Happinessss Fb : Beautiful World Part 6
1. เกาะปันหยี "หมู่บ้านกลางทะเล" จังหวัดพังงา
"เกาะปันหยี" หรือที่เรามักรู้จักกันในนามว่า "หมู่บ้านกลางน้ำ" หรือ "หมู่บ้านกลางทะเล"อีกหนึ่งเกาะท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของตำบลเกาะปันหยี อำเภอเมือง จังหวัดพังงา
โฆษณา TMB ถ่ายทำที่เกาะปันยีค่ะ -> http://youtu.be/w5ZD1K4vUG8
เกาะปันหยี เป็นเกาะเล็ก ๆ มีที่ราบประมาณ 1 ไร่ มีบ้านเรือน 300 หลังคา มีประชากรประมาณ 4,000 คน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของที่ว่าการอำเภอเมืองพังงา ประมาณ 7 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นเขาหินปูนสูงชะลูด แวดล้อมด้วยเกาะน้อยใหญ่
ย้อนหลังกลับไปนับร้อยปี บรรพบุรุษของคนปันหยี ซึ่งเป็นครอบครัวชาวชวา จำนวน 3 ครอบครัว อพยพมาจากอินโดนีเซียโดยเรือใบ 3 ลำ เพื่อค้นหาแหล่งทำกินที่ดีกว่าเดิม พวกเขาตกลงกันว่าหากใครพบที่ทำกินก่อน ให้สื่อสัญญาณด้วยการปักธงที่ยอดเขา และในที่สุดครอบครัว "โต๊ะบาบู" ก็พบเกาะหนึ่งก่อนใคร จึงขึ้นไปปักธงไว้ที่ยอดเขา และตั้งชื่อเกาะนั้นว่า "ปันหยี" ที่แปลว่า "ธง"
พื้นที่ส่วนใหญ่ของ เกาะปันหยี ตั้งอยู่ในทะเลอ่าวพังงา และบริเวณป่าชายเลนอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา มีหมู่บ้านจำนวน 4 หมู่บ้าน คือ บ้านท่าด่าน ตั้งอยู่บริเวณน้ำตื้นในอ่าวพังงา, เกาะปันหยี ตั้งอยู่บริเวณน้ำตื้นในอ่าวพังงา, เกาะไม้ไผ่ ตั้งอยู่บนเกาะและป่าชายเลนอ่าวพังงา และเกาะหมากน้อย ตั้งอยู่บนเกาะในอ่าวพังงา ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และประมาณร้อยละ 2 นับถือศาสนาอื่น ๆ และส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านประมง เป็นหลัก นอกจาก นี้ยังมีการประกอบอาชีพ เช่น ทำสวนยางพารา สวนมะพร้าว อาชีพรับราชการ การค้าขายและรับจ้าง
และด้วยพื้นที่เป็นแผ่นดินอยู่น้อยนิดนี้ ชาว เกาะปันหยี ใช้เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางหมู่บ้านและศาสนา ส่วนบ้านเรือน ร้านค้า และโรงเรียนตั้งอยู่ในน้ำ เดิมทีมีทางเดินเชื่อมถึงกันด้วยสะพานไม้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสะพานปูนในปัจจุบัน เวลาน้ำขึ้น "หมู่บ้านปันหยี" จึงแลดูเหมือนหมู่บ้านลอยน้ำ แต่พอน้ำลงจะเห็นว่าบ้านนับร้อยหลังนั้น ตั้งอยู่บนเสาที่ปักในเลนมาตั้งแต่อดีต
Ko Panyi (also known as Koh Panyee) (Thai: เกาะปันหยี) is a fishing village in Phang Nga Province, Thailand notable for being built on stilts by Indonesian fishermen. The population consists of roughly 200 families or between 1,500 and 2,000 people descended from 2 seafaring Muslim families from Java.
History
The settlement at Ko Panyi was established at the end of the 18th century by nomadic Malay fisherman.Ko Panyi is known as Pulau Panji in Malay language. It was during this time that the law limited land ownership solely to people of Thai national origins, and due to this fact the settlement was, for the most part, built on stilts within the protection of the island's bay, providing easy access for the life of a fisherman. With the increase of wealth for the community, due to the growing tourism industry within Thailand, purchase of land on the island itself became a possibility, and the first structures of relevance were built; a mosque and a freshwater well.
Village life
The village has a Muslim school which is attended by both males and females in the mornings. Due to the informal nature of this education, many of the male children attend schools further afield in Phang Nga or in Phuket. Further emigration from the village is encouraged as the size of the settlement is restricted by dangerous water conditions in the rainy season.
A mosque based on the island adjacent to the settlement serves the predominantly Muslim population and is a focal point and meeting place for the community. A market stocked with goods from the mainland sells basic amenities such as medicine, clothes and toiletries.
Despite the recent rise in tourism, life in Ko Panyi is still primarily based around the fishing industry as tourists only visit in significant numbers during the dry season.
The village includes a floating soccer field. Inspired by the 1986 FIFA World Cup, children built the pitch from old scraps of wood and fishing rafts. As of 2011, Panyee FC is one of the most successful youth soccer clubs in Southern Thailand. A 2011 brand campaign for TMB Bank includes a short film that tells the team's story.The film is based on interviews with the original team, and it stars local children rebuilding the field on location.
Tourism
In the late 20th century, the community found it difficult to subsist solely on the fishing industry and the postman proposed to invite tourists to the village to benefit the residents. Nowadays this is one of the main attractions on tours of Phang Nga Bay from Phuket, often serving as a lunch stop. With the increasing number of tourists, a number of seafood restaurants are present on the island, as well as various stalls selling souvenirs. The village became a pit stop during a leg of the 19th season on the hit U.S. reality-competition show, The Amazing Race.
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: travel.kapook.com ::
2. Navagio Beach (shipwreck) , Zakynthos, Greece
*ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ (คลิกดูแบบ Fullscreen จะได้ภาพที่สวยมากค่ะ) -> http://goo.gl/Facq9
*ชมภาพแบบ 360 องศาอีกเว็บจะได้เห็นภาพเรือชัดๆค่ะ -> http://goo.gl/NepU3
ชายหาด Navagio หรือชายหาดเรืออับปาง หนึ่งในชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดบนเกาะซาเคนทอส ในประเทศกรีซ เป็นเรื่องน่าทึ่งเพราะมีซากเรืออับปางอยู่ด้วย Navagio ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะซาเคนทอส มีหน้าผาหินปูนสูงชันของหาดทรายสีขาวและน้ำทะเลสีฟ้าใสที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวนับพันทุกปี
Navagio Beach (Greek: Ναυάγιο), or the Shipwreck, is an isolated sandy cove on Zakynthos island and one of the most famous beaches in Greece. It is notable because it is home to the wreck of the alleged smuggler ship Panagiotis; thus, it is often referred to as 'Smugglers Cove'.
Location & Tourism
A map showing the location of Navagio.
Navagio is located on the north-west shore of the Ionian island of Zakynthos (Zante), in the Municipality of Elation. The area is defined by its sheer limestone cliffs, white sand beaches, and clear blue water, which attract thousands of tourists yearly. The strip of beach is accessed only by boat, from Porto Vromi to the south, and from the Harbor of Saint Nikolas in Volimes to the north-east. More typically, boats arrive from the harbor of Zakynthos, the capital city, with cruises and tours anchoring hourly at Navagio.
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
3. Salar de Uyuni หนี่งใน ทะเลทราย ที่ สวยที่สุดในโลก และโรงแรมเกลือ (Salt Hotel) ประเทศโบลิเวีย
*ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://goo.gl/hdcoc
*ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/r2MOXksZ2UE
Salar de Uyuni คือสถานที่ ที่เรียกว่า ทะเลทรายเกลือ ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก มันตั้งอยู่ในประเทศโบลิเวีย(Bolivia) พื้นของโซล่านั้นประกอบไปด้วย หินเกลือ(Halite) และยิปซัม(Gypsum) เนื่องจากเมื่อถ้าย้อนกับไป 40,000 ปี บริเวณดังกล่าวเป็นทะเลสาบ Minchin และเมื่อมันเริ่มแห้งสิ่งที่มันได้เหลือทิ้งไว้ ดังต่อไปนี้
1. ทะเลสาบ Poopó
2. ทะเลสาบ Uru Uru
3. ทะเลทรายเกลือ Salar de Uyuni
4. ทะเลทรายเกลือ Salar de Coipasa
รายละเอียด และข้อมูลเกี่ยวกับ Salar de Uyuni หนี่งใน ทะเลทราย ที่ สวยที่สุดในโลก
* มันเป็นทะเลทรายเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่กว่า 10,582 ตารางกิโลเมตร
* มีการประมาณว่ามันบรรจุไว้ด้วยเกลือกว่า 10 ล้านล้านตัน
* เพียงที่ Salar de Uyuni เพียงแห่งเดียวก็เป็นแหล่งของ แร่ลิเธียม(Lithium) มากกว่า 1 ใน 2 ของปริมาณแร่ลิเธียมของทั้งโลก
* เนื่องจากมันเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ที่ราบเรียบอย่างยิ่ง และเมื่อมันมีน้ำท่วมแบบตื้น มันจึงถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบ และปรับแก้การวัดค่าความสูงของดาวเทียม ได้อย่างดียิ่ง ทั้งพื้นทีบริเวณดังกล่าวยังมีท้องฟ้าที่ค่อนข้างเปิด และความชื้นต่ำ มันจึงเป็นสถานที่ในอดุมคติทีเดียว
เวลา Solar de Uyuni เกิดมีน้ำท่วมขัง จะเกิดปรากฏการสะท้อนแสง คล้าย เป็นกระจกขนาดใหญ่สะท้อนภาพท้องฟ้าอย่างสวยงามอย่างยิ่ง เปรียญเสมือนเรายืนอยู่บนท้องฟ้า ดุจดั่งฟ้าลงมาจรดกับ ท้องฟ้าอีกผืน
เมื่อน้ำแห้งไปก็จะเหลือทิ้งไว้ เพียงแต่เกลือ แล้วก็เกลือ สุดลูกหู ลูกตา
** Lithium ลิเธียม คือ ธาตุโลหระที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก และยังสามารถเก็บพลังงานได้ดีเยี่ยม จึงถูกนำไปใช้ทำแบตเตอรี่โทรพศัพท์มือถือ ใช้ในแบตเตอรี่รถแบบ Hybrid ทำให้มันเป็นแร่ธาตุแห่งอนาคต และมีเพียงไม่กี่แห่งในโลกที่สามารถทำเหมืองแร่ลิเธียมได้
โรงแรมเกลือ (Salt Hotel)
โรงแรมที่มีเอกลักษณ์นี้อยู่ในที่ราบ Uyuni ที่ราบที่เป็นเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโบลิเวีย
โรงแรมสร้างขึ้นในปี 1993 โดยช่างฝีมือคนหนึ่งที่เห็นช่องทางรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวยังที่ราบแห่งนี้และต้องการที่พัก
โรงแรมเกลือนี้มี 15 ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร และบาร์ หลังคาของโรงแรมและบาร์สร้างมาจากเหลือ แม้แต่พื้นก็ปกคลุมไปด้วยเม็ดเกลือเล็กๆ กำแพงก็ทำจากอิฐเกลือที่ยึดกันด้วยเกลือกับน้ำคล้ายซีเมนต์
Salar de Uyuni
Salar de Uyuni (or Salar de Tunupa) is the world's largest salt flat at 10,582 square kilometers (4,086 sq mi). It is located in the Potosí and Oruro departments in southwest Bolivia, near the crest of the Andes, and is elevated 3,656 meters (11,995 ft) above mean sea level. The Salar was formed as a result of transformations between several prehistoric lakes. It is covered by a few meters of salt crust, which has an extraordinary flatness with the average altitude variations within one meter over the entire area of the Salar.
The crust serves as a source of salt and covers a pool of brine, which is exceptionally rich in lithium. It contains 50 to 70% of the world's lithium reserves, which is in the process of being extracted. The large area, clear skies and exceptional surface flatness make the Salar an ideal object for calibrating the altimeters of the Earth observation satellites.The Salar serves as the major transport route across the Bolivian Altiplano and is a major breeding ground for several species of pink flamingos. Salar de Uyuni is also a climatological transitional zone, for towering tropical cumulus congestus and cumulus incus clouds that form in the eastern part of the massive salt flat during summer, cannot permeate beyond the salt flat's considerably more arid western edges, near the Chilean border and the Atacama Desert.
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: wowboom.blogspot.com ::
4. เนินทรายแห่ง อุทยานแห่งชาติ แลงคอยส์ มาราฮานส์ รัฐมารานเนา ประเทศบราซิล
( The Lençóis Maranhenses National Park, Maranhão State, in northeastern Brazil )
*ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://goo.gl/U5WdY
*ชมมิวสิควีดีโอเพลง Kadhal Anukkal - Endhiran ที่ไปถ่ายทำที่ แลงคอยส์ มาราฮานส์ ค่ะ -> http://youtu.be/tjYPasLKZN0
อุทยานแห่งชาติ แลงคอยส์ มาราฮานส์ เป็นเนินทรายชายฝั่ง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิล เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่ยอดเยี่ยมของบราซิล เป็นระบบนิเวศน์ ( ecosystem) ที่ก่อตัวขึ้นจากเนินทรายสีขาวเหมือนผ้าคลุมเตียงสีขาว แผ่กว้างครอบคลุมพื้นที่383,000 เอเคอร์ (383,000 acres )
ในช่วงหกเดือนแรกของปีซึ่งมีฝนตก เนินทรายแห่งนี้ จะมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว บางครั้งจะกลายเป็นแอ่งทะเลสาบ (lagoons ) ป่าชายเลน หาดทราย ดงปาล์ม buritis (ปาล์มสวยงามชนิดหนึ่ง) อุทยานแห่งชาติ แลงคอยส์ มาราฮานส์( the Lençóis Maranhenses National Park ),มีความเปลี่ยนแปลงทางลักษณะ ภูมิประเทศอยู่ตลอดเวลา
บางเวลา น้ำบางส่วนเป็นสีน้ำตาลเข้มเนื่องจากกรดเทนนิค(tannic acids)ที่ถูกชะล้างมาจากต้นไม้ในป่าบริเวณ ใกล้เคียง น้ำที่มีสีน้ำตาลเข้มเนื่องจากกรดเทนนิค(tannic acids)ที่ถูกชะล้างมาจากต้นไม้ในป่าบริเวณ ใกล้เคียง
เนินทรายเหล่านี้แผ่กว้างเข้าไปในแผ่นดินลึก 31ไมล์ และยาวไปตามชายฝั่ง 27 ไมล์ เมื่อฝนตกมีน้ำจืดมาขังในแอ่งเนินทรายประเภท barchan dune พืชน้ำชนิดหนึ่งที่มีดอก เรียกว่า water lilies ก็สามารถเจริญเติบโตได้
แอ่งเนินทราย มีหลายประเภท แบ่งตามลักษณะการเกิดและองศาความเอียงของทราย
ส่วนเนินทรายที่อุทยานแห่งชาติ แลงคอยส์ มาราฮานส์( the Lençóis Maranhenses National Park) ประเทศบราซิล ส่วนมากจะเป็นเนินทราย ประเภท barchan dune ซึ่งลักษณะการทำมุมเอียงของทรายประมาณ 34-35 องศา
แอ่งทะเลสาบที่เกิดขึ้นบนเนินทรายในเขตอุทยานแห่งชาติแลงคอยส์ มาราฮานส์ บางแอ่งมีขนาดใหญ่โตเช่น ทะเลสาบ ลากัว โบนิต้า Lagoa Bonita
+++เนินทรายที่ทะเลสาบ ลากัว โบนิต้า Lagoa Bonita
ทะเลสาบลากัว เดอ ไกโวต้า( lagoa da gaivota) เกิดขึ้นบนเนินทรายในเขตอุทยานแห่งชาติ แลงคอยส์ มาราฮานส์( the Lençóis Maranhenses National Park), เช่นกัน เมื่อเนินทรายทับถมกันมากขึ้นก็จะเริ่มขยายเข้าสู่พื้นดินที่ชื้นของป่าโกงกางรอบๆ...สลับสับเปลี่ยนไปแบบนี้เรื่อยๆ
Lençóis Maranhenses National Park
The Lençóis Maranhenses National Park (Parque Nacional dos Lençóis Maranhenses) is located in Maranhão state, in northeastern Brazil, just east of the Baía de São José, between 02º19’—02º45’ S and 42º44’—43º29’ W. It is an area of low, flat, occasionally flooded land, overlaid with large, discrete sand dunes. It encompasses roughly 1500 square kilometers, and despite abundant rain, supports almost no vegetation. The park was created on June 2, 1981. It was featured in the Brazilian film The House of Sand. Most recently, it was featured in the song "Kadhal Anukkal" from the Indian film, Enthiran.
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: topicstock.pantip.com ::
5. น้ำตก Honokohau,เกาะเมาวี รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา
* แผนที่ น้ำตก Honokohau -> http://goo.gl/bA6s5
น้ำตก Honokohau น้ำตกที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของเมาวีสูงกว่า 1100 ฟุต อยู่ในภูเขาทางตะวันตกของเมาวี Puu Kukui , เมาวี, รัฐ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา
เกาะเมาวี (อังกฤษ: Maui; ออกเสียง [maʊ.i] ในภาษาอังกฤษ,[mɐu.i] ในภาษาฮาวาย) เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของในหมู่เกาะฮาวาย มีพี้นที่ 1,883.5 ตารางกิโลเมตร และเป็นเกาะที่ใหญ่อันดับที่ 17 ในสหรัฐอเมริกา เมาวีเป็นส่วนหนึ่งของของรัฐฮาวาย และมีขนาดใหญ่ที่สุดในเกาะทั้งสี่ของเมาวีเคาน์ตี
ในปี พ.ศ. 2543 เกาะเมาวีมีประชากร 117,644 คน ที่มีประชากรมากเป็นลำดับ 3 ของหมู่เกาะฮาวาย ต่อจากโฮโนลูลูและ Hawi'i (ฮาวายอิ) เมืองใหญ่ที่สุดบนเกาะ คือ Kahului (คาฮุลุย) มีประชากร 20,146 คน ที่ตั้งของเมาวีเคาน์ตี คือ Wailuku(วัยลุคุ) และเมืองสำคัญอื่นๆ รวมถึง Kīhei(คิเฮ) Lahaina(ละฮัยนะ) Makawao(มะคะเวา) Pa'ia (พะเอีย) Kula(คุละ) Ha'iku(ฮาอิคุ) Hana(ฮะนะ) Ka'anapali (คะอะนะพะลิ) Wailea (วัยเล) Makena (มะคินะ)และ Kapalua (คะพะลัว)
Maui's tallest waterfall. The upper section of 1100 foot tall Honokohau Falls within the interior of the West Maui mountains known as Pu'u Kukui , Maui, Hawaii.
The island of Maui ( /ˈmaʊ.iː/; Hawaiian: [ˈmɐuwi]) is the second-largest of the Hawaiian Islands at 727.2 square miles (1,883 km2) and is the 17th largest island in the United States. Maui is part of the State of Hawaiʻi and is the largest of Maui County's four islands, bigger than Molokaʻi, Lānaʻi, and unpopulated Kahoʻolawe. In 2010, Maui had a population of 144,444, third-highest of the Hawaiian Islands, behind that of Oʻahu and Hawaiʻi Island. Kahului is the largest census-designated place (CDP) on the island with a population of 26,337 as of 2010 and is the commercial and financial hub of the island. Wailuku is the seat of Maui County and is the third-largest CDP as of 2010. Other significant places include Kīhei (including Wailea and Makena in the Kihei Town CDP, which is the second most-populated CDP in Maui); Lahaina (including Kāʻanapali and Kapalua in the Lahaina Town CDP); Makawao; Pāʻia; Kula; Haʻikū; and Hāna.
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
6. ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น อยู่บริเวณพรมแดนระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์กับประเทศอิตาลี
*ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.zermatt.ch/th/page.cfm/interactive/virtual-tours
*ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/IXz487MGDAg
มัทเทอร์ฮอร์น (เยอรมัน: Matterhorn) หรือ มอนเตแซร์วีโน (อิตาลี: Monte Cervino) เป็นชื่อยอดเขาตั้งอยู่บนแนวของเทือกเขาแอลป์อยู่บริเวณพรมแดนระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์กับประเทศอิตาลี มีความสูงถึง 4478 เมตร นับว่าเป็นยอดเขาที่สวยงามแห่งหนึ่งของโลก จุดชมวิวที่สวยงามอยู่ใกล้กับเมืองเซอร์มัทท์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
Matterhorn Mountain @ Switzerland
The Matterhorn (German), Monte Cervino (Italian) or Mont Cervin (French), is a mountain in the Pennine Alps on the border between Switzerland and Italy. Its summit is 4,478 metres (14,690 ft) high, making it one of the highest peaks in the Alps.The four steep faces, rising above the surrounding glaciers, face the four compass points. The mountain overlooks the town of Zermatt in the canton of Valais to the north-east and Breuil-Cervinia in the Aosta Valley to the south. The Theodul Pass, located at the eastern base of the peak, is the lowest passage between its north and south side.
The Matterhorn was one of the last great Alpine peaks to be climbed and its first ascent marked the end of the golden age of alpinism. It was made in 1865 by a party led by Edward Whymper and ended disastrously when four of its members fell to their deaths on the descent. The north face was not climbed until 1931, and is amongst the six great north faces of the Alps. The Matterhorn is one of the deadliest peaks in the Alps: from 1865 – when it was first climbed – to 1995, 500 alpinists died on it.
The Matterhorn has become an iconic emblem of the Swiss Alps and the Alps in general. Since the end of the 19th century, when railways were built, it attracted more and more visitors and climbers. Each summer a large number of mountaineers try to climb the Matterhorn via the northeast Hörnli ridge, the most popular route to the summit.
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
7. Cherry Blossom Lake, Sakura Japan
*ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://goo.gl/QISvz
เทศกาลชมดอกไม้หรือที่เรียกว่า ฮะนะมิ(Hanami) ในภาษาญี่ปุ่นจริงๆแล้วหมายถึง การชมดอกไม้ (ไม่ได้ระบุว่าเป็นดอกไม้ชนิดไหน) แต่ชาวญี่ปุ่นจะนิยมชมดอกซากุระกันมากกว่าดอกไม้อื่น ที่สำคัญดอกไม้ประจำชาติพันธุ์นี้บานแค่ปีละครั้ง ครั้งละประมาณหนึ่งอาทิตย์ผู้คนก็เลยถือโอกาสนี้เป็นเทศกาลชมดอกซากุระ พร้อมกับสังสรรค์ประจำปีกันไปเลย
ฮะนะมิ (ญี่ปุ่น: 花見 การชมดอกไม้ ) เป็นประเพณีดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึงการชมและเพลิดเพลินไปกับความงามของดอกไม้ โดยเฉพาะดอกซากุระ ธรรมเนียมของประเพณีฮะนะมิเกิดขึ้นมานานกว่าพันปี และยังคงเป็นที่นิยมในญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้ ฮะนะมิจะถูกจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ซึ่งกลับกันกับเทศกาลโมมิจิกะริ (紅葉狩り) ที่จัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง ดอกซากุระจะบานเพียงหนึ่งหรือสองสัปดาห์เท่านั้น และมักจะบานในเดือนมีนาคมถึงเมษายน ในช่วงนี้ชาวญี่ปุ่นรวมทั้งสื่อเองจะรอและติดตามกันอย่างใจจดใจจ่อ ช่อดอกจะบานสะพรั่งทั้งต้น (満開 - มังกะอิ) หลังจากที่ดอกช่อแรก (開花 - คังอิกะ) บานแล้วประมาณหนึ่งอาทิตย์และเพียงไม่กี่อาทิตย์หลังจากที่ดอกบานสะพรั่งเต็มที่แล้ว ดอกไม้เหล่านี้ก็จะร่วงลงมาจากต้นทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมหนึ่งของฮะนะมิที่เก่าแก่กว่าการชมซากุระ นั่นคือการฉลองการบานของดอกพลัม (梅 - อุเมะ) ซึ่งยังคงปฏิบัติกันในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุ ผู้ต้องการความสงบเงียบมากกว่าการฉลองการบานของซากุระ ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น และบางครั้งก็มีคนคับคั่งมากและมีเสียงดัง
ซากุระ (ญี่ปุ่น: 桜 หรือ 櫻 ) เป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น มีถิ่นกำเนิดในจีนตอนใต้ เกาะไต้หวัน หมู่เกาะโอกินาวา ญี่ปุ่น ลักษณะเด่นของซากุระก็คือ เมื่อร่วง จะร่วงพร้อมกันหมด ซากุระจึงเป็นสัญลักษณ์ของเลือดทหารและซามูไรของญี่ปุ่น
มีดอกซากุระในเกาหลี, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, จีน หรือที่อื่นๆ แต่ไม่มีกลิ่น ขณะที่ซากุระของญี่ปุ่นนั้นผู้คนจำนวนมากยกย่องชื่นชมกลิ่นของมัน และมักจะกล่าวฝากไว้ในบทกวี
ดอกซากุระของญี่ปุ่นนี้ ในภาษาอังกฤษมีคำเรียกทั่วไปว่า “cherry blooms” หรือ “cherry blossom” หรือไม่ก็ “Japanese Flowering Cherry” จะบานในช่วงปลายมีนา-ต้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิเริ่มอุ่นขึ้นจากฤดูหนาวที่หมดไป
ดอกซากุระ ในภาษาญี่ปุ่นนั้น เชื่อกันว่ากร่อนมาจากคำว่า ซะกุยะ (หมายถึง ผลิบาน) อันเป็นชื่อของเจ้าหญิง โคโนฮะนะซะคุยาฮิเม มีศาลบูชาของพระองค์อยู่บนยอดเขาฟูจิด้วย สำหรับพระนามของเจ้าหญิงองค์ดังกล่าวนั้น มีความหมายว่าเจ้าหญิงดอกไม้บาน และเนื่องจากซากุระเป็นดอกไม้ที่นิยมกันมากในญี่ปุ่นสมัยนั้น คำว่าดอกไม้ดังกล่าวจึงหมายถึงดอกซากุระนั่นเอง เจ้าหญิงองค์ดังกล่าวได้รับพระนามเช่นนั้น ก็เพราะมีเรื่องเล่ามาว่าทรงตกจากสวรรค์ มาบนต้นซากุระ ดังนั้น ดอกซากุระจึงถือเป็นตัวแทนของดอกไม้ญี่ปุ่น ขณะที่รัฐบาลประกาศให้ดอกเก็กฮวย (ดอกเบญจมาส) เป็นดอกไม้ประจำชาติ
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการชมดอกซากุระ(Cherry Blossoms)
เริ่มตั้งแต่เดือน มกราคม ไปจนถึง พฤษภาคม ของทุกปี ขึ้นอยู่กับพื้นที่
การบานของดอกซากุระจะขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่ว่าที่ไหนหรือเวลาไหนก็บานได้ โดยปกติแล้วจะเป็นช่วงเวลาที่อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป ซึ่งมักจะเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลินั่นเอง
และเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นวางในแนวตั้ง ดังนั้นฤดูกาลของญี่ปุ่นจากหนาวสู่ร้อน จึงเริ่มที่ส่วนล่างของประเทศก่อนจากหมู่เกาะโอกินาว่า ซึ่งจะบานตั้งแต่เดือนมกราคมเลย เรื่อยมาจนถึงโอซาก้า เกียวโต นาโงย่า โตเกียว และจะบานเป็นที่สุดท้ายที่ฮอคไกโดราวเดือนพฤษภาคม
โดยดอกซากุระจะบานเพียงช่วงสั้นๆ นับจากวันที่เริ่มผลิดอก จนถึงวันที่ ดอกบานสะพรั่งที่สุด รวมแล้วประมาณ 7 วันเท่านั้น และหลังจากนั้นก็จะร่วงโรยไปทันที นอกจากนี้สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย พายุ ฝนตกหนัก หรือลมกรรโชกแรง ก็ส่งผลให้ระยะเวลาที่ดอกซากุระบานลดลงได้ หรือหากทีไหนฤดูกาลแปรปรวน (เช่น ฤดูหนาวยาวนานกว่าปกติ) ซากุระก็จะเลื่อนเวลาบานออกไปเช่นกัน
แล้วไม่ใช่ว่าในท้องที่หรือเมืองเดียวกัน ซากุระจะบานสะพรั่งพร้อมกัน เพราะต้นไหนอยู่ในที่ร่มก็จะบานช้ากว่าต้นที่อยู่กลางแจ้งอีกด้วย
สถานที่แนะนำในการชมดอกซากุระ
เมืองโตเกียว(Tokyo) สวนสาธารณะอุเอะโนะ(Ueno Park) สวนสาธารณะชินจูกุเกียวเอน(Shinjuku Gyoen) ชิโดริกาฟุจิ(Chidorigafuchi) สวนสาธารณะสุมิดะ(Sumida Park) สุสานโอยามะ(Aoyama Cemetery) สวนพฤกษศาสตร์โคอิชิคาวะ(Koishikawa Botanical Garden) สวนสาธารณะอิโนคาชิระ(Inokashira Park)
เมืองโยโกฮาม่า(Yokohama) สวนสาธารณะคามอนยาม่า(Kamonyama Park) สวนซังเคเอ็น (SAnkeien)
เมืองคามาคุระ(Kamakura) ดันคาสุระ(Dankazura)
เมืองนาโงย่า(Nagoya) ปราสาทนาโงย่า (Nagoya Castle)
เมืองเกียวโต(Kyoto) สวนสาธารณะมารุยาม่า (Maruyama Park) เส้นทางนักปราชญ์(Philosopher’s Trail) ศาลเจ้าเฮอัน(Heian Shrine) อาราชิยาม่า(Arashiyama) ริมแม่น้ำกาโม่(Kamogawa) วัดไดโกจิ(Daigoji) ศาลเจ้าฮิราโน่(Hirano Shrine) คลองโอคาซากิ(Okazaki Canal)
เมืองฮิเมจิ(Himeji) ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)
เมืองอาโอโมริ(Aomori) ปราสาทฮิโรซากิ(Hirosaki Castle)
แนวเส้นดอกซากุระบานที่ประเทศญี่ปุ่น
ดอกซากุระที่ประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มบานจากส่วนล่างของประเทศก่อน เริ่มจากหมู่เกาะโอกินาว่า ซึ่งจะบานตั้งแต่เดือนมกราคม บานเรื่อยมาจนถึงโอซาก้า เกียวโต นาโงย่า โตเกียว และจะบานที่ฮอคไกโดราวเดือนพฤษภาคม
Hanami (花見?, lit. "flower viewing") is the Japanese traditional custom of enjoying the beauty of flowers, "flower" in this case almost always meaning cherry blossoms ("sakura") or (less often) plum blossoms ("ume"). From the end of March to early May, sakura bloom all over Japan, and around the first of February on the island of Okinawa. The blossom forecast (桜前線 sakura-zensen, literally cherry blossom front) is announced each year by the weather bureau, and is watched carefully by those planning hanami as the blossoms only last a week or two. In modern-day Japan, hanami mostly consists of having an outdoor party beneath the sakura during daytime or at night. In some contexts the Sino-Japanese term kan'ō (観桜, view-cherry) is used instead, particularly for festivals. Hanami at night is called yozakura (夜桜, literally night sakura). In many places such as Ueno Park temporary paper lanterns are hung for the purpose of yozakura. On the island of Okinawa, decorative electric lanterns are hung in the trees for evening enjoyment, such as on the trees ascending Mt. Yae, near Motobu Town, or at the Nakijin Castle.
A more ancient form of hanami also exists in Japan, which is enjoying the plum blossoms (梅 ume) instead, which is narrowly referred to as umemi (梅見, plum-viewing). This kind of hanami is popular among older people, because they are more calm than the sakura parties, which usually involve younger people and can sometimes be very crowded and noisy.
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: vimonsiri-mimew.blogspot.com ::
8. Vintgar Gorge ช่องเขาที่มีทางเดินไม้เรียบลัดเลาะริมผา ที่เบลด, สโลวีเนีย
Vintgar Gorge, Bled Gorge หรือ Blejski Vintgar ช่องเขาที่มีทางเดินไม้เรียบลัดเลาะริมผา1.6 กิโลเมตร ที่เบลด, สโลวีเนีย แม่น้ำที่ไหลผ่านระหว่างช่องเขานี้ชื่อ Radovna ที่สุดทางจะมีน้ำตกสูง เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในสโลวีเนีย
Vintgar Gorge, Slovenia
The Vintgar Gorge or Bled Gorge (Slovene: Blejski Vintgar) is a 1.6 km gorge located near the settlement of Zgornje Gorje, four kilometers northwest of Bled, Slovenia. Carved by the Radovna River, the sheer canyon walls are 50 to 100 m high, with a total slope measuring about 250 m. The stream has created many erosive features such as pools and rapids, and terminates in the picturesque 13 m Šum Falls (literally, 'noisy falls').
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::
9. สิงคโปร์ (Singapore)
*ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://goo.gl/jWsLd
สิงคโปร์ (อังกฤษ: Singapore) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐสิงคโปร์ (อังกฤษ: Republic of Singapore) เป็นนครรัฐที่ตั้งอยู่บนเกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ละติจูด 1°17'35" เหนือ ลองจิจูด 103°51'20" ตะวันออก ( 1°17′N 103°51′E) ตั้งอยู่ทางใต้สุดของคาบสมุทรมาเลย์ ติดกับรัฐยะโฮร์ของประเทศมาเลเซีย และอยู่ทางเหนือของเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย
ช่วงต้น
สิงคโปร์เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปลายสุดแหลมมลายู เป็นสถานพักสินค้าของพ่อค้าทั่วโลก เดิมชื่อว่า เทมาเส็ก (ทูมาสิค) มีกษัตริย์ปกครอง ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้มีเจ้าผู้ครองนครปาเล็มบังเดินทางแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อสร้างเมือง แต่เรือก็อับปางลง พระองค์ได้ว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แล้วก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีรูปร่างลำตัวสีแดงหัวดำหัวคล้ายสิงโตหน้าอกขาว พระองค์จึงถามคนติดตามว่า สัตว์ตัวนั้นคืออะไรคนติดตามก็ตอบว่ามันคือ สิงโต พระองค์จึงเปลี่ยนชื่อเทมาเส็กเสียใหม่ว่า สิงหปุระ ต่อมาสิงหปุระก็ได้ตกเป็นของสุลต่านแห่งมะละกา อ่านต่อ... วิกิพีเดีย http://goo.gl/vzYE3
Singapore i/ˈsɪŋəpɔər/, officially the Republic of Singapore, is a Southeast Asian city-state off the southern tip of the Malay Peninsula, 137 kilometres (85 mi) north of the equator. An island country made up of 63 islands, it is separated from Malaysia by the Straits of Johor to its north and from Indonesia's Riau Islands by the Singapore Strait to its south. Singapore is highly urbanised but almost half of the country is covered by greenery. More land is being created for development through land reclamation.
Singapore had been a part of various local empires since it was first inhabited in the second century AD. Modern Singapore was founded as a trading post of the East India Company by Sir Stamford Raffles in 1819 with permission from the Sultanate of Johor. The British obtained full sovereignty over the island in 1824 and Singapore became one of the British Straits Settlements in 1826. Singapore was occupied by the Japanese in World War II and reverted to British rule after the war. It became internally self-governing in 1959. Singapore united with other former British territories to form Malaysia in 1963 and became a fully independent state two years later after separation from Malaysia. Since then it has had a massive increase in wealth, and is one of the Four Asian Tigers. The economy depends heavily on the industry and service sectors. Singapore is a world leader in several areas: It is the world's fourth-leading financial centre, the world's second-biggest casino gambling market, and the world's third-largest oil refining centre. The port of Singapore is one of the five busiest ports in the world, most notable for being the busiest transshipment port in the world. The country is home to more US dollar millionaire households per capita than any other country. The World Bank notes Singapore as the easiest place in the world to do business. The country has the world's third highest GDP PPP per capita of US$59,936, making Singapore one of the world's wealthiest countries.
Singapore is a parliamentary republic with a Westminster system of unicameral parliamentary government. The People's Action Party (PAP) has won every election since the British grant of internal self-government in 1959. The legal system of Singapore has its foundations in the English common law system, but modifications have been made to it over the years, such as the removal of trial by jury. The PAP's popular image is that of a strong, experienced and highly qualified government, backed by a skilled Civil Service and an education system with an emphasis on achievement and meritocracy; but it is perceived by some voters, opposition critics and international observers as being authoritarian and too restrictive on individual freedom.
Some 5 million people live in Singapore, of whom 2.91 million were born locally. Most are of Chinese, Malay or Indian descent. There are four official languages: English, Chinese, Malay and Tamil. One of the five founding members of the Association of South East Asian Nations, Singapore also hosts the APEC Secretariat, and is a member of the East Asia Summit, the Non-Aligned Movement, and the Commonwealth.
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::
10. มหัศจรรย์ "ภูเขาช็อกโกแลต" ที่เกาะโบโฮล ฟิลิปปินส์
ภูเขาช็อกโกแลต (The Chocolate Hills) ตั้งอยู่ในเกาะโบโฮล (Bohol) ของประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines) โดยสาเหตุที่เรียกว่า ภูเขาช็อกโกแลต นั้น คงเป็นเพราะรูปร่างของภูเขาที่มีลกษณะภูเขาหินปูนทรงกรวยคว่ำ ที่มีจำนวนมากกว่า 1,268 ลูก ในแต่ละเนินมีความสูงเฉลี่ยที่ 100 ถึง 160 ฟุต เนินที่สูงที่สุดสูงถึง 400 ฟุต เนินส่วนใหญ่มีความสมมาตรกัน บนเนินหินปูนที่ปกคลุมด้วยหญ้าและจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในช่วงฤดูแล้ง
จากการสันนิษฐาน พบว่าภูเขาเหล่านี้อาจเป็นแนวปะการังที่อยู่ใต้ทะเล เมื่อหลายล้านปีก่อนโน้น ซึ่งได้มีการทับถมกันมานานจนก่อให้เกิดรูปร่างดังปัจจุบัน
ภูเขาช็อกโกแลต มีความสวยงามในแบบต่างๆกัน เพราะหากคุณมาในช่วงหน้าฝน คุณจะพบกับภูเขาสีเขียวนับพันลูก ที่ซ้อนกันเป็นหย่อมในระดับความสูงที่เท่าๆกัน ซึ่งมีความสวยงามไปอีกแบบ
ส่วนในช่วงหน้าแล้ง คุณจะพบว่าหญ้าบนภูเขาจะค่อยๆ กลายเป็นสีน้ำตาล ราวกับมีคนเอาช็อกโกแลตมาราดบนภูเขาเหล่านี้เลยหล่ะ
The Chocolate Hills is an unusual geological formation in Bohol province, Philippines. There are at least 1,260 hills but there may be as many as 1,776 hills spread over an area of more than 50 square kilometres (20 sq mi). They are covered in green grass that turns brown during the dry season, hence the name.
The Chocolate Hills is a famous tourist attraction of Bohol. They are featured in the provincial flag and seal to symbolize the abundance of natural attractions in the province. They are in the Philippine Tourism Authority's list of tourist destinations in the Philippines; they have been declared the country's third National Geological Monument and proposed for inclusion in the UNESCO World Heritage List.
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: travel.thaiza.com ::
11. เวนิสแม่น้ำแห่งความโรแมนติก อิตาลี
* ชมคลิปวีดีโอ Venice in a Day -> http://player.vimeo.com/video/40977797
* ชมคลิปวีดีโอ Venice -> http://player.vimeo.com/video/12358381
* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://goo.gl/18J7L
เวนิสจะทำให้คุณเชื่อในเทพนิยาย ที่นี่ห้ามรถยนต์เข้า วิธีเดียวที่จะเที่ยวเมืองที่มีอายุ 1,500 ปีนี้ได้คือ เดินหรือใช้เรือ จากจุดได้เปรียบเหล่านี้ คุณจะตกตะลึงในความงามมหัศจรรย์ ลา เซเรนิสสิมา "เมืองสุดแสนสงบ" อุดมไปด้วยวังและศิลปกรรม ร้านค้าที่สวยงามและอาหารชั้นเลิศ พักผ่อนในปิอาซซา ซานมาร์โค เยี่ยมชมมหาวิหาร ดื่มเบลลินิที่ Harry's Bar และเดินท่องไปตามตรอกซอกซอยและสะพาน ลองเที่ยวนอกฤดูกาล แล้วคุณจะได้เมืองทั้งเมืองเป็นของคุณ
เมืองเวนิส (Venice)
เมืองเวนิส หรือที่ชาวอิตาลีเรียกว่า เวเน็ตเซีย ( Venezia)เป็นเมืองหลวงของแคว้น เวเนโต(Veneto)มีประชากร 271,663 คน (ข้อมูลวันที่ 1 มกราคม 2004 )เมืองเวนิสสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กเกาะน้อย จำนวน 118 เกาะเข้าด้วยกันในบริเวณ ทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ทะเลอาเดรียติกทางภาคเหนือของ ประเทศอิตาลี ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปาก แม่น้ำโปกับ แม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยนับรวมทั้งหมดประมาณ 272,000 คน แยกเป็นบริเวณเมืองเก่าที่เป็นเกาะ 62,000 คน, บนแผ่นดินใหญ่ที่เรียกว่า แตร์ราแฟร์มา (Terraferma) 176,000 คน และอีก 31,000 คนตามเกาะต่างๆ ในทะเลสาบ
ในบรรดาเมืองท่องเที่ยวของอิตาลี เมืองเวนิส ดูจะเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากทุกเมืองในโลก เป็นเมืองที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบที่สวยงามจนได้ฉายาว่าเป็น “ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก” ( The Queen of the Adriatic) หรือ “เมืองแห่งสายน้ำ” (The City of Water) ที่มีคลองสำหรับใช้สัญจรแทนถนนมากกว่า 150 สาย หรือ “เมืองแห่งสะพาน” ( The City of Bridges)ที่ มีสะพานเชื่อมคลองมากกว่า 400 แห่งที่โดดเด่นเป็นที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวอีกทั้งยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งศิลปวัฒนธรรมและดนตรียามค่ำคืน (The City of Light)ที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักและใฝ่ฝันอยากมาเทียวชมสักครั้งในชีวิตเมืองเวนิสเป็นที่รู้จักกันมาช้านานในประวัติศาสตร์ ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการเดินเรือและการค้าของทวีปยุโรปนับพันปี นอกนั้นในแวดวงวรรณกรรม เมืองเวนิสเป็นที่รู้จักจากบทประพันธ์ของวิลเลียม เชคสเปียร์( William Shakespeare)เรื่อง “พ่อค้าแห่งเวนิส” ( The Merchant of Venice)ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงนำมาประพันธ์เป็นบทละครชื่อ “เวนิสวานิช” แต่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือบทประพันธ์เรื่อง“โรเมโอและจูเรียต”( Romeo and Juliet)ที่เชื่อกันว่าเวนิส คือบ้านเกิดของของทั้งคู่ผู้สร้างตำนานรักอมตะที่ต้องจบชีวิตลงเพราะความแค้นของบรรพบุรุษสองตระกูลเมืองเวนิสยังเป็นเมืองที่ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโกซึ่งได้แก่ ตัวเมืองและคลองต่างๆ ความงดงามของเวนิสทำให้ถูกใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง ส่วนคนไทยดูเหมือนจะรู้จักและเกี่ยวข้องกับเวนิสจากการที่กรุงเทพฯเมืองฟ้าอมรของเราได้รับการเรียกขานว่าเป็น “เวนิสตะวันออก” ดังนั้น การได้มีโอกาสมาเที่ยวชมเมืองเวนิสของจริง จึงอดตื่นตาตื่นใจในความงดงามและเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ ของเมืองมรดกโลกแห่งนี้ไม่ได้
เรือกอนโดลา อีกสัญลักษณ์หนึ่งของเวนิส มีความเชื่อมาว่า ถ้าคู่รักได้จูบกัน เมื่อตอนระฆังปาไนล์ดังตอนเย็น ขณะลอดข้ามสะพานถอนหายใจ ถือว่าคนนั้นจะรักกันยืนนาน สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sigh) สะพานนี้ใช้เดินข้ามเพื่อไปเข้าคุกที่อยู่อีกฝั่ง วิวที่เห็นจากสะพานนี้จะเป็นวิวที่สวยงามของเมืองเวนิส แสงสว่างที่เห็นจากช่องสะพาน นักโทษจะได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ยก่อนเข้าคุก และจะถอนหายใจด้วยเหตุผลนี้ เพราะรู้ตัวว่าจะไม่มีโอกาสเดินออกมาเห็นแสงสว่างอีกแล้ว ตามประวัติมีอยู่คนเดียวที่ได้ออกมาเขาคือ… คาสโนว่า นักรักผู้ยิ่งใหญ่ เรือกอนโดลา (Gondola) เป็นเรือพายพื้นบ้านของชาวเวนิส ใช้เป็นพาหนะหลักของการเดินทางในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี มานานหลายร้อยปี และเป็นสัญลักษณ์ของเวนิสไปซะแล้ว ถ้าได้ไปเวนิส ต้องไม่พลาดที่จะได้ไปล่องเรือกอนโดลา เพื่อชมเมืองเวนิส
Venice (Italian: Venezia [veˈnɛttsja] ( listen), Venetian: Venexia [veˈnɛsja]) is a city in northeast Italy sited on a group of 118 small islands separated by canals and linked by bridges. It is located in the marshy Venetian Lagoon which stretches along the shoreline between the mouths of the Po and the Piave Rivers. Venice is renowned for the beauty of its setting, its architecture and its artworks. The city and lagoon are listed as World Heritage Sites.
Venice is the capital of the Veneto region. In 2009, there were 270,098 people residing in Venice's comune (the population estimate of 272,000 inhabitants includes the population of the whole Comune of Venezia; around 60,000 in the historic city of Venice (Centro storico); 176,000 in Terraferma (the Mainland), mostly in the large frazioni of Mestre and Marghera; 31,000 live on other islands in the lagoon). Together with Padua and Treviso, the city is included in the Padua-Treviso-Venice Metropolitan Area (PATREVE) (population 1,600,000).
The name is derived from the ancient Veneti people who inhabited the region by the 10th century B.C. The city historically was the capital of the Venetian Republic. Venice has been known as the "La Dominante", "Serenissima", "Queen of the Adriatic", "City of Water", "City of Masks", "City of Bridges", "The Floating City", and "City of Canals". Luigi Barzini described it in The New York Times as "undoubtedly the most beautiful city built by man". Venice has also been described by the Times Online as being one of Europe's most romantic cities
The Republic of Venice was a major maritime power during the Middle Ages and Renaissance, and a staging area for the Crusades and the Battle of Lepanto, as well as a very important center of commerce (especially silk, grain, and spice) and art in the 13th century up to the end of the 17th century. This made Venice a wealthy city throughout most of its history. It is also known for its several important artistic movements, especially the Renaissance period. Venice has played an important role in the history of symphonic and operatic music, and it is the birthplace of Antonio Vivaldi.
:: th.tripadvisor.com ::
:: meetaweetour.co.th ::
:: sites.google.com ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
เทศกาลสวมหน้ากาก 'เวนิส คาร์นิวัล' เทศกาลคาร์นิวัลในเมืองเวนิส อิตาลี
(งาน Venice Carnival หรือ Carnival a Venezia)
* ชมคลิปวีดีโอ Carnaval de Venise 2012 ค่ะ -> http://player.vimeo.com/video/37202448
เมื่อพูดถึงเทศกาลสวมหน้ากากอันโด่งดังของอิตาลี เห็นจะหนีไม่พ้นงาน “เวนิส คาร์นิวัล” นั่นเอง งานเทศกาลในเมืองเวนิสนั้นที่มีมาตั้งแต่ปี 1268 แล้ว แต่การเฉลิมฉลองโดยมีสวมหน้ากากรวมถึงแต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างอลังการเพิ่งจะมีขึ้นในเกือบสองร้อยปีให้หลัง เมื่อช่างทำหน้ากากหรือ “mascareri” ได้รวมตัวกันก่อตั้งสมาคมขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1436
สมัยก่อนนั้นชาวเวนิสเขาสวมหน้ากากกันจนเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลยทีเดียว ยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 18 ถือเป็นยุคที่รุ่งเรืองมากของการสวมหน้ากาก ผู้คนในสาธารณรัฐเวนิสสวมหน้ากากออกจากบ้านถึงปีละ 8 เดือนด้วยซ้ำ ไม่ต้องสงสัยว่าเมืองจะเต็มไปด้วยเสน่ห์ลึกล้ำเพียงใด เมื่อผู้คนไม่ว่ายากดีมีจนซ่อนหน้าตาสถานะของตนไว้ภายใต้หน้ากาก และใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงแบบไม่ต้องแคร์ใคร และบางครั้งก็เพื่อมีเซ็กซ์กันโดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะจำได้
แต่หลังจากการยึดครองของกองทัพของนโปเลียนในปี 1797 เมื่อเวนิสกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรลอมบาร์ดี-เวเนเทีย ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
การยึดครองนำมาซึ่งการสั่งห้ามการจัดงานเฉลิมฉลองงานรื่นเริงเป็นเวลาหลายปี ผู้คนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หน้ากากเปเปอร์มาเช่เพื่อปกปิดหน้าตา และงานเต้นรำสวมหน้ากากก็ถูกห้าม จนกระทั่งทศวรรษที่ 1970 ประเพณีดั้งเดิมดังกล่าวถูกฟื้นขึ้นมาใหม่ เมื่อกลุ่มของอดีตนักศึกษาอคาเดมี ออฟ ไฟน์ อาร์ต ได้เปิดร้านขายหน้ากากสมัยใหม่แห่งแรกของกรุงเวนิสขึ้นในปี 1978
หน้ากากที่สวมในคาร์นิวัลของเวนิสแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่
:: หน้ากากแบบ Commedia dell'Arte ซึ่งเป็นละครตลกในยุคศตวรรษที่ 16-18 ของอิตาลี จะเป็นหน้ากากที่ทำขึ้นตามตัวละครเช่นตัวตลกอย่าง ฮาร์เลควิน กับ ปิเอโรต์
:: หน้ากากแฟนตาซี ประดิษฐ์ขึ้นตามจินตนาการของช่างทำหน้ากาก ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับแรงบันดาลใจมาจากการศิลปะการออกแบบในประวัติศาสตร์
:: หน้ากากแบบดั้งเดิมของชาวเวนิส เช่น หน้ากากขาวปลายแหลมคล้ายปากนก ซึ่งเป็นหน้ากากที่พวกหมอเคยใช้ในสมัยที่กาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ช่วงศตวรรษที่ 14 และจะใส่สมุนไพรเอาไว้ที่ปลายแหลม เพื่อฆ่าเชื้อในอากาศที่สูดเข้าไป
ปัจจุบันหน้ากากสวยๆ และหมวกแปลกๆ สำหรับงานเทศกาลเป็นของฝากที่ขึ้นชื่อที่สุดจากเวนิส โดยเฉพาะหน้ากากแบบสุดท้ายที่เรากล่าวถึง
สำหรับคาร์นิวัลสวมหน้ากากของชาวเวนิสในปีนี้นั้นจัดขึ้นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ด้วยกัน โดยในแต่ละปี จะจัดขึ้นภายใต้ธีมต่างๆ ไม่ซ้ำกันทำให้นักท่องเที่ยวและชาวเมืองนับแสนต่างเฝ้าคอยที่จะชมความแปลกใหม่ที่จะเกิดขึ้นทุกปี
The Carnival of Venice (Italian: Carnevale di Venezia) is an annual festival, held in Venice, Italy. The Carnival starts forty days before Easter and ends on Shrove Tuesday (Fat Tuesday or Martedì Grasso), the day before Ash Wednesday. "A carnevale, ogni scherzo vale!" In other words, "At a carnival, every joke goes!"
:: manager.co.th ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::
12. Eryanping Trail in Xiding Chiayi County in Taiwan
Xiding (Crevice Peak) is named after the pass here used in earlier times for travel between Xiding Mountain and Erping Mountain. The Eryanping Trail is a narrow mountain path about one kilometer long and takes about 80 minutes to walk both ways. The trail passes green groves of thill bamboo and tea farms. The viewing platform at the trail entrance looks out to the Jianan Plain and Bazhang River. This is one of the newest spots along the Alishan Highway to see the cloud formations. A view pavilion at the peak also offers a bird's-eye view of the scenic tea farms below.
Xiding is near the 54K point of Alishan Highway. It is the first place on the highway where mist can be viewed(54-56K) and is also where the sunrise can be viewed, which was why it used to be called “Yiding” (yi meaning sunrise in Chinese)
In the past visitors to Alishan would usually pass straight by but, after a recreational farm area was established by local farmers and artists and Xiding promoted as Alishan’s front garden, with beautiful mountain scenery, good food and aromatic coffee, it now attracts more visitors.
Xiding is located where the warm-temperate zone meets the sub-tropical zone and is also close to the Tropic of Cancer so a wide variety of farm products are produced; its jinxuan tea, qingxin wulong tea, persimmons and butterfly orchids are renowned.
Also, quite a few kinds of wild vegetable are grown locally and these are combined with papaya steamed ice cake, bitter tea oil rice noodles, tea jelly, tea wine, aiyu jelly and other traditional products to make distinctive local dishes.
Driving Information:
National Highway 3 exit at Zhongpu Interchange→Provincial Highway 18 (Alishan Highway) →arrive when reach 55 k marker.
High Mountain Tea
The natural environment and climate of Alishan and soil rich in organic matter make the tea grow in the Alishan area sweet and fragrant tea; the tea is regarded as amongst the best tea in Taiwan.
Eryanping Trail
The trail’s entrance is at the 53.5K point on the Alishan Highway and has a viewing platform.
The original trail was about 800 meters long and has been extended by laying a wood plant path up the slope from the pavilion at the end of the original trail. The trail’s extension passes through bamboo groves, past strange rocks and through a tea plantation and, in winter, there’s a chance of seeing the “ sea waterfall” and “ cloud sea.”
Leisurely Journey Along The Road To Tea
On the road to tea, visitors pick tea, make tea, make snacks DIY and taste creative tea dishes, giving the tea industry cultural depth and diversified development.
Read more : http://goo.gl/CCs83
13. ทะเลสาบเสี้ยวพระจันทร์ (YueYaQuan 月牙泉)ทะเลทรายโกบี ประเทศจีน
*แผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/i0hAK
เยว่ หยา ฉวน หรือ ทะเลสาบเสี้ยวจันทรา (Yue Ya Quan 月牙泉 ) ทะเลทรายโกบี ทะเลสาบรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวในโอเอซิส เดิมชื่อ ซาจิ่ง (Sha Jing) ที่แปลว่า บ่อน้ำกลางทะเลทราย ทะเลสาบอยู่ทางทิศใต้ 6 กม.ของเมืองดันหวงจังหวัดกานซู ประเทศจีน น้ำในสระใสจน สะท้อนแสงได้ราวกระจก ทะเลสาบและพื้นที่โดยรอบทะเลทรายเป็นที่นิยมมากของนักท่องเที่ยวที่มีให้บริการขี่อูฐ และ รถ 4x4
Crescent Moon Lake - Dunhuang, Gobi desert, China
Yueyaquan (Chinese: 月牙泉; pinyin: Yuèyá Quán) is a crescent-shaped lake in an oasis, 6 km south of the city of Dunhuang in Gansu Province, China. It was named Yueyaquan in the Qing Dynasty. According to measurements made in 1960, the average depth of the lake was 4 to 5 meters, with a maximum depth of 7.5 metres (25 ft) In the following 40 years, the depth of the lake continually declined. In the early 1990s, its area had shrunk to only 1.37 acres (5,500 m2) with an average depth of 0.9 meter (maximum 1.3 meter). In 2006, the local government with help of the central government started to fill the lake and restore its depth; its depth and size have been growing yearly since then. The lake and the surrounding deserts are very popular with tourists, who are offered camel and 4x4 rides.
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
14. The Blue Dragon : แม่น้ำ Odeleite ประเทศโปรตุเกส
แผนที่ค่ะ-> http://goo.gl/FZcyw
แม่น้ำ Odeleite เป็นแม่น้ำที่มีรูปร่างคล้าย "มังกรสีน้ำเงิน" อยู่ในเขตเทศบาลเมือง Castro Marim ในภาคใต้ของจังหวัด Faro , ประเทศโปรตุเกส ต้นแม่น้ำถูกสร้างเป็นเขื่อน Odeleite
The Blue Dragon : River Odeleite in southern Portugal, the province of Faro, Castro Marim municipality
15. ทางน้ำล้นแบบปากระฆัง ที่อ่างเก็บน้ำ Ladybower ในดาร์บีเชอร์ ประเทศอังกฤษ
(Bell-mouth spillway at Ladybower Reservoir in Derbyshire, England)
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/M_x8wVhBMFQ
ทางน้ำล้น หรือ สปิลเวย์ (spillway) และมักถูกเรียกผิดเป็น สปริงเวย์ เป็นโครงสร้าง อาคารชลศาสตร์ที่สำคัญของเขื่อน เป็นส่วนโครงสร้างที่มีค่าก่อสร้างสูงที่สุดในงานเขื่อน เนื่องจากก่อสร้างด้วยวัสดุคอนกรีตเสริมเหล็ก ทางน้ำล้นบางประเภทจะประกอบด้วยประตูน้ำบานเลื่อนที่สามารถควบคุมระดับน้ำได้
วัตถุประสงค์ของทางน้ำล้น
ทางน้ำล้นใช้ประโยชน์เพื่อควบคุมระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ด้วยการระบายน้ำส่วนเกินออกมายังท้ายน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำล้นตัวเขื่อน ซึ่งจะทำให้เขื่อนเกิดความเสียหาย
ประเภทของทางน้ำล้นแบ่งตามลักษณะการควบคุม
* ทางน้ำล้นแบบควบคุมได้ (Controlled)
ทางน้ำล้นแบบควบคุมได้ ประกอบด้วยประตูน้ำบานเลื่อน เพื่อใช้ควบคุมอัตราการไหลของน้ำ การออกแบบจะออกแบบให้อ่างเก็บน้ำสามารถจุน้ำได้ปริมาณสูงสุด โดยสามรถปล่อยน้ำได้ตามความต้องการด้วยการควบคุม
* ทางน้ำล้นแบบควบคุมไม่ได้ (uncontrolled)
ทางน้ำล้นแบบควบคุมไม่ได้ จะไม่มีประตูน้ำ เมื่อระดับน้ำในอ่างสูงจนถึงระดับที่ออกแบบไว้ จะไหลล้นผ่านสันฝายของทางน้ำล้น
ประเภทของทางน้ำล้นแบ่งตามลักษณะการใช้งาน
* ทางน้ำล้นใช้งาน (Service Spillway)
ใช้ในการควบคุมระดับน้ำในเขื่อน
* ทางน้ำล้นฉุกเฉิน (Emergency Spillway)
ใช้ในการระบายน้ำล้นฉุกเฉิน ช่วยในกรณีที่มีน้ำบ่ามาก
แบบของทางน้ำล้น
* ทางน้ำล้นแบบมีบานประตูน้ำ
บานประตูน้ำแบบบานตรง
บานประตูน้ำแบบบานโค้ง
*ทางน้ำล้นแบบไม่มีบานประตูน้ำ
ทางน้ำล้นแบบขั้นบันได (Stepped-Channel spillway, Stepped spillway, Staircase wastewater way หรือ Stepped chute)
ทางน้ำล้นแบบระฆังหงาย (Inverted bell) มักเรียกกันว่าทางระบายน้ำล้นแบบ Morning glory
ทางน้ำล้นแบบไหลล้นผ่านสันฝาย (Overflow weir spillway)
ทางน้ำล้นแบบกาลักน้ำ (Siphon spillway)
ทางน้ำล้นแบบอุโมงค์ (Tunnel spillway)
ทางน้ำล้นแบบน้ำล้นด้านข้าง (Side channel spillway)
:: วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ::
|