1
2

Happinessss Fb : Beautiful World Part 10



Happinessss Fb : Beautiful World Part 10

1. "ปราสาทสัจธรรม" ศิลปสถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยไม้ที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ประเทศไทย

 
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/Moite3vfMCg

 
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/FvrOn69vJhI

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/the-sanctuary-of-truth-pattaya-thailand#7.69,-21.28,86.6

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/XR46a


ปราสาทสัจธรรม ณ บริเวณแหลมราชเวช  ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง   จังหวัดชลบุรีในเนื้อที่ประมาณ  80 ไร่ เป็นที่ตั้งของ สถาปัตยกรรมไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสยามประเทศสถาปัตยกรรม ไม้แห่งนี้  ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า  " วังโบราณ "   บ้างก็เรียกตาม วัสดุของตัวอาคารที่สร้างด้วยไม้ว่า " ปราสาทไม้ " แต่เจ้าของความคิด
และผู้ดำเนินการก่อสร้างคือ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เรียกอาคารแห่งนี้ว่า "ปราสาทสัจธรรม "
 
ปราสาทสัจธรรม คือ ศิลปสถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยไม้ที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ ซึ่งเป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้ และความหมายในด้านนามธรรม ได้สะท้อนและสื่อให้เห็นถึงความสำคัญของศาสนา และ ปรัชญาซึ่งเป็นสิ่งค้ำจุนโลก  และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ  ปรัญชา ในการมุ่งสู่ความหลุดพ้นสู่โลกหน้าในอุดมคติ ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของ มนุษย์ทุกรูปทุกนาม  

ปราสาทสัจธรรมแห่งนี้อุบัติขึ้นจากความสำนึก ของคนตะวันออก  ที่ว่าความเป็นมนุษย์ที่ผ่านมานับพันปีเป็นสิ่งที่จรร
โลงโลกมาได้ด้วยสัจธรรมทางศาสนา  และปรัชญาโดยมีศิลปะเป็นสื่อ เนื้อหา และความหมายไม่ใช่เป็นสิ่งที่คิดขึ้นใหม่ด้วยความอหังการ์ หากได้นำเอาสิ่งที่ดีงามที่มีอยู่ในศาสนา  และปรัชญา  และศิลปกรรม
มาปรุงแต่งให้เหมาะสมกับกาลเทศะ

ข้อมูลท่องเที่ยว
บริเวณแหลมราชเวช 206/2 ม.5 ถ.นาเกลือ ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (ถ.สุขุมวิท) ถึงเมืองพัทยาใช้ ถ.สุขุมวิท ผ่านพัทยาเหนือมุ่งหน้า สู่ ต.นาเกลือ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า ถ.นาเกลือ เลี้ยวขวาที่ ซ.นาเกลือ 12 ปราสาทสัจธรรมอยู่ริมทะเล

The Sanctuary of Truth, Amphur Banglamung, Chon Buri Province, Thailand.
The Sanctuary of Truth is a gigantic wooden construction which covers  the area of more than two rais. The top point of the building is  about 105 meters high.  It was constructed to withstand the wind and sunshine on the seashore at Rachvate Cape, Tumbon Naklea, Amphur Banglamung, Chon Buri Province.

The building was constructed according to ancient Thai ingenuity and every square inch of the building is covered with wooden carve sculpture. The purposes of decoration with wooden carve sculptures
are to use art and culture as the reflection of Ancient Vision of Earth, Ancient  Knowledge,  and  Eastern Philosophy. With in this complex, visitors  will  understand  Ancient  Life,  Human  Responsibility, Basic Thought, Cycle of living, Life Relationship with Universe and Common Goal of Life toward Utopia.

http://www.sanctuaryoftruth.com

2. อาคารรัฐสภาฮังการี อาคารรัฐสภาที่สวยที่สุดในโลก

 
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/91YuMAbhhr0 
* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/hungarian-parliament#-2.63,2.52,70.0

ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/SiYfu 

อาคารรัฐสภาฮังการี (Hungary Parliament) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันตระการที่ไม่ควรพลาดมาเที่ยวชม ถือว่าป็นสัญลักษณ์ของฮังการี อาคารรัฐสภาตั้งโดดเด่นอยู่ริมแม่น้ำดานูบบนฝั่งเปสต์ เป็นอาคารรัฐสภาที่ชาวฮังกาเรี่ยนภูมิใจว่าเป็นอาคารรัฐสภาที่สวยที่สุดในโลก เพราะตัวอาคารมีความสวยงามด้วยสภาปัตยกรรมแบบนีโอโกธิคที่ดูคลาสสิคด้วย หลังคาสีแดง อาคารรัฐสภาแห่งนี้เริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ.1885 และใช้เวลากว่า 20 ปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ โดยรูปแบบอาคารได้รับอิทธิพลมาจากอาคารรัฐสภาแห่งลอนดอน สหราชอาณาจักร 

ภายในอาคารรัฐสภาประกอบด้วยห้องมากมายถึง 700 ห้อง มีประตูทางเข้า 27 แห่ง บนตัวอาคารประดับด้วยยอดสูง 365 ยอด ซึ่งการเดินชมภายในรัฐสภาจะจัดเป็นกลุ่มย่อยๆ และมีไกด์คอยพานำชมห้องต่างๆ ซึ่งแต่ละห้องตกแต่งอย่างสวยสดวิจิตรอลังการงดงามตระการตาเป็นอย่างยิ่ง 


The Hungarian Parliament Building (Hungarian: Országház, which translates to House of the Country) is the seat of the National Assembly of Hungary, one of Europe's oldest legislative buildings, a notable landmark of Hungary and a popular tourist destination of Budapest. It lies in Lajos Kossuth Square, on the bank of the Danube, in Budapest. It is currently the largest building in Hungary. 

:: flickr.com :: 
:: abroad-tour.com :: 
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::


3. วัลเลตตา  ประเทศมอลตา กลิ่นอายของประวัติศาสตร์และท้องทะเล

 
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/91YuMAbhhr0

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/valletta-upper-barrakka-garden-europe#0.00,0.00,110.0


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/N1skk

วัลเลตตา (อังกฤษ: Valletta) เป็นเมืองหลวงของประเทศมอลตา หรือเรียกอย่างไม่เป็นทางการในภาษามอลตาว่า Il-Belt (แปลว่า เมือง) ตั้งอยู่ตอนตะวันตก-กลาง ของเกาะมอลตาและมีประชากรราว 6,315 คน

นักท่องเที่ยวหลายคนอาจกำลังแสวงหาดินแดนที่มากพร้อมไปด้วยสถาปัตยกรรม หรือสถานที่ที่มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ นั่นย่อมมีอยู่หลายๆที่ให้คุณเลือกไป เยือนอย่างแน่นอน 

วัลเลตตา (Valletta) ก็เป็นอีกเมืองที่คุณไม่ควรมองข้าม สถาปัตยกรรมกับกลิ่นอายของประวัติศาสตร์และท้องทะเล จะยืนมือออกไปดึงดูดให้คุณเกิดความไขว้เขว และ อยากมาเยือนเมืองแห่งนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต 

วัลเลตตา เป็นเมืองหลวงของประเทศมอลตา ประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการท่องเที่ยวที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นทางทะเล และทางสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมต่างๆ ดินแดน แห่งท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้ จะคอยกล่อมคุณให้หลงอยู่ในเสน่ห์ของมัน จนิดที่ว่าคุณไม่อยากจะจากเมืองนี้ไปเลยปทีเดียว 

ภายในเมืองวัลเลตตา คุณจะต้องตื่นตาตื่นใจกับอาคารสถาปัตยกรรม ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นเมืองที่ถูกสร้างในช่วงสมัยของอัศวินเซนต์จอห์นแห่งเยรูซาเลม เมืองมี เอกลักษณ์พื้นฐานแบบสถาปัตยกรรมบาโรก กับองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยา สถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิค และสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ 

ในบางพื้นที่ และถึงแม้ว่าจะเกิดความเสียหายครั้งใหญ่กับเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เมืองวัลเลตตาก็ได้รับประกาศอย่างเป็นทางการจากยูเนสโก เป็นมรดกโลกในปี 1980 

ความยิ่งใหญ่ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ของเมืองนี้ คุณจะสามารถรับรู้ได้ว่า มันช่างคุ้มค่ากับการเดินทางมาเยี่ยมเยือนเมืองนี้อย่างแน่นอน

Valletta is the capital of Malta, colloquially known as Il-Belt (English: The City) in Maltese. It is located in the central-eastern portion of the island of Malta, and the historical city has a population of 6,966. The name "Valletta" is traditionally reserved for the historic walled citadel that serves as Malta's principal administrative district. However, Valletta, like many historical city centres, forms part of a larger continuous urban agglomeration; this is often referred to as "Greater Valletta."

Valletta contains buildings from the 16th century onwards, built during the rule of the Order of St. John of Jerusalem, also known as Knights Hospitaller. The city is essentially Baroque in character, with elements of Mannerist, Neo-Classical and Modern architecture in selected areas, though World War II left major scars on the city. The City of Valletta was officially recognised as a World Heritage Site by UNESCO in 1980.

The city is named for Jean Parisot de la Valette, who succeeded in defending the island from an Ottoman invasion in 1565. The official name given by the Order of Saint John was Humilissima Civitas Valletta — The Most Humble City of Valletta, or Città Umilissima in Italian. The bastions, curtains and ravelins along with the beauty of its Baroque palaces, gardens and churches, led the ruling houses of Europe to give the city its nickname Superbissima — 'Most Proud'.

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::


4. "บุโรพุทโธ" มรดกโลก วิหารแห่งสวรรค์  สิ่งก่อสร้างที่สุดมหัศจรรย์จากหินภูเขาไฟ



* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/ldHd8Z5ZV-c

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/borobodur-reaching-nirvana#-159.49,49.07,110.0



 * ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/zyoiG

• มหาสถูปบุโรพุทโธ ศาสนสถานของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก
• มหาสถูปบุโรพุทโธ หรือ บรมพุทโธ (ภาษาอินโดนีเซีย: Chandi Borobudur) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในภาคกลางของเกาะชวา ห่างจากยอกยาการ์ตาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 40 กิโลเมตร สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 1293 - 1393 โดยบุโรพุทโธเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายานและเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ประวัติของบุโรพุทโธ
• บุโรพุทโธ ถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร เป็นสถูปแบบมหายาน สันนิษฐานว่าสร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 7-9 หรือ พุทธศักราช 1393 ตั้งอยู่ทางภาคกลางของเกาะชวา ใกล้กับแม่น้ำโปรโก ห่างจากยอกยาการ์ตา ทางตะวันตกเฉียงเหนือ 40 กิโลเมตร บุโรพุทโธสร้างด้วยหินภูเขาไฟประมาณ 2 ล้านตารางฟุตบนฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 121 เมตร สูง 403 ฟุต เป็นรูปทรงแบบปิรามิด มีลานเป็นชั้งลดหลั่นกัน 8 ชั้น และใน 8 ชั้นนั้น 5 ชั้นล่างเป็นลาน 4 เหลี่ยม 3 ชั้นบนเป็นลานวงกลม และบนลานกลมชั้งสูงสุดมีพระสถูปตั้งสูงขึ้นไปอีก 31.5 เมตร เป็นมหาสถูปที่ระเบียงซ้อนกันเป็นชั้นๆลดหลั่นกันไป
• บุโรพุทโธ เชื่อกันว่าแผนผังของบุโรพุทโธคงหมายถึง “จักรวาล” และอำนาจของ “พระอาทิพุทธเจ้า” ได้แก่พระพุทธเจ้าผู้ทรงสร้างโลกในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ซึ่งแสดงโดยสถูปที่บนยอดสุดก็ได้แผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งจักรวาลนี้แบ่งออกเป็น ๓ ตอน คือชั้นบนสุดได้แก่ “อรุปธาตุ” ชั้นรองลงมาคือ “รูปธาตุ” และชั้นต่ำสุดคือ “กามธาตุ” 
พระเจดีย์องค์ใหญ่ที่อยู่บนยอดสูงสุดของ “บุโรพุทโธ” ก็คือสัญลักษณ์แทนองค์ “พระอาทิพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าสูงสุด ในคติความเชื่อพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง 
• สถูปเจดีย์ ที่มีรูปทรงโอ่งคว่ำเป็นแบบทึบนั้นก็คือสัญลักษณ์ของ “อรูปธาตุ” (ไม่ปรากฏร่างกาย) และเป็นเพียงสัญลักษณ์พระสถูปเจดีย์ดังกล่าวอันเป็นพลังสากลทั่วไปที่แผ่ไปทั่ว วสกลจักรวาล
• ฐานชั้นล่างสุดซึ่งเป็นฐานชั้นที่ ๑ ของ “บุโร พุทโธ” จะมีภาพสลักทั้งหมด “๑๖๐ ภาพ” โดยทุกภาพจะเป็นการเล่าเรื่องราวตาม “คัมภีร์ธรรมวิวังค์” ว่าด้วยเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ซึ่งก็คือเรื่องของ บาป บุญ คุณ โทษ
• ในปีพ.ศ. 2534 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้บุโรพุทโธเป็นมรดกโลก

มรดกโลก
บรมพุทโธได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 15 ภายใต้ชื่อ "กลุ่มวัดบรมพุทโธ" เมื่อปี พ.ศ. 2534 ที่เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนิเซีย ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้
(i) - เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์
(ii) - เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
(iv) - เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ


Borobudur, or Barabudur, is a 9th-century Mahayana Buddhist monument in Magelang, Central Java, Indonesia. The monument consists of six square platforms topped by three circular platforms, and is decorated with 2,672 relief panels and 504 Buddha statues.A main dome, located at the center of the top platform, is surrounded by 72 Buddha statues seated inside a perforated stupa.

Built in the 9th century during the reign of the Sailendra Dynasty, the temple’s design in Gupta architecture reflects India's influence on the region, yet there are enough indigenous scenes and elements incorporated to make Borobudur uniquely Indonesian. The monument is both a shrine to the Lord Buddha and a place for Buddhist pilgrimage. The journey for pilgrims begins at the base of the monument and follows a path around the monument and ascends to the top through three levels symbolic of Buddhist cosmology: Kāmadhātu (the world of desire), Rupadhatu (the world of forms) and Arupadhatu (the world of formlessness). The monument guides pilgrims through an extensive system of stairways and corridors with 1,460 narrative relief panels on the walls and the balustrades.

Evidence suggest Borobudur was constructed in the 9th century and abandoned following the 14th century decline of Buddhist and Hindu kingdoms in Java, and the Javanese conversion to Islam. Worldwide knowledge of its existence was sparked in 1814 by Sir Thomas Stamford Raffles, then the British ruler of Java, who was advised of its location by native Indonesians. Borobudur has since been preserved through several restorations. The largest restoration project was undertaken between 1975 and 1982 by the Indonesian government and UNESCO, following which the monument was listed as a UNESCO World Heritage Site.Borobudur is still used for pilgrimage; once a year Buddhists in Indonesia celebrate Vesak at the monument, and Borobudur is Indonesia's single most visited tourist attraction.

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::


5. โบสถ์หยดเลือด (Church of the Savior on Blood) ตั้งอยู่ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ประเทศรัสเซีย 

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/nuy8aaeiK3c

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/church-of-our-savior-on-the-spilled-blood-st-petersburg-russia#-676.00,-17.34,70.0


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/Yu4yV

โบสถ์หยดเลือด (Church of the Savior on Blood) ตั้งอยู่ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ประเทศรัสเซีย เริ่มก่อสร้างเมื่อ ปี ค.ศ. 1883 แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1907 เป็นอนุสรณ์ที่พระเจ้าอเล้กซานเดอร์ที่ 3 สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระบิดาพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ผู้ปลดปล่อยชาวนา ซึ่งถูกลอบปลงพระซนม์บริเวณนี้ ในปี ค.ศ. 1881 สร้างด้วยรูปแบบศิลปะยุคฟื้นฟู เลียนแบบโบสถ์โบราณในคริสตศวรรษที่ 12 ของกรุงมอสโก ถายในตกแต่งวิจิตรบรรจงด้วย ฝีมือจิตกรกว่า 30 คน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โบสถ์ได้รับความเสียหายจากระเบิด หลังสิ้นสุดสงครามจึงได้มีการบูรณะใหม่

โบสถ์หยดเลือด ซึ่งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ทรงสร้างขึ้นบนบริเวณที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 พระบิดาถูกลอบปลงพระชนม์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระบิดา ทรงนำรูปแบบสถาปัตยกรรมของรัสเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 มาใช้ในการก่อสร้าง มีลักษณะรูปทรงคล้ายวิหารเซนต์บาซิลที่กรุงมอสโคว์

โบสถ์แห่งหยดเลือด นี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 (Alexander II) ซึ่งถูกลอบปลงพระชนม์ ณ บริเวณที่ตั้งของโบสถ์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1881 จึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า โบสถ์แห่งการฟื้นคืนชีพ (Cathedral of the Resurrection of Christ) หรือที่คนรัสเซียรู้จักกันทั่วไปในชื่อ โบสถ์โมเสค ซึ่งภายในโบสถ์ประดับประดาด้วยรูปภาพโมเสคขนาดใหญ่อย่างวิจิตรตระการตา

โบสถ์ดังกล่าวสร้างขึ้นจากเงินบริจาคของประชาชนทั่วประเทศ รัสเซีย ศิสปกรรมการก่อสร้างเป็นรูปแบบรัสเซียในศตวรรษที่ 17 โดยมีรูปร่างคล้ายกับมหาวิหาเซนต์บาซิล ในกรุงมอสโคว์ ใช้เวลาการก่อสร้าง 20 ปี (ค.ศ.1887-1907) แต่ในยุคโซเวียตโบสถ์แห่งนี้ได้กลายเป็นโรงเก็บมันฝรั่งประจำเมือง และได้มีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ในช่วงทตวรรษ 1990 และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 1997

The Church of the Savior on Spilled Blood (Russian: Церковь Спаса на Крови, Tserkovʹ Spasa na Krovi) is one of the main sights of St. Petersburg, Russia. It is also variously called the Church on Spilt Blood (Russian: Церковь на Крови, Tserkov’ na Krovi) and the Cathedral of the Resurrection of Christ (Russian: Собор Воскресения Христова, Sobor Voskreseniya Khristova), its official name.

"The preferred Russian name for this great church is Храм Спаса на Крови (Khram Spasa na Krovi), but each English-language tourist publication seems to list it under a different name. The moniker of "Spilled Blood" is most popular in preference to the likes of the Church of the Resurrection, Church of our Savior on the Blood, Cathedral of the Ascension, Resurrection of the Christ, or Assumption, Church of the Redeemer, or any permutation of the above." 

This Church was built on the site where Tsar Alexander II was assassinated and was dedicated in his memory. It should not to be confused with the Church on Blood in Honour of All Saints Resplendent in the Russian Land, located in the city of Yekaterinburg where the former Emperor Nicholas II (1868–1918) and several members of his family and household were executed following the Bolshevik Revolution.

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: ticketdiscountsrussia.blogspot.com ::

6. หาดไวท์ฮาเว่น  (Beach) หมู่เกาะวิธซันเดย์ (Whitsunday Islands) ประเทศออสเตรเลีย 


 

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/qaA0OhPBaso

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/hill-inlet-lookout-whitehaven-beach-queensland-1#308.17,18.10,80.4



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/2HJ94

หาดไวท์ฮาเว่น (Whitehaven Beach) ประเทศออสเตรเลีย ความขาวของหาดไวท์ฮาเว่นที่เป็นหนึ่งในหมู่เกาะวิธซันเดย์ (Whitsunday Islands) อันโด่งดังของออสเตรเลีย ได้รับการยอมรับว่าขาวที่สุดในโลกด้วยเม็ดทรายตกผลึกซิลิการะยิบระยับถึง 98 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งเป็นชายหาดที่ไกลที่สุด เพราะสามารถเดินทางไปถึงโดยเรือเท่านั้นและไม่มีที่พักบนหาดแห่งนี้เลย นักท่องเที่ยวจึงมักจะเลือกพักที่เกาะฮามิลตันเป็นเกาะที่อยู่ใกล้ ๆ กัน เช่น โรงแรมควอเลีย หรูระดับ 5+ดาว สไตล์วิลล่ามีระเบียงส่วนตัวให้มองเห็นวิวของเกาะโดยรอบได้อย่างน่าทึ่ง โรงแรม ฮามิลตัน ไอซ์แลนด์ บีช คลับ บูติคระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่บนหาดส่วนตัวที่สามารถมองเห็นวิวหมู่เกาะวิธซันเดย์ได้กว้างไกล …


Whitehaven Beach, Whitsundays Island, Queensland, Australia
Whitehaven Beach is a 7 km stretch along Whitsunday Island. The island is accessible by boat from the mainland tourist ports of Airlie Beach and Shute Harbour, as well as Hamilton Island.

The beach was awarded Queensland's Cleanest Beach in Keep Australia Beautiful's 2008 Clean Beach Challenge State Awards.In July 2010, Whitehaven Beach was named the top Eco Friendly Beach in the world by CNN.com.
Dogs are not permitted on the beach and cigarette smoking is prohibited.

Sand
Whitehaven Beach is known for its white sands. The sand consists of 98% pure silica which gives it a bright white color. Local rocks do not contain silica so it has been suggested that the sands were brought to the beach via prevailing sea currents over millions of years.

Unlike regular sand, the sand on Whitehaven Beach does not retain heat making it comfortable to walk barefoot on a hot day. This sand is also very fine, and can damage electronic equipment such as telephones and cameras, although it is good at polishing up jewellery.

Discovery
The beach was named and discovered in 1879 by Staff Commander EP Bedwell. Being one of the many names from the then English county of Cumberland Bedwell brought to the area following James Cook's 1770 naming of the island group The Cumberland Islands.

Events
The beach was named and discovered in 1879 by Staff Commander EP Bedwell. Being one of the many names from the then English county of Cumberland Bedwell brought to the area following James Cook's 1770 naming of the island group The Cumberland Islands.

:: travel.kapook.com ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::


7. ถ้ำครูเบรา ถ้ำที่ลึกที่สุดในโลก 
 (Krubera Cave or Voronya Cave) 
ประเทศจอร์เจีย ลึก 2,191 ± 20 เมตร ค้นพบเมื่อปี 1960 


 * ชมแผนที่ลงไปในถ้ำค่ะ -> http://www.espeleozaragoza.com/Docs/EEA2010/krubera_profile_large.gif 


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/odBac

The Krubera Cave (or the Voronya Cave, sometimes spelled Voronja Cave) is the deepest known cave on Earth. It is located in the Arabika Massif of the Gagrinsky Range of the Western Caucasus, in the Gagra district of Abkhazia.

The difference in the altitude of the cave's entrance and its deepest explored point is 2,191 ± 20 metres (7,188 ± 66 ft). It became the deepest-known cave in the world in 2001 when the expedition of the Ukrainian Speleological Association reached a depth of 1,710 m (5,610 ft) which exceeded the depth of the previously deepest cave, Lamprechtsofen, in the Austrian Alps, by 80 m. In 2004, for the first time in the history of speleology, the Ukrainian Speleological Association expedition reached a depth greater than 2,000 m, and explored the cave to −2,080 m (−6,824 ft). The current maximum depth of 2,191 m was reached during a 46 m dive by Gennadiiy Samokhin into the terminal sump during the expedition of the Ukrainian Speleological Association in August–September 2007. The cave remains the only known cave on Earth deeper than 2,000 metres.

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

8. ฮิดเด้น บีช หาดลี้ลับ (Hidden Beach) ประเทศเม็กซิโก

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/MRogSGL0qVw



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/GDtF1

Hidden Beach ตั้งอยู่ในหมู่เกาะมารีเอต้า (Marieta Islands) นอกชายฝั่งเมืองปอร์ตู บาร์ยาตา (Puerto Vallarta) ในรัฐฮาลิสโก (Jalisco) อยู่นอกชายฝั่งของเม็กซิโก

เกาะ Marieta (สเปน: หมู่ Marietas) เป็นกลุ่มของหมู่เกาะห่างไกลผู้คนขนาดเล็กเพียงไม่กี่ไมล์นอกชายฝั่งของ Nayarit, เม็กซิโก พวกเขาเป็นที่นิยมมากสถานที่ท่องเที่ยว เพราะเป็นทะเลอุดมสมบูรณ์เนื่องจากถูกปกป้องจากการประมงและการล่าสัตว์โดยรัฐบาลเม็กซิโก.

เกาะ Marieta เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟและไม่มีคนอาศัยอยู่ ในช่วงต้นทศวรรษ 1900 รัฐบาลเม็กซิโกเริ่มการดำเนินการทดสอบทางทหารบนเกาะเพราะไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่น ระเบิดจำนวนมากและระเบิดขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นบนเกาะทำให้เกิดถ้ำที่น่าตื่นตาตื่นใจและหินที่ถูกสร้างขึ้น หลังจากการเรียกร้องจากต่างประเทศ ที่เริ่มโดยนักวิทยาศาสตร์ Jacques Cousteau ในปลาย 1960s รัฐบาลในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะติดป้ายเกาะอุทยานแห่งชาติและป้องกันจึงใด ๆ กับกิจกรรมการตกปลาล่าสัตว์หรือมนุษย์

การท่องเที่ยว
การป้องกันโดยรัฐบาลได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาของระบบนิเวศทางทะเลและเป็นที่นิยมสำหรับการดำน้ำและการดำน้ำ.คนมักจะเห็น เต่าทะเลปลากระเบนราหู, ปลาหมึก, ปลาโลมาป่าปลาวาฬหลังค่อมและหลายพัน ของสายพันธุ์ของปลาเขตร้อนรอบ ๆ เกาะ เกาะนี้ยังมีบ้านที่นกนับพันไม่กี่สายพันธุ์เช่นโรงพยาบาลสีฟ้าเท้า ปัจจุบันรัฐบาลเม็กซิโกให้เพียงไม่กี่ บริษัท ที่จะไปเกาะเพื่อจัดทัวร์เพราะความพยายามอนุรักษ์

Hidden beach on Marieta Islands, off the coast of Puerto Vallarta, Mexico.
Marieta Islands
From Wikipedia, the free encyclopedia

One of the islands
The Marieta Islands (Spanish: Islas Marietas) are a group of small uninhabited islands a few miles off the coast of Nayarit, Mexico. They are very popular tourist destinations because of the abundant marine life populations due to the islands being protected from fishing and hunting by the Mexican government.

History
The Marieta Islands were originally formed many thousands of years ago by volcanic activity, and are completely uninhabited. The islands are about an hour long boat ride west-northwest from the coast of Puerto Vallarta and are visited daily by hundreds of tourists, yet no one can legally set foot on the islands. In the early 1900s the Mexican government began conducting military testing on the islands because no one lived there. Many bombings and large explosions took place on the islands causing amazing caves and rock formations to be created. After a massive international outcry, started by scientist Jacques Cousteau in the late 1960s, the government eventually decided to label the islands a national park and therefore protected against any fishing, hunting or human activity.

Tourism
Protection by the government has created an environment conducive to the development of the marine ecosystem, and is a popular location for snorkeling and scuba diving.[2] People often report seeing sea turtles, manta rays, octopus, wild dolphins, humpback whales and thousands of species of tropical fish around the islands. The islands are also home to a few thousands birds, with species such as the Blue-footed Booby. Currently, the Mexican government allows only a few companies to go to the islands for public tours because of conservationist efforts.


9. วิหาร ลาส ลาจาส ประเทศโคลอมเบีย
โบสถ์โกธิค ที่ราวกับจะอยู่ในแดนเทพนิยาย


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/ifAJ_DEtwWM

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/santuariolajascolombiaipiales#-306.48,-2.64,52.1



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/wiOgb

วิหาร ลาส ลาจาส เป็นคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิค ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 7 กิโลเมตร ถูกสร้างขึ้นในหุบเขาลึกซึ่งเบื้องล่างคือ แม่น้ำไกวยตารา (Guáitara) แม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งของประเทศโคลอมเบียนั้นเอง โดยวิหารถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 1916 ถึง วันที่ 20 สิงหาคม 1949

แรงบันดาลใจสำหรับการสร้าง วิหาร ลาส ลาจาส เป็นผลมาจากเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ใน 1754 เมื่อ ที่นีคือสถานที่ซึ่งสตรีอินเดียแดงนาม มาเรีย มูเอเซส เดอร์ ควีโนเนซ ได้อุ้ม โรซ่า ธิดาหูหนวกตาบอดของเจ้าหล่อนเอาไว้บนหลัง ใกล้ๆ กับ ลาส ลาจาส (ภูผาศิลา) ด้วยความเมื่อยล้าจากการปีนป่าย มาเรียได้นั่งลงบนก้อนหินในบริเวณนั้น และเป็นตอนนั้นนั่นเองที่โรซ่าเปิดปากพูดได้เป็นครั้งแรก หลังเห็นภาพนิมิตปริศนาในถ้ำ ซึ่งภายหลังจากนั้นก็มีการพบภาพวาดของพระนางพรหมจารีย์มารีอาอุ้มพระกุมาร ถูกวาดไว้ในผนังของถ้ำนั้น ที่น่าอัศจรรย์คือ จากการศึกษาพบว่าภาพวาดนั้นไม่ได้เกิดจากการวาดภาพลงบนหิน หรือมีเศษสีปรากฏอยู่เลย เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สีดังกล่าวติดประทับแน่นจากในตัวหินเอง ลึกเข้าไปหลายฟุต

ไม่ว่าตำนานดังกล่าวจะจริงหรือเท็จ ตำนานดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่โด่งดังพอที่จะดึงดูดให้สร้างโบสถ์สำหรับเหตุ อัศจรรย์ขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ได้

Las Lajas Sanctuary (Spanish: Santuario de Las Lajas) is a minor basilica church located in the southern Colombian Department of Nariño, municipality of Ipiales and built inside the canyon of the Guáitara River.

The present church was built in Gothic Revival style in 1949. The name Laja comes from the name of a type of flat sedimentary rock similar to shale.

The inspiration for the church's creation was a result of a miraculous event in 1754 when an Amerindian named Maria Mueces and her deaf-mute daughter Rosa were caught in a very strong storm. The two sought refuge between the gigantic Lajas, when to Maria Mueces's surprise, her mute daughter, Rosa exclaimed "the mestiza is calling me..." and pointed to the lightning-illuminated silhouette over the laja. This apparition of the Virgin Mary caused pilgrimage to this location, with occasional miraculous cases of healing reported. The image on the stone is still visible today.

The existence of a shrine in this location was recorded in the accounts of friar Juan de Santa Gertrudis's journey through the southern region of the New Kingdom of Granada between 1756 and 1764. The first shrine was built here in the middle of 18th century from straw and wood. It was replaced with a new, larger shrine in 1802, which in turn was extended and connected to the opposite side of canyon with a bridge.

The current church was built in the time period from January 1, 1916 to August 20, 1949, with donations from local churchgoers. It rises 100 m high from the bottom of the canyon and is connected with a 50 m tall bridge to the opposite side of the canyon.

In 1951 the Roman Catholic Church authorized the Nuestra Señora de Las Lajas Virgin, and it declared the sanctuary a minor basilica in 1954.

: Wikipedia, the free encyclopedia ::




10. แกลสตันเบอร์รี่ ทอร์ ภูเขาและที่สูงคือสะพานเชื่อมต่อระหว่างโลกและสวรรค์ 
และตามรอยกษัตริย์อาร์เธอและเทศกาลดนตรีที่ เมืองแกลสตันเบอร์รี่ สหราชอาณาจักร 

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/G3YsR4JmCY4


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/mPb2O

Glastonbury Tor ซึ่งแคเรนบอกว่า คำว่า Tor ก็มีความหมายเช่นเดียวกับ Tower นั่นเอง 

ลักษณะของ Glastonbury Tor จึงเป็นหอสูงพุ่งชะลูดขึ้นไปในอากาศ ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา แต่พอมาถึงวันนี้ ล้วนกลายเป็นซากหักพัง ผุกร่อนไปตามกาลเวลา 

หอนี้ถือเป็นจุดสำคัญประจำเมือง เนื่องด้วยเป็นโบราณสถาน หอแห่งนี้จึงมีตำนานในเรื่องของความลึกลับ เชิงมิติพิศวง กล่าวกันว่าเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยวิญญาณอันแรงกล้า ที่มีการสร้างขึ้นอย่างแปลกประหลาด เช่นเดียวกับกองหิน Stonehenge 

เดิมมีวิหารโบราณแบบกรีก ปลูกสร้างอยู่ในลักษณะทรงกลม ในสมัยโบราณ หอคอย Glastonbury เปรียบได้กับเกาะแก่งกลางน้ำ เพราะแผ่นดินในแคว้น Somerset มักจะถูกน้ำท่วมเจิ่งนองเสมอ ทำให้เข้าถึงหอคอยไม่ได้ง่ายๆนัก 

Glastonbury Tor จึงกลายเป็นสถานที่อันเปลี่ยวร้างและศักดิ์สิทธิ์ คนโบราณเชื่อว่า ภูเขาและที่สูงคือสะพานเชื่อมต่อระหว่างโลกและสวรรค์ ดังนั้น หอคอยแห่งนี้ก็ได้รับการเปรียบเปรยในทำนองเดียวกัน ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกวัตถุกับมิติอันลี้ลับอัน เป็นโลกของเทพอันศักดิ์สิทธิ์และทรงอำนาจ 

แกลสตันเบอร์รี่ เป็นเมืองซอร์เมอร์เซ็ทขนาดเล็กที่มีชื่อเสียงของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะในด้านสถานที่จัดเทศกาลประจำปีของแกลสตันเบอร์รี่ แล้วคุณจะไม่ผิดหวัง คุณจะพบกับการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างมนต์เสน่ห์เมืองขนาดเล็กของอังกฤษ วัฒนธรรมยุคใหม่ที่แตกต่าง ตลอดจนประวัติศาสตน์ทางศาสนาที่มีมนต์ขลัง

แกลสตันเบอร์รี่ (Glastonbury) เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่อยู่คู่กับตำนานและเรื่องเล่าที่มีสีสัน แอ็บบีย์ เป็นศูนย์กลางของการเดินทางแสวงบุญและหลายๆคนเชื่อว่าเป็นที่ฝังศพของกษัตริย์อาร์เธอร์ ท่ามกลางโบราณวัตถุ โดยมีการกล่าวขานว่าเมื่อครั้งพระเยซูคริสต์ยังเยาว์วัยเคยมาเยี่ยมแกสตันเบอร์รี่และกล่าวกันว่าจอกศักดิ์สิทธิ์ถูกซ่อนอยู่แถวๆ นี้ 

นอกจากนี้ยังมีร้านค้าอิสระแปลกๆ มากมายที่ขายของทุกอย่างตั้งแต่ฮีลลิ่งคริสตัลไปจนถึงเค้ก ตลาดประจำสัปดาห์ของแกสตันเบอร์รี่ ซึ่งมีอาหารโฮมเมดและงานฝีมือ จากนั้นไปชมโบสถ์ในยุคกลาง ยอดหินของภูเขาแกสตันเบอร์รี่ที่มีทิวทัศน์อันน่าทึ่งโดยปกคลุมทั่วทั้งแคว้น และชนบทอันงดงามที่แวดล้อมด้วยทิวเขาคดเคี้ยวเลี้ยวลดและทุ่งสีเหลืองอ่อน หากคุณกำลังมองหาที่พึ่งพิงทางจิตใจ 

สนุกกับกิจกรรมท่องเที่ยวแกลสตันเบอร์รี่ ปีนเขา Glastonbury Tor เพื่อสัมผัสความตื่นเต้นและชมวิว สำรวจซากปรักหักพังที่น่าค้นหาของ Glastonbury Abbey หนึ่งในแหล่งที่ตั้งของชาวคริสเตียนยุคต้นในอังกฤษ จากนั้นเยี่ยมชม Chalice Well อันศักดิ์สิทธิ์ที่แวดล้อมด้วยสวนเงียบสงบ สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ชาวชนบทแบบดั้งเดิมได้ฟรีที่ Somerset Rural Life Museum 

ผ่อนคลายกับเหล้าแอปเปิ้ล 'scrumpy' ที่ทำจากแอปเปิ้ลซอร์เมอร์เซ็ท จากนั้นไปเข้าร่วมงานเทศกาลที่ซอร์เมอร์เซ็ท มาร์ดิ แกรส ขบวนแห่ไฟที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป 

ในเดือนมิถุนายนเพื่อดูการแสดงของวงดนตรีที่ใหญ่ที่สุด ในงานเทศกาล Glastonbury Festival หรือจะสุดยอดเชดดาร์ชีสดั้งเดิม เหล้าองุ่นที่มีสีเหลืองทองอร่าม…ซอร์เมอร์เซ็ทเป็นแหล่งผลิตอาหารรสเลิศที่สุดในสหราชอาณาจักร แกลสตันเบอร์รี่มีร้านอาหารอร่อย ผับบรรยากาศดีๆ และเป็นแหล่งรวมตลาดของชาวนาประจำภูมิภาคในทุกๆเดือน 

Glastonbury Tor is a hill at Glastonbury, Somerset, England, which features the roofless St. Michael's Tower. The site is managed by the National Trust. It has been designated as a Scheduled Ancient Monument (No: 196702)

Tor is a local word of Celtic origin meaning 'rock outcropping' or 'hill'. The Tor has a striking location in the middle of a plain called the Summerland Meadows, part of the Somerset Levels. The plain is actually reclaimed fenland out of which the Tor once rose like an island, but now, with the surrounding flats, is a peninsula washed on three sides by the River Brue. The remains of Glastonbury Lake Village nearby were identified in 1892, showing that there was an Iron Age settlement about 300–200 BC on what was an easily defended island in the fens. Earthworks and Roman remains prove later occupation. The spot seems to have been called Ynys yr Afalon (meaning "The Isle of Avalon") by the Britons, and it is believed by some to be the Avalon of Arthurian legend.

A model of Glastonbury Tor was incorporated into the opening ceremony of the 2012 Summer Olympics in London. As the athletes entered the stadium, their flags were displayed on the terraces of the model.

Glastonbury (/ˈɡlæstənbəri/) is a small town in Somerset, England, situated at a dry point on the low lying Somerset Levels, 23 miles (37 km) south of Bristol. The town, which is in the Mendip district, had a population of 8,784 in the 2001 census. Glastonbury is less than 1 mile (2 km) across the River Brue from Street, which is now larger than Glastonbury.

Evidence from timber trackways such as the Sweet Track show that the town has been inhabited since Neolithic times. Glastonbury Lake Village was an Iron Age village, close to the old course of the River Brue and Sharpham Park approximately 2 miles (3.2 km) west of Glastonbury, that dates back to the Bronze Age. Centwine was the first Saxon patron of Glastonbury Abbey, which dominated the town for the next 700 years. One of the most important abbeys in England, it was the site of Edmund Ironside's coronation as King of England in 1016. Many of the oldest surviving buildings in the town, including the Tribunal, George Hotel and Pilgrims' Inn and the Somerset Rural Life Museum, which is based in an old tithe barn, are associated with the abbey. The Church of St John the Baptist dates from the 15th century.

The town became a centre for commerce, which led to the construction of the market cross, Glastonbury Canal and the Glastonbury and Street railway station, the largest station on the original Somerset and Dorset Joint Railway. The Brue Valley Living Landscape is a conservation project managed by the Somerset Wildlife Trust and nearby is the Ham Wall National Nature Reserve.

Glastonbury has been described as a New Age community which attracts people with New Age and Neopagan beliefs, and is notable for myths and legends often related to Glastonbury Tor, concerning Joseph of Arimathea, the Holy Grail and King Arthur. In some Arthurian literature Glastonbury is identified with the legendary island of Avalon. Joseph is said to have arrived in Glastonbury and stuck his staff into the ground, when it flowered miraculously into the Glastonbury Thorn. The presence of a landscape zodiac around the town has been suggested but no evidence has been discovered. The Glastonbury Festival, held in the nearby village of Pilton, takes its name from the town.

: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: travel.thaiza.com ::
:: flickr.com ::

11. อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park)  เสน่ห์และมนตราแห่งภูผาสีแดง รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา 

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/p4IEkQTxXUM

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/saddle-to-angels-landing-utah#-766.57,1.61,70.0



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/TmDf8

อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park)  อยู่ที่เมือง Springdale  รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา  เป็นหุบเขารูปตัววี เกิดจากการกัดเซาะชั้นหินทรายของแม่น้ำเวอร์จิน (Virgin River)  เป็นเวลาหลายล้านปีจนเกิดเป็นร่องเขาลึกกว่า 2000 ฟุต  (เช่นเดียวกับที่แม่น้ำโคโลราโดสกัดหุบเขาแกรนด์แคนยอน)   จากนั้นจึงถูกสกัดโดยลม ฝน และหิมะ ให้เป็นรูปเป็นร่างอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

จุดชมวิวที่สูงที่สุดและน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคือที่ยอด Angels Landing  ช่วงแรกต้องเดินขึ้นบันไดซิกแซกไปเรื่อย ๆ  ถึงช่วงบนต้องมีการปีนป่ายกันบ้าง

อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park) เป็นอุทยานแห่งชาติทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ใกล้กับ Springdale มลรัฐยูทาห์ เมื่อ พ.ศ. 2452 ประธานาธิบดี William Howard Taft ได้ประกาศบริเวณนี้ให้เป็น National monument เพื่ออนุรักษ์พื้นที่หุบเขา ภายใต้ชื่อว่า Mukuntuweap National Monument ต่อมาใน พ.ศ. 2461 acting director จาก National Park Service ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ได้เปลี่ยนชื่ออุทยานเป็น Zion เนื่องจากชื่อเดิมไม่เป็นที่ไม่เป็นที่นิยมในท้องถิ่น Zion เป็นคำในภาษาฮิบรูโบราณ หมายถึง สถานที่หลบลี้ภัย ซึ่งชื่อนี้ได้รับการต้อนรับเชิงบวกมากขึ้นจากสาธารณชน ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 United States Congress ได้ประกาศให้ monument แห่งนี้เป็นอุทยานแห่งชาติ จนกระทั่ง พ.ศ. 2480 Kolob section ได้ประกาศ Zion National Monument แยกต่างหากอย่างเป็นทางการ แต่ได้นำมาผนวกรวมเข้ากับอุทยานเมื่อ พ.ศ. 2499

อุทยานแห่งนี้มีพื้นที่ 593 ตร.กม. มีสถานที่สำคัญคือ หุบเขาไซออน ซึ่งยาว 15 กิโลเมตร และลึก 800 เมตร ตัดผ่าน Najavo Sandstone สีแดงโดยสาขาเหนือของแม่น้ำเวอร์จิน เนื่องจากตั้งอยู่ที่จุดเชื่อมต่อระหว่างที่ราบสูงโคโลราโด , Great Basin, และทะเลทราย Mojave อุทยานแห่งนี้จึงมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเอกลักษณ์และมี Life zone ที่หลากหลาย ทำให้มีความหลากหลายของพืชและสัตว์สูงมาก โดยภายในอุทยานจะแบ่งออกเป็น 4 Life zones ได้แก่ ทะเลทราย, Riparian, Woodland และป่าสน มีนก 289 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 75 ชนิด (โดยมีค้างคาว 19 ชนิด) สัตว์เลื้อยคลาน 32 ชนิด และพืชอีกหลายชนิด โดยมีสัตว์เฉพาะถิ่นที่สำคัญคือ Mountain Lions, Mule Deer, และนกอินทรีทอง รวมทั้งสัตว์ที่นำกลับเข้ามาสู่ถิ่นฐานอีกครั้งอย่าง California Condor และ Bighorn Sheep พืชที่พบได้ทั่วไปได้แก่ Cottonwood, Cactus, Datura, Juniper, Pine, Boxelder, Sagebrush, yucca , และ willows ชนิดต่างๆ


Zion National Park is located in the Southwestern United States, near Springdale, Utah. A prominent feature of the 229-square-mile (590 km2) park is Zion Canyon, which is 15 miles (24 km) long and up to half a mile (800 m) deep, cut through the reddish and tan-colored Navajo Sandstone by the North Fork of the Virgin River. The lowest elevation is 3,666 ft (1,117 m) at Coalpits Wash and the highest elevation is 8,726 ft (2,660 m) at Horse Ranch Mountain. Located at the junction of the Colorado Plateau, Great Basin, and Mojave Desert regions, the park's unique geography and variety of life zones allow for unusual plant and animal diversity. Numerous plant species as well as 289 species of birds, 75 mammals (including 19 species of bat), and 32 reptiles inhabit the park's four life zones: desert, riparian, woodland, and coniferous forest. Zion National Park includes mountains, canyons, buttes, mesas, monoliths, rivers, slot canyons, and natural arches.

Human habitation of the area started about 8,000 years ago with small family groups of Native Americans; the semi-nomadic Basketmaker Anasazi (300 CE) stem from one of these groups. In turn, the Virgin Anasazi culture (500 CE) developed as the Basketmakers settled in permanent communities.[ A different group, the Parowan Fremont, lived in the area as well. Both groups moved away by 1300 and were replaced by the Parrusits and several other Southern Paiute subtribes. Mormons came into the area in 1858 and settled there in the early 1860s. In 1909, U.S. President William Howard Taft named the area a National Monument to protect the canyon, under the name of Mukuntuweap National Monument. In 1918, however, the acting director of the newly created National Park Service changed the park's name to Zion. According to historian Hal Rothman, "The name change played to a prevalent bias of the time. Many believed that Spanish and Indian names would deter visitors who, if they could not pronounce the name of a place, might not bother to visit it. The new name, Zion, had greater appeal to an ethnocentric audience." The United States Congress established the monument as a National Park on November 19, 1919. The Kolob section was proclaimed a separate Zion National Monument in 1937, but was incorporated into the park in 1956.

The geology of the Zion and Kolob canyons area includes 9 formations that together represent 150 million years of mostly Mesozoic-aged sedimentation. At various periods in that time warm, shallow seas, streams, ponds and lakes, vast deserts, and dry near-shore environments covered the area. Uplift associated with the creation of the Colorado Plateaus lifted the region 10,000 feet (3,000 m) starting 13 million years ago.

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::


12. น้ำตกก๊อดด้าฟอสส์ น้ำตกพระเจ้า "waterfall of the gods." ประเทศไอซ์แลนด์


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/85m3riVoago

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/godafoss-waterfal#-277.97,13.27,110.0



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/b3EDL

น้ำตกก๊อดด้าฟอสส์ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของ เมืองอาคูเรย์รี่ สถานที่ท่องเที่ยว ประเทศไอซ์แลนด์ โดยน้ำตกอยู่ในเขตทะเลสาบมินท์วาท น้ำตกก๊อดด้าฟอสส์ เป็นหนึ่งในน้ำตกที่มีความงดงามากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไอซ์แลนด์

น้ำตก Goðafoss ที่เป็นภาษาไอซ์แลนด์มาจากคำว่า Goði ที่แปลว่าพระเจ้า และ Foss ที่แปลว่าน้ำตก หมายถึงตำตกของพระเจ้า (waterfall of the gods or waterfall of the) มีความสูงประมาณ 12 เมตร กว้าง 30 เมตร เชื่อมมาจากแม่น้ำ   Skjálfandafljót เป็นน้ำตกที่มีความงดงาม เป็นเอกลักษณ์อีกแห่งหนึ่งในประเทศไอซ์แลนด์ ส่วนที่ได้ชื่อว่าน้ำตกของพระเจ้าเพราะมีเรื่องเล่าว่า ในปีที่ 999 หรือ 1000 Lawspeaker Þorgeir Ljósvetningagoði นักบวชในศาสนาคริสต์ ได้เข้าที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาในดินแดนที่ชื่อว่าประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งขณะนั้นคริสต์ศาสนาเขามาตั้งมั่นแล้ว คราวหนึ่งเขาประชุมที่รัฐสภา (Alþingi) ตอนไปก็ยังดีดีอยู่ แต่เมื่อกลับมาไม่รู้ด้วยความขัดใจ หรือโกธาประการใด หรือแพ้โหวตเลือกตั้งนายกไม่ทราบได้ กลับมาถึงจุดที่เป็นน้ำตกแห่งนี้ เลยโยนรูปปั้นเทพเจ้านอร์ส ซึ่งเป็นรูปเคารพของชาวนอร์สในขณะนั้น ลงน้ำตกไป  เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องดัง  และกล่าวขวัญ พร้อมถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ไอซ์แลนด์ด้วย นับแต่นั้นมา

สำหรับชื่อน้ำตกแห่งนี้ได้ถูกเรียกขานว่าน้ำตกของพระเจ้า "Godafoss" เพราะเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าของชาวนอร์ส ที่ถูกขว้างลงนำไป ทั้งเพื่อเป็นการระลึกถึงผู้เสียชีวิตในเรือสินค้าของไอซ์แลนด์ที่ถูกจมโดยกองเรือเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 เรียกว่ามีประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพระเจ้า และความตายด้วยประการฉะนี้แล ชื่อ จึงถูกเรียกว่าน้ำตกของพระเจ้า 


The Goðafoss (Icelandic: waterfall of the gods or waterfall of the goði) is one of the most spectacular waterfalls in Iceland. It is located in the Mývatn district of North-Central Iceland at the beginning of the Sprengisandur highland road. The water of the river Skjálfandafljót falls from a height of 12 meters over a width of 30 meters.

In the year 999 or 1000 the Lawspeaker Þorgeir Ljósvetningagoði made Christianity the official religion of Iceland. After his conversion it is said that upon returning from the Alþingi, Þorgeir threw his statues of the Norse gods into the waterfall. Þorgeir's story is preserved in Ari Þorgilsson's Íslendingabók.

A window in the Cathedral of Akureyri (Akureyrarkirkja) illustrates this story.
Named after the waterfall was MS Goðafoss, an Icelandic ship carrying both freight and passengers, that was sunk by a German U-Boat in World War II, resulting in great loss of lives.

:: oknation.net ::
:: photography.nationalgeographic.com ::
Wikipedia, the free encyclopedia

13. ห้องกระจก พระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส
Hall of Mirrors (Palace of Versailles)



* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/852eroBwDrA


 

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/YR0DqcgI_5I

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.stockholm360.net/fp.php?id=versailles-grand2



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/DB1M2

ห้องกระจก (Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors) เป็นห้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดซึ่งเคยใช้เป็น ห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และใช้เป็นที่ลงนาม ในเมื่อเยอรมนีบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ห้องนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำการก่อสร้างเอง ภายในห้องประกอบด้วยกระจกยักษ์ 17 บาน เปิดออกแล้วจะเห็นสวนแวร์ซายอันสวยงาม

พระราชวังแวร์ซาย (ฝรั่งเศส: Château de Versailles) เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่แวร์ซาย ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกรุงปารีส พระราชวังแวร์ซายเป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก

ประวัติ
เดิมนั้น เมืองแวร์ซายเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายน่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น

เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง

การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายแห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วยกิโยติน ในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายยังอยู่ในสภาพดีและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้

เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก
พระราชวังแวร์ซายได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่ประเทศอียิปต์ ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้
(i) - เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด
(ii) - เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
(vi) - มีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์

The Hall of Mirrors (French: Grande Galerie or Galerie des Glaces) is the central gallery of the Palace of Versailles and is renowned as being one of the most famous rooms in the world.

As the principal and most remarkable feature of King Louis XIV of France's third building campaign of the Palace of Versailles (1678–1684), construction of the Hall of Mirrors began in 1678 (Kimball, 1940; Nolhac, 1901; 1925; Marie, 1968; 1977; Verlet, 1985). To provide for the Hall of Mirrors as well as the salon de la guerre and the salon de la paix, which connect the grand appartement du roi with the grand appartement de la reine, architect Jules Hardouin-Mansart appropriated three rooms from each apartment as well as the terrace that separated the two apartments (Marie, 1968; 1977l Verlet, 1985a). The principal feature of this famous hall is the seventeen mirror-clad arches that reflect the seventeen arcaded windows that overlook the gardens. Each arch contains twenty-one mirrors with a total complement of 357 used in the decoration of the galerie des glaces (Verlet, 1985a). The arches themselves are fixed between marble pilasters whose capitals depict the symbols of France.

These gilded bronze capitals include the fleur-de-lys and the Gallic cockerel or rooster. Many of the other attributes of the Hall of Mirrors were lost to war for financial purposes, such as the silver table pieces and guéridons were melted by order of Louis XIV in 1689 to finance the War of the League of Augsburg, or the Nine Years' War (Dangeau, 1854-6; Josephson, 1926; Mercure Galant, 1682; Cosnac, 1984; Verlet, 1985a).


The Palace of Versailles ( /vɛərˈsaɪ/ vair-sy or /vərˈsaɪ/; French: [vɛʁsɑj]), or simply Versailles, is a royal château in Versailles in the Île-de-France region of France. In French it is the Château de Versailles.

When the château was built, Versailles was a country village; today, however, it is a suburb of Paris, some 20 kilometres southwest of the French capital. The court of Versailles was the centre of political power in France from 1682, when Louis XIV moved from Paris, until the royal family was forced to return to the capital in October 1789 after the beginning of the French Revolution. Versailles is therefore famous not only as a building, but as a symbol of the system of absolute monarchy of the Ancien Régime.

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::

14. วัดทานาห์ลอต (Tanah Lot) 
หนึ่งในสถานที่ที่นิยมที่สุดในบาหลีตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของบาหลีที่หมู่บ้านของ Beraban ใน Tabanan ประเทศอินโดนีเซีย

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/LYGZqXpz0t8

* ชมภาพ Pura Tanah Lot แบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/pura-tanah-lot-bali-indonesia#-1063.54,3.52,110.0

* ชมภาพ A small temple on Tanah Lot Cliffs แบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/bali-a-small-temple-on-tanah-lot-cliffs#343.60,36.80,85.8


ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/upJis

วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในทำเลที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร อยู่บนผาหินใหญ่คล้ายเกาะเล็กๆ นอกชายฝั่งในเวิ้งอ่าว ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะชายฝั่งของเกลียวคลื่น เวลาน้ำขึ้น น้ำทะเลจะท่วมรอบเกาะมองดูเหมือนวัดลอยน้ำอยู่ ถือเป็นวัดริมทะเล ของเกาะบาหลีที่มีภูมิทัศน์สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง จึงมีนักท่องเที่ยวแห่กันมาชมจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน

ตามประวัติ ผู้สร้าง ทานาห์ลอต คือ ดัง ฮยัง นิราร์ธา นักบวชฮินดูในยุตศตวรรษที่ 15 ทานาห์ลอต หรือดินแดนในทะเล สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อบูชาเทพเจ้าทะเลบาหลี… เชื่อกันว่าท่านดัง ฮยัง นิราร์ธา ได้โยนผ้าคาดเอวลงทะเลให้กลายเป็นอสรพิษศักดิ์สิทธิ์อาศัยที่ฐานของเกาะหิน งูทะเลมีพิษอาศัยในโพรงใต้ฐานหินของตัววัด เพื่อป้องกันวัดจากวิญญาณชั่วร้ายและผู้บุกรุก 

Tanah Lot
Tanah Lot is a rock formation off the Indonesian island of Bali. It is home of a pilgrimage temple, the Pura Tanah Lot (literally "Tanah Lot temple"), and a popular tourist and cultural icon for photography and general exoticism.

Tanah Lot means "Land [sic: in the] Sea" in the Balinese language.Located in Tabanan, about 20 kilometres (12 mi) from Denpasar, the temple sits on a large offshore rock which has been shaped continuously over the years by the ocean tide.

Tanah Lot is claimed to be the work of the 15th-century priest Nirartha. During his travels along the south coast he saw the rock-island's beautiful setting and rested there. Some fishermen saw him, and bought him gifts. Nirartha then spent the night on the little island. Later he spoke to the fishermen and told them to build a shrine on the rock for he felt it to be a holy place to worship the Balinese sea gods.

The Tanah Lot temple was built and has been a part of Balinese mythology for centuries. The temple is one of seven sea temples around the Balinese coast. Each of the sea temples were established within eyesight of the next to form a chain along the south-western coast. However, the temple had significant Hindu influence.

At the base of the rocky island, poisonous sea snakes are believed to guard the temple from evil spirits and intruders. A giant snake purportedly protects the temple, which was created from Nirartha's scarf when he established the island.

Restoration
In 1980, the temple's rock face was starting to crumble and the area around and inside the temple started to become dangerous. The Japanese government then provided a loan to the Indonesian government of Rp 800 billion (approximately USD $130 million) to conserve the historic temple and other significant locations around Bali. As a result, over one third of Tanah Lot's "rock" is actually cleverly disguised artificial rock created during the Japanese-funded and supervised renovation and stabilization program.

Tourism
The area leading to Tanah Lot is highly commercialized and people are required to pay to enter the area. To reach the temple, visitors must walk through a carefully planned set of Balinese market-format souvenir shops which cover each side of the path down to the sea. On the mainland cliff tops, restaurants have also been provided for tourists.
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::

15. ภาพถ่ายที่ บริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา
(British Columbia Canada)
ผลงานของ kevin mcnea


 

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/kHcl8FFvDyY



* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/fAVy4

รัฐบริติชโคลัมเบีย (ภาษาอังกฤษ: British Columbia; ภาษาฝรั่งเศส: la Colombie-Britannique) คือรัฐหนึ่งของประเทศแคนาดา ที่ตั้งยู่ทางตะวันตกสุดของประเทศ

รัฐบริติชโคลัมเบีย มีเมืองหลวงชื่อว่า "วิคตอเรีย" มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 15 ของประเทศ โดยมีเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐคือเมือง "แวนคูเวอร์" ซึ่งเมืองแวนคูเวอร์นี้ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ.

:: วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ::
:: flickr.com ::



1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss