1
2

กฎของชีวิต 9 ประการ (9 Laws of Life)






it's my life





กฎของชีวิต 9 ประการ 
(9 Laws of Life)




จากหนังสือ “Life Strategy doing what works, doing what matter” เขียนโดย Phillip C McGraw

1. You either get it or you don’t 
ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตามจะมีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ล้มเหลว 
คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความทุ่มเท และความเพียรพยายาม 
แต่สำหรับผู้ที่ทุ่มเทแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ ให้ลองวิเคราะห์ว่า

หนึ่ง ท่านมีความรู้ในสิ่งที่ทำอยู่เพียงพอหรือไม่ และคนอื่นที่อยู่ในวงการเดียวกับท่านเขารู้มากกว่าท่านหรือไม่ และ

สอง ท่านรู้จักมนุษย์รอบข้างดีพอหรือไม่ เนื่องจากในการทำงานนั้นส่วนใหญ่เราจำเป็นต้องเกี่ยวพันกับคนอื่น บางคนจึงล้มเหลวเพราะขาดความเข้าใจในมนุษย์ 



กฎธรรมชาติเกี่ยวกับมนุษย์
1. มนุษย์ทั้งโลกกลัวการถูกปฏิเสธ ถ้าเราสามารถทำอะไรให้ใครได้โดยไม่เดือดร้อนหรือไม่ผิดศีลธรรมเราก็ควรทำ
2. มนุษย์ทุกคนต้องการการยอมรับ ดังนั้นการสร้างความพันธ์กับคนอื่นจึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติกัน
3. มนุษย์มองสถานการณ์ต่างๆ จากหลักการของผลประโยชน์ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความถึงในรูปของตัวเงินเพียงอย่างเดียว หากแต่หมายถึงประโยชน์ในด้านอื่นๆ ด้วย เช่นประโยชน์ด้านความพึงพอใจ เป็นต้น 
ดังนั้นในการทำกิจการใดๆ ให้ยึดหลัก Win Win Situation คือการได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
4. มนุษย์ชอบคุยแต่เรื่องของตัวเอง ไม่ชอบฟังเรื่องของคนอื่น ดังนั้นให้ฝึกการเป็นนักฟัง
5. มนุษย์นั้นก่อนจะรับฟัง และให้ความร่วมมือกับสิ่งใดๆ เขาจะต้องเข้าใจในสิ่งนั้นๆ ก่อน ดังนั้นเราจะต้องมีความสามารถในการสื่อความให้อีกฝ่ายเข้าใจเราได้
6. มนุษย์มักจะไว้วางใจเฉพาะคนที่เขาชอบหน้าเรา ดังนั้นเราควรมีทัศนคติที่ดีต่อโลกและต่อมนุษย์ ไม่ตั้งจิตเป็นศัตรูแล้วเขาก็ไว้เนื้อเชื่อใจเราเอง
7. มนุษย์ทุกคนมีการสวมหน้ากาก หรือ Social Mask คือทุกคนจะต้องมีบทบาทหน้าที่หรือสวมหัวโขนอยู่ สิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง ดังนั้นให้มองเข้าไปถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาอย่าไปติดอยู่กับภาพที่เห็นแค่ภายนอก
2. You create your own experience 
ตัวเราเองเป็นคนกำหนดประสบการณ์ชีวิตของเรา และกำหนดได้ด้วยความคิด 
ดังนั้น อย่าโทษปัจจัยภายนอกว่าเป็นสิ่งที่มาทำให้เราผิดหวัง ผู้ที่เป็นนักปราชญ์จะต้องรู้ว่าควรหยิบเรื่องไหนมาคิด และจะหยิบเรื่องนั้นมาคิดในเวลาไหน ตัวเราเองมีส่วนอย่างมากในการกำหนดผลลัพธ์ของชีวิตเรา

3. Reciprocity 
หลักต่างตอบแทนหรือต่างปฏิบัติ 
นั่นคืออะไรกับใครเอาไว้ก็จะได้อย่างนั้น เช่นถ้าเราพูดจาสุภาพกับเขา เขาก็จะใช้คำสุภาพกับเราดังนั้นถ้าเราอยากได้สิ่งใดจากผู้อื่นจงให้สิ่งนั้นกับผู้อื่นก่อน

4. You can’t change what you don’t acknowledge 
You can’t change what you don’t acknowledge ปัญหานั้นๆ ได้ก่อน 
เช่น ต้องเกิดการยอมรับก่อนว่าเราเป็นคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เราจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้

5. Life Rewards Action 
ชีวิตจะให้รางวัลกับคนที่ลงมือกระทำ 
สำหรับคนที่มีความคิดแต่ยังไม่เคยลงมือปฏิบัติ ให้ใช้วิธีการ มรณานุสติ คือหมั่นถามตนเองว่าตอนนี้อายุเท่าไร และจะเหลือเวลาใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกกี่ปี ถ้าไม่ทำตอนนี้จะไปทำตอนไหน เป็นต้น



6. ตัวเราเองที่เป็นคนให้ความหมายกับชีวิต 
บางคนเกิดมาในครอบครัวที่ลำบาก แต่มีความอดทนใฝ่หาความรู้ จนชีวิตประสบความสำเร็จได้ แสดงให้เห็นว่าตัวเราเองที่เป็นคนให้ความหมายกับชีวิต

7. Life is manage not cure 
ชีวิตต้องมีการบริหารจัดการ มิใช่การหาทางแก้ไขเมื่อเกิดปัญหา เราต้องเป็นผู้จัดการชีวิตของตนเอง และถามผู้จัดการชีวิตคนนี้ว่า ได้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเรานี้ถึงที่สุดหรือยัง, ได้เคยช่วยสร้างโอกาสต่างๆ ให้ชีวิตบรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือยัง, เคยได้ดูแลให้เกิดดุลยภาพระหว่างสุขภาพกาย จิต และอารมณ์หรือไม่ 
และสุดท้ายเมื่อเกิดปัญหาผู้จัดการชีวิตคนนี้ใช้วิธีการแก้ปัญหาหรือหนีปัญหา คนส่วนใหญ่มักทำตัวเป็น Passenger หรือผู้โดยสารชีวิต คือปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ โดยไม่ Manage ชีวิต เพราะไม่ชอบการตัดสินใจ เนื่องจากในการตัดสินใจนั้นมีความเสี่ยง และต้อง get out of our comfort zone

8. There’s power in forgiveness 
การให้อภัยมีพลังเหนือ ความขุ่นใจอันเกิดจากความอาฆาตพยาบาท ความโกรธแค้น เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการเจ็บป่วย แต่การให้อภัยมีพลังอำนาจที่สูงกว่า สามารถทำให้โรคภัยและความทุกข์ต่างๆ ได้ และยังสามารถพลิกความสัมพันธ์ของเรากับคนที่เราโกรธจากสภาพร้ายสุดมาเป็นสภาพดีสุดได้ด้วย ดังพุทธโอวาทที่ “พึงชนะความโกรธ ด้วยการให้อภัย”

9. You have to name it to claim it 
การจะได้อะไรมานั้นเราจะต้องรู้จักกับสิ่งนั้นก่อน เช่นถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าลึกๆ แล้วชีวิตต้องการอะไร รู้หรือไม่ว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะตราบใดที่เรายังบอกไม่ได้ว่าสำหรับตัวเราแล้วอะไรคือความสุข อะไรคือความสำเร็จ ก็ไม่ต้องพูดถึงจุดทีเรียกว่า outcome เพราะจะกลายเป็นการเข็นครกขึ้นภูเขาผิดลูก 

สรุปก็คือ คุณรู้หรือไม่ว่าก่อนจากโลกนี้ไป คุณต้องการจะบรรลุอะไร และอะไรคือเป้าหมายหลักของชีวิต

เปลี่ยนความเสียดายให้กลายเป็นเงิน






เปลี่ยนความเสียดายให้กลายเป็นเงิน
เรื่อง : เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว 
 ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
 kiatanantha.lou@dpu.ac.th



“ถ้าคุณเล่นกับเงินของผม คุณก็กำลังเล่นกับอารมณ์ของผมด้วยเหมือนกัน”
                                              บทสนทนาในภาพยนตร์เรื่อง Friday

คำว่า “เสียดาย” หมายถึง  การเป็นห่วงถึง หรือรู้สึกอาลัยถึงสิ่งที่จากไป กลยุทธ์ “เปลี่ยนความเสียดายให้กลายเป็นเงิน” เป็นไม้เด็ดอันหนึ่งที่ถูกนำมาใช้กันมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะกับสินค้า ลูกค้าตัดสินใจซื้อหามาเพื่อตอบสนองความต้องการทางอารมณ์เป็นหลัก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ เกมประเภทต่างๆ ที่อยู่บนสมาร์ทโฟน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกมที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี แต่เล่นไปเล่นมา คนเล่นส่วนใหญ่จะหลวมตัวจ่ายเงินให้กับเจ้าของเกม มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์และระดับการติดเกมนั้น 



หากมองในแง่ของกลยุทธ์ทางการตลาด นี่เป็นการขายตรงแบบมัดมือชกลูกค้า เพราะเกมเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้มีระดับความยากเพิ่มขึ้น ในด่านต้นๆ ใครก็เล่นผ่านได้ แต่พอเล่นไปสักพัก ด่านชักจะยากขึ้น สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ลำพังฝีมืออย่างเดียว อาจไม่พอสำหรับการผ่านด่าน นอกเสียจากจะเต็มใจทุ่มเทฝึกฝน หรือเก็บแต้มสะสมมากพอ นั่นหมายถึงการเบียดบังเอาเวลาในส่วนอื่นของชีวิตไปใช้ ด้วยต้นทุนของเวลาที่เพิ่มขึ้นนี้เอง ทำให้ลูกค้าที่อยากจะผ่านด่านยากๆ ให้ได้เริ่มมองหาตัวช่วย และตัวช่วยที่ดีที่สุด ก็ต้องมาจากผู้ที่เชี่ยวชาญเกมนั้น ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากบริษัทผู้ผลิตเกมเอง 

แนวคิดพื้นฐานของกลยุทธ์การเปลี่ยนความเสียดายให้กลายเป็นเงิน คือ โดยปกติแล้ว คนเราจะคิดก่อนซื้อ เปรียบเทียบความคุ้มค่าของเงินที่จ่ายไป การขายของให้กับคนที่ใช้เหตุใช้ผลในการตัดสินใจนั้น ยากกว่าการขายของให้กับคนที่ตัดสินใจบนฐานของความรู้สึกเป็นไหนๆ และด้วยธรรมชาติของคนมักจะเกลียดการสูญเสีย ดังนั้น การปล่อยให้อารมณ์เสียดายมาทำหน้าที่แทนพนักงานขายนี้ สำหรับลูกค้าที่ใจไม่แข็งพอแล้วได้ผลชะงัดนัก

เกมบนสมาร์ทโฟนที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้คือตัวอย่างที่ดีที่กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จ สร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำ โดยในปี พ.ศ. 2559 คาดกันว่า มูลค่าของตลาดเกมทั้งโลกซึ่งรวมถึงรายได้จากเกมบนสมาร์ทโฟน จะมีไม่น้อยกว่า 2.4 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 2 เท่าของเศรษฐกิจไทยเลยทีเดียว

  การเรียกเก็บเงินในเกมอาจเป็นกลยุทธ์ที่ค่อนข้างเฉพาะกิจ เลยดูเหมือนจะนำไปใช้กับธุรกิจอื่นไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลยุทธ์นี้ถูกใช้อยู่เป็นประจำ ลองมาดูอีกตัวอย่างใกล้ตัวอีกสักเรื่อง จะได้เห็นภาพชัดขึ้น



คนขายบอกเราว่า ซื้อเสื้อสองตัว 800 บาท ถ้าซื้อเพิ่มอีกตัว ตัวที่สามจะได้ลด 50 เปอร์เซ็นต์ หากเราไม่ซื้อก็จะรู้สึกเสียดายเพราะเสื้อตัวที่สามลดเยอะขนาดนี้ ไหนๆ ก็จ่ายไปแล้ว 800 บาท จ่ายเพิ่มอีกสักร้อยสองร้อยจะเป็นไรไป เมื่ออารมณ์เสียดายมีอิทธิพลมาก ย่อมมีคนตบะแตกควักเงินเพื่อเสื้อตัวที่สาม ซึ่งหากคิดให้ดี การที่เราไม่เลือกเสื้อตัวที่สามเป็นอันดับแรกตั้งแต่ตอนที่เราเข้าไปในร้าน แสดงว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้ต้องการเสื้อตัวนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว 

        การเปลี่ยนความเสียดายให้กลายเป็นเงิน เป็นหนึ่งในแม่ไม้ทางการตลาดที่ได้ผลชะงัดนัก เพียงแต่จะต้องรู้จักทำให้แนบเนียน ให้ลูกค้าเป็นคน “อยาก” เอง โดยมีเราเป็นผู้นำเสนอข้อมูลภายใต้เงื่อนไขที่เราแอบสร้างขึ้น เพื่อให้ลูกค้าตีความข้อมูลไปในทิศทางที่เราต้องการ 

       ในกรณีของเกม สถานการณ์ที่สร้างขึ้นก็คือ เล่นแล้วผ่านด่านยาก ทำให้อยากผ่านด่านเสียที สุดท้ายเลยยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อของพิเศษมาช่วยให้สามารถผ่านด่านได้ สำหรับเสื้อ สถานการณ์ที่สร้างขึ้นก็คือ โอกาสที่จะได้ซื้อเสื้อสวยเพิ่มอีกตัวในราคาที่ต่ำมาก

        ลองใช้เวลาคิดสักนิดว่า สำหรับธุรกิจของเรา เราจะสร้างสถานการณ์กระตุ้นต่อมความอยากของลูกค้าอย่างไร สิ่งที่ต้องระวังอย่างมาก คือ อย่าคะยั้นคะยอลูกค้า เพราะจะกลายเป็นการบังคับใจกัน และอย่าหวังผลเลิศว่าลูกค้าทุกคนจะเลือกจ่ายเงินเพิ่ม เพราะขนาดคนติดเกมงอมแงม พอถึงตอนที่ต้องเสียเงิน หลายคนยังเลิกเล่นแล้วไปทำอย่างอื่นแทนได้เลย





บัฟเฟตต์ถึงบัฟเฟตต์และเคล็ดไม่ลับ

"วอร์เรน บัฟเฟตต์"
กฏเหล็กลงทุนแบบ ... "วอร์เรน บัฟเฟตต์"

บัฟเฟตต์ถึงบัฟเฟตต์และเคล็ดไม่ลับ
คอลัมน์ ระดมสมอง โดย ไสว บุญมา

นิตยสาร Fortune ประจำวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา พิมพ์บทความสั้น ๆ เกี่ยวกับหลานของอภิมหาเศรษฐี วอร์เรน บัฟเฟตต์ 2 คน ซึ่งน่าสนใจเป็นพิเศษ 

คนหนึ่งชื่อ อะเลกซ์ โรเซค ซึ่งเป็นหลานชายของพี่สาวของเขา แม้ยายของอะเลกซ์จะไม่ร่ำรวยเท่าน้องชาย แต่ก็มีฐานะดีและมีใจบุญเช่นกัน ฉะนั้น งานสำคัญยิ่งที่อะเลกซ์ ทำให้ยายได้แก่การแสวงหาวิธีที่จะทำอย่างไรให้เงินบริจาคของยายได้ ประสิทธิผลสูงสุด เมื่อตาวอร์เรน เริ่มบริจาคทรัพย์สินจำนวนมหาศาลเพื่อการกุศล อะเลกซ์มองว่าเขาคนเดียวคงทำไม่ไหว จึงไปชวนผู้มีฐานะเป็นน้องชายชื่อเฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. บัฟเฟตต์ มาร่วมด้วย

เฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. เป็นลูกชายของเฮาเวิร์ด จี. บัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นลูกชายคนหนึ่งของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ปัจจัยที่ทำให้อะเลกซ์ไปชักชวนเฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. เพราะฝ่ายหลังนี้มีความสนใจในด้านบริหารจัดการเงินบริจาคเพื่อการกุศลให้ เกิดประสิทธิผลสูงสุดอยู่แล้ว เขาเป็นอาจารย์สอนทางด้านบริหารจัดการอยู่ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเพิ่งร่วมเขียนหนังสือชื่อ Forty Chances : Finding Hope in a Hungry World กับพ่อของเขาออกมาเมื่อเดือนตุลาคม
หนังสือเล่มนี้มีแก่นความ คิดที่เฮาเวิร์ด จี. ได้มาจากการเป็นชาวไร่ นั่นคือ โดยทั่วไปชาวไร่มีโอกาสปลูกพืชได้ 40 ฤดูกาลในชีวิตของเขา ในช่วงเวลานี้ เขาต้องทำชีวิตให้ดีขึ้น หลังจากนั้นโอกาสจะหมด ชีวิตของคนทั่วไปก็เช่นกัน ทุกคนต่างมีโอกาส 40 ครั้ง ที่จะทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมายและทำให้ชีวิตดีขึ้น
หนังสือเล่มนี้ มี 40 บท แต่ละบทเล่าเรื่องราวที่สองพ่อลูกประสบมาจากด้านการบริจาคทรัพย์สินเพื่อ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงทางอาหารและการอนุรักษ์สิ่ง แวดล้อม

เฮาเวิร์ด จี. ได้รับมรดกหลายพันล้านดอลลาร์มาจากพ่อ และทำมาหาเลี้ยงชีพจนมีทรัพย์ในระดับมหาเศรษฐี เขามีแนวคิดคล้ายกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ ในด้านการบริจาคทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ตอนนี้เขาอายุ 58 ปี และมีเป้าหมายสำหรับในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ว่าจะใช้ทรัพย์สิน 3 พันล้านดอลลาร์ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเพื่อนมนุษย์ทั่วโลกคงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ตอนนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีทรัพย์สินอยู่เกือบ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากยกให้ภรรยาและลูก 3 คนไปคนละหลายพันล้านดอลลาร์แล้ว เขาบอกว่าเขาจะบริจาค 99% ของทรัพย์สินที่เหลืออยู่นั้นเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เขาเคยพูดว่าการหาเงินนั้นง่าย แต่การใช้เงินเพื่อการกุศลให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดนั้นยากมาก 

หลังจากมองหาวิธีว่าจะทำอย่างไรอยู่นาน เขาตัดสินใจจะบริจาคทรัพย์สินส่วนมากจาก 99% นั้นให้มูลนิธิของบิล เกตส์ นำไปบริหารจัดการในด้านการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งบิล เกตส์เองได้บริจาคไปแล้วกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และให้คำมั่นสัญญาว่าจะบริจาคเพิ่มอีกหลายหมื่นล้านดอลลาร์ จะเห็นว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ยอมให้หลานบริหารจัดการเงินบริจาคส่วนใหญ่ เพราะคงมองว่าหลานยังมีความสามารถไม่เท่า บิล เกตส์ ผู้สร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ไมโครซอฟท์ และเป็นนักบริหารจัดการขององค์กรเพื่อการกุศลที่ประสบประสิทธิผลสูงมากมา เป็นเวลานาน

มีผู้ถามวอร์เรน พัฟเฟตต์ เรื่องเคล็ดลับ ในการบริหาร การลงทุนและการดำเนินชีวิตของเขา จากหนังสือและข้อเขียนจำนวนมาก คำตอบของเขาอาจย่อยออกมาได้คร่าว ๆ เป็น 6 ข้อ ซึ่งปรากฏอยู่ทั่วไปในสังคมออนไลน์ ได้แก่
 ด้านรายได้ - อย่าอาศัยรายได้จากแหล่งเดียว จงลงทุนให้เกิดรายได้เป็นแหล่งที่สอง
 ด้านการใช้จ่าย  - หากท่านเอาแต่ซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น อีกไม่นานท่านจะต้องขายสิ่งที่จำเป็น
 ด้านการเก็บออม  - อย่าเก็บออมส่วนที่เหลือจากการใช้จ่าย แต่จงใช้จ่ายส่วนที่เหลือจากการเก็บออม
 ด้านการบริหารความเสี่ยง - อย่าทำอะไรโดยไม่เตรียมหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน
 ด้านการลงทุน - อย่าทุ่มแบบหมดหน้าตักลงไปในสิ่งเดียว
 ด้านความคาดหวัง - ความซื่อสัตย์เป็นของขวัญที่มีราคาสูง จงอย่าหวังว่าจะได้จากคนต่ำ ๆ
เขาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามหลักเกณฑ์ชุดนี้จนเป็นอภิมหาเศรษฐีอเมริกันอันดับสอง รองลงมาจากบิล เกตส์

วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ บิล เกตส์ อายุห่างกัน 25 ปี และมีความสนิทสนมกันมาก ทั้งสองร่วมกันก่อตั้งโครงการบริจาคทรัพย์สินเพื่อการกุศล ชื่อ The Giving Pledge โครงการนี้เปิดโอกาสให้มหาเศรษฐีให้คำมั่นสัญญาว่าจะบริจาคทรัพย์สินของตน อย่างน้อยครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ การบริจาคจะทำในระหว่าง

มหาเศรษฐีมีชีวิตอยู่ หรือเมื่อตายไปแล้วก็ได้ ณ วันนี้มีมหาเศรษฐีอเมริกันเข้าร่วมโครงการแล้ว 113 คน/ครอบครัว (รายชื่ออาจหาได้ในเว็บไซต์ www.givingpledge.org) มหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโครงการนี้ได้แก่ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ร่ำรวยจากการสร้างสังคมออนไลน์ Facebook เขาอายุเท่า ๆ กับหลานของวอร์เรน บัฟเฟตต์ สองคนนั้น ตอนนี้เขาเริ่มบริจาคทรัพย์สินเป็นหลักร้อยล้านดอลลาร์แล้ว เป็นไปได้ว่าในวันหนึ่งข้างหน้า เขาจะเป็นอภิมหาเศรษฐีและบริจาคทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไม่น้อย กว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์




สายลม แห่งการให้อภัย






สายลม แห่งการให้อภัย


มีเรื่องเล่า ว่า.......
มีคน 2 คนเป็นเพื่อนกัน 
ต่างร่วมเดินทางไปในทะเลทรายด้วยกัน 
ระหว่างทางเกิดโตเถียงขัดแย้งไม่เข้าใจกัน 
เพื่อนคนหนึ่งพลั้งมือตบหน้าอีกฝ่าย
คนถูกทำร้าย เจ็บปวด แต่ไม่เอ่ยวาจา 
กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า...


"วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า"
พวกเขายังคงเดินทางต่อ กระทั่งถึงแหล่งน้ำ 
พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำชำระกาย 
พลันคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ 
เพื่ออีกคนไม่รั้งรอ เข้าช่วยชีวิต
คนรอดตายยังคงไม่เอ่ยวาจา 
กลับสลักลงไปบนหินใหญ่ว่า...


"วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้"
อีกคนไม่เข้าใจถามว่า...
"เมื่อถูกฉันตบหน้า เธอเขียนลงทราย
แล้วทำไมเมื่อครู่ต้องสลักบนหิน"
อีกคนยิ้มพราย กล่าวตอบ...


"เมื่อถูกคนที่รักทำร้ายเราควรเขียนมันไว้บนทราย 
ซึ่ง สายลมแห่งการให้อภัย 
จะทำหน้าที่พัดผ่านลบล้าง ไม่เหลือ
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมายบังเกิด 
เราควรสลักไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ 
ซึ่งต่อให้มีสายลมแรงเพียงใด ก็ไม่อาจลบล้างทำลาย"


การทดลองทางพฤติกรรมศาสตร์เรื่องลิง 5 ตัว


เรื่อง ลิงห้าตัว


การทดลองทางพฤติกรรมศาสตร์เรื่องลิง 5 ตัว

กล่าวคือฝรั่งเขาทดลองเอาลิง 5 ตัวมาขังไว้ในห้องหนึ่งตรงกลางห้องมีบันไดตั้งอยู่สูงถึงเพดาน ที่สุดปลายบันไดนั้นมีกล้วยสุก 1 หวีแขวนอยู่ แต่ถ้าใครไปปีนบันไดเข้าก็จะมีน้ำเย็นเฉียบฉีดกระจายไปเต็มห้องไม่หยุดจนกว่าจะไม่มีใครอยู่บนบันไดนั้น

บรรดาลิง 5 ตัวนั้นได้เรียนรู้เรื่องนี้แบบ "Learning by doing" คือปีนขึ้นไปแล้วก็โดนน้ำเย็นด้วยกันทั้งหมด จนกระทั่งหากเกิดมีลิงตัวไหนหน้ามืดอยากกินกล้วยจะเสี่ยงปีนบันไดขึ้นไปอีก ลิงอีก 4 ตัวก็ต้องกรูกันเข้าไปขัดขวางและซ้อมลิงตัวที่หน้ามืดเป็นยกใหญ่ เนื่องจากไม่อยากโดนน้ำเย็นให้หนาวสั่นโดยใช่เหตุ

ในที่สุดลิงทั้ง 5 ตัวก็ไม่สนใจที่จะปีนบันไดอีกเลย เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วฝรั่งก็เอาลิงออกไปตัวหนึ่งแล้วเอาลิงตัวใหม่เข้ามา

เจ้าลิงตัวใหม่นี้เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องแล้วเห็นกล้วยอยู่บนปลายสุดของบันได ก็จัดแจงจะปีนบันได แต่ก็ถูกลิงรุ่นพี่อีก 4 ตัวรุมลากตัวมา พร้อมกับซ้อมเสียจนเข็ดหลาบไม่กล้าเข้าไปใกล้บันไดอีกต่อไป

คราวนี้ถึงช่วงเวลาที่น่าสนใจมากคือการเอาลิงดั้งเดิมออกจากห้องอีก 1 ตัว แล้วเอาลิงตัวใหม่เข้ามาไว้แทน ที่น่าสนใจก็คือเจ้าลิงตัวใหม่ก่อนหน้าลิงตัวใหม่เอี่ยมนี้จะรวมหัวกับเจ้าลิงตัวใหม่เอี่ยมนี้ปีนบันไดขึ้นไปเอากล้วย หรือว่าจะร่วมมือกับลิงดั้งเดิม 3 ตัวซ้อมเจ้าลิงตัวใหม่เอี่ยม

ผลก็คือ 4 รุม 1

เจ้าลิงตัวใหม่ก่อนหน้านี้โดนแรงกดดันของกลุ่มใหญ่เดิมเข้าร่วมบาทาสามัคคีด้วย ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงต้องรุมซ้อมลิงตัวใหม่เอี่ยมด้วย

หลังจากนั้นก็เอาลิงมาเปลี่ยนทีละตัว จนในที่สุดมีลิง 5 ตัวที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการปีนบันไดเลยอยู่ในห้องทดลองเดียวกันนี้ แต่ไม่มีลิงตัวใดสนใจที่จะปีนบันไดอีกต่อไปโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงเลยว่าทำไมจึงทิ้งกล้วย 1 หวีให้เน่าเสียไปเปล่าๆ

ผลการทดลองเรื่องลิง 5 ตัวนี้เอาไปใช้อธิบายพฤติกรรมได้ดีพอสมควรไม่เฉพาะแต่เรื่องของลิงเท่านั้น บางทีก็เอามาประยุกต์กับพฤติกรรมกลุ่มของมนุษย์ได้หลายกรณีเหมือนกัน นักวิชาการบางคนเอามาประยุกต์กับสถานการณ์ในคุก ในค่ายกักกัน ในการรับน้องใหม่ ฯลฯ





:: slideshare.net ::
:: nidambe11.net ::
:: setthasat.com ::


นิทานเรื่อง 'โอกาสที่หายไป' โดย : หนูดี







นิทานเรื่อง 'โอกาสที่หายไป' 
โดย : หนูดี



หลายคนที่เมื่อโอกาสมาถึงมือแล้ว มองไม่เห็น ไม่รู้ ไม่เข้าใจว่า มันคือโอกาส จึงปล่อยให้ลอยผ่านมือไป

โลกนี้มีคนเก่งมากมายที่ชีวิตนี้ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ เพราะว่าโอกาสดีๆ ไม่ได้มีมาถึงชีวิต แต่ก็มีอีกหลายคนที่เมื่อโอกาสมาถึงมือแล้ว มองไม่เห็น ไม่รู้ ไม่เข้าใจว่า มันคือโอกาส จึงปล่อยให้ลอยผ่านมือไป โดยไม่เคยได้รู้ตัวเลยว่า โอกาสงามๆ มาถึงมือเราแล้วหลุดออกไปโดยที่เรามองไม่เห็นอะไรเลย

สมองของคนเราชอบฟังนิทานหรือเรื่องเล่าต่างๆ ที่เกี่ยวกับมนุษย์ด้วยกัน นี่คือเหตุผลที่เด็กๆ ชอบฟังนิทานและพอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็ชอบฟังเรื่องของคนอื่น การนินทาหรือการเล่าสู่กันฟังเรื่องของคนอื่นนั้น ในเชิงสมองไม่ได้ถือเป็นเรื่องเลวร้าย เพราะสมองมนุษย์จะตอบสนองดีมากกับเรื่องราวที่มีมนุษย์เป็นตัวเดินเรื่อง ไม่ว่าเรื่องนั้นๆ จะถูกให้คำนิยามว่า อัตถชีวประวัติ หรือ การนินทาก็ตาม แก่นของมันก็คือ มีมนุษย์หนึ่งคนขึ้นไปเป็นตัวเดินเรื่อง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่สมองเมื่อได้ยินหรืออ่านเห็น ก็จะอยากติดตามเรื่องราวนั้นๆ




เมื่อมาถึงการสอนเด็ก หรือแม้แต่จะสอนผู้ใหญ่ก็ตาม การผูกเรื่องราวให้ออกมาในลักษณะนิทานหรือนิยายจะช่วยมากๆ นั่นคือเหตุผลที่โลกนี้เรามีนิทานเด็กจำนวนมาก และนิยายสำหรับผู้ใหญ่อีกมากมายเช่นเดียวกัน


หนูดีเพิ่งได้คุยกันคุณแม่คนหนึ่งที่เลี้ยงลูกวัยรุ่นสองคนมาด้วยตัวเอง ในระดับที่ถือว่าดีมากๆ หนึ่งในเคล็ดลับนั้นคือ การเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ลูกฟังเป็นประจำในลักษณะนิทานหรือเรื่องเล่าสอนใจ เล่าให้ฟังไปในรถบ้างเวลาขับรถรับส่งลูก แต่เมื่อลูกโตขึ้นไปอยู่มหาวิทยาลัยและไปอยู่หอ เธอก็จะใช้โปรแกรมไลน์ส่งเรื่องเล่านิทานสอนใจ และจะถามว่า ลูกมีความเห็นอย่างไร ซึ่งเป็นวิธีการสอนที่ทั้งเด็กทั้งแม่ดูจะเอนจอยกันด้วยดีทั้งสองฝ่าย



พอพูดถึงนิทานและเรื่องของโอกาส หนูดีก็นึกถึงเรื่องหนึ่งที่ฟังแล้วสอนใจได้ดีทีเดียว เป็นเรื่องราวของเทวดาสององค์ในสวรรค์ มีเทวดาเล็กและเทวดาใหญ่ ทั้งคู่มองลงมาที่โลกมนุษย์และเทวดาเล็กก็รู้สึกว่า โลกมนุษย์เป็นสถานที่ที่น่าตื่นเต้นมาก อยากลงมาเที่ยวที่โลกมนุษย์บ้าง และจะไปเที่ยวอาศัยอยู่ที่ไหนได้บ้าง ท่านมองไปเห็นบ้านของเศรษฐีคนหนึ่ง มีบ้านใหญ่มากเฉพาะห้องนอนสวยๆ ก็มีถึง 20 ห้องเข้าไปแล้ว นี่ยังไม่นับห้องนั่งเล่น ห้องดูหนัง ห้องออกกำลัง ฯลฯ ?แถมยังมีสนามที่ใหญ่และสวยงามมากอีกด้วย


เทวดาทั้งสองจึงลงมาจากสวรรค์และปลอมกายเป็นชายชรา เมื่อถึงเวลากลางคืนก็ไปเคาะประตูหน้าบ้านเศรษฐีเพื่อขอพักอาศัยหนึ่งคืน แต่เศรษฐีออกมาหาและบอกว่า ไม่มีห้องพักให้เลย ถ้าจะอยู่ให้ได้ก็มีเพียงห้องใต้ดินเท่านั้น และอาหารก็ไม่ค่อยมีด้วย เมื่อเทวดาทั้งสองเข้าห้องพักก็พบว่า ห้องนั้นเล็กมากอยู่ในชั้นใต้ดินที่อับชื้น ผนังห้องก็ร้าวและมีตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมด เมื่อคนใช้เอาอาหารเข้ามาให้ก็มีเพียงเศษข้าวและเศษผักเท่านั้น เทวดาเล็กโกรธมากแต่ในที่สุดก็หลับไป พอตื่นขึ้นมากลางคืน ก็เห็นเทวดาใหญ่กำลังซ่อมผนังที่ร้าวให้บ้านเศรษฐี เทวดาเล็กก็งงว่าทำไมถึงทำดีกับเขา ท้ั้งๆ ที่เขาก็ทำไม่ดีกับเรา เทวดาใหญ่ก็ไม่ตอบ ได้แต่เงียบ



วันรุ่งขึ้น ทั้งคู่เที่ยวเมืองมนุษย์จนเหนื่อย และค่ำคืนนั้นทั้งคู่ก็ตัดสินใจจะไปขอพักนอนที่บ้านของชายชรายากจนคนหนึ่ง มีเพียงกระท่อมหลังเล็กๆ และวัวหนึ่งตัวพร้อมกองฟางหนึ่งกอง เขามีหมั่นโถวกินเป็นอาหารเย็นเพียงสองลูกเท่านั้น เมื่อมีชายชราแปลกหน้าสองคนมาขออาศัยนอน เจ้าของบ้านจึงบอกว่า ได้เลย ขอให้ท่านนอนบนบ้าน แล้วตัวเราจะไปนอนกับวัวที่กองฟางเอง และให้ท่านทั้งสองแบ่งหมั่นโถวกันทานเป็นอาหารเย็นจะได้ไม่หิว คืนนั้น ฝนเริ่มตกหนักและในที่สุดฟ้าก็ผ่าลงมา

พอตอนเช้า เทวดาเล็กก็พบว่า ฟ้าได้ผ่าวัวเพียงตัวเดียวของชายชราตายเสียแล้ว เมื่อทราบเรื่อง เทวดาเล็กก็โกรธเทวดาใหญ่มากว่า ชายยากจนคนนี้ดีกับเรานักหนา แต่ท่านก็ได้ปล่อยให้วัวของเขาตายโดยไม่ช่วยอะไร ส่วนเศรษฐีใจดำคนนั้นท่านกลับไปช่วยซ่อมผนังร้าวให้เขา เทวดาใหญ่ฟังแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไร




เมื่อทั้งคู่กลับไปถึงสวรรค์แล้ว เทวดาเล็กก็รีบไปศึกษาข้อมูลว่า ทำไมเรื่องราวจึงเป็นแบบนี้ ในที่สุดก็ได้ทราบความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วเศรษฐีคนแรกนั้นกำลังจะได้โชคใหญ่ เพราะบรรพบุรุษของเขาที่รวยมาหลายชั่วคนได้ซ่อนเหรียญทองมากมายมหาศาลไว้ในห้องใต้ดินแล้วโบกปูนปิดไว้ พอมาถึงรุ่นเขา ปูนที่โบกไว้กำลังจะแตกออกมาแล้ว แต่เมื่อเขาใจร้ายกับคนที่มาขอความช่วยเหลือ เทวดาใหญ่จึงโบกปูนปิดเอาไว้ 

ส่วนชายยากจนนั้น ตอนมาเกิดเขาเซ็นสัญญากับสวรรค์ไว้เพียงหกสิบปี และในคืนนั้น จริงๆ แล้วฟ้าต้องผ่าเขาตายไปพร้อมกับวัว แต่เพราะความดีของเขา สวรรค์จึงต่อสัญญาให้อีกยี่สิบปี เรื่องราวเป็นแบบนี้นี่เอง




คล้ายๆ กับชีวิตของคนเราอีกจำนวนมากที่เมื่อโอกาสเดินทางมาถึงแล้วผ่านเลยไป โดยที่เราไม่เคยได้รู้ตัวเลย เพราะทำตัวไม่ดีพอสำหรับโอกาสนั้นนั่นเอง...

ฟังเรื่องนี้แล้ว หนูดีได้แง่คิดดีๆ มากมาย ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า 
สมองผู้ใหญ่ยังโหยหานิทานดีๆ อยู่ไม่เคยเสื่อมคลาย

:: bangkokbiznews.com ::







1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss