 

วันเวลาที่แนะนำ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเที่ยวถ้ำมรกตคือช่วงที่น้ำขึ้นเต็มที่ในแต่ละวัน เนื่องจากจะเห็นทะเลสาบสีมรกตงดงามและเวลาที่แสงจะลอดปากปล่องถ้ำมรกตลงมา คือระหว่าง 10.00-14.00 น. การลอดถ้ำสามารถทำได้ตลอดเวลา เดือนที่เหมาะสมในการท่องเที่ยวคือระหว่างเดือนธันวาคม ถึงต้นเดือนพฤษภาคม เวลาน้ำลงเพื่อมุดเข้าถ้ำมรกตได้

การเดินทาง 
1.จากจังหวัดตรัง ใช้ทางหลวงหมายเลข 403 ผ่านอำเภอไปตามถนนรพช. สู่ บ้านหาดยาว มีเรือออกไปเที่ยวถ้ำมรกตและดำน้ำดูปะการังทุกวันที่ท่าเรือบ้านหาดยาว

2.จากจังหวัดตรังเดินทางสู่ท่าเรือหาดปากเมง แล้วเช่าเหมาเรือไปเที่ยวถ้ำมรกตได้ครับสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อที่ ททท. ภาคใต้ เขต 2 โทร. 0-7534-6515-6

3.นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปเกาะมุก สามารถลงเรือจากท่าเรือปากเมงอำเภอสิเกา ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที ค่าเช่าเรือเหมาลำราคาประมาณ 1,500 บาท/วัน หรือนั่งเรือโดยสารขึ้นที่ท่าเรือกวนตุงกู ค่าเรือคนละ 40 บาท ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

การเดินทาง นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปเกาะมุก สามารถเช่าเหมาลำเรือจากท่าเรือปากเมง อำเภอสิเกา ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที ค่าเช่าเรือเหมาลำราคาประมาณ 2,000-3,000 บาท/วัน หรือใช้บริการเรือโดยสาร จากท่าเรือควนตุ้งกู ซึ่งมีบริการวันละ 1 เที่ยว เวลา 12.00 น. และเรือจากเกาะมุก เวลา 07.00 น.

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : ประมาณ 14.00 น.

ฤดูกาลที่ดีที่สุด : ฤดูร้อนราวเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม

จุดชมวิวที่ดีที่สุด : ปากถ้ำมรกตด้านนอกทางด้านทิศตะวันตก

Koh Muk and Tham Morakot (Emerald Cave) Trang Thailand
Not just another interesting attraction, Koh Muk is the most outstanding attraction in the Trang Sea and an ideal destination for tourists enthralled with nature. The island, which is nearly opposite Hat Chang Lang on the mainland, has impeccable beaches suitable for swimming and camping and lovely corals around the island that are worth exploring.In addition, The island is comprised of high and majestic cliffs facing the sea to the west, a fishing village on the east facing the mainland and swallows that make the numerous cliffs their home.
Hidden in the jungle, among the cliffs is the awesome Tham Morakot. The cave entrance is a small passage on the islands western side that is accessible by boat during low tide. The cave itself winds for about 80 meters to the other exit, opening onto a clean white beach with an emerald color open pool which is surrounded by high cliffs.
To see real fishermens' daily activities, visit Ao Phangkha and the Muslim fishing village of Kua Laem, located at the southern end of the island.
To get to Ko Muk, tourists can take a boat from Pak Meng Pier in Amphoe Sikao for the 40-minute trip. The rental fee for the boat is approximately 1,500 bahts / day. Accommodations are available on the island.

By Other
To get to Ko Muk, tourists can take a boat from Pak Meng Pier in Amphoe Sikao for the 40-minute trip. The boat rent is around 2,000-3,000 baht/day. Accommodation is available on the island.

2. ถ้ำไวโทโม กับ หนอนเรืองแสง นิวซีแลนด์
Waitomo Caves of New Zealand Caves 


 

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ ->http://youtu.be/puxf3HlMRCw


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/C0tjC
        
Waitomo Caves ถ้ำไวโทโม คือ ถ้ำหนึ่งเดียวในโลก ที่คุณจะสามารถเห็นดาวได้ทั้งที่อยู่ใต้โลก มันเป็น 1 ใน ถ้ำยอดนิยม ของนิวซีแลนด์ ( New Zealand ) ถ้ำนี้ไม่ได้งดงามเพียงเฉพาะตัวถ้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้อาศัยในถ้ำนี้ด้วยอีกต่างหาก นั้นคือ หนอนเรืองแสง ถ้าคุณพร้อมเชิญ เราไปรู้จักมันให้มากกว่านี้ดีกว่า

ข้อมูล และรายละเอียด ถ้ำไวโทโม
ถ้ำไวโทโม เป็นถ้ำที่ตั้งอยู่ในเกาะเหนือ( North Island ) ของประเทศนิวซีแลด์ ( New Zealand ) อยู่บริเวณทางตอนใต้ของเมือง Waikato หรือทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Tekuiti ประมาณ 12 กิโลเมตร

คำว่า ไวโทโม ( Waitomo ) มาจากภาษาพื้นเมืองสองคำคือ คำว่า "wai" แปลว่า "น้ำ" และคำว่า "tomo" แปลว่า "หลุม บ่อ หรือ ถ้ำ" เมื่อนำมารวมกันจึงมีความหมายว่า น้ำไหลผ่านถ้ำ

ถ้ำนี้คาดว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 2 ล้านปี

ถ้ำไวโทโม ติดอันดับ 14 จาก 101 สถานที่ที่คุณจะต้องไปลองในเมืองกีวี ( Kiwi must-do's ) ที่จัดการสำรวจจานักท่องเที่ยว 2 หมื่นคน ในปี 2007 โดย Automobile Association

ในปี 2004 มีนักท่องเที่ยวกว่า 4 แสนคนมาเยี่ยมชมถ้ำนี้

ถ้ำไวโทโม ประกอบไปด้วย 3 ถ้ำหลักคือ Ruakuri Cave, Aranui Cave และ Gardner's Gut ทั้งหมดมีหินงอก หินย้อย และ หนอนเรืองแสง ที่งดงาม


ข้อมูล และรายละเอียด หนอนเรืองแสง

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Arachnocampa luminosa

พวกมันไม่ใช่หนอน ตามชื่อเรียก แต่ชื่อมาจากรูปร่างที่คล้ายหนอน แต่พวกมันเป็นตัวอ่อนของแมลง

พวกมันมีวงจรชีวิต คือเป็น ไข่ แล้วเข้าสู่ช่วง ตัวอ่อน( ช่วงนี้ที่ถูกเรียกว่า หนอนเรืองแสง ) ช่วงดักแด้ และช่วงโตเต็มวัย ( เป็นแมลง มีรูปร่างคล้ายยุงสามารถบินได้ )

หนอนเรืองแสง ซึ่งเป็นช่วงตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่งคล้ายยุง มีสารเรืองแสงในตัวไว้สำหรับในการล่อเหยื่อ โดย หนอนเรืองแสง จะสร้างเส้นใยจำนวนมาเพื่อดักจับเหยื่อกินเป็นอาหาร เมื่อมองดูแล้วจะเหมือนกันได้ดูดาวบนท้องฟ้าเลยทีเดียว 

เมื่อฟักออกจากไข่ ตัวอ่อนจะมีขนาดลำตัวเพียง 3 ถึง 5 มิลลิเมตร ใช้เวลาประมาณ 6 ถึง 12 เดือนขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของอาหาร จนมีลำตัวยาว 3 เซ็นติเมตร จะเข้าสู่ช่วงดักแด้ แล้วถือกำเนิดใหม่เป็นแมลง

พวกมันในทุกช่วงชีวิต จะสามารถเรืองแสงได้ ทั้งเพศผู้ และเพศเมีย ในช่วงดักแด้ และโตเต็มวัยเป็นแมลงการเรืองแสงมีประโยชน์เพื่อ บ่งบอกเพศ สายพันธุ์ และการหาคู่

ในช่วงตัวอ่อนการเรืองแสงมีประโยชน์ เพื่อล่อเหยื่อ เพื่อนำมาเป็นอาหาร


Waitomo Glowworm Caves 

The Waitomo Caves are a village and cave system forming a major tourist attraction in the northern King Country region of the North Island of New Zealand, 12 kilometres northwest of Te Kuiti. The community of Waitomo Caves itself is very small, though the village has many temporary service workers living there as well. The word Waitomo comes from the Māori language wai meaning water and tomo meaning a doline or sinkhole; it can thus be translated to be water passing through a hole.

Discover New Zealand's natural highlights
World renowned and a magnet for both local and overseas visitors, the Waitomo Glowworm Caves occupy a high placing in the New Zealand vacation wish-list.

The glow worm, Arachnocampa luminosa, is unique to New Zealand. Thousands of these tiny creatures radiate their unmistakable luminescent light as our expert guides provide informative commentary on the Caves' historical and geological significance.

Waitomo Glowworm Caves are a must see for any traveller. Enjoy the world famous boat ride under thousands of magical glowworms and become a part of over 120 years of cultural and natural history.

:: waitomo.com ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: wowboom.blogspot.com ::


3. นาเกลือ ที่ สวยที่สุดในโลก ( San Francisco's Salt Ponds )


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/ALvZm

        San Francisco’s Salt Ponds นาเกลือธรรมชาติ ที่อ่าวซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นอ่าวทะเลตื้น ที่โอบล้อมด้วยตัวเมือง ซานฟรานซิสโก โอ๊คแลนด์( Oakland ) และ เมืองซานโฮเซ่( San Jose)

รายละเอียด นาเกลือ ที่สวยที่สุดในโลก
* ในบริเวณนี้มีนาเกลือเป็นจำนวนมาก และเป็นแหล่งเกลือสำหรับอุตสาหกรรม ที่สำคัญสำหรับอเมริกา
* โดยสาเหตุของสีสันอันสวยงามนี้เกิดมาจาก พืช และสัตว์ ในน้ำทะเลบริเวณนี้
* โดยสีน้ำทะเลที่มีความเค็มต่ำ จะมีสีเขียวเนื่องจาก เป็นสถาพที่เหมาะสม สำหรับการเจริญเติบโตของ สาหร่ายสีเขียว
* ส่วนน้ำทะเลที่มีความเค็มสูง จะมีสีแดงเนื่องจาก เป็นสถาพที่เหมาะสม สำหรับการเจริญเติบโตของสาหร่ายสีแดง น้ำทะเลในนาเกลือที่เป็นสีส้ม นั้นเกิดจาก กุ้งทะเลขนาดเล็กที่เรียกว่า brine shrimp จำนวนนับเป็นล้านตัว
* แต่ความงดงานนี้กำลังใกล้จะจบสิ้น เนื่องจากทางรัฐบาลได้ซื้อคืนพื้นที่บริเวณดังกล่าว เพื่อ นำมันกลับมาเป็นพื้นที่ป่าชายเลน แต่ มันก็คุ้มค่า ที่จะได้พื้นที่สำหรับ อนุบาล เหล่าสัตว์ทะเลช่วงตัวอ่อน โลกนี้มันก็มีสองด้านเสมอ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างเสมอ
* นาเกลือสีแดง เกิดจาก สาหร่ายสีแดง
* นาเกลือสีเขียว เกิดจาก สาหร่ายสีเขียว
* นาเกลือสีส้ม เกิดจาก กุ้งตัวเล็กๆ

San Francisco’s Salt Ponds
The unusual spectacle can be seen in the San Francisco Bay. When viewed from a distance, the picture resembles the Dutch tulip fields, although vegetation place has an indirect relationship. In fact, the bright spots Is nothing but salt ponds that are used for the extraction of salt from sea water.

In artificial ponds water evaporates and leaves only a crystallized salt, colored algae and micro-organisms, and its hue depending on the degree of salinity

Ponds with low and medium salinity have a greenish or pinkish color, and the higher the salinity, the more water a reddish pigment

Also, the weather also affects the color of the water body. In the pouring rain ponds palette changes, and sometimes does become transparent.

:: funthrow.com ::
:: wowboom.blogspot.com ::

4. Strokkur Geyser  น้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า ประเทศไอซ์แลนด์


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/_IFsBBF_KQ0

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/eruption-of-strokkur-geyser-iceland#-2.86,-6.60,68.0



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/itgY4

Strokkur Geyser ในไอซ์แลนด์ปะทุขึ้นได้ทุก 4-8 นาที Strokkur เกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1789 หลังจากแผ่นดินไหว

ไกเซอร์ หรือ น้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า พบได้เพียงไม่กี่แห่งในโลก
น้ำพุร้อนที่มีน้ำพุ่งขึ้นมาหรือเรียกว่าน้ำพุไกเซอร์ (Geyser) เป็นน้ำพุร้อนที่มีขนาดใหญ่ มีกำลังแรงมาก มีน้ำและไอน้ำที่ร้อนจัดกว่าน้ำพุร้อนประเภทบ่อน้ำร้อน น้ำอาจพุ่งสูงได้ถึง 60 เมตร ส่วนมากมักจะพบในบริเวณที่มีหินอัคนีที่ยังมีอุณหภูมิสูงอยู่ใต้พื้นโลก เมื่อน้ำได้รับความร้อนในระดับลึกๆ ถูกสกัดกั้นไม่ให้ถ่ายเทได้โดยง่ายเพราะรูที่ทำให้น้ำไหลออกมามีขนาดเล็ก และมีน้ำซึ่งเย็นกว่าขังอยู่ในแอ่งที่อยู่ด้านบน น้ำที่อยู่ในระดับลึกมีอุณหภูมิสูงขึ้นและเมื่อสูงกว่า 100 องศาเซลเซียสก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นไอน้ำดันน้ำที่ขังอยู่ในรูไหลพุ่งขึ้นมา เช่นน้ำพุร้อนไกเซอร์ (Geysir) ประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ไกเซอร์ (Geyser) และน้ำพุร้อนอีกหลายแห่งในประเทศนิวซีแลนด์  
ในภาพน้ำพุร้อนไกเซอร์ (Geysir) ประเทศไอซ์แลนด์

Strokkur (Icelandic for "churn") is a fountain geyser in the geothermal area beside the Hvítá River in Iceland in the southwest part of the country, east of Reykjavik. It is one of Iceland's most famous geysers, erupting about every 4–8 minutes 15 – 20 m high, sometimes up to 40 m high.

Strokkur is part of Haukadalur geothermal area, where are located various other geothermal features: mud pools, fumaroles, algal deposits, and other geysers beside and around it, such as Geysir

Strokkur was first mentioned in 1789, after an earthquake unblocked the conduit of the geyser. Its activity fluctuated in the 19th century; in 1815 its height was estimated to be as much as 60 metres It continued to erupt until the turn of the 20th century, when another earthquake blocked the conduit again. In 1963, upon the advice of the Geysir Committee, locals cleaned out the blocked conduit through the bottom of the basin, and the geyser has been regularly erupting ever since.

Strokkur and its surrounding areas regularly attracts tourists to view the geyser, as it is one of very few natural geysers to erupt frequently and reliably

Water at a depth of 23 metres (75 ft) is around 120 °C (248 °F), but cannot boil because of the weight of the water pushing down on it from above. When this water is forced up to around 16 metres (52 ft), some of the water may be above boiling point, which sets off the chain reaction: the pressure decrease allows more water to boil and flash boil into steam, which drives the unboiled water further up the conduit. As this happens closer and closer to the surface, with increasing velocity, the water and steam is forced out, and it is this mixture of water and steam that forms the eruption.

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: topicstock.pantip.com ::


5. วัดเจ้าแม่กวนอิม (Guan Yin) ฮ่องกง(Hong Kong)


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://vimeo.com/44852257



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/cPQfw

วัดเจ้าแม่กวนอิม ตั้งอยู่ที่ริมหาด “อ่าวรีพัสเบย์”(REPULSE BAY) ซึ่งสามารถมองเห็นองค์เจ้าแม่กวนอิมได้แต่ไกล ท่านสามารถนมัสการและ ขอพรอันศักดิ์สิทธิ์ จาก “องค์เจ้าแม่กวนอิม”และ เจ้าแม่ทับทิม เพื่อเป็น ศิริมงคล 

และนมัสการเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่มีชื่อเสียงว่าใครได้มาสัมผัสท่านจะได้รับแต่เงิน ทอง กลับบ้าน การสักการะองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ใหญ่ ให้ยืนในกระเบื้องสีแดงตำแหน่งด้านหน้าองค์ท่าน ซึ่งเชื่อว่าเป็นตำแหน่งที่จะเห็นองค์ท่านชัดที่สุด แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐานจะสวดบทขอพรท่านก็ได้แล้วกล่าวชื่อ–สกุลของเราอธิษฐานขอพรอันศักดิ์สิทธ์จากท่านของเรานำผลไม้ไปสักการะองค์ท่านค่ะ พร้อมถวายสร้อยไข่มุกนำไปแขวนไว้ตรงฐานด้านล่างขององค์ท่านค่ะ ขี้นบันไดไปด้านบนเล็กน้อยจะพบรูปปั้นองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมองค์เล็กหน่อยอยู่ด้านบนค่ะ

เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ องค์เล็กๆ ตั้งอยู่ด้านหน้ารูปปั้นองค์พระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ เทพซึ่งคนนิยมมาไหว้กันมาก หลังจากสักการะพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์แล้ว ให้ไหว้ขอโชคลาภเงินทองจาก เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย โดยเอาสองมือลูบจากเคราท่านลงมาแล้วกำมาใส่ในกระเป๋าของตัวเอง เหมือนกับเป็นเคล็ดว่าให้เงินทองไหลเข้าสู่กระเป๋าของเรา บางคนก็จะลูบก้อนทองที่อยู่ด้านข้างองค์ท่านแล้วกำมาใส่กระเป๋าของเราอีกครั้งก็ได้ค่ะ

พระสังกัจจายน์โพธิสัตว์ ซึ่งทางพุทธศาสนาเชื่อว่าเป็นองค์เดียวกับพระศริอาริย์ ปกติจะลักษณะของท่านจะอ้วนพลุ้ย ใบหน้าสดชื่น เป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรื่อง มั่งคั่ง แต่สำหรับปางนี้จะมีรูปปั้นเด็ก ๆ ผู้ชายรายล้อมรอบตัวท่าน 5 คน เป็นความหมายแฝงหมายถึง ความสุข 5 ประการ (อู่ฝู)เพื่อให้การดำเนินชีวิตสำเร็จสมประสงค์ ก็สามารถขอพรให้ทำอะไรสำเร็จสมหวังได้ค่ะและเนื่องจากปางนี้จะมีเด็ก ๆ รายล้อมอยู่ จึงมักมีคนมาบูชาองค์ท่านเพื่อให้สมหวังในการมีลูกโดยจับพุงขององค์ท่านและตัวเด็กๆทั้ง 5ค่ะองค์


เจ้าแม่ทับทิม ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งท้องทะเลเป็นที่เคารพสักการะของชาวประมง โดยมักมาขอพรให้ออกไปหาปลาและกลับมาได้อย่างปลอดภัย คนจีนจะเรียกนามท่านว่า เทียนโห่ว (Tin Hau) แปลว่า God of Heaven ค่ะ 

เนื่องจากฮ่องกงเป็นเมืองแห่งเกาะที่มักต้องอาศัยท้องทะเล เพื่อการดำรงชีวิตอยู่เสมอๆ ด้วยเหตุผลนี้ ชาวฮ่องกงจึงมักนิยมสร้างศาลเทพ Tin Hau ตามหมู่บ้านและย่านต่างๆ โดยเฉพาะในบริเวณที่อยู่ใกล้หรือติดกับทะเล เมื่อเวลาจะออกเรือก็จะมีการไหว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลต่อตัวชาวเรือเอง ทั้งในฮ่องกงและมาเก๊าจึงมีศาลเทพเจ้า Tin Hau อยู่กว่า 100 แห่งเลยเชียวค่ะ 

ด้านข้างถัดไปจากรูปปั้นองค์เจ้าแม่ทับทิม จะมี ศาลารูป 8เหลี่ยมสีแดง ระหว่างทางขึ้นเห็นป้ายบอกว่าชายหาด repulse bay นี้ในภาษาจีนยังมีความหมายถึงการมีอายุยืนอีกด้วย

รูปปั้นเฒ่าประมงตกปลา อันมีความหมายว่าขอให้ท่านได้กำไรร่ำรวย ดั่งเฒ่าประมงตกปลา ที่จับปลาได้อยู่เต็มข้อง 

รูปปั้นแพะ “สามตะวันเบิกฟ้า”สัญลักษณ์มงคลแทนความโชคดีและมั่งคั่งโดยแพะสามตัวเป็นสัญลักษณ์แทนพระอาทิตย์สามดวง คือ พระอาทิตย์สีเขียว สีแดงและสีขาวอันมีความหมายถึง อดึต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งแฝงความหมายว่า“ใต้หล้าทั่วแดนดิน ทุกสิ่งขอให้สมหวังสมปราถนา”(อ่านจากรีวิวก่อนๆเคยมีคนเขียนบอกว่าใครอยากให้สมหวังเรื่องอะไร ก็สามารถมาอธิษฐานขอได้ค่ะ)

รูปปั้นปลาแห่งความมั่งคั่ง ซึ่งผู้คนที่มาที่นี่นิยมโยนเหรียญใส่ปากปลาโดยเชื่อว่าหากโยนเข้าปากปลา พรที่ขอไปจะสัมฤทธิผล ปลาเป็นหนึ่งในสัตว์มงคลของชาวจีน โดยเฉพาะปลาหลีฮื้อ ซึ่งมีความหมายว่า ไม่ว่าชีวิตเราจะทำอะไรก็ตามจะมีแต่ความสำเร็จจุดไฮไลท์สำหรับคนมีคู่ที่ไม่ควรพลาด

รูปปั้นเทพเจ้าแห่งความรัก สำหรับคู่รักที่อยากมีชีวิตคู่ยืนยงก็ให้นั่งตรงสิงห์สองตัวระหว่างรูปเทพเจ้าแห่งความรักองค์นี้แล้วขอพรกันให้อยู่ได้ยืดยาว ในมือเทพเจ้าถือหนังสือที่มีสัญลักษณ์ ซังฮี้ แปลว่ามงคลคู่(pinyinอ่านว่าShuangxi喜喜=“Double Happiness)ที่เชื่อว่าท่านจะจดชื่อของคู่ที่ไปขอพรไว้ เพื่อให้อยู่คู่กันตลอดไปค่ะ

Kwum Yam Shrine is a Taoist shrine located at the southeastern end of Repulse Bay, in the southern part of Hong Kong Island.
Repulse Bay is a bay in the southern part of Hong Kong Island, located in the Southern District, Hong Kong.

:: meetaweetour.co.th ::


6. "ถ้ำเมลิสซานี" (Melissani Cave) ประเทศกรีซ (Greece) 

 
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/UssadaVWsQI


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/k3NdE

"ถ้ำเมลิสซานี" (Melissani Cave) ถ้ำสำหรับคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวผจญภัย ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือนอย่างไม่ขาดสาย 

      ถ้ำเมลิสซานี คือถ้ำที่ตั้งอยู่บนเกาะเซฟาโลเนีย (Cephalonia) หรือ เกาะเคฟาลลีนีอา (Kefallinia) เกาะที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะ ไอโอเนียน (Ionian Islands) หมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในทะเลไอโอเนียน นอกจากฝั่งตะวันตกของประเทศกรีซ (Greece) โดยถ้ำแห่งนี้อยู่หาง จากเมืองอาร์โกสโต (Argostoli) เมืองหลวงของเกาะประมาณ 5 กิโลเมตร โดยตัวถ้ำนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้และป่ารวมไปถึงภูเขา ลาดชัน แต่การเดินทางมายังถ้ำนั้นค่อนข้างสะดวกสบายมาก เนื่องจากอยู่ใกล้ถนนสายหลักของเกาะและยังมีที่จอดรถเป็นจำนวนมากอีก ด้วย 

      จากตำนานเทพเจ้ากรีกได้กล่าวไว้ว่าถ้ำแห่งนี้คือถ้ำที่เป็นที่อยู่ของนางไม้ ภายในถ้ำมีทะเลสาบสีฟ้าที่มีชื่อเรียกเดียวกันกับถ้ำคือ ทะเลสาบเมลิสซานี (Melissani Lake) เป็นทะเลสาบสีฟ้าที่ด้านล่างเต็มไปด้วยก้อนหินที่สะท้อนน้ำไปมในยามเที่ยงวัน ถ้ำถูกค้นพบในปี 1951 โดย Giannis Petrocheilos 

Melissani Cave (Greek: Μελισσάνη) or Melissani Lake, also Melisani is a cave located on the island of Kefalonia, northwest of Sami, about 5 km SE of Agia Efthymia, NE of Argostoli and NW of Poros. The Ionian Sea lies to the east with the Strait of Ithaca. Forests surrounds the cave and the mountain slope is to the west. Near the cave is the entry to the cave with parking lots and is passed almost in the middle of the main road linking Sami and Agia Efimia especially to the northern part of the island.

In Greek mythology, Melissani was the cave of the nymphs. The cave features a lake that are surrounded with trees and forests. The cave is located east of the mountains of Evmorfia and Agia Dynati. Tourism is common in the cave.

The cave features a sky-blue lake covered with stones at the bottom. the depth is thin. Plants are at the door of the cave. The color of the rocks which are stucco to honey-like brown is at the door of the cave. The lake is also inside the cave.
The cave was rediscovered in 1951 by Giannis Petrocheilos.

:: travel.thaiza.com :: 
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

7. วิหารฮัรมันดิร ซาฮิบ (ปัญจาบ: ਹਰਿਮੰਦਰ ਸਾਹਿਬ ) หรือ วิหารทองคำ 
เป็นวิหารที่สำคัญที่สุดในศาสนาสิกข์ ตั้งอยู่ที่เมืองอัมริตสาร์ เมืองหลวงของแคว้นปัญจาบ ทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย


 

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/bxTMxrxxLD0



 * ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/L7aU9


พระวิหารฮัรมันดิร ซาฮิบ
        พระวิหารฮัรมัรดิร ซาฮิบ (วิหารทองคำ) พระวิหารฮัรมัรดิร ซาฮิบ นั้นเป็นศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของศาสนาซิกข์ พระวิหารแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในนามของ พระวิหารดัรบาร ซาฮิบ หรือพระสุวรรณวิหาร พระวิหารแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองอัมริตซาร์ ประเทศอินเดีย พระวิหารนี้เป็นสถานที่สำคัญที่ชาวซิกข์ทุกคนปรารถนาที่จะมาเยี่ยมคารวะและได้ลงไปอาบน้ำในสระอันศักดิ์สิทธิ์ ณ พระวิหารแห่งนี้
ประวัติ

        ประวัติของพระวิหารฮัรมันดิร ซาฮิบ แห่งนี้ เริ่มต้นที่ ท่าน คุรุ อมัรดาส ยิ ผู้ซึ่งเป็นผู้ซึ่งริเริ่มให้มีการสร้างศาสนสถานสำหรับชาวซิกข์ทั้งปวง ปัจจัยที่มีส่วนสำคัญที่เป็นแรงจูงใจให้ท่านพระศาสดาเกิดความคิดในการสร้างศาสนสถานนี้ขึ้นมาก็คือ การสืบทอดวัฒนธรรมของการสร้างศาสนสถานแห่งใหม่ขึ้นมา เพื่อให้ชาวซิกข์ทั้งหลายได้ใช้เป็นสถานที่ในการร่วมชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ปฏิบัติสืบทอดมาจากพระศาสดาองค์ก่อนหน้าท่านนั่นเอง

        ปัจจัยที่สองที่ช่วยทำให้การสร้างพระวิหารนี้สำเร็จ ก็คือ ท่าน คุรุ รามดาส ยิ ผู้ซึ่งรักความสงบสุข โดยท่านได้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน คุรุ อมัรดาส ยิ ที่ได้สั่งให้ท่านไปสร้างเมืองใหม่ และได้สั่งให้ไปขุดบ่อน้ำ และก่อสร้างศาสนสถานสำหรับชาวซิกข์ทั้งหลาย นอกจากนี้ ท่าน คุรุ อมัรดาส ยิ ยังได้ช่วยสร้างแผนการขุดบ่อน้ำ ซึ่งต่อมาได้ถูกนำไปปฏิบัติโดย ท่าน คุรุ รามดาส ยิ โดยมีท่าน บาบา บุดดา ยิ เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ การก่อสร้างบ่อน้ำ (โซราวอร์) ได้เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1570 โดยได้เริ่มการก่อสร้างเมือง ควบคู่กันไปด้วย จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1577 การก่อสร้างบ่อน้ำ 2 บ่อ คือ บ่อน้ำซันโตคซาร์ และบ่อน้ำอัมริตโซราวอร์ (ซึ่งได้ก่อสร้างในบริเวณใกล้เคียงกับบ่อแรก แต่ได้สร้างให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าบ่อแรก) และการก่อสร้างเมืองเพื่ออยู่อาศัยได้แล้วเสร็จ ซึ่งต่อมาเมืองนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นเมืองรามดาสปูรในปัจจุบัน

        ท่านพระศาสดาและลูกศิษย์ทั้งหลายของท่านต่างก็มีความยินดีปรีดาและร่วมฉลองงานเปิดพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางศาสนาของซิกข์ทั้งปวง นอกจากนี้ ท่าน คุรุ รามดาส ยิ ยังได้แต่งบทเพลงอันไพเราะเพื่อเป็นการสรรเสริญบ่อน้ำโซราวอร์อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และได้สั่งให้ลูกศิษย์ทุกคนลงไปอาบน้ำในบ่อน้ำนี้แล้วทำการสวดมนต์ภาวนาและทำสมาธิเพื่อระลึกถึงพระนามของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาไม่นานนัก สถานที่แห่งนี้ก็ได้รับการขนานนามเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของชาวซิกข์ทั่วโลก

        ในปี ค.ศ. 1581 ท่าน คุรุ อัรยัน เดว ยิ ได้ทำการปฏิสังขรณ์บ่อน้ำแห่งนี้ โดยได้สั่งให้ก่ออิฐรอบบ่อน้ำขึ้นมาเพื่อให้มีความแข็งแรงทนทานมากขึ้น ชาวซิกข์ต่างก็ร่วมมือกันอย่างขะมักเขม้น ทำให้การปฏิสังขรณ์ในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว ต่อมา ท่าน คุรุ อัรยัน เดว ยิ ได้แต่งบทเพลงอันไพเราะมากมายขึ้นมา เพื่อเป็นการสรรเสริญบ่อน้ำโซราวอร์อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และเพื่อเป็นการแสดงถึงประโยชน์และความสำคัญของการได้ลงไปอาบน้ำในบ่อน้ำแห่งนี้ ต่อมาบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า "อัมริตโซราวอร์" หรือ "อัมริต" ซึ่งมาจากรากฐานศัพท์ของคำว่า "อมฤต" นั่นเอง ชื่อเสียงของบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้โด่งดังไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้เมืองนี้ได้มีเปลี่ยนชื่อเมืองจากเดิมเป็นชื่อ เมืองอัมริตซาร์ ตามชื่อของบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ในเวลาต่อมานั่นเอง ในระหว่างการก่อสร้างบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้น ท่าน คุรุ อัรยัน เดว ยิ ได้เกิดความคิดที่จะสร้างศูนย์กลางศาสนสถานอันสวยงาม สำหรับชาวซิกข์ทั้งหลายไว้ตรงกลางบ่อน้ำแห่งนี้ ท่านจึงได้สั่งให้เริ่มโครงการสร้างพระวิหารฮัรมันดิร ซาฮิบ นี้ขึ้น และอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของท่านโดยตรง โดยมีท่าน บาบา บุดดา และ หบาย กุรดาส พร้อมกับลูกศิษย์ ที่มีชื่อเสียงทางด้านงานก่อสร้างอีกหลายท่าน เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ โดยท่านได้กำหนดให้ลูกศิษย์ที่ท่านไว้เนื้อเชื่อใจ คือ ท่านหบายซาโล ท่านหบายบักตู ท่านหบายแปรา ท่านหบายบาโล และท่านกัลยานา เป็นหัวหน้าดูแลโครงการก่อสร้างและเป็นผู้ดูแลเรื่องการจัดซื้อวัสดุในการก่อสร้างทั้งหมด ส่วนงานก่ออิฐนั้น ท่านได้มอบหมายให้ท่านหบายบาโล ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านศิลปะการก่ออิฐโดยเฉพาะเป็นผู้รับผิดชอบ

        ในปี ค.ศ. 1588 ท่าน คุรุ อัรยัน เดว ยิ ได้ขอให้นักบวชชาวมุสลิม ที่มีชื่อว่า ฮัซรัต เมียน มีร ยิ เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ของ พระวิหาร ฮัรมันดิร ซาฮิบ ให้ เหตุการณ์ครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่า พระเจ้ามิได้ทรงแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ เชื้อชาติ และศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น การก่อสร้างเพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารเริ่มขึ้นอย่างกระตือรือร้น ชาวซิกข์มากมายอาสามาร่วมช่วยงานกันอย่างเต็มที่ รากฐานของพระวิหารได้ถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแรงด้วยอิฐและหินปูนอย่างดี พระวิหารตั้งตระหง่านอยู่กลางบ่อน้ำในระดับที่สูงกว่าก้นบ่อขึ้นมา นอกจากนี้ยังได้มีการสร้างสะพานเชื่อมต่อระหว่างพระวิหารกับประตูทางเข้าไปสู่พระวิหาร (ดัรชานิ ดิโอริ) อีกด้วย

        แทนที่จะทำการก่อสร้างพระสุวรรณวิหาร ฮัรมันดิร ซาฮิบ บนรากฐานที่มีระดับสูง ตามลักษณะที่นิยมกันในสถาปัตย์การสร้างวัดของศาสนาฮินดู ท่านพระศาสดาได้สั่งให้สร้างพระวิหารบนรากฐานที่ต่ำกว่าระดับราบของพื้นที่รอบข้าง เพื่อให้ผู้คนที่ต้องการเข้ามาเยี่ยมชมและสักการะพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ต้องเดินลงไปตามทางเดินสู่พระวิหารนั่นเอง ในขณะเดียวกันท่านพระศาสดาก็ได้ทรงสั่งให้มีการสร้างประตูทางเข้าออกทั้งสี่ทิศรอบพระวิหารฮัรมันดิร ซาฮิบแห่งนี้ ซึ่งผิดกับธรรมเนียมนิยมของศาสนาฮินดูที่มักจะสร้างประตูทางเข้าออกของศาสนสถานเพียงทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านได้สั่งให้ทำเช่นนี้ ก็เพื่อวางรากฐานแห่งความเชื่อถือใหม่ให้เกิดขึ้นในหมู่ปวงมนุษย์ทั้งหลาย และเป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับทุกคนโดยไม่แบ่งแยกชนชั้นวรรณะ เชื้อชาติ ศาสนา เพศ และชาติตระกูลแต่อย่างใด

        ในที่สุดในปี ค.ศ. 1601 พระวิหารฮัรมันดิร ซาฮิบ ก็ได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ พระวิหารแห่งนี้ ได้สร้างขึ้นบนพื้นที่ทั้งสิ้น 67 ตารางฟุต ซึ่งตั้งตระหง่าน อยู่กลางบ่อน้ำโซราวอร์ อันศักดิ์สิทธิ์ บ่อน้ำนี้กว้าง 150 เมตร ล้อมรอบ วิหารทั้งสี่ด้าน ส่วนตัวพระวิหารนั้น มีพื้นที่ 40.5 ตารางฟุต พระวิหารฮัรมันดิร ซาฮิบนี้จะมี ประตูทางเข้าออก ครบทั้งสี่ทิศ และมีซุ้มประตูทางเข้ารอบนอก (ดัรชานิ ดิโอริ) สร้างอยู่ ริมฝั่งของบ่อน้ำ โดยมีความสูงถึง 10 ฟุต และกว้าง 8 ฟุต 6 นิ้ว ประดับลวดลายด้วย แผ่นทองคำเปลวอย่างสวยงาม ซึ่งจากซุ้มประตูริมฝั่งของบ่อน้ำนี้จะมีสะพานทอดยาวบนบ่อน้ำ ไปจนถึงอาคาร พระวิหาร ฮัรมันดิร ซาฮิบ ซึ่งมีความยาว 202 ฟุต และกว้าง 21 ฟุต

        โดยสะพานนี้จะเชื่อมต่อกับทางเดินรอบพระวิหารทั้งสี่ด้าน ที่เรียกว่า "ปัรดัคชะน่า" ซึ่งมีขนาดกว้าง 13 ฟุต ทางเดินนี้เป็นทางที่นำไปสู่ "ฮัร กิ เปารี" ซึ่งแปลว่าขั้นบันไดที่จะนำพาเราทุกคนไปสู่พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง และ ณ บริเวณบันไดขั้นแรกของ ฮัร กิ เปารี นี้ จะมีการอัญเชิญสวดมนต์ภาวนาโดยการอ่านพระมหาคัมภีร์ คุรุ ครันธ์ ซาฮิบ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาทุกวัน โครงสร้างของตัวอาคารพระวิหารฮัรมันดิร ซาฮิบนี้จะมีลักษณะเป็นอาคารสามชั้น ส่วนทางด้านหน้าที่เป็นทางเข้าสู่อาคารซึ่งเชื่อมต่อกับสะพานข้ามบ่อน้ำนั้น ได้มีการตกแต่งด้วยการวาดภาพลวดลายต่างๆ บนซุ้มทางเข้าอย่างสวยสดงดงาม และบริเวณชั้นหนึ่งภายในพระวิหารนี้จะมีความสูงประมาณ 26 ฟุต 9 นิ้ว

        หลังจากที่การก่อสร้างพระวิหารได้เสร็จลุล่วงไปประมาณ 3 ปีแล้ว ท่านพระศาสดา คุรุ อัรยัน เดว ยิ ได้ทรงสั่งให้อัญเชิญ พระมหาคัมภีร์ คุรุ ครันธ์ ซาฮิบ ยิ เข้าสู่พระวิหารฮัรมันดิร ซาฮิบ ในปี ค.ศ. 1604 โดย ท่านได้มอบหมายให้ ท่านบาบา บุดด้า ยิ เป็นพระศาสนาจารย์ ผู้มีหน้าที่สวดมนต์ภาวนา และอ่านพระมหาคัมภีร์ภายในวิหารแห่งนี้เป็นท่านแรก เหตุการณ์นี้ได้สร้างความศรัทธา และทำให้พระวิหารฮัรมันดิร ซาฮิบอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางทางศาสนา และถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญ ของศาสนาซิกข์เลยทีเดียว

        พระมหาสุวรรณวิหารแห่งนี้มิเพียงแต่เป็นศาสนสถานเท่านั้น หากแต่ยังเป็นศูนย์รวมในการชุมนุมของชาวซิกข์ทั้งหลายอีกด้วย ศาสนสถานแห่งนี้เป็นสมบัติอันล้ำค่าและเป็นมรดกของชาวซิกข์ทุกคนที่ได้สืบทอดต่อกันมานานหลายศตวรรษ


The Harmandir Sahib (Punjabi: ਹਰਿਮੰਦਰ ਸਾਹਿਬ) also Darbar Sahib (Punjabi: ਦਰਬਾਰ ਸਾਹਿਬ, IPA: [dəɾbɑɾ sɑhɪb]) and informally referred to as the Golden Temple is a prominent Sikh Gurdwara located in the city of Amritsar, Punjab, India. It was built by the fifth Guru of the Sikhs, Guru Arjan Dev, in the 16th Century. In 1604, Guru Arjan Dev ji completed the Adi Granth, the holy scripture of Sikhism, and installed it in the Gurdwara

There are four doors to get into the Harmandir Sahib, which symbolize the openness of the Sikhs towards all people and religions. The present day Gurdwara was rebuilt in 1764 by Jassa Singh Ahluwalia with the help of other Sikh Misl's. In the early nineteenth century, Maharaja Ranjit Singh secured the Punjab region from outside attack and covered the upper floors of the Gurdwara with gold, which gives it its distinctive appearance and English name the Golden Temple.

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: panyathai.or.th ::


8. บ้านสไตล์เปอรานากัน ถนนคูนเซง ประเทศสิงคโปร์

 
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/kh2o4fhIRGE


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/jZPSv

ShophousekoonSeng Road
บนถนนคูนเซง จะได้เห็นคือบ้านสไตล์เปอรานากันอันวิจิตรตระการตา ซึ่งตกแต่งด้วยรายละเอียดยิบย่อยทั้งผนัง ระเบียง ประตูรั้ว และกำแพงที่ผสมผสานศิลปะทั้งแบบตะวันออกและตะวันตกได้อย่างลงตัว 

สถาปัตยกรรม
บ้านสไตล์เปอรานากันเป็นการผสมผสานที่น่าตื่นเต้นของสถาปัตยกรรมและเครื่องตกแต่งจากทั้งทางฝั่งตะวันออกและตะวันตก โดยมีเสาโครินเธียน หน้าต่างและบานเกล็ดสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน เคียงคู่กับแผ่นกระเบื้องของจีนและงานปูนฉาบ ซึ่งแสดงสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของจีนด้วย นอกจากนี้ ด้วยรั้วประตูที่มีเอกลักษณ์อันเรียกว่า Pintu Pagar ชาวเปอรานากันเชื้อสายจีนได้ผนวกความชื่นชอบในการตกแต่งบ้านเรือนเข้ากับวิถีความเป็นอยู่ในเขตร้อน โดยรั้วประตู Pintu Pagar ซึ่งมีความสูงเพียงครึ่งเดียวของประตูปกติจะถูกปิดในช่วงกลางวัน ซึ่งทำให้มีอากาศถ่ายเททั่วบ้าน โดยยังคงความเป็นส่วนตัวอยู่ คุณสามารถไปเดินบริเวณเอเมรัลด์ ฮิลล์ (Emerald Hill) ทันจง พาการ์ (Tanjong Pagar) และถนนคูนเซง (Koon Seng Road) ในแถบจูเชียต ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเขตที่มีสถาปัตยกรรมแนวบาโรกที่สวยงามของชาวเปอรานากัน

ชาวเปอรานากันเป็นผู้สืบเชื้อสายจากชุมชนชาวจีนในยุคต้นๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากในหมู่เกาะมาเลย์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยวัฒนธรรมชาวเปอรานากันเป็นการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมชาวจีนและมาเลย์ อีกทั้งยังได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมชาวโปรตุเกส อังกฤษ ไทย อินเดีย และอินโดนีเซียด้วย ทั้งนี้ ท่ามกลางกาลเวลาที่ผ่านไปจึงก่อให้เกิดชุมชนของผู้ที่เฉลิมฉลองเทศกาลของชาวจีนและปฏิบัติตามประเพณีจีน แต่ยังได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมชาวมาเลย์ ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากอาหาร ภาษา และการแต่งกายของพวกเขา

วัฒนธรรมและประเพณี
ชาวเปอรานากันเฉลิมฉลองเทศกาลทั้งหมดตามปฏิทินจันทรคติของจีนและประกอบพิธีกรรมสำคัญตามช่วงอายุต่าง ๆ ตั้งแต่วันเกิดจนสิ้นอายุขัยอย่างพิถีพิถันตามธรรมเนียมจีน ซึ่งแม้แต่ในประเทศจีนก็ไม่ได้มีการประกอบพิธีกรรมดังกล่าวอย่างเคร่งครัดแล้วในปัจจุบัน โดยพิธีกรรมที่มีการจัดอย่างพิถีพิถันที่สุด ได้แก่ พิธีสมรส งานฉลองวันเกิด งานไหว้บรรพบุรุษและงานศพ สำหรับชาวเปอรานากันที่มีฐานะมั่งคั่งจะจัดพิธีเหล่านี้อย่างหรูหราเพื่อแสดงถึงฐานะของตน โดยจะสรรหาวัตถุประกอบพิธีที่ดีที่สุด ส่งผลให้ยังหลงเหลือมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ตั้งแต่สิ่งทอ จนถึงเครื่องเพชรพลอย ภาชนะประกอบพิธี เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัตถุดิบราคาแพง อาทิ ทองคำ เงิน เครื่องลายคราม ผ้าไหม ผ้ากำมะหยี่ ไม้สัก และไม้ดำ (Blackwood)

แม้ว่างานฝีมือของชาวเปอรานากันส่วนใหญ่จะว่าจ้างบุคคลอื่นให้เป็นผู้ผลิต แต่สำหรับงานลูกปัดและเย็บปักตามแบบฉบับของเปอรานากันนั้นมีสมาชิกชุมชนชาวเปอรานากันเป็นผู้ผลิตเอง โดยเหล่าหญิงสาวโสดชาวเปอรานากันซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของนนยา (Nonya) มักทุ่มเทเวลาให้กับการร้อยลูกปัดและเย็บปักถักร้อย โดยสามารถผลิตงานฝีมือที่มีความละเอียดอ่อนและวิจิตรตระการตาหลายอย่าง อันเป็นการผสมผสานศิลปะของชาวยุโรปและจีนได้อย่างเป็นเอกลักษณ์และมีชีวิตชีวา ทั้งนี้ คุณภาพและปริมาณของงานลูกปัดและงานเย็บปักเป็นเครื่องหมายในการแสดงถึงความพร้อมในการเข้าพิธีสมรสของหญิงสาวดังกล่าว โดยงานฝีมือหลายอย่างได้ทำขึ้นเพื่อใช้เตรียมการในงานแต่งงาน อาทิ รองเท้าลูกปัด ม่านลูกปัดสำหรับเตียงเจ้าสาว ผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าคลุมสำหรับภาชนะที่ใช้ประกอบพิธี ไม่ว่าจะทำมาจากทองคำ ผ้าไหม หรือกระเบื้องก็ตาม วัตถุต่าง ๆ ล้วนแสดงถึงสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ความสุข และการมีอายุยืน อาทิ นกฟีนิกซ์ ค้างคาว นกกระเรียน และดอกไม้ เช่น ดอกโบตั๋น ซึ่งทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นมรดกตกทอดที่ล้ำค่า

วิถีความเป็นอยู่
การแต่งกายเป็นวิธีการแสดงออกถึงวัฒนธรรมและตัวตนที่สำคัญของชาวเปอรานากันเชื้อสายจีน โดยในยุคศตวรรษที่ 19 ผู้ชายชาวเปอรานากันเชื้อสายจีน ที่เรียกว่า บาบา (Baba) แต่งกายในสไตล์ของสุภาพบุรุษจากทางภาคใต้ของประเทศจีนที่แต่งตัวนำสมัย ด้วยชุดสูทที่มีเสื้อคลุมหลวม และกางเกง ซึ่งทำจากผ้าไหม และ ผ้าซาตินปัก ซึ่งเรียกว่า baju lokchuan ต่อมาในศตวรรษที่ 20 ชาวเปอรานากันได้รับธรรมเนียมการแต่งกายแบบตะวันตกมา เช่น ชุดสูทผ้าฝ้ายสไตล์ยุคอาณานิคม ซึ่งเรียกว่า baju pinjang (‘เสื้อคลุมยาว’) และโสร่ง รวมทั้งเครื่องเพชรพลอย และเครื่องประดับหลากหลายชนิด อาทิ ปิ่นปักผม สร้อยข้อมือ เข็มกลัด เข็มขัด และสร้อยข้อเท้า

จุดที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของการแต่งกายแบบชาวเปอรานากันได้แก่ รองเท้า – โดยรองเท้าปักในยุคศตวรรษที่ 19 เป็นต้นแบบของรองเท้าลูกปัดในยุคปัจจุบัน หรือที่เรียกว่า kasot manek ส่วนผ้าโสร่งของชาวเปอรานากันทำจากผ้าบาติกลายดอกไม้ชั้นดีที่สุดจากชวา โดยรูปแบบของผ้าบาติกได้พัฒนาไปตามกาลเวลา และยังคงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ เจ้าสาวและเจ้าบ่าวชาวเปอรานากันจะสวมใส่ชุดแต่งงานที่สวยงาม โดยพิธีสมรสตามธรรมเนียมเปอรานากันจะดำเนินไปเป็นเวลากว่า 12 วัน และใช้เวลาเตรียมการหลายสัปดาห์ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของผู้หญิงทุกคนในครอบครัวขนาดใหญ่ โดยเครื่องแต่งกายของเจ้าสาวประกอบด้วยเครื่องเพชรพลอยเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ เครื่องแต่งกายของเจ้าสาวอาจหนักถึงห้าหรือหกกิโลกรัม 

Peranakan Heritage Houses at Koon Seng Road, Singapore. 
Koon Seng Road, Singapore. This is a typical peranakan house and illustrates why peranakan culture is the original fusion between east and west. Look at the stained glass windows beneath the moulded arches, the tiles beneath the windows. Look at the tiles decorating the facade, the ornamental wooden fringe edging the roof. Whilst of course it cannot be seen in this picture, the room above the verandah would typically have a tiny peephole so that the residents can look down and check out who is at the door before going downstairs to let the person in. Finally, of course, the lions guarding the entrance improve the fengxui.

Koon Seng Road, a two-way road, begins at the junction of Pennefather Road and Joo Chiat Road and ends at the junction of Lorong J and Still Road. Named in 1934 after Cheong Koon Seng, a businessman, this road is popular for some beautiful residences along it.

:: flickr.com ::
:: hotsia.com ::

9. Reine หมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในประเทศนอร์เวย์



* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/tHWqCngfHWI

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/reinelofoten-island-norwey-norway#-554.84,22.20,110.0



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/Ea6Ku


Reine, Lofoten, Norway.
Reine is a fishing village and the administrative centre of the municipality of Moskenes in Nordland county, Norway. It is located on the island of Moskenesøya in the Lofoten archipelago, above the Arctic Circle, about 300 kilometres (190 mi) southwest of the town of Tromsø. The 0.33-square-kilometre (82-acre) village has a population (2011) of 329. The population density is 997 inhabitants per square kilometre (2,580 /sq mi).Reine Church is located here and it serves the northern part of the municipality.

Reine has been a commercial centre since 1743. Today tourism is important, and despite of its remote location, thousands of people visit this village annually. The village is situated on a promontory just off the European route E10 highway, which passes through the village. Reine is located immediately to the south of Sakrisoya and Hamnøya.

The largest weekly magazine in Norway (Allers) selected Reine as the most beautiful village in Norway in the late 1970s. A photograph over Reine from the mountain Reinebringen has been used for the front page of several tourist brochures and books.

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::


10. Hyden Wave Rock คลื่นหินยักษ์ แห่งเวสเทิร์นออสเตรเลีย

 
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/pClzmEGF_HE

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/wave-rock-hyden#246.60,-3.30,70.0


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/hcJks

Wave Rock หรือ คลื่นศิลายักษ์ บางคนอาจเรียกว่า คลื่นหินยักษ์ ตั้งอยู่ใกล้เมืองHyden เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดประหลาดของเวสเทิร์น ออสเตรเลีย (Western Australia) 

คลื่นหินเวฟ ร็อค เป็นแนวหินแกรนิตรูปทรงคลื่น ที่เกิดจากการกัดเซาะโดยแรงลม ทรายและน้ำฝน จนก่อให้เกิดคลื่นหินยักษ์ ที่มีความสูงถึง 50 เมตร และยาว 110 เมตร 

จากการศึกษาของนักธรณีวิทยาได้ประมาณอายุของซากหินก้อนว่า มีอายุประมาณ 2,700 ล้านปี และถือได้ว่าเป็นหินที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของออสเตรเลีย 

Wave Rock is a natural rock formation that is shaped like a tall breaking ocean wave. The "wave" is about 14 m (47 ft) high and around 110 m (350 ft) long. It forms the north side of a solitary hill, which is known as "Hyden Rock." This hill, which is a granite inselberg, lies about 3 km east of the small town of Hyden and 296 km east-southeast of Perth, Western Australia.Wave Rock and Hyden Rock are part of a 160-hectare nature reserve, Hyden Wildlife Park.

A wall lies above Wave Rock and about halfway up Hyden Rock and follows the contours of the wall. It collects and funnels rainwater to a storage dam.They were constructed in December 1928 by the Public Works Department for the original settlers of East Karlgarin District. Both were renovated in 1951 to increase water capacity for the Hyden Township. Such walls are common on many similar rocks in the Wheatbelt.

:: travel.thaiza.com ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

11. "Musha Cay" เกาะส่วนตัวสุดหรู ของนักมายากลชื่อดัง “เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์” ในประเทศบาฮามัส
(Musha Cay and the Islands of Copperfield Bay)

 
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/RQNvs1CzZgQ

* ชมเว็บไซต์ค่ะ -> http://www.mushacay.com/


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/wsqVR

 "Musha Cay" สถานที่ตากอากาศสุดหรูในประเทศบาฮามัส ที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม และจะเปิดบ้านต้อนรับผู้มาเยือนเพียงครั้งละ 1 คณะ (ไม่เกิน 24 คน) เท่านั้น ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า "Musha Cay" เป็นหนึ่งในเกาะส่วนตัวของ "เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์" นักมายากลชื่อดังก้องโลกที่หลายท่านรู้จักกันดี นอกจาก Musha Cay แล้ว เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ ยังได้ซื้อเกาะใหญ่น้อยอื่นๆ ที่รายล้อม Musha Cay อีกด้วย โดยหมู่เกาะเหล่านี้มีชื่อเรียกแบบเต็มยศว่า "Musha Cay and the Islands of Copperfield Bay"

        หมู่เกาะส่วนตัว "Musha Cay and the Islands of Copperfield Bay" ของ เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ ตั้งอยู่ในแถบ Exumas ซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของประเทศบาฮามัส มีพื้นที่เกาะรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 700 เอเคอร์ (1,770 ไร่) ประกอบไปด้วยเกาะใหญ่น้อยจำนวน 11 เกาะ และมีชายหาดส่วนตัวรวมทั้งสิ้น 40 แห่ง แต่วันนี้ "บีเอสเอ็นนิวส์" จะแนะนำให้รู้จักเฉพาะเกาะ "Musha Cay" เท่านั้น เพราะเป็นเพียงเกาะเดียวที่ เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ พัฒนาขึ้นเป็นสถานที่พักตากอากาศและรีสอร์ทหรู ภายใต้ชื่อ "Musha Cay Resort" ในขณะที่เกาะอื่นๆ ยังคงถูกปล่อยให้อยู่ในสภาพเดิมๆ โดยไม่มีสิ่งปลูกสร้างและไม่มีผู้อยู่อาศัยแต่อย่างใด ทั้งนี้เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ และความเป็นส่วนตัวของอาคันตุกะผู้มาเยือน

        "Musha Cay" เป็นเกาะส่วนตัวที่มีธรรมชาติอันสวยงามและอุดมสมบูรณ์ หาดทรายขาว น้ำทะเลสะอาด ใสแจ๋ว มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 150 เอเคอร์ (ประมาณ 380 ไร่) เกาะแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ตากอากาศที่ให้บรรยากาศความเป็นส่วนตัวมากที่สุด ในขณะที่ "Musha Cay Resort" ก็เป็น "รีสอร์ทบนเกาะส่วนตัว" ที่หรูหราและมีราคาแพงที่สุดในโลก

        เกาะ "Musha Cay" มีรันเวย์สำหรับเครื่องบินส่วนตัว บ้านพัก 5 หลัง ชายหาด 7 แห่ง และยังมีทะเลแหวกเหมือนบ้านเราอีกต่างหาก แต่ของเขาจะมีความยาวกว่า 3 ก.ม. และจะปรากฏเป็นเวลา 7 ช.ม. ต่อวัน จากนั้นก็จะถูกทะเลกลืนหายไป แต่ใช่ว่ามีเงินแล้วนึกอยากไปเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะที่นี่เขารับผู้มาเยือนแค่ครั้งละ 1 คณะ (สูงสุด 24 คน) เท่านั้น ถึงแม้มากันแค่ 2 คน ก็จะไม่รับลูกค้ารายอื่นเพิ่ม จึงให้ความรู้สึกที่เป็นส่วนตัวจริงๆ ด้วยเหตุนี้เหล่าดาราฮอลลีวู้ดและคนดังระดับโลก รวมทั้งนักธุรกิจระดับบิ๊กๆ จึงนิยมมาพักผ่อนที่นี่

        "Musha Cay" เหมาะสำหรับเศรษฐีกระเป๋าหนัก (มากๆ) ที่ต้องการปลีกวิเวกเป็นการส่วนตัว หรือต้องการจัดงานเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสสำคัญและโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานครบรอบต่างๆ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าที่นี่มาได้ไม่เกิน 24 คน (รวมคู่บ่าวสาว หรือเจ้าภาพ) แต่ไม่ต้องกลัวว่ามาพักผ่อนที่ "Musha Cay" แล้วจะเหมือนถูกปล่อยเกาะและตัดขาดจากโลกภายนอก เพราะบนเกาะแห่งนี้มีพนักงานกว่า 30 คน และเชฟระดับเวิลด์คลาส คอยดูแลและให้บริการตลอดเวลา แถมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โทรศัพท์ระหว่างประเทศ ดาวเทียม ฯลฯ ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ ทั้งทางบก-ทางน้ำให้เลือกจนเหลือเฟือ แต่ถ้าใครอยากสำรวจรอบๆ เกาะ หรือออกสำรวจเกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่รายรอบก็ไม่ว่ากัน

        ผู้ที่มาพักผ่อนบนเกาะ "Musha Cay" สามารถเลือกได้ว่าจะพักที่คฤหาสน์บนเนินเขา บ้านพักริมชายหาด กระท่อมน้อยกลางป่าที่ค่อนข้างไกลหูไกลตาผู้คน หรือวิลล่าริมทะเล (สำหรับแขก) ทั้งยังสามารถประกอบอาหารเอง หรือเซ็ทรายการอาหารใหม่นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในเมนูได้ ส่วนการเดินทางมาที่นี่ ใช้เวลาเพียง 40 นาทีจากสนามบินในไมอามี่ สหรัฐอเมริกา และ 3 ช.ม. จากนิวยอร์ค หรือชิคาโก เพื่อมาลงที่สนามบิน Mosstown บนเกาะ Great Exuma ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแถบ Exuma จากนั้นก็ต่อเครื่องบินเล็กมาลงบนรันเวย์ส่วนตัวที่เกาะ Musha Cay ซึ่งใช้เวลาเพียง 15 นาที

        สำหรับอัตราค่าเข้าพักต่อวัน ถ้ามาพักผ่อนไม่เกิน 12 คน คิดที่คืนละ $37,500 หรือประมาณ 1.3 ล้านบาท แต่ถ้ามาจัดงานปาร์ตี้ตั้งแต่ 13-18 คน จะคิดเพิ่มจากอัตราขั้นต้น ($37,500) อีกคนละ $1,500 ต่อวัน หรือราวๆ 5.3 หมื่นบาท โดยจะคิดเฉพาะแขกคนที่ 13-18 หรือชาร์จเพิ่มอีกแค่ 6 คนเท่านั้น ซึ่งถ้ามาพัก 18 คนก็ต้องจ่ายวันละ $46,500 หรือประมาณ 1.63 ล้านบาท แต่ถ้ามากันเป็นกลุ่มใหญ่ (มากกว่า 18 แต่ไม่เกิน 24 คน) จะคิดเพิ่มจากอัตรา $46,500 หรือประมาณ 1.63 ล้านบาทต่อวัน อีกคนละ $1,000 ต่อวันหรือราวๆ 3.5 หมื่นบาท (คิดเฉพาะคนที่ 18-24)

        ลืมบอกไปว่า...ถ้าใครมาที่นี่จะต้องพักอย่างน้อย 4 วัน สำหรับอัตราค่าที่พักดังกล่าวข้างต้น รวมอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งแอลกอฮอล์ ซอฟท์ดริ้งค์ ไวน์ชั้นเลิศ แชมเปญ ฯลฯ เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ไม่รวมในอัตราค่าเข้าพัก ก็คือค่าเดินทาง โทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ บริการนวด อุปกรณ์และบริการดำน้ำ การออกจับปลาในทะเลลึก ดอกไม้ไฟ วงดนตรีสำหรับงานเลี้ยง เซอร์วิสชาร์จ 5% และ VAT

:: bsnnews.com ::

12. ปราสาทมังกร  ประเทศเยอรมัน
(Schloss Drachenburg = Dragon Castle)

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ ถ้าเห็นวงกลมกระพริบ ให้คลิกเข้าไปจะเป็นการเปลี่ยนไปชมอีกที่หนึ่ง
สนุก และสวยมากค่ะ -> http://www.schloss-drachenburg.de/content_EN/virtual_tour/virtual_tour.html


 

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/haeC7AdSbuw



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/AfhOZ


ปราสาทมังกร (Schloss Drachenburg) เป็นปราสาทสไตล์พระราชวังที่สร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19
ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของมูลนิธิรัฐนอร์ทไรน์สต์ฟาเลีย เปิดให้เข้าชมเป็นเวลา มีร้านอาหารบริการ 
หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ-> http://www.schloss-drachenburg.de/index_EN.html


Schloss Drachenburg is a private Villa in Palace style constructed in the late 19th century. In only two years 1882 till 1884 it was completed on the Drachenfels hill in Königswinter, a German town at the Rhine River near the city of Bonn. Baron Stephan von Sarter (1833–1902) a broker and banker planned to live there, but never did.

Today the Palace is in the possession of the State Foundation of North Rhine-Westphalia. It is served by an intermediate station on the Drachenfels Railway.

* Königswinter is a town and summer resort in the Rhein-Sieg district, in North Rhine-Westphalia, Germany. It is situated on the right bank of the Rhine, opposite to Bonn, at the foot of the Siebengebirge.

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::



13. ป๊อปอาย วิลเลจ หมู่บ้านแห่งจิตนาการและความสนุก ประเทศมอลตา

 
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/4pvBZCPufUk

* ชมภาพเว็บไซต์ค่ะ -> http://www.popeyemalta.com


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/GkP51

..หากพูดถึงประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องของทะเลสวย หาดทรายงดงาม และกำลังเป็นที่เลื่องลือในหมู่นักท่องเที่ยว ดูเหมือนว่า "มอลตา" ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตามองเช่นกัน... 

มอลตา ประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเกาะขนาดเล็ก จำนวนสองเกาะ ในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป ถือว่าเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งหนึ่งในยุโรป ปัจจุบันเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่น่ามาเยือนแห่งหนึ่ง 

ป๊อปอาย วิลเลจ (Popeye's Village) หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า สวีทเฮฟเว่น วิลเลจ (Sweethaven Village) แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น Fun Park ของประเทศมอลตา โดยหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ อ่าวแองเคอร์ (Anchor Bay) 

ป๊อปอาย วิลเลจ เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงมาจากการ์ตูนป๊อปอาย รวมไปถึง ภาพยนตร์เรื่องป๊อปอาย ที่ผลิตโดย Paramount Pictures และ วอลท์ดิสนีย์ ในช่วงปี 1980 ซึ่งนำแสดงโดย (โรบิน วิลเลียม) ซึ่งปัจจุบัน ป๊อปอาย วิลเลจ ได้เปิดให้เป็น พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่มีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก 

สำหรับการเที่ยวชมภายใน ป๊อปอาย วิลเลจ นั้น นักท่องเที่ยวจะได้ชมอาคารไม้ทั้งสิบเก้าหลัง ที่ถูกใช้เป็นฉากประกอบในภาพยนตร์ โดยอาคารไม้เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ของปี 1979 

โดยป๊อปอายวิลเลจเปิดให้เข้าชมทุกวัน นักท่องเที่ยวจะได้ชมตัวละครหลักของการ์ตูนและภาพยนตร์ ชมการแสดงหุ่นกระบอก รวมไปถึงฉากจริงที่สร้างขึ้นในช่วงการถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งเหมาะแก่การเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง 

Popeye Village, also known as Sweethaven Village, is a group of rustic and ramshackle wooden buildings located at Anchor Bay in the north-west corner of the Mediterranean island of Malta, two miles from the village of Mellieħa.

It was built as a film set for the production of the 1980 live-action musical feature film Popeye, produced by Paramount Pictures and Walt Disney Productions and starring Robin Williams. Today it is open to the public as an open-air museum and family entertainment complex.

The construction of the film set started in June 1979. A construction crew of 165 working over seven months was needed to build the village, which consists of nineteen authentic wooden buildings. Hundreds of logs and several thousand wooden planks were imported from Holland, while wood shingles used in the construction of the roof tops were imported from Canada. Eight tons of nails and two thousand gallons of paint were also used in construction.

In addition, a 200-250 foot breakwater was built around Anchor Bay's mouth to protect the set from high seas during the shooting.

The set was completed in seven months, and filming commenced on January 23, 1980. The film, based on the comic strips by E.C. Segar, is set around the fictional village of Sweethaven where the sailor Popeye arrives in an attempt to find his long lost father.
Although the film was initially perceived to be a failure, Popeye Village remains a popular tourist attraction.

:: travel.thaiza.com ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::

14. มหาวิหารซันมาร์โก ตั้งอยู่ที่จตุรัสซานมาร์โคติดกับวังดยุคแห่งเวนิส ประเทศอิตาลี

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.hvweb.net/en/360photos/venice/stmarkssquare/flash/


 

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/-XIFmePqfPQ



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/8l95F

จตุรัส Piazza San Marco ที่ได้รับสมณานามว่า “ห้องจิตกรรมของยุโรป” (The - drawing room of Europe) 

At Piazza San Marco จัตุรัส ซานมาโค ศูนย์กลางของการท่องเที่ยวในเวนิส เป็นที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นจุดเด่นของเมืองเอาไว้ งนั้นก็คือ โบสถ์ซานมาร์โค (Basilica di San Marco) หรือ Saint Mark's Basilica ที่นี่มีัผู้คนมากมายมาถ่ายรูปแต่งงาน มีการแสดงดนตรี มีร้านน้ำชาเก่าแก่


อัครบิดรอาสนมหาวิหารนักบุญมาระโก หรือ มหาวิหารซันมาร์โก (อิตาลี: Basilica Cattedrale Patriachale di San Marco, อังกฤษ: St Mark's Basilica หรือ Saint Mark's Basilica) บาซิลิกาซันมาร์โกเป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกประเภทมหาวิหาร ประจำมุขมณฑลโรมันคาทอลิกเวนิสในประเทศอิตาลี สถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแบบกอทิก บาซิลิกาซันมาร์โกได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิหารในปี ค.ศ. 1094

มหาวิหารซันมาร์โกที่เป็นตัวอย่างอันสำคัญของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ตั้งอยู่ที่จตุรัสซันมาร์โกติดและเชื่อมกับวังดยุกแห่งเวนิส เดิมตัวโบสถ์เป็นชาเปลของประมุขผู้ครองเวนิส และมิได้เป็นมหาวิหารของเมือง แต่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1807 เป็นต้นมาบาซิลิกาก็เป็นที่นั่งของอัครบิดรแห่งเวนิส ตัวสิ่งก่อสร้างเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างอย่างงดงามประดับด้วยงานโมเสกแบบไบแซนไทน์ และ ประติมากรรมต่างที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ อำนาจ และ ความมั่งคั่งของเวนิส ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 ก็ได้รับสมญาว่า “Chiesa d'Oro” หรือ “โบสถ์ทอง”

โบสถ์นี้มีฉายาว่าโบสถ์ทอง (Church of Gold) เป็นโบสถ์ประจำเมืองที่มีความสำคัญกับเมืองเวนิสมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน โบสถ์สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 829 ตัวโบสถ์สร้างด้วยสถาปัตยกรรมหลายยุคหลายสมัยตั้งแต่ยุคไบแซนไทน์จนถึงยุคเรอเนสซองส์

การสร้างโบสถ์นี้มีที่มาว่า สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ผู้ซึ่งเป็นที่นับถือในเวนิส ในฐานะนักบุญผู้เผยแผ่ศาสนาที่อิยิปต์ และถูกประหารชีวิต เมื่อปี ค.ศ. 828 พ่อค้าชาวเมืองเวนิสไปขโมยศพของนักบุญเซนต์มาร์ก มาจากเมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์ แล้วนำมาถวายเจ้าผู้ครองเมืองเวนิสในขณะนั้น ซึ่งเจ้าผู้ครองเมืองก็ได้สร้างโบสถ์นี้ไว้เก็บศพของนักบุญเซนต์มาร์กเพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชน

จุดเด่นของโบสถ์ คือ ด้านหน้าโบสถ์เป็นซุ้มประตูโค้ง 5 ช่อง แต่ละช่องประดับด้วยโมเสกสีทองจากกรีซ มีภาพการเชิญศพนักบุญมาร์กมาเวนิส

ม้าทั้งสี่ตัวก็ถูกนำกลับคืนมาเวนิส ปัจจุบันม้าทั้งสี่ ตัวจริงเก็บอยู่ภายในโบสถ์ ส่วนที่เห็นด้านนอกในปัจจุบันเป็นม้าที่จำลองขึ้นแทน

ตรงระเบียงยาวด้านบนมีรูปหล่อบรอนซ์ม้า 4 ตัว ม้าทองบรอนซ์เหล่านี้นำมาจากประตูชัยที่กรุงคอนสแตนติโนเปิ้ลเมื่อ ค.ศ. 1204 หลังสงครามครูเสด  ม้าทั้งสี่มีชื่อว่า The Triumphal Quadriga เมื่อนโปเลียนยึดครองเวนิส ได้นำม้าทั้งสี่ไปประดับประตูชัยที่กรุงปารีส ต่อมาเมื่อนโปเลียนหมดอำนาจลง จึงได้นำกลับมา

ภายในโบสถ์เป็นที่เก็บรักษาศพของนักบุญมาร์ค จุดที่น่าสนใจอยู่ที่เพดาน กำแพง มีภาพจิตรกรรมซึ่งตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองประดับประดาด้วยหินสีมีค่า ครอบคลุมระยะกว่า 4,000 ตารางเมตร เป็นเรื่องราวการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของนักบุญมาร์คและเรื่องราวในพระคัมภีร์

ด้านหลังแท่นบูชาในโบสถ์คือ ปาลา โดโร (Pala d'Oro) เป็นศาสนวัตถุฝีมือช่างทองเวเนเชี่ยนสมัยศตวรรษที่ 14 เป็นสมบัติล้ำค่ายิ่งของเวนิสที่เก็บรักษาอยู่ในโบสถ์นี้  ปาลา โดโร เป็นแผ่นประดับแท่นบูชาที่ทำด้วยทองคำลงยา 225 แผ่น แต่ละแผ่นฝังอัญมณีมีค่าเช่น ไข่มุก มรกต ทับทิม โกเมน บุษราคัม ไพลิน และอื่น ๆ

นอกจากนี้ภายในโบสถ์ยังมีพิพิธภัณฑ์ อยู่ด้วยด้านบน ซึ่งจัดแสดงของมีค่าโบราณ ภาพจิตรกรรม ม้าบรอนซ์ กระเบื้องโมเสค บันทึกเรื่องราวต่างๆ สมัยยุคกลาง รวมทั้งหนังสือโบราณอายุกว่า 500 ปี

เปิดให้เข้าชมวันจันทร์ถึงเสาร์ เวลา 9.45 - 17.00น. ส่วนวันอาทิตย์ เปิดให้เข้าชมเวลา 14.00 - 17.00น.ไม่เสียค่าเข้าชมถ้าเข้าเฉพาะโบสถ์และต้องเเต่งกายสุภาพ  ขาสั้น  สายเดี่ยวห้ามเข้า แต่ถ้าเข้าพิพิธภัณฑ์ในนั้นจะเสียค่าเข้าแตกต่างกันไป 

บริเวณหน้าโบสถ์เป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ ศูนย์รวมของทุกอย่างที่เป็น ‘เวนิส’ เป็นย่านช้อปปิ้งชื่อดัง  รอบจตุรัสเซนมาร์คเรียงรายด้วยร้านอาหาร สินค้าแบรนด์เนม ร้านขายของที่ระลึก รวมไปถึงฝูงนกพิราบ จัตุรัสนี้มีอาคารที่สำคัญสองแห่งคือ หอระฆัง และหอนาฬิกา  


St Mark's Basilica
The Patriarchal Cathedral Basilica of Saint Mark (officially known in Italian as the Basilica Cattedrale Patriarcale di San Marco and commonly known as Saint Mark's Basilica) is the cathedral church of the Roman Catholic Archdiocese of Venice, northern Italy.

It is the most famous of the city's churches and one of the best known examples of Byzantine architecture. It lies at the eastern end of the Piazza San Marco, adjacent and connected to the Doge's Palace. Originally it was the chapel of the Doge, and has only been the city's cathedral since 1807, when it became the seat of the Patriarch of Venice, archbishop of the Roman Catholic Archdiocese of Venice, formerly at San Pietro di Castello. For its opulent design, gilded Byzantine mosaics, and its status as a symbol of Venetian wealth and power, from the 11th century on the building has been known by the nickname Chiesa d'Oro (Church of gold).

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: amnika-san-marco.blogspot.com ::
:: flickr.com ::


15. Husøy เกาะเล็ก ๆ อยู่ทางตอนเหนือของเกาะ Senja ประเทศนอร์เวย์

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/-XIFmePqfPQ



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://youtu.be/PzWSRNW4huU

Husøy เกาะเล็ก ๆ อยู่ทางตอนเหนือของเกาะ Senja ประเทศนอร์เวย์ บนเกาะมีหมู่บ้านชาวประมง ร้านขายของ โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปปลา, โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเดย์, ร้านอาหาร, และโบสถ์

Husøy - a peculiar fishing village located on a small island
Husøy (the House Island) is a small island about 1000 meters long and 500 meters wide located on the far north of the island of Senja. The island is connected to the surrounding world by a 300 meter long pier and road. People started to move to the island around 1950 and the 200 living there today is just as dependent on the fisheries as they were 50 years ago. The houses are almost built wall to wall and this create a good fellowship, which may be needed in such a harsh climate where even the the roofs have backstays. Everything is nearby on Husøy; the local store, the fish processing industry, the school, the cafe, everything is within a 5 minutes walk no matter where you might be on the island!




1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss