1
2

เทศกาลกินเจ


TrackGG.mp4 (ผู้หญิง)
TrackG.mp4 (ผู้ชาย)




เทศกาลกินเจ 
ชวนกินเจ ทำบุญละบาป



สำหรับเทศกาลกินเจ ปี 2556 เริ่มตั้งแต่วันที่ 5-13ตุลาคม 2556 แต่บางคนอาจกินเจล่วงหน้า 1 วัน หรือที่เรียกว่า "ล้างท้อง" นั่นเอง สำหรับวันนี้เรามีความรู้เกี่ยวกับเทศกาลกินเจมาฝากค่ะ ... 


เทศกาลกินเจเดือนเก้า (เก้าอ๊วงเจ)
ประเพณีการกินเจเดือนเก้า หรือเทศกาลกินเจกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือเริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1ค่ำ ถึง 9 ค่ำ ตามปฏิทินจีนทุกๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน


ในพระพุทธศาสนาฝ่ามหายานมีอรรถาธิบายว่า " เป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการะบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 อันมี พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวพระอังคาร ดาวพระพุธ ดาวพระพฤหัสบดี ดาวพระศุกร์ ดาวพระเสาร์ ดาวพระราหู ดาวพระเกตุ "


ในพิธีกรรมสักการบูชาพระพุทธเจ้า 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์นี้ สาธุชนในพระพุทธศาสนา ต่างสละเวลาและกิจทางโลกมาบำเพ็ญศีล ตั้งปณิธานกินเจ บริโภคแต่อาหารผลไม้ งดเว้นอาหารเนื้อสดของคาวด้วยการสมาทานรักษาศีล 3 ข้อ กล่าวคือ :-


1 เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์ มาบำรุงชีวิตตน
2 เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์ มาเพิ่มเลือดตน
3 เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์ มาเพิ่มเนื้อตน


เพื่อซักฟอกมลทินออกจากร่างกาย วาจา ใจ ต่างสวมเสื้อผ้าสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากจุดด่างพร้อย พากันเดินทางสู่วัดวาอารามพร้อมด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ไปนมัสการน้อมบูชาแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์อีกทั้งพระมหาโพธิสัตว์ 2 พระองค์ พร้อมจัดหาเครื่องกระดาษ ทำเป็นรูปทรงเสื้อผ้า, หมวก, รองเท้า, กระดาษเงินกระดาษทองต่างๆ ไปน้อมถวายเป็นเครื่องสักการะ เป็นกุศลสมาทาน (แต่ในอดีต จะนำวัตถุสิ่งของ เครื่องปัจจัย 4 ไปถวายนักบวช พระเณร ผู้ทรงศีล และแจกทานด้วยเสื้อผ้าเงินทอง ที่เป็นของจริงๆ แก่คนทุกข์ คนยากจน)


โอกาสพิเศษที่ควรทานเจ
เทศกาลกินเจ
วันคล้ายวันเกิดของตัวเอง
วันคล้ายวันเกิดของลูกหลาน
วันแต่งงาน
วันเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติสนิท
วันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
วันที่ทำบุญสร้างกุศล หรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ช่วงเข้าพรรษา
วันขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
วันไว้ทุกข์ให้กับบุคคลที่มีความสำคัญกับเรา
ฯลฯ


ทานเจเพื่ออะไร
จุดประสงค์หลักของผู้ที่ทานเจ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ :-


กินเพื่อสุขภาพ
อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อรับประทานติดต่อกันช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ ทั้งนี้ผู้ทานเจจะต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอ


กินด้วยจิตเมตตา
เนื่องจากอาหารที่เราทานอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรม และมีจิตสำนึกอันดีงาม เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ย่อมไม่อาจทานเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้น ซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจ และที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา


กินเพื่อเว้นกรรม
ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่า เพื่อเอาเลือดเนื้อของผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรมเกี่ยวกับการฆ่าโดยตรง แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่า เพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย (" หยุดกิน... คือหยุดฆ่า") กรรมที่สร้างนี้ จักติดตามสนองเราในไม่ช้า ทำให้สุขภาพร่างกาย อายุขัยของเราสั้นลง เป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ จากเวรกรรมซึ่งรักษาได้ยากและเรื้อรังด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน ชีวิตบั้นปลายจะไม่มีความสุข เพราะมีแต่โรคภัยไข้เจ็บ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคเก้าท์ และอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย


เมื่อผู้มีความรู้เรื่องกฏแห่งกรรมหยั่งรู้ถึงเหตุนี้แล้วจึงหยุดกินหยุดฆ่า หันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโด้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้นๆ แค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น ความแตกต่างอยู่ที่ ทานอาหารเจไม่มีหนี้สินเวรกรรม


คนกินเจ ไม่เกเร ไม่ว้าวุ่น ได้สร้างบุญหนุนนำค้ำจุนจิต
กินแต่ผัก รักษาตัว ชั่วชีวิต ไม่เสี่ยงพิษไม่เสี่ยงภัยใฝ่กินเจ
ละความอยากเนื้อสัตว์ ขจัดโรค จะมีโชค วาสนาพาหันเห
พบแต่สิ่งดีๆ ไม่เสเพล ลองทุ่มเท กินผักมาก ไม่ยากจน
แต่ละมื้อ เบาสบายคลายกิ เลศ เพราะสาเหตุเมตตาธรรมนำเกิดผล
บารมีแห่งเมตตามหามงคล บันดาลดล พ้นทุกข์โศกและโรคภัย
เป็นความเชื่อ กินเจดี มีกุศล แต่ละคน เมื่อละเว้น เป็นไฉน
คงแล้วแต่ ความคิดเห็นจะเป็นไป บุญของใครของเขาคิดเอาเอง


การกินเจที่ภูเก็ต
จังหวัดภูเก็ตไม่มีประเพณีกินเจเหมือนที่อื่นแต่จะเรียกว่าประเพณีถือศีลกินผักตามภาษาถิ่นฮกเกี้ยนที่ว่าเจี๊ยะฉ่าย(食菜)ตามตำนานกล่าวว่าเมื่อประมาณ180ปีก่อนมีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้นานเป็นแรมปี แล้วบังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้นคณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินผักและสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็หายสิ้น ชาวกะทู้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงปฏิบัติตาม และหลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินผักที่สมบูรณ์ตามแบบประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) ในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินผักในปัจจุบัน




กินเจ



เมื่อ ถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี เราจะเห็นธงสีเหลืองๆ มีตัวอักษรจีนประดับอยู่ตามร้านอาหาร และที่ต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ว่า เริ่มเข้าสู่เทศกาลกินเจแล้ว 


ถือศีล กินเจ
ตำนานเทศกาลกินเจ
เทศกาล เจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติแมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะ*ผมดก*ทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทางด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี


ในสมัยนั้น มี คนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจนสามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งแม้จะได้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้


เมื่อถึง วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น


ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่ง ของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล 2 ประการ คือ


1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน


 

สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ


บรรยากาศเทศกาลกินเจของเมืองไทยในปัจจุบัน คนทั่วไปไม่เว้นแม้กระทั่งหนุ่มสาวยุคใหม่ต่างก็หันมากินเจกันมากขึ้นทั้ง นี้ อาจจะมาจากกระแสเรื่องห่วงใยสุขภาพมากกว่าความเชื่อโบราณ เพราะการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดและหันมาบริโภคแต่ผัก ผลไม้นั้นจะช่วยชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย หรือคนยุคนี้เรียกว่า "การล้างพิษ" ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น




ความหมายของ "เจ"
"เจ" ในภาษาจีนมีความหมายว่า "อุโบสถ" เป็นคำแปลทางพุทธสาสนา นิกายมหายาน


การกินเจนั้นแต่เดิมหมายความถึง "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นตัวอย่างชาวพุทธรักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ด้วยการไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงไปแล้วเช่นเดียวกับพระภิกษุ แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย จึงนิยมเรียกการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกับการกินเจ จนถึงปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ยังคงเรียกว่า "กินเจ"


ความหมายของการกินเจ จึง หมายถึงการรักษาศีล ปฏิบัติธรรมทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่หมายความเพียงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น การปฏิบัติธรรมร่วมไปด้วยจึงจะครบเป็น "การถือศีล-กินเจ" อย่างแท้จริง




ความหมายของ "ธงเจ"
อักษร แดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตน "ถือศีล-กินเจ" ได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะ เวลา 9 วัน 9 คืน
 
การปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลกินเจ
เมื่อ ตั้งมั่นที่จะปฏิบัติศีลและกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืนนี้แล้ว ก็ควรจะศึกษาข้อห้ามต่างๆ ที่บัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อปฏิบัติดังนี้



* งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
* งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์
* งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
* งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
* รักษาศีล 5
* รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่
* ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว


สำหรับ คนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ "ถือศีล-กินเจ" แล้วยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ "อาหารเจ" นั้นบริสุทธิ์จริงๆ บางคนจะมีการคัดแยกภาชนะที่บรรจุอาหารหรือใช้ปรุงอาหาร แยกจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวง ไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลาการกินเจ เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา



อาหารเจ
ปัจจุบัน มีการยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของ "อาหารเจ" เนื่องจากการรับประทานพืชผักในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเนื้อสัตว์ ทำให้กระเพาะได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ และได้รับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งได้โปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากโปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนจากการรับสารอาหารย่อยยากจาก แหล่งอาหารต่างๆ รวมทั้งยังได้รับพลังใจจากการที่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ เบาสบาย


หลายคนคิดว่า การรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เกิดโรคขาดอาหาร ทั้งที่สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคขาดอาหารนั้น มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์และกินเจ ซึ่งมีนิสัยการบริโภคที่ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ


คน ที่กินเจอย่างถูกหลักก็จะได้รับอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การประกอบอาหารเจเพื่อรับประทานในช่วงนี้ จึงสามารถเลือกอาหารพวก ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง ทดแทน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ



"เจ" กับมังสวิรัติ
อาหาร มังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน 5 ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว) รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น


การ กินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย



กิน "เจ" ที่ภูเก็ต
"เจ" ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน


ความเชื่อเกี่ยวกับการกินเจที่ชาวภูเก็ตเล่าสืบ ต่อกันมาว่า มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้ แล้วบังเอิญเกิดโรคระบาด คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้น ปรากฏว่าโรคระบาดก็หายไปสิ้น ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสจึงปฏิบัติตาม นับเนื่องจากนั้นมีผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ชาวกระทู้จึงอยากให้พิธี "กินเจ" ของตนสมบูรณ์แบบ ตามแบบพิธีในมณฑลกังไส จึงได้ส่งตัวแทนไปนำเอาควันธูปกลับมา โดยการตั้งมั่นที่แรงกล้า เพราะพิธีการนำควันธูปกลับมานั้น ต้องจุดธูปต่อกันมิให้มอดดับได้ ศาลเจ้ากระทู้จึงเป็นศูนย์กลางของเทศกาลการกินเจที่ภูเก็ตเรื่อยมา จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ



9 วันแห่งพิธีกรรมของการกินเจที่ภูเก็ต
งานวันสุดท้าย เป็นความตื่นเต้นท้าทาย เมื่อมีการจัดขบวนพิธีแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยท้าทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้น ไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอด เส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด


วันที่เก้า จะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ กลางคืนวันที่หนึ่ง จะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า มาประทับ เช้าวันรุ่งขึ้นมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม


หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่าน ไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น


ในวันที่เจ็ด เริ่มพิธี บูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ


สองวันสุดท้าย เป็นความตื่นเต้นท้าทาย เมื่อมีการจัดขบวนพิธีแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยท้าทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้น ไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอด เส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด


วันที่เก้า จะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่ายร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลงดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต


กินเจ ที่ภูเก็ต ออกไปในแนวสนุกสนาน ตื่นเต้น ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ แต่หลายคนที่ไปดูด้วยตาตนเอง ยังพกความตื่นตาตื่นใจ เป็นประสบการณ์มาถึงปัจจุบัน และเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการกินเจอีกรูปแบบหนึ่ง




ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ


* ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้ เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย


* ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร


* หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด


* ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้


* อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง ๕ ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด


อวัยวะเสริมทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี
ผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่
ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่นๆ


อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
มลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม


* กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และ การทำสงคราม สารอาหารจากพืชพัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้


ในทางการแพทย์ การกินเจ มีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้จัดเจนกว่า ประโยชน์ในทางศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ละเอียดเท่าเรื่องของศาสนาจึงสามารถมอง เห็นได้ง่ายกว่าเป็นธรรมดา แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา




"การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า"เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว


ช่วงเวลากินเจ
ประเพณีกินเจที่ชาวจีนเรียกกันว่า "เก้าอ๊วงเจ" หรือ "กิ้วอ๊วงเจ" แปลว่า "เจเดือน 9" 
เริ่มต้นในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน รวม 9 วัน 9 คืน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย (ตามปฏิทินสากล)


คำว่า "เก้าอ๊วง" หรือ "กิ้วอ๊วง" แปลว่า "พระราชา 9 องค์" หรือนพราชา หมายถึงผู้เป็นใหญ่ทั้ง 9 ซึ่งเป็นที่มาของประเพณีกินผักกินเจ




กินเจเพื่ออะไร
จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ


1. กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่างๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ


2. กินด้วยจิตเมตตเนื่องจากทุกๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้


3.กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรี่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น


ตำนานการกินเจ
ตำนานที่มาของการกินเจ มีเรื่องเล่าอยู่ถึง 7 เรื่องได้แก่

ตำนานที่ 1 รำลึกถึงวีรชนทั้ง 9
เทศกาลกินเจเริ่มขึ้นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว โดยชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูผู้รุกรานอย่างกล้าหาญ ถึงแม้จะแพ้และต้องตายก็ตาม ดังนั้นเมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น เพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่างกายและจิตใจ


ตำนานที่ 2 บูชาพระพุทธเจ้า
เชื่อว่า เป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการะบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า "ดาวนพเคราะห์" ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้ สาธุชนในพระพุทธศาสนาจะสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีล งดเว้นเนื้อสัตว์ และแต่งกายด้วยชุดขาว


ตำนานที่ 3 เก้าอ๊องฝ่ายมหายาน
กล่าวไว้ว่า การกินเจเป็นพิธีปฏิบัติที่สืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์ (หรือ "เก้าอ๊อง")


ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ


ตำนานที่ 4 พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้อง
เชื่อว่า การกินเจกินเจเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่ง เป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง ประเพณีนี้เข้ามาสู่เมืองไทยโดยชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่อีกทอดหนึ่ง


ตำนานที่ 5 เล่าเอี๋ย
เมื่อ 1,500 ปีก่อน ณ มณฑลกังไสซึ่งเป็นแดนแห่งความเจริญรุ่งเรือง ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเก่งทั้งบุ๋น บู๊ ทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็ง และมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มากกว่าหลายเท่าตัว โอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่า อีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วย แต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสา และเพ่งญาณเห็นว่า ควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญลีฮั้วก่าย


คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่า มีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบ เศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไป และประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน ผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อน และผู้อื่นจึงปฏิบัติตาม จนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย


เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไส จึงได้ศึกษาตำราการกินเจของ เศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องฮ่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)


ตำนานที่ 6 เล่าเซ็ง
มีชายขี้เมาคนหนึ่งชื่อ เล่าเซ็ง เข้าใจผิดว่า แม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่มาเข้าฝันว่า ตนตายไปได้รับความสุขมาก เพราะแม่กินแต่อาหารเจ และหากลูกต้องการพบให้ไปที่เขาโพถ้อซัว บนเกาะน่ำไฮ้ ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งจึงขอตามเพื่อนบ้านไปไหว้พระโพธิสัตว์ด้วย โดยเพื่อนบ้านให้เล่าเซ็งสัญญาว่า จะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงยอมให้ไป แต่ระหว่างทางเล่าเซ็งผิดสัญญา เพื่อนบ้านจึงหนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เช่นกัน เขาจึงขอตามนางไปด้วย


เมื่อถึงเขาโพถ้อซัว ขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบพระโพธิสัตว์อยู่นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูป แต่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเขาเดินทางกลับ ได้เจอกับเด็กชายยืนร้องไห้อยู่ จึงเข้าไปถามไถ่จนทราบว่า เด็กคนนั้นเป็นลูกชายของเขากับภรรยาเก่าที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วย และต่อมาหญิงสาวที่นำทางเล่าเซ็งไปพบพระโพธิสัตว์ได้มาขออยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข


หญิงสาวคนนั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ มีความประพฤติดี อยู่ในศีลธรรม และถือศีลกินเจอยู่เป็นประจำ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้ว จึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางแต่งตัวด้วยอาภาณ์ขาวสะอาด นั่งสักครู่แล้วก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่ จึงเกิดศรัทธา ยกสมบัติให้ลูกชาย แล้วประพฤติตัวใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่ และหญิงสาว ประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น


ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต
มีคณะงิ้วจากเมืองจีน มาเปิดการแสดงที่อำเภอกระทู้นานเป็นแรมปี บังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคระบาดก็หาย ชาวกะทู้เกิดความศรัทธาจึงปฏิบัติตาม หลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ก็มีผู้คนเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์แบบตามประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) จากกังไสให้ลอยมาถึงภูเก็ต โดยในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน


สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจจึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ




10 วันของเทศกาลกินเจ
ประเพณีกินเจจะจัด 9 วัน 9 คืน โดยแต่ละวันมีพิธีต่างๆ กันดังนี้



วันแรก แต่ละศาลเจ้าก็จะดูฤกษ์ยามว่า จะเชิญเจ้ามาเวลาไหน แต่ไม่เกินเที่ยงวัน โดยใช้ "ปวย" 2 อันเสี่ยงทายโดยการโยน 2 ครั้ง หาก 1 อันหงาย 1 อันคว่ำ แสดงว่า เจ้าทั้ง 9 ได้เสด็จลงมาแล้ว การกินเจจะเริ่มขึ้น แต่คนส่วนใหญ่มักทานกันล่วงหน้าเพื่อล้างท้อง


ที่ภูเก็ตในตอนกลางคืนจะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้ามาประทับ


เช้าวันที่สอง จะมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม


หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่านไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น


วันที่สี่ เป็นวันที่คนส่วนใหญ่จะมาไหว้เจ้า วันนี้ศาลเจ้าต่างๆ จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน


ในวันที่เจ็ด จะเริ่มพิธีบูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ เป็นอีกวันหนึ่งที่มีการไหว้เจ้า แต่วันนี้สำคัญกว่าวันที่สี่ เรียกว่า "ไหว้เจ้าใหญ่" ในวันนี้จะมีการซื้อเต่า, ปลาไหล, นก ฯลฯ มาไหว้ด้วย




วันที่แปด วันนี้จะมีการลอยกระทง คล้ายการลอยกระทงของคนไทย เพื่อขอบคุณเจ้าแม่คงคาที่ให้น้ำใช้ น้ำดื่ม และให้สิ่งไม่ดีลอยไปตามน้ำ นอกจากนี้ที่ภูเก็ตยังมีการจัดขบวนแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้นไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้ เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอดเส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด


วันที่เก้า ช่วงเช้าจะมีพิธีทำทาน หรือเรียกว่า "ซิโกว" เป็นการให้ทานแก่ผีไม่มีญาติ ตอนกลางคืนจะมีแห่มังกร, สิงโต, ขบวนของเด็กที่จัดเพื่อเป็นสีสัน


ขณะที่จังหวัดภูเก็ตจะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่านร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลง ดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต


วันที่สิบ เป็นวันส่งเจ้ากลับ



เทศกาลกินเจ เทศกาลแห่งความรัก




การกินเจที่แท้จริงนั้น ไม่เพียงแต่การเว้นบริโภคเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่ยังต้องสวดมนต์ รักษาศีลไปพร้อมกันด้วย ไม่ใช่ว่ากินเจค่ะ แต่ว่าพอสามีกลับบ้านดึกก็ปาไม้ตีพริกเสียสามีหัวร้างข้างแตกขึ้นมาก็ถือว่าเป็นการกินเจที่ไม่สมบูรณ์ค่ะ 


นอกจากนี้ ยังต้องชำระร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ นุ่งขาว ห่มขาวให้สุภาพเรียบร้อย สำรวมกิริยา วาจา ไม่กล่าวถ้อยอันจะก่อให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจแก่ผู้ใด ไม่พูดจาส่อเสียดหรือหยาบโลน และต้องทำจิตใจให้ปราศจากอาการอิจฉาริษยาใด ๆด้วยนะคะ ดูไปก็คล้ายว่าจะยากค่ะ แต่หากลองทำดูจริงๆ แล้วอาจจะค้นพบว่าช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุด ก็คือช่วงเวลาที่เรามีจิตใจสงบสุขนี่แหละค่ะ ถึงได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ว่าคนที่รักษาศีลกินเจนั้นมีผิวพรรณที่ผุดผ่อง สาเหตุไม่ได้มาจากสารอาหารประเภทวิตามินจากพืชผักเท่านั้น แต่มาจากสภาพภายในจิตใจที่สงบงามนั่นด้วยค่ะ ถึงได้มีแนวความคิดที่ว่า Beauty builds in อย่างไรละคะ


หลายคนอาจจะยังสับสนอยู่ว่ากินเจกับกินมังสวิรัตินี้มีความเหมือนหรือความต่างกันอย่างไร
ความจริงก็คือว่า การกินมังสวิรัติ มีข้อจำกัดน้อยกว่าการกินเจค่ะ เพราะว่ามังสวิรัติสามารถบริโภคนมได้ แถมบางคนยังบอกอีกว่าหากไข่ไก่ที่ยังไม่ได้ถูกผสมเชื้อตัวผู้เข้าไป ยังสามารถบริโภคได้ด้วย แต่อาจจะลำบากอยู่สักหน่อยที่จะนำไข่ไก่ไปพิสูจน์ก่อนว่าปราศจากมลทินของไก่เพศผู้หรือไม่จึงค่อยนำไปประกอบอาหารนะคะ


ส่วนอาหารเจ นั้น นอกจากห้ามบริโภคเนื้อสัตว์แล้วนมและผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ก็ห้ามด้วยเช่นกัน และที่สำคัญผัก 5 ชนิดที่มีกลิ่นฉุน และรสชาติที่เผ็ดร้อน ได้แก่ หอม กระเทียม กุ๋ยช่าย ใบยาสูบและลักเกียวซึ่งเป็นเครื่องเทศจีนชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายขิงค่ะ กลิ่นจะฉุนมาก บางแห่งห้าม


แม้กระทั่งผักชี เพราะผักพวกนี้มีสรรพคุณไปกระตุ้นอารมณ์เซ็กส์ได้ค่ะ หากอยู่นอกช่วงเวลาของการกินเจก็อาจจะดีทีเดียวนะคะ เพราะว่าผักพวกนี้ ถูกสตางค์กว่าไวอากร้าเยอะเลยค่ะ แต่หากบริโภคกันเข้าไปทั้ง 5 ชนิดพร้อมกัน แม่อบเชยว่ากลิ่นอันรุนแรงของมันอาจจะทำให้อีกฝ่ายตายได้ก่อนที่จะมันจะออกฤทธิ์อย่างอื่นก็ได้นะคะ


รับประทานอาหารเจแล้วจะเกิดภาวะขาดสารอาหารหรือไม่
ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรากินแบบเคร่งครัดเกินไปหรือไม่นะคะ และที่สำคัญ แม้จะกินอย่างเคร่งครัดแต่ว่ากินเพียง 9-10 ในช่วงเทศกาลนี้เท่านั้นก็ยิ่งไม่ต้องวิตกกังวลอะไรเลยค่ะ แต่หาก
กินเจไปตลอดชีวิตสิคะ ควรแก่การมาทบทวนกันดูอีกสักหน่อย เพราะแม้ว่าถั่วเหลืองนั้นจะมีคุณค่าทางโภชนาการแทนอาหารเนื้อสัตว์ได้นั้นก็ใช่ว่าสามารถแทน
ได้ทั้งหมด โปรตีนบางชนิดที่ถั่วเหลืองไม่สามารถให้กับร่างกายมนุษย์ได้ก็มีเหมือนกันค่ะ


ลองมาดูสรรพประโยชน์ของอาหารเจกัน ดูนะคะ
อาหารเจเป็นอาหารที่ย่อย ง่ายค่ะ เพราะส่วนประกอบเกือบทั้งหมด ประกอบด้วยไขมันอิ่มตัวในปริมาณต่ำ เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ความดันโลหิตสูงนะคะ รวมทั้งคนที่เป็นเก๊าท์ด้วยค่ะ อาหารเจประกอบไปด้วย เส้นใยไฟเบอร์เยอะแยะไปหมดค่ะ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาตกค้าง เป็นของเสียในร่างกายเราได้นานนัก เพราะมันจะถูกขับออกมาในระยะเวลาที่ เหมาะสมกับ ระบบย่อยอาหารของเรามากที่สุด ดังนั้นผู้ที่รับประทานอาหารเจ จึงไม่เคยประสบปัญหาเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยวหรือว่าท้องผูกเลยค่ะ และที่สำคัญช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เป็นอย่างดีด้วยนะคะ




อาหารประเภทที่ตรงข้ามกับเจนั้นเรียกกันว่า "อาหารชอ" นะคะ
จะมีอาหารเจหลายอย่างมากค่ะที่พยายามทำหน้าตาให้คล้ายอาหารชอมากที่สุดก็ดีนะคะ ในแง่ที่ว่าช่วยให้ผู้บริโภคเจนั้นสามารถเอร็ดอร่อยกับอาหารได้มากขึ้น เพราะคนเรานั้น อย่างไรเสียก็ยังยึดมั่นกันอยู่กับรูปร่างภายนอก กระทั่งของที่จะกินเข้าไปเพื่อให้ตัวเองรู้จักการลดละเลิก ก็ยังไปผูกพันอยู่กับกิเลสภายนอกจนได้ เรื่องอย่างนี้ก็พูดยากเพราะว่า เรื่องของใจอะไรก็แทนไม่ได้….นั่นเองค่ะ…สำหรับการประกอบอาหารเจนั้น อาจจะมีหลักการยุ่งยากไปอยู่สักหน่อย


สำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลา แต่ปัญหาดังกล่าวนี้ก็จะหมดไปทันทีค่ะ เพราะว่าอีกไม่กี่วันเราก็คงเห็นธงสีเหลืองปลิวไสวไปทั่วตลาดร้านรวงต่างๆ แล้ว สัญลักษณ์
ของอาหารเจ อาหารบริสุทธ์จะปักธงสามเหลี่ยมสีเหลืองให้สังเกตได้อย่างง่ายดาย


เทศกาลกินเจปีนี้
ลองตรึกตรองถึงความหมายที่แท้จริงกันอีกสักทีนะคะ อย่าเป็นแต่เพียงว่าตามกระแสนิยมหรือรอคอยดูม้าทรงในเทศกาลที่น่าหวาดเสียวนั่นเลย
นะคะ แล้วจะซาบซึ้งถึงคุณค่าของการกินเจอย่างแท้จริงค่ะ


เรื่องหนึ่งที่เคยเป็น Hot Issue ประจำเทศกาลกินเจในประเทศไทย
ไม่มีอะไรเกินหน้าเกินตา เรื่องซอสถั่วเหลืองที่มีสารปนเปื้อนค่ะ กระแสแรงมากจนเคยเกือบถูกต่างชาติ สั่งห้ามนำเข้าซอสถั่วเหลืองจากประเทศไทย ในช่วงเทศกาลกินเจกันเลยทีเดียวนะคะ เพราะมีข่าวว่ามีการใช้สารตั้งต้นในกระบวนการผลิตที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็ง ได้นั่นเองค่ะ จากคำชี้แจงของผู้เชียวชาญด้านโภชนอนามัยได้อธิบายไว้ว่า สาร 3MCPD ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งอย่างที่เข้าใจนั้น ไม่ว่าจะผลิตซอสในประเทศไทย ประเทศจีนหรือว่าสหรัฐฯ ก็ตาม ก็ย่อมมีสาร 3MPCD ทั้งนั้น เพราะว่าสารดังกล่าว จะเกิดขึ้นจากการหมักในกระบวนการผลิตค่ะ หากจะหลีกเลี่ยง กระบวนการนี้ก็คงไม่ได้ เพราะการทำซอสจากถั่วเหลืองจะต้องมีการหมักถั่วเหลือง นาน 4-6 เดือนเชียวค่ะจึงจะได้ที่ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงให้ชัดเจนแล้วว่า ซอสถั่วเหลืองที่เป็นซีอิ๊วนั้น ไม่ได้มีสารปนเปื้อนที่น่ากลัวอย่างที่เข้าใจ แต่สิ่ง ที่น่าเป็นห่วงจริงๆ กลับคือซอสปรุงรส ที่ผลิตจากการผสมถั่วเหลือง กับกรดเกลือและใช้เวลาเพียง 3-4 วันเท่านั้นในกระบวนการผลิต 


ดังนั้นสารที่อาจจะตกค้างและ ไม่ปลอดภัยนักก็น่าจะเป็นกรดเกลือนั่นมากกว่าค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม(อีกที)นะคะจากมาตรฐานการยอมให้มีสารตกค้างอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ไม่เกิน 18 mg. นั้นผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมการผลิตของบ้านเราจึงปลอดภัยแน่นอน เพราะเรา


มีปริมาณตกค้างอยู่ต่ำกว่านั้นถึง 18 เท่าเชียวค่ะ แม่อบเชยหวังว่าคุณผู้อ่านจะสบายใจในการบริโภคซอสและซีอิ๊วในเทศกาลกินเจปีนี้ได้แล้วนะคะ


เรื่องของการกินเจนี้ บางคนก็เคร่งครัดกับการเลือกสรรอาหารจนกลายเป็นคนจุกจิกเรื่องมาก จนคนเคียงข้างปั่นป่วนไปหมด แต่แม่อบเชยก็ไม่กล้าฟันธงลงไปหรอกนะคะ ไม่เหมาะไม่ควร เพราะว่าเรื่องของศรัทธานั้น เป็นเรื่องที่ปัจเจกเหลือเกิน


แต่อยากให้นึกถึง มัชฌิมปฏิปทา หรือทางสายกลางไว้สักหน่อยนะคะ เพราะว่า อะไรที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ย่อมไม่พอดี หรอกค่ะ หวังว่าเทศกาลเจ ปีนี้จะอิ่มบุญกันถ้วนหน้าสุขภาพดีกันทุกคนนะคะ



เคล็ด(ไม่)ลับ... กินเจ
เคล็ด(ไม่)ลับ..."กินเจ"!!! "เจี๊ยะฉ่าย" 5 สี 5 ธาตุไม่ขาดสารอาหาร
"เทศกาลกินเจ"!!! หรือ "เทศกาลกินผัก" หรือ "เจี๊ยะฉ่าย"ของชาวไทยเชื้อสายจีนเวียนมาถึงอีกครั้ง ถ้านับตามปฏิทินจีนเทศกาลกินเจจะเริ่มเดือน 9 ซึ่งหมายถึงเดือน 10 หรือเดือนตุลาคม มีระยะเวลา 9 วัน โดยปีนี้เทศกาลกินเจของชาวไทยเชื้อสายจีนในเมืองไทย เริ่มตั้งแต่วันที่ 22-30 ตุลาคม.....


ทั้งนี้การ "กินเจ" ถือเป็นการปฏิบัติกันมาจนเป็นประเพณี พอถึงช่วงนี้แทบไม่ต้องเดินเข้าไปสอบถามว่าร้านใดขายอาหารเจ เพราะ "ธงสีเหลือง" มีตัวอักษรจีนสีแดงแปลได้ว่า "ไม่มีอาหารคาว"ที่ปักติดอยู่ที่แผงอาหาร หรือหน้าร้านล้วนเป็นคำตอบได้อย่างดี และปีนี้ใครที่ตั้งใจว่าจะ "เจี๊ยะฉ่าย" ให้ถูกวิธีลองมาเตรียมพร้อมการปรุงและการรับประทานอาหารเจที่ถูกต้องกัน.....


"อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่มีส่วนประกอบอื่นใดที่ทำจากสัตว์ทุกประเภท ที่สำคัญอาหารเจจะ "ไม่กินผักฉุน" งดเว้นการปรุงด้วย "ผักฉุน" 5 ประเภท คือ "กระ เทียม-หัวหอม-หลักเกียว-กุยช่าย-ใบยาสูบ" เพราะเป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง ส่งผลกระ ทบต่ออารมณ์ อีกทั้งยังมีพิษทำลาย "พลังธาตุทั้ง 5" ในร่างกาย.....


ผู้ที่กินเจมีความเชื่อว่า "กระเทียม" รวมถึงหัวกระเทียม-ต้นกระเทียม จะไปทำลายการทำงานของ "หัวใจ"และกระทบกระเทือนต่อ "ธาตุไฟ" ในกาย ถึงแม้กระเทียมจะมีสารที่สามารถละลายไขมันในเส้นเลือด หรือคอเลสเตอรอลได้ แต่กระเทียมก็มีความระคายเคืองสูง 
ผู้ที่เป็น "โรคกระเพาะ"หรือกระเพาะอาหารเป็นแผล และ "โรคตับ" จึงไม่ควรรับประทานมาก


"หัวหอม" รวมถึงต้นหอม-ใบหอม-หอมแดง-หอมขาว-หอมหัวใหญ่ ตามหลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์โบราณของจีนถือว่าหัวหอมจะไปทำลายการทำงานของ "ไต" และกระทบกระเทือนต่อ"ธาตุน้ำ" แม้"หอมแดง" จะช่วยขับพยาธิ ขับลม แก้ท้องอืด ปวดประจำเดือนและอาการบวมน้ำได้ แต่การบริโภคเป็นประจำหรือมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการหลงลืมง่าย "ประสาทเสีย" มีกลิ่นตัว ฟันเสีย เลือดน้อย และนัยน์ตาฝ้ามัว


"หลักเกียว" คือ "กระเทียมโทนจีน" ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่เล็กและยาวกว่า จะทำลายการทำงานของ "ม้าม" กระเทือน "ธาตุดิน"....."กุยช่าย" ทำลายการทำงานของ "ตับ" และกระทบ กระเทือนต่อ"ธาตุไม้"....."ใบยาสูบ" ซึ่งหมายถึง "บุหรี่-ยาเส้น" เป็นของเสพติดมึนเมา จะทำลายการทำงานของ"ปอด" และกระทบกระเทือนต่อ "ธาตุโลหะ"




นอกจาก "ผักต้องห้าม" ทั้ง 5 แล้ว สำหรับผักอื่นๆ รวมทั้งถั่วและผักผลไม้จะต้องกินในแต่ละวันให้ครบ 5 สี ตาม "สีของธาตุ" ทั้ง 5 คือ 


"สีแดง" สัญลักษณ์ "ธาตุไฟ" ให้คุณต่อหัวใจ ได้จากถั่วแดง-มะเขือเทศ-พริกสุก-แครอท-มะละกอ-ส้ม-แตงโม นอกจากนี้ธัญพืชประเภท "ข้าวโอ๊ต" ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลส่วนเกิน เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ


"สีดำ" สัญลักษณ์ "ธาตุน้ำ" ให้คุณต่อไต ได้จากถั่วดำ-เผือก-มะเขือม่วง-เห็ดหูหนู-ลูกหว้า-องุ่น อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงของผู้ที่มีปัญหาเรื่องไต คือ อาหารรสเค็ม.....


"สีเหลือง" สัญลักษณ์ "ธาตุดิน" ให้คุณต่อม้าม ได้จากถั่วเหลือง-ฟักทอง-ข้าวโพด-พริกเหลือง-มะม่วง-กล้วย-ทุเรียน ช่วยบำรุงม้ามอย่างมาก แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน.....


"สีขาว" สัญลักษณ์ "ธาตุโลหะ" ให้คุณต่อปอด ได้จากถั่วขาว-ลูกเดือย-ผักกาดขาว-กะหล่ำดอก-มะพร้าว-น้อยหน่า ให้คุณค่าต่อปอด และควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด.....


"สีเขียว" สัญลักษณ์ "ธาตุไม้" ให้คุณต่อตับ ได้จากถั่วเขียว-คะน้า-ถั่วฝักยาว-ผักบุ้ง-ฝรั่ง-ชมพู่-มะเฟือง ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยว บางวันอาจเปลี่ยนมาทาน "สาหร่ายทะเล" มีทั้งสดและแห้ง พร้อมใช้เกลือทะเลปรุงรสได้ รวมทั้งอาหารมีส่วนผสมของ "งาขาว-งาดำ"ก็ได้.....




ผู้ที่กินเจควรหลีกเลี่ยงการบริโภค "อาหารหมักดอง" ควรหันมารับประทานอาหารสด-ปรุงใหม่ๆจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า




สำหรับ "เครื่องดื่ม" คนกินเจควรดื่ม "น้ำผลไม้สด" ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก หรือน้ำมะตูม เพราะน้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง ควร "งดน้ำหวาน" ที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน นอกจากการดื่มน้ำผลไม้สดๆแล้ว ควรดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว เป็นประ จำทุกวันด้วย


การกินเจนั้นควรทานอาหารให้ครบทั้ง "5 สี-5 ธาตุ" โดยสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละวันไม่ควรเลือกทานอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะจะทำให้ไม่ได้คุณค่าอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ที่สำคัญ คือ การเลือกทานผัก-ผลไม้ในช่วงเทศกาลเจนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นของแพงหรือหายาก ควรเลือกทานผัก-ผลไม้ที่มีตามฤดูกาล




ด้าน "อาจารย์ศรีสมร คงพันธ์" อาจารย์สอนอาหาร กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรง งาน บอกว่า ถ้าจะกินเจให้มีสุขภาพดีจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ถั่วเหลือง" หรือ"เต้าหู้" อย่าใช้แป้งมาทำ เพราะมีแต่คาร์โบไฮเดรต และในช่วง 10 วันที่ "กินเจ-กินผัก" ถ้าจะไม่ ให้"ขาดสารอาหาร"ต้องกินอาหารครบ 5 หมู่ ถั่วเหลืองมีโปรตีนเทียบเท่าเนื้อสัตว์ รองลงมา คือ พวกเห็ด แต่น้อยกว่าในถั่ว นอกจากนี้ข้าวกล้องก็มีโปรตีนสูงกว่าข้าวขาว


"การทำอาหารเจอย่าใช้น้ำมันมาก ใช้แต่พอควร ในหนึ่งวันไม่ควรใช้น้ำมันปรุงอาหารเกิน 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลไม่ควรเกิน 2 ช้อนชาเป็นอย่างมาก ก็จะทำให้สุขภาพดี ถ้าเป็นอาหารเจแบบไทยๆจะดีมากเพราะคนกินเจจะมีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลสูง กินไขมันมาก เนื่องจากอาหารเจที่ขายในตลาดจะใช้น้ำมันมาก"อาจารย์ศรีสมร กล่าว


"กินเจ" ไม่ใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนกินเจจะต้องดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาดงดงามทั้งกาย-วาจา-ใจ ถือศีลบำเพ็ญธรรมไปพร้อมๆกันด้วย จึงเรียกว่า.....
"กินเจที่แท้จริง"!!!



สูตรเด็ด"อาหารเจ"
"โปรตีนเกษตร" หรือโปรตีนถั่วเหลือง ทำจากแป้งถั่วเหลือง ปราศจากไขมัน มีคุณค่าทางอาหารสูง ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้หลายชนิด มีหลายรูปแบบ เช่น 


"ชนิดใหญ่พิเศษ" ใช้ใส่แกงเขียวหวาน พะโล้ สะเต๊ก น้ำตก , 
"ชนิดเกล็ดขนาดกลาง" ใช้ผัดกระเพรา แกงเขียว หวาน แกงเผ็ด ผัดพริกขิง , 
"ชนิดเกล็ดขนาดเล็ก" ใช้ทำลาบ แทนเนื้อหมูหรือหมูสับ , 
"ชนิดป่นละเอียด" ใช้ทำขนมจีนน้ำยา แกงเลียง ซุป


"เต้าหู้" เป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มีหลายชนิด มี "โปรตีน" และสารอาหารอื่นๆครบถ้วน ไม่มีคอเลสเตอรอล.....


"ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ" ประกอบ ด้วยโปรตีน 7-12% มีวิตามินและแร่ธาตุมากกว่า 20 ชนิด มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคเหน็บชา โรคปากนกกระจอก บำรุงสมอง ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันโรคโลหิตจาง


"เห็ด" ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้ และเป็นแหล่งโปรตีนที่มีรสดี มีกรดอะมิโน รวมทั้งวิตามิน แร่ธาตุหลายชนิด นอกจากจะใช้แทนเนื้อสัตว์แล้วเห็ดยังใช้แทนผักได้ เห็ดมีหลายชนิด แต่ "เห็ดหอม" เป็นเห็ดที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารเจ เพราะปรุงได้หลายอย่าง.....


"ถั่วเหลือง" มีโปรตีนมาก จึงใช้แทนเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆด้วย ถั่วเหลืองช่วยละลายคอ เลสเตอรอล มีธาตุเหล็กสูง จึงช่วยบำรุงโลหิต บำรุงประสาท ป้องกันโรคตับและช่วยละลายนิ่วในถุงน้ำดี


"แป้งหมี่กึง" เหนียวนุ่มคล้ายเนื้อสัตว์.....


"เมล็ดพืช" ประกอบด้วยไขมันที่มีประโยชน์ มีโปร ตีนประมาณ 20% มีเกลือแร่และวิตามินมาก มีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง



เตือนระวังอ้วน! ช่วงกินเจ 
แนะกินหลากหลายเลี่ยงแป้ง
นายสง่า ดามาพงษ์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ช่วงเทศกาลกินเจ ผู้บริโภคควรระมัดระวังสารพิษปนเปื้อนในผัก และหลีกเลี่ยงอาหารเจที่มีรสชาติมันจัด เค็มจัด และแป้งมากเกินไป 




เนื่องจากการปรุงอาหารเจ วัตถุดิบหลัก คือ ผัก ซึ่งหากผู้ปรุงไม่คำนึงถึงความสะอาด โดยไม่ได้ล้างผักหรือล้างไม่สะอาดอาหารเจหม้อหรือสำรับนั้น ก็จะเต็มไปด้วยสารพิษ สารเคมี และเชื้อโรคปนเปื้อน อีกทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภค ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหารและสารเหล่านี้จะสะสมในร่างกาย อันจะนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งในระยะยาวได้


ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้บริโภคต้องให้ความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเลือกซื้ออาหารเจที่มีการวางจำหน่ายโดยทั่วไป เนื่องจากอาหารเจส่วนมากจะปรุงด้วยการผัดและทอดที่ใช้น้ำมันมาก จึงกลายเป็นอาหารที่มีไขมันสูง หากกินทุกวัน วันละ 3 มื้อก็จะทำให้ร่างกายสะสมไขมัน น้ำหนักตัวเพิ่มและกลายเป็นโรคอ้วนในที่สุด


เพื่อสุขภาพที่ดี จึงควรเลือกกินอาหารเจที่ปรุงด้วยการต้ม นึ่ง ย่าง ยำ อบ นอกจากนี้ อาหารเจหลายเมนูจะมีรสเค็มจัด ซึ่งควรหลีกเลี่ยงเพราะการกินเค็มจัด จะนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูงผู้ที่นิยมกินเจในช่วงเทศกาลดังกล่าว จึงควรเลือกกินอาหารเจที่หลากหลาย พอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย


และที่สำคัญ ควรกินให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ โดยเฉพาะอาหารที่ให้สารอาหารโปรตีน ที่ได้จากถั่วเมล็ดแห้ง ซึ่งต้องมั่นใจว่าวัตถุดิบที่นำมาปรุงแทนเนื้อสัตว์ ต้องทำมาจากถั่วเมล็ดแห้งไม่ใช่จากแป้ง ที่นำดัดแปลงรูปร่างให้เหมือนกับเนื้อสัตว์ ทำให้เมื่อกินเข้าไปก็จะได้เฉพาะแป้งกับผัก จึงมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้


อาหารเจ -> http://www.mindcyber.com/recipe/


หนังสืออ้างอิง…ต่วย'ตูน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- th.wikipedia.org
- elib-online.com
- panyathai.or.th
- kapook.com






1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss