1
2

Happinessss Fb : Beautiful World Part 7



Happinessss Fb : Beautiful World Part 7

(Khao Sam Roi Yot National Park)

1. อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/EOr0n0f_PRs


ที่ตั้งและแผนที่
อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด
หมู่ 2 บ้านเขาแดง ต.เขาแดง อ. กุยบุรี จ. ประจวบคีรีขันธ์ 77150
โทรศัพท์ : 0 3282 1568, (VoIP) โทรสาร : 0 3282 1568


อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จัดเป็นอุทยานแห่งชาติประเภทชายฝั่งผสมผสานหมู่เกาะในทะเลแห่งแรกของไทย ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินปูนสลับซับซ้อนเรียงรายตามแนวทิศเหนือ-ใต้ ยาวประมาณ 30 กิโลเมตร และมีเกาะน้อยใหญ่อยู่รวม 6 เกาะ


เนื่องจากอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอดภูมิประเทศเป็นแบบเขาหินปูนที่ผ่านการสึกกร่อนมาเป็นเวลานานได้ก่อให้เกิดถ้ำขนาดใหญ่หลายแห่งในพื้นที่ ทั้งถ้ำพระยานคร ถ้ำแก้ว และถ้ำไทร ซึ่งล้วนมีหินงอกหินย้อยงดงาม โดยเฉพาะถ้ำพระยานครนั้นมีเพดานถ้ำทะลุเป็นปล่องใหญ่ ปล่อยให้ลำแสงสาดลงมาต้อง “พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ ซึ่งเป็นพระที่นั่งอันวิจิตรงดงามที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5


อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอดมีลักษณะโดดเด่นถึง 3 ประการ คือ ตอนกลางเป็นเทือกเขาหินปูนสูงชัน ด้านตะวันตกเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมขัง ส่วนทางด้านตะวันออกเป็นทุ่งตะกาดที่ติดต่อกับหาดโคลนปนทรายลงไปจดชายฝั่งทะเล ความหลากหลายของภูมิประเทศนี้เองที่เป็นตัวกำหนดความหลากหลายของสรรพชีวิต กล่าวคือพื้นที่ภูเขาหินปูนได้เป็นแหล่งรวมของพืชพรรณหายากต่างๆ เช่น จันทน์ผา โพเขา ปรงเขา สลัดได ฯลฯ อีกทั้งเป็นที่อยู่อาศัยของเลียงผา สัตว์สงวนของไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ ส่วนในที่ราบลุ่มน้ำท่วมขังด้านตะวันตกที่เรียกว่า “ทุ่งสามร้อยยอด” นั้นเป็นแหล่งรวมของพันธุ์ปลา พันธุ์ไม้น้ำ และเป็นแหล่งอาศัยของนกน้ำอีกกว่า 316 ชนิด


เขาสามร้อยยอดเป็นชื่อที่มีตำนานเล่าว่า พื้นที่แถบนี้เคยเป็นทะเลมีหมู่เกาะน้อยใหญ่เรียงรายกัน ครั้งหนึ่งเคยมีเรือสำเภาจีนแล่นผ่านมาประสบลมพายุรุนแรงจนเรือใกล้อับปาง จึงแวะหลบภัยเข้ามาตามร่องน้ำด้านทิศตะวันตกของเกาะ แต่เนื่องจากไม่ชำนาญพื้นที่ เรือได้ชนกับหินโสโครกอับปางลง ผู้คนจมน้ำตายจำนวนมากที่เหลือรอดตายขึ้นมาอาศัยอยู่บนเกาะประมาณ 300 คน จึงได้ตั้งชื่อว่า “เกาะสามร้อยรอด” ต่อมาระดับน้ำทะเลได้ลดลง เกาะกลายเป็นภูเขา ชาวบ้านเรียกคลาดเคลื่อนเป็น “เขาสามร้อยยอด” บริเวณที่สันนิษฐานว่าเรือจมนั้นชาวบ้านเรียกว่า “อ่าวทะเลสาบ” เคยมีผู้พบซากเสากระโดงเรือโบราณในบริเวณนี้ด้วย บางข้อสันนิษฐานว่า เป็นเพราะมีต้นสามร้อยยอดขึ้นอยู่ หรือมียอดเขามากมายถึง 300 ยอด


ในปี พ.ศ. 2505 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกประกาศกฎกระทรวง ฉบับที่ 100 กำหนดพื้นที่ป่าเขาสามร้อยยอดพื้นที่ประมาณ 99.50 ตารางกิโลเมตร ให้เป็นป่าสงวนตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า พุทธศักราช 2481 ก่อน ซึ่งเหตุผลของการประกาศพื้นที่ดังกล่าวเพราะมีพันธุ์ไม้ที่มีค่าขึ้นอย่างหนาแน่นมาก เช่น ไม้จันทน์ มะค่า มะเกลือ แสมสาร และทิวทัศน์ที่สวยงามที่ควรสงวนไว้ ต่อมาพื้นที่ดังกล่าว พื้นที่ประมาณ 61.28 ตารางกิโลเมตร ได้ถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 83 ตอนที่ 53 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2509 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 4 ของประเทศไทย และเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรก


พื้นที่ส่วนที่เป็นทุ่งสามร้อยยอด เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำมีขนาด 69.22 ตารางกิโลเมตร และคณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2513 ให้เป็นที่จัดสรรแก่ราษฎร แต่สภาพพื้นที่ที่เป็นดินเหนียว เค็ม และหนึ่งในสามของพื้นที่มีน้ำท่วมขังตลอดปียากที่จะพัฒนาเพื่อทำการเกษตร ประกอบกับงบประมาณเพื่อใช้ในการดำเนินการจัดสรรพื้นที่ไม่เพียงพอ การดำเนินการจัดสรรจึงยกเลิกไป ปล่อยพื้นที่คงสภาพเป็นทุ่งแขมธรรมชาติ เป็นที่อยู่ของนกไม่ต่ำกว่า 157 ชนิด กรมป่าไม้จึงขอผนวกพื้นที่ดังกล่าว และเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนแก่ราษฎร คณะกรรมการจำแนกประเภทที่ดินให้ผนวกพื้นที่เพียงครึ่งหนึ่งของทุ่งสามร้อยยอด ซึ่งต่อมา พ.ศ. 2525 ได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวเขตอุทยานแห่งชาติโดยผนวกพื้นที่ทุ่งสามร้อยยอดพื้นที่ 36.8 ตารางกิโลเมตร เข้าเป็นอุทยานแห่งชาติทำให้พื้นที่อุทยานแห่งชาติรวมเป็น 98.08 ตารางกิโลเมตร


พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ตอนล่างสุดของภาคกลาง หรือด้านเหนือสุดของภาคใต้ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย ในท้องที่ของกิ่งอำเภอสามร้อยยอด และอำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ครอบคลุมเขตการปกครอง 2 อำเภอ คือ กิ่งอำเภอสามร้อยยอด และอำเภอกุยบุรี


ขนาดพื้นที่
61300.00 ไร่


หน่วยงานในพื้นที่
หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ สย. 1 (บ้านหัวตาลแถว)
หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ สย. 2 (หาดแหลมศาลา)
หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ สย. 3 (โรงเจ)
หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ สย. 4 (เขาคั่นบันได)
หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ย่อย (หาดสามพระยา)
หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ย่อย (ท่าเรือบ่อแก้ว)
ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด


จุดชมวิวเขาแดง
อยู่บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ไปทางเหนือประมาณ 400 เมตร แล้วเดินเท้าขึ้นยอดเขาแดงอีกประมาณ 320 เมตรเวลาที่เหมาะแก่ การขึ้นชมวิวคือตอนเช้ามืด ประมาณ 05.30 น.เพราะ สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบทะเลและชม ทัศนียภาพโดยรอบได้ดี


จุดล่องคลองเขาแดง
จากที่ทำการอุทยานแห่งชาติไปทางเหนือประมาณ 1.5 กิโลเมตร บริเวณท่าน้ำหน้าวัดเขาแดงจะมีเรือจากชาวบ้านเขาแดงไว้บริการ ล่องคลองในราคา 400 บาท/ ลำ/6 คน ซึ่งใช้เวลาเดินทาง ไป – กลับประมาณ 1 ชั่วโมงระหว่างทางสามารถชมธรรมชาติ เขาหินปูนที่สูงชัน (คล้ายคลึงกับกุ้ยหลินเมืองจีน) ป่าชายเลน นกและสัตว์น้ำชายเลน และวิถีชีวิตชาวประมง เวลาที่เหมาะสม ในการล่องเรือคือ 16.00–17.30 น เพราะสามารถชมและถ่ายภาพ ยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าในยามเย็น


หาดสามพระยา
อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติไปทางเหนือ ประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นชายหาดที่ สวยงามเงียบสงบ ท่ามกลางดงสนทะเลสามารถกางเต็นท์พักแรมได้ โดยมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร ศาลาพักผ่อน
และ ห้องน้ำ – สุขา ไว้บริการ


หาดแหลมศาลา
อยู่บริเวณบ้านบางปู ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติไปทางเหนือ 17 กิโลเมตร รถยนต์สามารถเข้าถึงได้เพียงวัดบางปู การเดินทางไปหาดแหลมศาลาโดยทางเท้าตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเขาเทียนระยะทาง 530 เมตร หรือทางเรือในอัตราเหมาลำ 300 บาท / 8 คน / ไป – กลับในวันเดียวกัน


ถ้ำพระยานคร
จากหาดแหลมศาลาเดินขึ้นเขาซึ่งชันไปตามขั้นบันไดอีกประมาณ 430 เมตร ก็จะถึงทางลงถ้ำพระยานคร ภายในถ้ำมี 3 คูหา มีหินงอกหินย้อยเป็นเชิงชั้นเหมือนม่าน บางส่วนก็ หยด ย้อยลงมา เป็นรูปร่างต่างๆ โดยสองคูหามี ปล่องด้านบนส่วนด้านล่างในถ้ำ เป็นป่าต้นไม้ค่อนข้างสูง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ) มีพระราชประสงค์ใคร่จะเสด็จประพาส จึงให้นายช่างประจำราชสำนัก สร้างพลับพลาแบบจตุรมุขขนาดย่อมตั้งไว้บนเนินดินกลางถ้ำ พระองค์เสด็จประพาสเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2433 คราวเสด็จประพาสแหลมมลายูและพระราชทานนามพลับพลานี้ว่า “พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์”


ทุ่งสามร้อยยอด 
อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำประเภทหนึ่งที่เป็นพื้นที่ราบลุ่มที่เกิดขึ้น
เองตามธรรมชาติมีน้ำขังหรือท่วมถึงตลอดปี เป็นแหล่ง ที่มีองค์ประกอบทางชีวภาพ กายภาพและเคมี ที่มีเอกลักษณ์ของระบบซึ่งมีความหลากหลายของ
ชนิดพืชสัตว์ และธาตุอาหาร เป็นที่อยู่อาศัยขยายพันธุ์ ของนกนานาชนิดทั้งนกประจำถิ่น และนกอพยพ จึงเป็นแหล่งที่เหมาะแก่การดูนก


ลักษณะภูมิประเทศ
อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด มีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาหินปูนยุคเพอร์เมียน มีอายุประมาณ 280 - 230 ล้านปีมาแล้ว ที่มีความสูงชันริมฝั่งทะเลผสมกับที่ราบริมฝั่งทะเลที่เป็นหาดเลนและห้วงน้ำทะเลตื้น รวมตลอดถึงเกาะหินปูนที่ตั้งเรียงรายใกล้ชายฝั่งทะเลซึ่งยาวจากเขากระโหลกทางทิศเหนือถึงเขาแร้งทางทิศใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร ได้แก่ เกาะโครำ เกาะนมสาว เกาะระวาง เกาะระวิง เกาะสัตกูด และเกาะขี้นก


มีพื้นที่ราบที่มีน้ำขังตลอดปีอยู่ทางด้านตะวันตกของอุทยานแห่งชาติคือ ทุ่งสามร้อยยอด ซึ่งในอดีตเคยเป็นทะเลหรืออ่าว ต่อมาถูกปิดกั้นด้วยตะกอนและสันทราย ทะเลถอยร่นออกไป ได้รับอิทธิพลน้ำจืดจากแผ่นดิน มีการสะสมของตะกอนที่ราบลุ่ม ค่อยๆ กลายเป็น ทุ่งน้ำกร่อยและทุ่งน้ำจืดตามลำดับ น้ำจืดในทุ่งสามร้อยยอดส่วนหนึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากเทือกเขาตะนาวศรีไหลผ่านห้วยโพระดก ห้วยขมิ้น ห้วยหนองคาง ห้วยไร่ตาพึง แล้วระบายลงสู่ทะเลตามคลองเขาแดง อีกส่วนหนึ่งไหลจากเทือกเขาสามร้อยยอด ทุ่งสามร้อยยอดมีระดับน้ำลึกเฉลี่ย 3เมตร


เนื่องจากสภาพทางธรณีของเขาสามร้อยยอดเป็นหินปูนที่มีความลาดชันสูง ทำให้เกิดเป็นหน้าผาสูงชันและหุบเหวลึก มีความสูงของ ยอดเขาที่สูงที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติถึง 605 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดเขาที่สำคัญได้แก่ ยอดเขาชโลงฟาง เขากระโจม เขาใหญ่ เขาถ้ำประทุน เขาแดง เขาเทียน เขาหุบจันทร์ และเขาขั้นบันได ฯลฯ บริเวณนี้ มีสภาพธรณีเป็นหินปูน มีหลายแห่งที่หินปูน ถูกอิทธิพลของธรรมชาติกัดเซาะหรือผุกร่อนกลายเป็นถ้ำหรือปล่องหุบเหวขนาดใหญ่ ที่สำคัญได้แก่ ถ้ำแก้ว ถ้ำไทร ถ้ำพระยานคร เป็นต้น


ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิในฤดูหนาว ( ระหว่างเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ ) ตั้งแต่ ๑๘ ถึง ๒๕ องศาเซลเซียส
ในฤดูร้อน (ระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม) ตั้งแต่ ๒๓ - ๓๒ องศาเซลเซียส
ในฤดูฝน (ระหว่างเดือนมิถุนายน – กันยายน) ตั้งแต่ ๒๐ - ๓๐ องศาเซลเซียส
ความเร็วและทิศทางลม ระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือค่อนข้างแรง ความเร็วลมอยู่ระหว่าง ๕ ถึง ๓๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีลมแรงถึงมีพายุเป็นครั้งคราว ในระหว่างที่มีลมแรงก่อให้เกิดคลื่นในทะเลคราวละประมาณ ๓ ถึง ๗ วัน
เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนอยู่ในช่วงที่เปลี่ยนจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ คลื่นลมสงบ สังเกตอิทธิพลของลมประจำถิ่นได้แก่ ลมบกและลมทะเลได้ชัดเจน กล่าวคือ ในเวลากลางวันลมบกพัดเข้าสู่ฝั่ง ส่วนในเวลากลางคืนลมทะเลพัดออกจากฝั่ง
เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน เป็นช่วงลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในระยะเริ่มต้น (ลมว่าวในชื่อท้องถิ่น) ซึ่งไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อการเดินเรือมากนัก เนื่องจากลมพัดออกจากชายฝั่ง ความเร็วลมเฉลี่ย ๑๐ – ๓๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สำหรับเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม เป็นช่วงเปลี่ยนจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศทางลมไม่แน่นอน และคลื่นไม่รุนแรง


พืชพันธุ์และสัตว์ป่า
เนื่องจากสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ เป็นภูเขาและได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลให้สังคมพืชในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอดแตกต่างกัน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ สังคมพืชที่เกิดในพื้นที่ชุ่มน้ำ และสังคมพืชป่าบก ดังนี้


สังคมพืชที่เกิดขึ้นในที่ลุ่มน้ำขัง ประกอบด้วย
• สังคมพืชที่พบในพรุบึงน้ำจืดบริเวณทุ่งสามร้อยยอด ส่วนใหญ่เป็นพืชล้มลุกพวกกกชนิดต่างๆ แห้วทรงกระเทียม อ้อ แขม หญ้าปล้อง หญ้าไซ บัวหลวง บัวสายชนิดต่างๆ ผักตบไทย บอน ตาลปัตรฤาษี จอก แหน สาหร่ายข้าวเหนียว เป็นต้น


• ป่าชายเลน ซึ่งพบตามแนวชายคลองบางปู คลองเขาแดง และลำรางสาขา พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ แสมทะเล โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ ตาตุ่มทะเล ตะบูนดำ โปรงแดง ถั่วขาว ฝาดดอกแดง สำมะง่า จาก เถาถอบแถบ เป็นต้น บริเวณที่โล่งซึ่งเป็นดอนตะกาดซึ่งได้รับอิทธิพลความเค็มของน้ำทะเลท่วมถึงแต่ไม่ท่วมต่อเนื่องกันทุกปี พบพืชล้มลุกพวก ชะคราม ผักเบี้ย หญ้าปราบน้ำเค็ม หญ้าขม เป็นต้น


สังคมพืชป่าบก ประกอบด้วย
• ป่าชายหาด พบตามชายหาดบริเวณที่น้ำไม่ท่วมจนถึงบริเวณเชิงเขา พื้นดินเป็นทราย กรวด และโขดหิน พันธุ์ไม้สำคัญที่พบได้แก่ สนทะเล โพทะเล กระทิง เม่า หูกวาง เกด มะนาวผี เตยทะเล ผักบุ้งทะเลเป็นต้น


• ป่าเบญจพรรณ ส่วนใหญ่ขึ้นบนเขาหินปูน พรรณไม้ที่ขึ้นหลายชนิดมักเป็นพรรณไม้ที่ขึ้นเฉพาะแห่ง เช่น จันทน์ผา จันทน์ชะมด โมกเขา ทะลายเขา และแก้วผา เป็นต้น ไม้ยืนต้นที่พบมักมีลำต้นแคระแกร็น เนื่องจากพื้นที่เป็นหินปูนมีเนื้อดินน้อย ส่วนบริเวณที่มีการสะสมสารอินทรีย์มากและเนื้อดินหนาในบริเวณหุบเขาและเชิงเขา พันธุ์ไม้ที่ขึ้นจะมีลำต้นสูงใหญ่ แต่มีอยู่เป็นหย่อมเล็กหย่อมน้อยกระจัดกระจาย พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ กุ่มน้ำ มะเกลือ พลับดง มะค่าโมง โมกมัน โมกขาว กระดูกไก่ และพลอง เป็นต้น


คำว่า “สามร้อยยอด” นอกจากใช้เป็นชื่ออุทยานแห่งชาติ ชื่อภูเขา ยังใช้เป็นชื่อของพืชด้วย คือ สามร้อยยอด หรือกูดขน แหยงแย้ รังไก่ เป็นพืชใกล้ชิดกับเฟินที่พบทั่วไปในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคใต้และภาคตะวันออก ลำต้นมี 2 ลักษณะ คือ มีทั้งลำต้นที่ทอดนอนเลื้อยไปกับพื้นดินและลำต้นตั้งตรงซึ่งอาจสูงถึงครึ่งเมตร แตกกิ่งก้านสาขาคล้ายสนฉัตร มีใบเล็กๆ ติดอยู่ อวัยวะขยายพันธุ์เกิดเป็นตุ่มห้อยที่ปลายต้น เรียกว่า Cones สามร้อยยอดมักขึ้นตามดินทราย ที่ราบชายเขาที่ได้รับแสงแดดจัดจ้า แต่ชุ่มชื้น ตั้งแต่พื้นที่ราบไปจนถึงระดับความสูงกว่า 1,000 เมตร


บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอดมีความหลากหลายของสัตว์ป่า โดยเฉพาะนกซึ่งมีมากถึง 316 ชนิด ประกอบด้วยนกที่อาศัยประจำถิ่นและที่ย้ายถิ่นมาจากที่อื่นตามฤดูกาล และเป็นสถานที่เพียงไม่กี่แห่งของประเทศไทยที่นกกระสาแดง สร้างรังวางไข่ รวมทั้งมีเป็ดแดงอาศัยอยู่ตลอดปี เช่นเดียวกับนกอัญชันอกเทา นกอัญชันคิ้วขาว และนกอีโก้ง


สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่พบในอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอดมีน้อยมาก ที่มีอยู่ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่หากินกลางคืนและสัตว์ที่ขุดรูอยู่ใต้ดินในทุ่ง ได้แก่ เลียงผา เก้ง กระจงเล็ก หมูป่า ลิงลม ลิงแสม ค่างแว่นถิ่นใต้ อีเห็น พังพอนธรรมดา เม่น ชะมด ค้างคาว หนูพุกใหญ่ หนูท้องขาว ค้างคาวมงกุฏมลายู และชนิดที่น่าสนใจที่พบในน่านน้ำชายฝั่งทะเลบริเวณนี้คือ โลมาหัวบาตร สำหรับสัตว์เลื้อยคลานและสะเทินน้ำสะเทินบกที่พบได้แก่ เต่าเหลือง เต่าหับ เต่าดำ กิ้งก่าบินปีกส้ม กิ้งก่าหัวแดง กิ้งก่าสวน จิ้งเหลนบ้าน เหี้ย งูเหลือม งูเห่า งูกะปะ งูสิงธรรมดา งูเขียว คางคกบ้าน เขียดหลังปุ่ม กบหนอง กบน้ำเค็ม อึ่งขาคำ อึ่งบ้าน เขียดบัว และเขียดจิก


จากการสำรวจและรวบรวมข้อมูล พบปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ ไม่น้อยกว่า 45 ชนิด ได้แก่ ปลาช่อน ปลาดุกด้าน ปลานิล ปลาซิว ปลาตะเพียนขาว ปลาไหล ปลาทู ปลาลัง ปลากระบอก ปลากระเบน ปลาตีน กุ้งแชบ๊วย หมึกกล้วย ปูแป้น ปูม้า หอยโข่ง หอยขม หอยแมลงภู่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสัตว์ประเภทอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ผีเสื้อหางติ่งธรรมดา ผีเสื้อเณรจิ๋ว แมลงปอ ยุงน้ำจืด ตั๊กแตนหนวดสั้น จิ้งหรีด มวนแดง และแมงดา เป็นต้น


การเดินทาง
อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอสามร้อยยอดและอำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด อยู่ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ ๒๘๖ – ๒๘๗ โดยห่างจากถนนเพชรเกษม ประมาณ ๑๔ กิโลเมตร และห่างจากตัวอำเภอปราณบุรี ประมาณ ๓๗ กิโลเมตร


การเดินทางจากกรุงเทพมหานคร ไปยังอุทยานฯสามารถเดินทางได้ ๓ ทาง คือ
เส้นทางที่ ๑ จากกรุงเทพมหานครไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๕ (ถนนสายธนบุรี - ปากท่อ ) ผ่านจังหวัดสมุทรสงคราม เลี้ยวเข้าสู่ถนนทางหลวงหมายเลข ๔ (ถนนเพชรเกษม) ที่อำเภอปากท่อ ผ่านจังหวัดเพชรบุรี อำเภอชะอำ และเข้าสู่อำเภอหัวหินถึงอำเภอปราณบุรี เมื่อถึงสี่แยกปราณบุรี เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายปากน้ำ – ปราณบุรี ๔ กิโลเมตร จะเห็นป้ายบอกทางไปยังอุทยานฯ ให้เลี้ยวขวาไปตามถนน ซึ่งเป็นถนนลาดยางอีกประมาณ ๓๑ กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด
เส้นทางที่ ๒ จากกรุงเทพมหานครไปตามทางหลวงหมายเลข ๔ (ถนนเพชรเกษม) ผ่านจังหวัดนครปฐม จังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน ถึงอำเภอปราณบุรี ไปอำเภอกุยบุรี ก่อนถึงอำเภอกุยบุรี ประมาณ ๗ กิโลเมตร บ้านสำโหรงที่หลักกิโลเมตรที่ ๒๘๖.๕ มีทางแยกซ้ายไปประมาณ ๑๔ กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด


เส้นทางที่ ๓ จากกรุงเทพมหานครไปตามทางหลวงสายธนบุรี – พุทธมณฑล – นครชัยศรี และเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๔ สู่จังหวัดเพชรบุรีเส้นชะอำ – บายพาส ตามเส้นทางถึงอำปราณบุรีเมื่อถึงสี่แยกปราณบุรี เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายปากน้ำ – ปราณบุรี ๔ กิโลเมตร จะเห็นป้ายบอกทางไปยังอุทยานฯ ให้เลี้ยวขวาไปตามถนน ซึ่งเป็นถนนลาดยางอีกประมาณ ๓๑ กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด


การเดินทางต้องใช้บริการรถรับจ้างทั้งสองแถว หรือรถจักรยานยนต์ไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด นอกจากเส้นทางรถยนต์แล้วยังมีทางรถไฟ ซึ่งรถไฟสายใต้ทุกขบวนจะผ่านอำเภอปราณบุรี และอำเภอกุยบุรี ทั้งขบวนขึ้นและขบวนล่องแต่ขบวนรถด่วนส่วนใหญ่ไม่จอดรับผู้โดยสารยกเว้นขบวนเดียวคือ รถเร็วกรุงเทพฯ – หาดใหญ่ ส่วนขบวนรถธรรมดาจอดทุกขบวน จึงนับว่าการเดินทางไป อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด สะดวกสบายมากส่วนเส้นทางคมนาคมโดยรอบอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด นอกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔ ถนนสายเพชรเกษม ที่ตัดผ่านใกล้อุทยานฯแล้วยังมีถนน รพช. ซึ่งแยกมาจากถนนสายปากน้ำปราณบุรี ที่บรรจบกับถนนเพชรเกษมที่สี่แยกปราณบุรี โดยที่ถนนสายปากน้ำ – ปราณบุรี นี้ไปบรรจบกับถนนเพชรเกษมอีกแห่งหนึ่ง ที่หลักกิโลเมตรที่ ๒๘๖.๕ (แยกบ้านสำโหรง) เป็นถนนที่ประชาชนที่อาศัยโดยรอบอุทยานฯอาศัยเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก นอกจากนี้แล้วยังมีถนนลาดยาง อีกเส้นหนึ่งเชื่อมระหว่างหมู่บ้านต่างๆ ชายฝั่งทะเลมาบรรจบกับถนน รพช. เส้นทางดังกล่าวนี้ด้วย ยานพาหนะที่ใช้กันโดยส่วนใหญ่ ได้แก่ รถยนต์เล็ก จักรยานยนต์ โดยสารประเภทรับจ้างแบบที่นั่งสองแถววิ่งเป็นประจำในเส้นทางดังกล่าวนี้ด้วย
สำหรับการคมนาคมทางน้ำนั้น ใช้ในการนำนักท่องเที่ยวล่องคลองเพื่อชมธรรมชาติเพียงอย่างเดียว

Khao Sam Roi Yot 
(Thai: เขาสามร้อยยอด) 
is a marine national park in Sam Roi Yot district, Prachuap Khiri Khan Province, Thailand. It covers 98.08 km², of which 20.88 km² are marine areas. The park was established in 1966, and was the first coastal national park of Thailand.


Geography
The name Khao Sam Roi Yot means Mountains with 300 peaks, which describes the landscape of the park quite well. The limestone hills are a subrange of the Tenasserim Hills that rises directly at the shore of the Gulf of Thailand, with the highest elevation Khao Krachom 605m above sea level. Between the hills are freshwater marshes. However several of these marshes were converted into shrimp farms, as only 36 km² of the total 69 km² of marshes are part of the national park. 18 km² of these marshes are scheduled to be declared a Ramsar site.


Two white sand beaches are located within the park namely Hat Laem Sala and Hat Sam Phraya. Hat Laem Sala is 17 km away from the park's head quarters and can be reached from the village Ban Pu either by boat or by climbing up and down over a hill for nearly 30 minutes.


Rare animals in the park include the Mainland Serow (Nemorhaedus sumatraensis), Dusky Langurs (Trachypithecus obscurus), as well as many bird species. In the ocean occasionally Irrawaddy Dolphins (Orcaella brevirostris) show up.


History
Phraya Nakhon cave with the Kuha Karuhas pavillon
The area of the Khao Sam Roi Yot was probably the site where King Mongkut convened with European guests on August 18, 1868 to observe a total solar eclipse. The king was very interested in astronomy and had calculated the date and location of the eclipse himself. However he contracted malaria during that event, and died shortly later.


Later kings also visited the area, especially the Phraya Nakhon cave. The cave consists of two caverns, illuminated by the collapsed roofs. For the visit of King Chulalongkorn in 1890 the Kuha Karuhas pavillon was built inside the cave. Later King Vajiravudh as well as the current king Bhumibol Adulyadej visited the cave.
The national park was created on June 28, 1966. It was enlarged on April 1, 1982.


Legends on Khao Sam Roi Yot
The giant Mong Li and his wife, who lived on the western coast of the Gulf of Thailand, had promised their daughter independently to Chao Lai and the emperor of China. When the daughter became old enough to marry, both future husbands arrived at the same date.


Mong Li then cut his daughter into two halves. Chao Lai turned himself into a hill, while the traditional fruit basket to be presented to a Buddhist monk has turned into the Khao Sam Roi Yot mountains. The islands Ko Chang and Ko Kong on the other side of the gulf were the elephant and the ox-cart with the wedding presents. Nom Sao Island is the part of the daughter's breasts and Ao Sam Roi Yot, Ko Ram Island and Nom Sao Island's silhouette, seen from certain angles, look like a person resting in the middle of the sea. There is a Goddess shrine on Nom Sao Island that is a popular attraction.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: park.dnp.go.th ::

2. อุทยานแห่งชาติอาร์เชส รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา


*ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://player.vimeo.com/video/40700040


การท่องเที่ยวรัฐยูทาห์ (Utah) อีกหนึ่งรัฐที่ถือว่าเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้นๆของสหรัฐอเมริกา โดยรัฐยูทาห์เป็นรัฐทางตะวันตกของประเทศ ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาร็อกกี มีเมืองหลวงคือ ซอลต์เลกซิตี (Salt Lake City) และยังเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของรัฐยูทาห์อีกด้วย


การท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติอาร์เชส (Arches National Park) หรือ อุทยานแห่งชาติสะพานหินโค้ง หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในรัฐยูทาห์ เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐยูทาห์ เขตอุทยานแห่งชาติหินโค้งมีเนื้อที่ 300 ตารางกิโลเมตร มีสะพานหินโค้งมากกว่า 200 แห่ง


สะพานหินโค้งแลนด์สเคป
(Landscape Arch)
โดยสะพานหินโค้งที่เด่นที่สุดคือ สะพานหินโค้งแลนด์สเคป (Landscape Arch) สะพานหินยาวกว่า 89 เมตร เป็นสะพานหินโค้งที่ยาวที่สุดในโลก แต่ช่วงสะพานมีช่วงเปราะบางมาก มีช่วงหนาเพียง 1.8 เมตร เชิงสะพานเป็นหินทรายยื่นออกจากหินโผล่ขรุขระเหนือพื้นหุบผาชันด้วยความสูงประมาณ 30 เมตร และ มีสะพานหินโค้งเดลิเคต ซึ่งสะพานแห่งนี้สูงโดดเด่นเหนือของแอ่งหินขนาดใหญ่ ตัวสะพานสูงเท่าตึก 7 ชั้น เป็นจุดเด่นของอุทยานแห่งนี้


สวนปีศาจ
(Devil’s Garden)
ถัดมาขอแนะนำให้คุณไปเยือน สวนปีศาจ (Devil's Garden) กลุ่มหินขนาดใหญ่ที่มีทัศนียภาพที่งดงามมาก อีกทั้งยังเป็นจุดสิ้นสุดของถนนสายหลักในเขตอุทยานแห่งชาติอาร์เชสอีกด้วย หลังจากนั้นขอแนะนำให้คุณไปเยือน หินสมดุล หรือ บาลาน ร็อค (Balanced Rock) คืออีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมากที่สุดแห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติอาร์เชส โดยหินแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับถนนสายหลักของอุทยาน โดยหินมีความสูงประมาณ 128 ฟุต (39 เมตร) และถือว่าเป็นจุดท่องเที่ยวเดียวที่สามารถมองเห็นได้จากถนนสายหลักของอุทยานอีกด้วย


คอร์ทเฮาส์ ทาวเวอร์
 (Courthouse Towers)
ต่อมาขอแนะนำให้คุณไปเยือน คอร์ทเฮาส์ ทาวเวอร์ (Courthouse Towers) เป็นเสาหินขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไปไม่น้อยไปกว่าสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆอีกด้วย


สะพานหินโค้งคู่
(Double Arch)
จากนั้นขอแนะนำให้คุณไปเยือน สะพานหินโค้งคู่ (Double Arch) เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของอุทยานแห่งชาติอาร์เชส เป็นสะพานหินโค้งคู่ที่มีความสูง ประมาณ 104 ฟุต (31,7 เมตร) อีกทั้งยังยังเคยถูกใช้เป็นฉากหลัง เกี่ยวกับฉากเปิดเรื่องของภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones and the Last Crusade


สะพานหินโค้งเดลิเคท อาร์ค
(Delicate Arch)
สุดท้ายขอแนะนำให้คุณไปชม สะพานหินโค้งเดลิเคท อาร์ค (Delicate Arch) สะพานหินโค้งธรรมชาติที่มีความสูงประมาณ 65 ฟุต (20 เมตร) เป็นจุดท่องเที่ยวที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแลนมาร์คที่สำคัญของอุทยานแห่งชาติอาร์เชส เป็นสะพานหินโค้งที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสัญลักษณ์ของรัฐยูทาห์ ซึ่งสามารถพบเห็นได้จากป้ายทะเบียนรถยูทาห์ และบนแสตมป์อีกด้วย

Arches National Park
Arches National Park is a U.S. National Park in eastern Utah. It is known for preserving over 2000 natural sandstone arches, including the world-famous Delicate Arch, in addition to a variety of unique geological resources and formations.


The park is located just outside of Moab, Utah, and is 76,679 acres (31,031 ha) in area. Its highest elevation is 5,653 feet (1,723 m) at Elephant Butte, and its lowest elevation is 4,085 feet (1,245 m) at the visitor center. Forty-three arches have collapsed due to erosion since 1970. The park receives 10 inches (250 mm) of rain a year on average.


Administered by the National Park Service, the area was originally created as a National Monument on April 12, 1929. It was redesignated as a National Park on November 12, 1971.


:: travel.thaiza.com ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

3. พุกามดินแดนเจดีย์ 4 พันองค์ เขตมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://player.vimeo.com/video/10043203


พุกาม ศักดิ์สิทธิ์ อลังการ งดงาม วิถีชีวิต ดินแดนเจดีย์ 4 พันองค์


ถ้าย้อนอดีต ปี คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่เราคนไทย หรือ โยเดีย (คำเรียกคนไทยของพม่าหมายถึงคนไทย) จะมาเดินเล่นในพม่าโดยเฉพาะในยุคสมัยสงครามที่โรมรันกันเป็นเวลาช้านาน


แต่พม่าทุกวันนี้เปิดโอกาสรับนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ เป็นโอกาสให้เราทำความรู้จักกันมากขึ้น วันนี้เราจะพาเที่ยวประเทศที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันมานาน ตั้งแต่ ป.2


พุกาม (Bagan) เมืองในประเทศพม่า เคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรโบราณพุกาม (พ.ศ.1587 - พ.ศ.1830) เป็นอาณาจักรแห่งแรกในประวัติศาสตร์พม่า


ก่อนสุโขทัย (พ.ศ.1800) และก่อนที่จะเกิดนครวัด (พ.ศ.1600) ปัจจุบันได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก (World Heritage Sites) โดยองค์การยูเนสโก


พระมหาธาตุเจดีย์ชเวสิกอง Shwezigon Pagoda เป็นเจดีย์ใหญ่ สวยงาม ศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศพม่า เป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวพม่าและชาวไทย ตั้งอยู่ที่เมืองพุกาม โดยชื่อ “ชเวสิกอง” มีความหมายว่า เจดีย์ทองแห่งชัยชนะ (ชเว = ทอง)


สร้างโดย พระเจ้าอโนรธามังช่อ แต่แล้วเสร็จในรัชกาลพระเจ้าจานสิตาแห่งอาณาจักรพุกาม ราว 960 ปีก่อน ภายในเจดีย์เชื่อว่าบรรจุพระเขี้ยวแก้วและพระสารีริกธาตุ โดยอัญเชิญมาจากลังกา บนหลังช้างเผือก พระเจ้าอโนรธามังช่อได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าช้างเผือกคุกเข่าลงที่ใด จะสร้างเจดีย์ไว้ที่นั่น

เจดีย์ชเวสิกอง
สร้างถวายเป็นพุทธบูชา และเป็นเจดีย์แห่งชัยชนะ ที่พม่ารบชนะเหนือมอญแบบเด็ดขาดเป็นครั้งแรกเป็นที่บรรจุพระทันตธาตุขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพม่าถือเป็น 1 ใน 5 ของมหาบูชาสถาน คือ


1. ชเวดากอง ย่างกุ้ง
2. ชเวสิกอง พุกาม
3. ชเวมอดอว์
4. หงสาวดี ชเวซานดอร์ เมืองแปร
5. พระมหามัยมุนี มัณฑะเลย์


เจดีย์ชเวสิกองถูกบูรณะในสมัยต่อมาอีกหลายครั้ง เจดีย์ชเวสิกอง เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ พื้นผิวภายนอกถูกปิดด้วยทองคำเปลว ปัจจุบันมีความสูงราว 53 เมตร หรือ 160 ฟุต มีลวดลายปูนปั้นอยู่ 3 แถว และมีเจดีย์เล็กๆ เป็นบริวารอยู่รายรอบ


ความอัศจรรย์ ๙ ประการของพระมหาธาตุชเวสิกอง


• ยอดพระเจดีย์ไม่มีการใช้เหล็กเสริม
• กระดาษห่อแผ่นทองคำเปลวที่นำไปปิดส่วนยอดพระเจดีย์ จะไม่ปลิวพ้นฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์
• เงาพระเจดีย์จะไม่ล้ำออกนอกฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์ (ถ้าเงาล้ำออกไป ถือว่าเป็นลางร้าย)
• ภายในเขตองค์พระเจดีย์ สามารถรองรับผู้แสวงบุญได้ไม่จำกัดจำนวน (ไม่เคยเต็ม)
• มีการให้ทานด้วยข้าวสุกร้อนๆ ทุกเช้า (ไม่ว่าเราจะตื่นเช้าสักเพียงใด จะพบข้าวสุกในบาตรอยู่ก่อนหน้าเราเสมอ)
• เมื่อตีกลองใบใหญ่จากด้านหนึ่งของพระเจดีย์ จะไม่สามารถได้ยินเสียงกลองจากด้านตรงข้าม
• แม้พระเจดีย์จะตั้งอยู่บนพื้นราบ แต่เมื่อมองจากภายนอกจะเกิดภาพลวงตาคล้ายพระเจดีย์ตั้งอยู่บนที่สูง
• ไม่ว่าฝนจะตกหนักเพียงใด จะไม่มีน้ำฝนขังอยู่ในอาณาเขตขององค์พระเจดีย์
• มีต้นพิกุล (Khaye หรือ Chayar) ซึ่งจะออกดอกตลอดทั้งปี (ปกติจะออกปีละครั้ง)


ชเว แปลว่า ทอง สิกแปลว่า อง พื้นทราย ที่ว่าเป็น “พื้นทราย” เพราะว่าพุกามตั้งอยู่เขตพื้นที่แห้งแล้ง Dry Zone ตอนกลางของพม่าทั้งๆ ที่มีแม่น้ำอิระวดีที่ใหญ่กว่าเจ้าพระยาหลายเท่า แต่ที่ดินแถบนี้ก็แห้งแล้งเกินกว่าจะทำการเพาะปลูกได้


กึกกักๆ...เสียงฝีเท้าม้า กำลังพาเราท่องไปในดินแดน การเดินทางเที่ยวชมทุ่งเจดีย์ที่พุกามมีหลายวิธี ทั้งเช่าจักรยานหรือจ้างรถม้า พวกเราตัดสินใจใช้รถม้าเพราะร่ำลือกันว่าอากาศ ร้อนมากๆ

ทะเลเจดีย์


พุกามได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ ปัจจุบันเหลือแค่เพียง 2,217 องค์ เจดีย์ในพุกามมีมากถึง 4 พันองค์


แต่ทุกวันนี้หลงเหลืออยู่เพียง 2 พันกว่าองค์เท่านั้น ทั้งจากที่เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา และที่ถูกรื้อถอนมาสร้างเป็นกำแพงเมืองหอรบ ในสงครามครั้งสุดท้ายของพุกาม สงครามกับพระเจ้ากุบไลข่าน แห่งมองโกล และนั่นคือ จุดจบของอาณาจักรพุกามที่รุ่งเรืองมาเกือบ 500 ปี


พุกาม ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Division) อยู่ห่างประมาณ 145 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมัณฑะเลย์ หรืออยู่ทางตอนเหนือของย่างกุ้ง ระยะทาง 680 กิโลเมตรแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เขตเมืองเก่า (เขตที่ตั้งอาณาจักรพุกาม) เขตเมืองใหม่ (เขตที่อยู่อาศัยปัจจุบัน) และยองอู (เขตพาณิชยกรรมและเศรษฐกิจ) สนามบินยองอู เป็นสนามบินประจำเมือง


รายได้หลักของเมืองคือ การท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือนที่นี่เสมอทุกช่วงปี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากแถบเอเชียด้วยกัน


พระพุทธรูปประจำทิศทั้งสี่ทิศเป็นพระพุทธรูปที่แกะด้วยไม้แล้วลงรักปิดทอง สูง 9.50 เมตร แต่ละองค์วางพระหัตถ์แตกต่างกัน เมื่อก่อนอนุญาตให้จุดธูปบูชาได้ แต่เกิดไฟไหม้องค์พระ ตอนนี้เลยให้กดปุ่มไฟ (ที่เป็นราวๆ )แทน


วิหารอนันดา


“เพชรน้ำเอกของพุทธศิลป์สกุลช่างพุกาม” คือคำกล่าวขวัญถึงมหาวิหารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองพุกาม ประเทศพม่า เริ่มสร้างขึ้นในปี พ.ศ.1633 แล้วเสร็จในปีต่อมา ในรัชกาลพระเจ้าจานสิตา


เมื่อก่อนยอดพระเจดีย์ยังเป็นสีขาวเหมือนกับพระเจดีย์องค์อื่นๆ ของพุกาม แต่รัฐบาลพม่าได้มาทาสีทองทับเมื่อปี พ.ศ.2533 เพื่อสมโภชการสร้างอานันทวิหารครบรอบ 900 ปี อานันทวิหารเป็นพระเจดีย์ที่สามารถเดินเข้าไปข้างในได้ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสมีมุขยื่น 4 ทิศ


ประตูทางเข้าเป็นประตูโค้ง (arch) ที่มักพบเห็นในสถาปัตยกรรมตะวันตกมากกว่าตะวันออก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนไม้ปิดทองสี่ทิศ พระกกุสันโธพุทธเจ้า ประจำทิศเหนือ (องค์เดิม) แท้จริงแล้วประจำทิศตะวันออก พระโกนาคมน์พุทธเจ้า ประจำทิศตะวันออก (สร้างใหม่) พระกัสสปพุทธเจ้า ประจำทิศใต้ (องค์เดิม) พระโคตมพุทธเจ้า ประจำทิศตะวันตก (สร้างใหม่) ผนังภายในแต่ละทิศมีพระพุทธรูปปางต่างๆ รายล้อมกว่า 1,800 องค์


พระเจดีย์มนูหา Manuha Paya


สร้างโดยพระเจ้ามนูหากษัตริย์มอญ ในครั้งที่พระองค์ถูกพระเจ้าอโนรธาจับมาเป็นเชลยในองค์พระเจดีย์ อันเป็นการรำลึกถึงคราวที่พระองค์ถูกพระเจ้าอโนรธาจับมาเป็นเชลย ซึ่งไม่เพียงกษัตริย์และมเหสีเท่านั้น


ชาวมอญเรือนหมื่นก็ถูกกวาดต้อนมาด้วย พระเจ้ามนูหาจึงทรงสร้างพระเจดีย์แห่งนี้ให้ดูอึดอัด เพื่อต้องการถ่ายทอดความรู้สึกคับข้องใจ ภายในองค์พระเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 3 องค์แต่มีองค์เดียวที่เป็นของเดิม


อีก 2 องค์ถูกสร้างขึ้นใหม่ ส่วนด้านหลังมีพระพุทธรูปนอนองค์ใหญ่ประดิษฐาน แม้จะดูใหญ่โต แต่ก็เป็นการประดิษฐานอยู่ในวิหารแคบๆ อันเป็นผลมาจากพระประสงค์ของพระองค์นั่นเอง


ระหว่างที่ท่องไปในพุกาม เราสามารถสัมผัสวิถีชิวตที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ทุกนาทีที่อยู่ในเมืองล้วนมีเสน่ห์ เรียบง่ายไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อย ที่มีทานาคาบนใบหน้า กับ อิวจาโก้ (คล้ายๆ กับปาท่องโก๋บ้านเรา แต่มีขนาดใหญ่กว่าประมาณด้วยสายตาน่าจะใหญ่กว่าสัก 4-5 เท่า)


พี่ๆ ที่ขับรถม้าไปพร้อมกับการเคี้ยวหมากและยิ้มให้เราพร้อมฟันสีแดงๆ ผู้คนที่นี่ยังคงแต่งกายแบบพื้นเมือง ยังนุ่งผ้าซิ่น นุ่งโสร่ง ภาพการนั่งดื่มชา อันเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อนับแต่ครั้งที่อังกฤษเข้ามาปกครอง


ภาพร้านค้าของที่ระลึกที่รอคอยการแวะเวียนการมาเยี่ยมเยือนของนักท่องเที่ยว และโชคดีเหลือเกินสำหรับทริปนี้ที่เราเผอิญได้พบงานพิธีบวชลูกแก้วของที่นี่ ซึ่งมีขบวนแห่ยาวนับเป็นร้อยๆ เมตร ดูอลังการไม่แพ้สิ่งก่อสร้างเช่นกัน พอตกเย็นย่ำค่ำพลบเลย 3 ทุ่ม ล่วงแล้ว ทั้งเมือง “พุกาม” ต่างหลับใหล เงียบสงบ


ความเงียบสงบ เรื่องน่ารู้ก่อนไป


- ค่าเข้าชมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติคนละ 10 ดอลลาร์ ซึ่งจะมีด่านตรวจตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ก่อนเข้าเมือง ทั้งที่สนามบิน สถานีรถไฟ รถประจำทาง และท่าเรือ Pasted


ธีรภาพ โลหิตกุล : ท่องแดนเจดีย์ไพรพุกามประเทศ


Bagan (Burmese; MLCTS: pu.gam, IPA: [bəɡàɴ]; formerly Pagan) is an ancient city located in the Mandalay Region of Burma (Myanmar). From the 9th to 13th centuries, the city was the capital of the Kingdom of Pagan, the first kingdom to unify the regions that would later constitute modern Myanmar. During the kingdom's height between the 11th and 13th centuries, over 10,000 Buddhist temples, pagodas and monasteries were constructed in the Bagan plains alone, of which the remains of over 2200 temples and pagodas still survive to the present day.
The Bagan Archaeological Zone is a main draw for the country's nascent tourism industry.
Read more http://en.wikipedia.org/wiki/Bagan
:: travel.sanook.com ::


4. บ้านกลางแม่น้ำดรีนา ประเทศเซอร์เบีย


บ้านกลางแม่น้ำดรีนา ได้รับการบูรณะซ่อมแซมหลายครั้งเนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ http://youtu.be/0RokIFtEIgc


(บ้านนี้น่าจะใช้เป็นสัญลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าใช้พักอาศัย http://youtu.be/0T2LXgnxEmA )


ภาพแรก ถ่ายโดย Irene Becker


House on the Drina River / Kućica na steni Serbia


Bajina Bašta (Serbian Cyrillic: Бајина Башта, pronounced [bâjina bǎːʃta]) is a town located in the western mountains of Serbia. The town lies in the valley of the Drina River at the eastern edge of Tara National Park. It is the administrative seat of the Bajina Bašta Municipality in the Zlatibor District.
The population of the town, according to 2011 census, is 9,133 inhabitants, while municipality has 26,043.


The Drina (Cyrillic: Дрина, pronounced [drǐːna]) is a 346 kilometer long river, which forms most of the border between Bosnia and Herzegovina and Serbia. It is the longest tributary of the Sava River and the longest karst river in the Dinaric Alps which belongs to the Danube river watershed. Its name is derived from the Latin name of the river (Latin: Drinus) which in turn is derived from Greek (Ancient Greek: Dreinos).


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::

5. ธรรมชาติมหัศจรรย์ที่ เอเยอร์สร็อค หรือ อูลูรู ประเทศ ออสเตรเลีย


แผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/gb6Sb


เอเยอร์สร็อค (Ayers Rock) หรือ อูลูรู (Uluru) เป็นหินศักดิ์สิทธิ์ของชาวอะบอริจินิส หรือ อะนานู มากว่า 40,000 ปี เป็นเขาเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีลักษระกลมมนขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางที่ราบ โดยวัดจากทางทิศตะวันออกไปตะวันตกได้ 3.1 กิโลเมตร วัดจากเหนือมาใต้ได้ 1.9 กิดลเมตร ส่วนสูง 348 เมตร และรอบฐานยาว 9.4 กิโลเมตร มีคนมาเที่ยวปีหนึ่งประมาณ 300,000 คน ค้นพบเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 1873 โดย วิลเลียม คริสตี้ กอสส์ ชื่อเอเยอร์สร็อค ตั้งให้เป็นเกียรติกับ เซอร์เฮนรี เอเยอร์ส หัวหน้า เลขานุการแห่งออสเตรเลียใต้


เอเยอร์สร็อค มีลักษณะส่วนประกอบเป็นหินเชิงเดี่ยวหรือเป็นหินชนิดเดียว (เนื้อเดียว)ตลอดทั้งแท่ง(ก้อน) สีแดงเข้ม ที่น่า ประทับใจผู้ไปชมคือ ในตอนกลางวันอากาศปลอดโปร่งแจ่มใสจะปรากฎ เป็นแสงสะท้อนออกมาเป็นสีเหลืองทองให้เห็นบริเวณเดียว ถ้า มองที่ไกลๆ ออกมา


เอเยอร์สร็อคเกิดจากเม็ดหินที่เรียบและเล็กเป็นเม็ดแร่ที่ใส โดยวิธีการมารวมกันของหินต่างๆ หลายชนิดมารวมกัน ไม่ว่า จะเป็นหินสีเทา หินสีเขียว หินบะซอลต์ หินแกรนิต ฯลฯ ส่วนที่เกิดเป็นสีแดงนั้นเพราะอากาศ ฝุ่น น้ำ หรืออาจเรียกว่าหินเป็นสนิมก็ได้ และนั่นเป็นทำให้ เอเยอร์สร็อคกลายเป็นกระจกเงาที่สะท้อนแสงสีของอาทิตย์ เมื่อฝนตกน้ำฝนได้หลากจากหน้าผาสูงชัน กัดเซาะมา กองรวมกันเป็นชั้นโดยมีโคลนเป็นตัวร่วมเป็นตัวรวมกันหนากว่า 2-6 กิโลเมตร เป็นเวลากว่าร้อยล้านปี จนเมื่อ 400 ล้านปีก่อนเมื่อ เกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกครั้งใหญ่ ชั้นหินที่รวมตัวกัน อยู่ในแนวนอนเกิดการดันตัวจากที่เป็นแนวนอน แรงดันทำให้ชั้นหินเกิด การวางตัวในแนวตั้ง ต่อมาอีก 300 ล้านปี เมื่อฝนและลมชะเอาดินทรายออกไป ส่วนปลายของชั้นหินจึงปรากฎขึ้นมา ดังนั้นเอเยอร์สร็อค ที่เห็นอยู่จึงเป็นเพียงส่วนปลายของ ชั้นหินที่วางตัวยาวไปทางตะวันตกเฉียงใต้ถึง 5-6 กิโลเมตร

ในถ้ำใต้หินมีภาพวาดเก่า แก่มีมาแต่เดิม จากการศึกษาค้นคว้าด้านชีวิตและวัฒนธรรมประจำถิ่นของ ซี.พี.เมาท์ฟอร์ด ยืนยันว่า ภาพเขียนดังกล่าวไม่เกี่ยวกับความเชื่อ ทางศาสนาแต่แสดงถึงสัญลักษณ์ของชีวิตพวกเขาที่อาศัยอยู่แถบนี้มีความเชื่อว่าโลกแบน นอกจากนี้ ยังแสดงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษไว้เป้นอันมาก


ทางด้านใต้ ของหินเป็นเขตของพวกปิตชานด์จารา ซึ่งมีตำนานนิยายการรบระหว่างงูพรมกับศัตรูมีพิษอื่น ๆ สู้กันถึงเลือดนองแผ่นดิน


ทางด้านเหนือ มีตำนานเกี่ยวกับกระต่ายวัลลาบีหรือจิงโจ้หนู ซึ่งเป็นรูปแกะสลักที่คนเคารพนับถือ มีเรื่องรบราฆ่าฟันล้างแค้นกันระหว่างคนกับยักษ์


การปีนขึ้นไปบนหินจนถึงยอดทำได้โดยอาศัยโซ่เป็นเครื่องมือ ภูมิภาพมองจากยอดหินจะเป็นที่ราบโล่งเบื้องล่าง เอเยอร์สร็อคนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวอะบอริจินิส ซึ่งเป็นชาวพื้นเมือง พวกเขาเชื่อว่าเอเยอร์สร็อคเป็นการรังสรรค์ ของพระเจ้าที่ประทานให้กับชาวอะบอริจินิส การปีนป่ายจึงถือว่า เป็นการละเมิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้แต่เนื่องจากเป็นเพียงความเชื่อเท่านั้นจึงมี ผู้คนจากทุกสารทิศเป็นจำนวนมากที่ต้องการปีนไปถึงยอดเขา มีทั้งที่ปีนสำเร็จและไม่สำเร็จ ทั้งนี้ ชาวอะบอริจินิสได้ติดป้ายปรกาศเตือน สำหรับผู้ที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงก็ไม่ควรฝึกปีนเพราะมีหลายครั้งที่เกิดอุบัติเหตุหรือการสูญเสียชีวิต การตั้งป้ายประกาศนี้อาจเป็นเพราะ ว่าชาวอะบอริจินิสเห็นว่าเมื่อไม่สามารถทัดทานการปีนเขาได้จึงป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสีย


Uluru (/ˌuːluːˈruː/), also known as Ayers Rock, is a large sandstone rock formation in the southern part of the Northern Territory, central Australia. It lies 335 km (208 mi) south west of the nearest large town, Alice Springs; 450 km (280 mi) by road. Kata Tjuta and Uluru are the two major features of the Uluṟu-Kata Tjuṯa National Park. Uluru is sacred to the Anangu, the Aboriginal people of the area. The area around the formation is home to a plethora of springs, waterholes, rock caves and ancient paintings. Uluru is listed as a World Heritage Site.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: wonder7th.com ::

6. โทซัว หลุมสระว่ายน้ำธรรมชาติ ลึก 30 เมตร ประเทศซามัว


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> https://www.youtube.com/embed/M7h5DunGPZA


To Sua Ocean Trench , Upolu, Samoa
To Sua Ocean Trench is located in Lotofaga village .To sua literally means a Giant Swimming Hole. 30 meters deep and is accessible via a long ladder to the pool Overlooking the ocean is a beach called Fagaoneone meaning white sand whereas opposite is a lava field with blow hole, tide pools and walking paths along the rocks near the ocean’s edge.


ประเทศซามัว


รัฐเอกราชซามัว (ซามัว: Malo Sa‘oloto Tuto'atasi o Sāmoa; อังกฤษ: Independent State of Samoa) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ซามัว (ซามัว: Sāmoa; อังกฤษ: Samoa) เป็นประเทศที่ประกอบด้วยหมู่เกาะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ชื่อในอดีตคือ เยอรมันซามัว ระหว่างปี พ.ศ. 2443 ถึง พ.ศ. 2457 และ ซามัวตะวันตก ระหว่างปี พ.ศ. 2457 ถึง พ.ศ. 2540


ซามัวเป็นดินแดนที่เป็นที่ตั้งหนึ่งในจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของชาวโพลินีเซีย สามารถขยายอาณาเขตยึดประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียงได้ จนกระทั่งมีการเข้ามาของชาวยุโรปทำให้ประชากรส่วนใหญ่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ จนกระทั่ง จักรวรรดิตูอิตองกา ได้เข้ามายึดดินแดน ส่งผลให้ซามัวกลายเป็นเมืองขึ้นของตองกา ในระยะต่อมาอีก 500 ปี ซามัวได้ประกาศเอกราชและปกครองตนเองเรื่อยมา ต่อมาประเทศอังกฤษได้ยึดซามัว ในเวลาต่อมาเกิดข้อพิพาทระหว่างสหรัฐ เยอรมันและอังกฤษ ยังผลให้ประเทศเยอรมนีได้ครอบครองส่วนที่เป็นประเทศซามัวในปัจุบัน ส่วนสหรัฐอเมริกาได้ครอบครองส่วนที่เป็นอเมริกันซามัวในปัจจุบัน สำหรับประเทศอังกฤษก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในซามัวอีกแล้ว ในระยะต่อมาในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซามัวถูกโอนให้มาขึ้นกับประเทศนิวซีแลนด์ จนประกาศเอกราชในปี พ.ศ. 2505 นับเป็นประเทศแรกในแปซิฟิกใต้ที่ได้รับเอกราช


ซามัวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอเมริกันซามัว ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตองกาและฟิจิ มีป่าไม้ค่อนข้างหนาแน่น ประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อสายโพลินีเชีย และบางส่วนเป็นเยอรมันและจีน ชาวซามัวจำนวนมากอพยพไปตั้งถิ่นฐานในต่างประเทศ โดยคาดว่ามีชาวซามัวในนิวซีแลนด์ประมาณ 120,000 คน และในออสเตรเลียประมาณ 40,000 คน


:: tripadvisor.com ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

7. อักชาร์ดัม (Akshardham) อลังการวัดฮินดูในนครเดลี, ประเทศอินเดีย


ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> https://www.youtube.com/v/69PIMDGv4Bg


อักชาร์ดัม (Akshardham) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เดลีอักชาร์ดัม (Delhi Akshardham) หรือ สวามีนารายันอักชาร์ดัม (Swaminarayan Akshardham) ในภาษาไทยบ้างก็เรียกว่า อักษราธรรม ได้ชื่อว่าเป็นวัดในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในโลก รับรองโดยกินเนสส์บุ๊คเมื่อปี ค.ศ. 2007 แม้จะเป็นวัดที่สร้างขึ้นใหม่ แต่ก็สร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการตามรูปแบบโบราณของอินเดีย โดยใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมที่ใช้หินทรายในการก่อสร้าง ไม่ใช้โครงสร้างโลหะแต่อย่างใด


เดลีอักชาร์ดัมได้รับแรงบันดาลใจจาก อักชาร์ดัม ในเมืองคานธีนาการ์ (Gandhinagar) รัฐคุชราต ในปี ค.ศ. 1968 ท่านโยกิจิมหาราช (Yogiji Maharaj) ประมุขทางจิตวิญญาณของ BAPS (Bochasanwasi Shri Akshar Purushottam Swaminarayan Sanstha) กูรูองค์ที่ 4 ของนิกายมีดำริอยากให้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำยมุนา แต่ยังไม่มีการก่อสร้างในช่วงนั้น กูรูองค์ถัดมา คือ ประมุขสวามีมหาราช (Pramukh Swami Maharaj) ได้สานฝันของท่านโยกิจิมหาราชให้เป็นจริงขึ้น โดยเริ่มการก่อสร้างในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000


การก่อสร้างนั้นใช้ช่างแกะสลักถึง 7000 คน และอาสาสมัคร 3000 คน ทำงานร่วมกันในการก่อสร้างอักชาร์ดัม โดยใช้หินทรายสีชมพูกว่า 6,000 ตัน จากรัฐราชสถาน หินอ่อนสีขาวจากอิตาลี ในการตัดหินนั้นใช้เครื่องมือแต่การแกะสลักรายละเอียดใช้ฝีมือคนทั้งสิ้น โดยเร่งทำงานทั้งคืนวันจนสำเร็จเสร็จสิ้นในระยะเวลา 5 ปี จากระยะเวลาสร้างปกติที่ต้องใช้ถึง 40 ปี และอักชาร์ดัมก็ได้ทำการเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005 โดย ประธานาธิบดี ดร.เอ.พี.เจ.อับดุล กาลาม (Dr. A.P.J. Abdul Kalam) พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรีมานโมฮาน ซิงห์ (Manmohan Singh) ผู้นำพรรคฝ่ายค้านในรัฐสภาอินเดีย และแขกผู้มีเกียรติต่างๆ เข้าร่วมถึง 25,000 คน


ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2007 อักชาร์ดัมได้การบันทึกสถิติโลกในกินเนสส์บุ๊คให้เป็นวัดฮินดูที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก โดยวิหารกลางนั้นวัดความยาวได้ 356 ฟุต (109 เมตร) กว้าง 316 ฟุต (96 เมตร) และสูง 141 ฟุต (43 เมตร) ครอบคลุมพื้นที่ 86,342 ตารางฟุต (8,021.4 ตารางเมตร) ซึ่งสร้างขึ้นตามแบบศิลปะโบราณของอินเดีย ตกแต่งด้วยงานแกะสลักหินด้วยมือที่หรูหราโดยไม่มีเหล็กเป็นโครงสร้างแต่อย่างใด ภาพสลักคลุมตั้งแต่ฐานไปจนถึงด้านบน มีเสาแกะสลักถึง 234 เสา มีโดม 9 โดม มียอดศาลา 20 ยอด มีประติมากรรมแกะสลักเป็นรูปช้าง บุคคล กูรูต่างๆ รูปดอกไม้ สัตว์ นางรำ นักดนตรี และเทวดามากกว่า 20,000 รูป โดยใจกลางของวิหารกลางมีรูปทองแดงของศาสดาองค์แรกประดิษฐานอยู่ พร้อมรูปสวามีทุกองค์ยืนเรียงรายหันหน้าเข้าหาศาสดา เหนือขึ้นไปบนเพดานเป็นรูปสลักเทพเจ้าฮินดูหลายร้อยองค์


นอกจากนั้นยังมีกำแพงรายที่ตกแต่งด้วยภาพแกะสลักมากมายเป็นรูปสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะช้าง ประตูหินแกะสลัก เสาและหน้าต่างจำนวนมาก มีโรงภาพยนตร์ที่มีจอขนาดใหญ่ กว้าง 26 เมตร และสูง 20 เมตร ที่แสดงภาพยนตร์เกี่ยวกับประวัติการจาริกแสวงบุญของท่านสวามีนารายัน ยังมีอัฒจรรย์เป็นขั้นบันได ล้อมรอบน้ำพุดนตรี ที่ทำเป็นรูปดอกบัวแปดกลีบอยู่กึ่งกลางบรรเลงเพลงให้ความเพลิดเพลินในยามค่ำคืน ยังแม่การแล่นเรือชมฉากจำลองประวัติศาสตร์ของอินเดียกว่า 10,000 ปี โดยใช้เวลาแค่ 12 นาที ล่องไปตามแม่น้ำที่จำลองขึ้น


ยังมีสวนแห่งอินเดีย พร้อมสนามหญ้าที่มีการตกแต่งด้วยต้นไม้ พุ่มไม้ เขียวขจี และยังมีรูปประติมากรรมสำริดของผู้ที่มีคุณูปการในทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของอินเดียรวมอยู่ด้วย ประติมากรรมเหล่านี้ได้แก่ รูปเด็ก สตรี บุคคลสำคัญแห่งชาติ นักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ และนักรบต่างๆ ของอินเดีย ในบรรดาประติมากรรมเหล่านี้มีรูป มหาตมะคานธี บุคคลสำคัญแห่งชาติ


ความงดงามและอลังการของอักชาร์ดัมแสดงให้เห็นถึงศิลปะวัฒนธรรมที่เป็นอมตะ ไร้ขอบเขต และมีคุณค่าอย่างไร้กาลเวลาของอินเดีย สมกับที่ได้รับการยกย่อง ซึ่ีงวัดแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 70 เปอร์เซนต์ จากนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่มาเที่ยวกรุงเดลี แต่ให้บอกว่างดงามอย่างไรก็ไม่เท่ากับได้มาสัมผัสด้วยตาของตนเอง ผู้สนใจสามารถมาเที่ยวที่อักชาร์ดัมแห่งนี้ได้ทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.00 – 19.00 น. ปิดวันจันทร์หนึ่งวัน โดยเข้าชมฟรี แต่ถ้าเป็นนิทรรศการแสงสีเสียงต้องเสียเงินค่าตั๋วต่างหาก และไม่จำเป็นก็อย่านำสัมภาระอะไรมามากมายเพราะเขาห้ามนำเข้าค่ะ


Swaminarayan Akshardham in New Delhi epitomises 10,000 years of Indian culture in all its breathtaking grandeur, beauty, wisdom and bliss. It brilliantly showcases the essence of India’s ancient architecture, traditions and timeless spiritual messages. The Akshardham experience is an enlightening journey through India’s glorious art, values and contributions for the progress, happiness and harmony of mankind.
The grand, ancient-styled Swaminarayan Akshardham complex was built in only five years through the blessings of HDH Pramukh Swami Maharaj of the Bochasanwasi Shri Akshar Purushottam Swaminarayan Sanstha (BAPS) and the colossal devotional efforts of 11,000 artisans and BAPS volunteers. The complex was inaugurated on 6 November, 2005.


Akshardham means the eternal, divine abode of the supreme God, the abode of eternal values and virtues of Akshar as defined in the Vedas and Upanishads where divine bhakti, purity and peace forever pervades.


For the first time ever in the world witness the heritage of India in all its facets, insights and beauty at the Swaminarayan Akshardham through its mandir, exhibitions, verdant gardens and other attractions.


Swaminarayan Akshardham (Gujarati: સ્વામિનારાયણ અક્ષરધામ, Devnagari: स्वामिनारायण अक्षरधाम) is a Hindu temple complex in Delhi, India. Also referred to as Delhi Akshardham or Akshardham, the complex displays millennia of traditional Hindu and Indian culture, spirituality, and architecture. The building was inspired and developed by Pramukh Swami Maharaj, the spiritual head of the Bochasanwasi Shri Akshar Purushottam Swaminarayan Sanstha, whose 3,000 volunteers helped 7,000 artisans construct Akshardham.


The temple, which attracts approximately 70 percent of all tourists who visit Delhi, was officially opened on 6 November 2005 It sits near the banks of the Yamuna adjacent to the 2010 Commonwealth Games village in eastern New Delhi. The temple, at the center of the complex, was built according to the Vastu Shastra and Pancharatra Shastra. In addition to the large central temple crafted entirely of stone, the complex features exhibitions on incidents from the life of Swaminarayan and the history of India, an IMAX feature on the early life of Swaminarayan as the teenage yogi, Nilkanth, a musical fountain on the message of the Upanishads, and large landscaped gardens. The temple is named after a belief in Swaminarayan Hinduism.


:: learningpune.com ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
http://www.akshardham.com/whatisakdm/index.htm

8. ป้อมปราการ และปราสาท Methoni ยุคออตโตมัน ประเทศกรีซ


* ชมภาพแบบ Panorama ค่ะ -> http://www.mellow.gr/en/content/methoni-castle


* ชมภาพแบบ 360 องศา ค่ะ -> http://goo.gl/m9Ks7


ปัจจุบันกำแพงของป้อมปราการแม้ว่าในสถานที่ปรักหักพังยังคงเป็นที่น่าประทับใจ ปราสาท Methoni อยู่ตรงบริเวณพื้นที่ทั้งหมดของแหลมและชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะขนาดเล็กที่ได้รับการเสริมด้วยหอคอยแปดเหลี่ยมและมีการป้องกันทะเลทั้งสามด้าน


Methoni Castle, Southwestern end of the Peloponnese, Messenia, Greece.
Ottoman/Venetian fortress in Methoni's port.
Nowadays the walls of the fortress, even though in ruins, continue to be impressive. The castle of Methoni occupies the whole area of the cape and the southwestern coast to the small islet that has also been fortified with an octagonal tower and is protected by the sea on its three sides. Its north part, the one that looks to land, is covered by a heavily fortified acropolis. A deep moat separates the castle from the land and communication was achieved by a wooden bridge. The Venetians built on the ancient battlements and added on and repaired it during both periods that they occupied the castle.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::

9. คาซา บัตโล่ (Casa Batlló) บาร์เซโลนา, สเปน


*ชมคลิปวีดีโอค่ะ-> https://www.youtube.com/v/YF9ns51d9I4


ผลงานอีกชิ้นที่ฮอทฮิตของเกาดี้ (Antoni Gaudí) ก็คือ คาซา บัตโล่
(Casa Batllo'.......Casa ภาษาสเปนแปลว่า บ้านค่ะ)
Casa Batllo' จึงหมายถึงบ้านของตระกูล บัตโล่ นั่นเอง


บ้านหลังนี้ไม่มีเส้นตรง ตามหลักอาร์ตนูโวของเกาดี้ที่ว่า
การสร้างบ้านแบบธรรมชาตินั้น ไม่มีอะไรเป็นเส้นตรง


ตึกนี้เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1877 โดยมีนายทุนคือตระกูล
Butllo' ซึ่งเป็นตระกูลเศรษฐีทำธุรกิจสิ่งทอในบาร์เซโลน่า
ต่อมาในปี ค.ศ. 1904 ถึง 1907 เกาดี้ก็เข้ามาปรับปรุง และ
ออกแบบให้ใหม่ (ซึ่งเป็นช่วงที่เกาดี้กำลังมีชื่อเสียงพอดี)
หลังคาที่เห็นอยู่ในภาพข้างบนนี้ เกาดี้ออกแบบขึ้นมาเพื่อ
เลียนแบบหลังของมังกร ส่วนลายกระเบื้องก็เปรียบได้กับเกล็ด
ของมังกรนั่นเอง และที่เห็นแหลมๆ พุ่งขึ้นฟ้าอยู่ข้างๆ หลังมังกร
นั้น ก็คือ ดาบของเซนต์จอร์จ....นักบุญผู้พิทักษ์เมืองบาร์เซโลน่า


คาซา บัตโล่ มีชื่ออีกอย่างหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านที่นั่นเรียกกันว่า......
Casa dels ossos แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า House of Bones
หรือ บ้านกระดูก คงเป็นเพราะการออกแบบของเกาดี้ที่ทำตัว
ระเบียงด้านนอกให้เป็นหัวกระโหลก และออกแบบองค์ประกอบ
บนอาคารบางส่วนให้เป็นรูปกระดูก ดั่งที่เห็นกันอยู่ในภาพข้างบนนี้


นอกจากนี้เกาดี้ยังออกแบบภายในให้เหมือนนครบาดาล
อีกด้วย ปัจจุบันเขาเปิดให้เข้าชมเป็นบางส่วน(เก็บค่าเข้าชมค่ะ) เพราะอาคารนี้
เป็นอพาร์ทเม้นท์ที่ยังมีผู้คนพักอาศัยอยู่


ขอเชิญไปดูกันที่เวบไชต์ของคาสา บัตโล่ กันได้ที่นี่ค่ะ http://www.casabatllo.es/


Casa Batlló (Catalan pronunciation: [ˈkazə βəʎˈʎo]) is a building restored by Antoni Gaudí and Josep Maria Jujol, built in the year 1877 and remodelled in the years 1904–1906; located at 43, Passeig de Gràcia (passeig is Catalan for promenade or avenue), part of the Illa de la Discòrdia (the "Block of Discord") in the Eixample district of Barcelona, Spain. Gaudí's assistants Domènec Sugrañes i Gras, Josep Canaleta y Joan Rubió also contributed to the renovation project.


The local name for the building is Casa dels ossos (House of Bones), as it has a visceral, skeletal organic quality. It was originally designed for a middle-class family and situated in a prosperous district of Barcelona.


The building looks very remarkable — like everything Gaudí designed, only identifiable as Modernisme or Art Nouveau in the broadest sense. The ground floor, in particular, is rather astonishing with tracery, irregular oval windows and flowing sculpted stone work.
It seems that the goal of the designer was to avoid straight lines completely. Much of the façade is decorated with a mosaic made of broken ceramic tiles (trencadís) that starts in shades of golden orange moving into greenish blues. The roof is arched and was likened to the back of a dragon or dinosaur. A common theory about the building is that the rounded feature to the left of centre, terminating at the top in a turret and cross, represents the lance of Saint George (patron saint of Catalonia, Gaudi's home), which has been plunged into the back of the dragon.


:: mblog.manager.co.th/natayaa/th-77132/ ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

10. หุบเขามหัศจรรย์ที่ อุทยานแห่งชาติชาปาดา ดิอามันทีนา ประเทศบราซิล



*ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> https://www.youtube.com/v/Rpxsm7S3Wlc
*ชม Gruta Pratinha - Chapada Diamantina แบบ 360 องศาค่ะ -> http://goo.gl/tCbWv


ที่ราบสูงชาปาดา คุณจะพบกับดินแดนแห่งเพชร สีเขียวชอุ่ม คุณจะพบกับที่ราบในหุบเขามีหญ้า และแม่น้ำอันอุดมสมบูรณ์ และยังมีอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงอย่าง "อุทยานแห่งชาติชาปาดา ดิอามันทีนา" อุทยานแห่งหุบเขาที่งดงามของบราซิล


อุทยานแห่งชาติชาปาดา ดิอามันทีนา (Chapada Diamantina National Park) เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในรัฐบาเยีย อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิล และยังเป็นหนึ่งของรัฐที่สำคัญทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของบราซิลอีกด้วย


นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยว "อุทยานแห่งชาติชาปาดา ดิอามันทีนา" ล้วนชื่นชอบในธรรมชาติที่สวยงามไม่ซ้ำกัน ไม่ว่าจะเป็น น้ำตก ภูเขา หุบเขา แม่น้ำ และถ้ำ ซึ่งมีความโดดเด่นสวยงามไม่เหมือนที่อื่นๆ


สถานที่แรกที่ต้องมาเยือนเมื่อมา อุทยานแห่งชาติชาปาดา ดิอามันทีนา คือ การมาชมน้ำตก Fumaca ที่เชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดของบราซิล ชมไอหมอกที่เกิดจากน้ำตก ซึ่งจะเกิดก่อนที่สายน้ำจะกระทบลงสู่พื้นเบื้องล่าง เพลิดเพลินกับทัศนียภาพเหนือหุบเขา Capão


สัมผัสความหลากหลายทางชีวภาพ และตื่นตลึงกับมุมมองที่น่าทึ่งของหุบเหว และโกรกธารรอบๆน้ำตก Fumaca จากนั้นไปชมความงดงามของน้ำตก Riachinho น้ำตกขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามไม่แพ้น้ำตกอื่นๆ ตัวน้ำตกอยู่ห่างจากน้ำตก Fumaca ประมาณ 4 กม.


สถานที่ถัดมา คือ Valley of Paty หุบเขามหัศจรรย์แห่งอุทยานแห่งชาติชาปาดา ดิอามันทีนา หุบเหวที่สวยงาม จนอาจทำให้คุณตกหลุมรักในทัศนียภาพที่สวยงามของที่นี่ กิจกรรมยอดนิยมก็คงจะหนี้ไม่พ้นการเดินชมทัศนียภาพของหุบเขา ซึ่งอาจใช้เวลามากถึง 1-6 วัน


และอีกหนึ่งสภานที่ที่ไม่ควรพลาด นั่นคือ การไปชมถ้ำ Torrinha ซึ่งภายในมี สระว่ายน้ำธรรมชาติ ที่น้ำมีสีฟ้า ใสสะอาดน่าเล่นเป็นอย่างมาก โดยถ้ำแห่งนี้ถือว่าเป็นถ้ำที่งดงามที่สุดในภูมิภาคแห่งนี้ และยังเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดของทวีปอเมริกาใต้อีกด้วย นอกจากนี้แล้วภายในถ้ำยังมีหินงอกหินย้อยที่สวยงามประดุษดังคริสตัลหายากซึ่งมีความสวยงามอย่างหาที่ติไม่ได้เลยทีเดียว


สุดท้ายไปสัมผัสแสงสุดท้ายที่ Inacio Hill สถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดของชาปาดา ดิอามันทีนา ตื่นตากับทัศนียภาพที่ระดับความสูง 1,150 เมตร พบกับวิวสวยดั่งภาพโปสการ์ดที่น่าจดจำของอุทยานแห่งชาติชาปาดา ดิอามันทีนา และมนต์เสน่ห์ของอเมริกาใต้ที่คุณจะไม่มีวันลืม...


Chapada Diamantina National Park, State of Bahia, Northeast Brazil.


The Chapada Diamantina National Park (Parque Nacional da Chapada Diamantina in Portuguese) is a 1,520 km² national park in the Chapada Diamantina region of the State of Bahia, Northeast Brazil. The park is located between 41º35’-41º15’W and 12º25’-13º20’S; about 400 kilometres inland from Salvador, the capital city of Bahia.
Chapada is a Brazilian word that means a region of steep cliffs, usually at the edge of a plateau. Diamantina refers to the diamonds found there in the mid-19th century.


The park was created in the 1980s in response to growing ecotourism.


The region is semi-arid, however it has no shortage of water, from the many rivers and streams. On average, the altitude of the park is between 800 and 1000 metres above sea level, although parts are as high as 2000 metres above. In this place is located the highest point of state in Pico do Barbado with 2,036 meters. The park is typified by hills, mountains, valleys and monoliths, with few plains.


Many cave systems were formed by the rivers that run through the region. Several of these rivers run red due to tannin in the water. Both gold and diamonds have been found there


The flora and fauna are highly varied. Although there are few large mammals, there is a wide variety of reptiles, amphibians, birds, insects and small mammals. The flora mainly consists of small scrubland bushes, orchids and cactus.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: travel.thaiza.com ::

11. เกาะกาอีโอลา เกาะต้องคำสาป, เนเปิลส์, ประเทศอิตาลี


*ชมคลิปวีดีโอค่ะ-> https://www.youtube.com/v/dbot9dba4V0


*แผนที่ค่ะ-> http://goo.gl/Hgi19

ภาพแรกชื่อว่า The Gaiola's bridge(สะพานกาอีโอล), Gaiola, Naples, Italy พอหาข้อมูลไปเรื่อยๆ ก็พบว่า...


เกาะกาอีโอลาเป็นเกาะต้องคำสาป (Isola della Gaiola) ดูสวยงามและเงียบสงบ แต่มันมีประวัติศาสตร์ที่มืดมนและคนในท้องถิ่นรู้สึกว่าเป็นเกาะแห่งความโชคร้ายสำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านที่ผ่านมาหลายคน ทุกคนประสบเคราะห์ร้าย หรือต้องพบกับการตายผิดธรรมชาติ จนบ้านต้องถูกทิ้งร้าง


เกาะกาอีโอลา เป็นหนึ่งในหมู่เกาะเล็ก ๆ ของเนเปิลส์ตั้งอยู่ตรงข้ามฝั่งจาก Posillipo เป็นเกาะสองเกาะที่มีขนาดเล็กมากใกล้กับชายฝั่ง หนึ่งในสองเกาะมีบ้านพักอาศัยขนาดใหญ่ และเกาะสองอยู่ห่างกันไม่กี่เมตรไม่มีใครอยู่และเชื่อมต่อกันโดยมีสะพานหินโค้งขนาดเล็ก


Beautiful But Cursed Island Of Gaiola


The Island of Gaiola (Isola della Gaiola) looks beautiful and serene. However it has a gloomy history and the locals feel that the island is jinxed as many past owners of the sole villa on the island had faced misfortunes and/or met with unnatural death. The villa now lies abandoned.


The island which is located on the southern edge of Posillipo, along the Gulf of Naples is actually group of two very small islets very close to the coast. One of the islet has a large residential villa and the second islet which lies within few metres of the first is uninhabited and connected to the first by a small rocky arch bridge.


In early 19th century, the island was inhabited by a hermit known as "The Wizard". Actual date of construction of the villa or its past history is not known however in 1920s it was owned by Hans Braun, who was murdered by some unknown persons and his body was found wrapped in a carpet. A short while later his wife drowned in the sea. Another of its owner Maurice Sandoz, pharmaceutical industrialist committed suicide in Switzerland. Another resident owner Gianpasquale Grappone suffered failure of his insurance company. Gianni Agnelli the head of Fiat had also owned the villa. His only son also committed suicide as he was not interested in his fathers business. After his son's untimely death Gianni had started grooming his nephew Umberto Agnelli to run Fiat however Umberto also died of some rare cancer at the young age of 33. Thereafter the villa remained empty.


The house at one time or another was also owned by multi billionaire Paul Getty and by the Norman Douglas famous author of "Land of the Sirens", however they never stayed in the villa. Douglas considered it a cursed island, with beauty that hides restless fate.


The bridge which connects it to the second islet is a thin bridge and looks like a natural arch connecting the two. However I couldn't find any information about it whether it is really natural or has been built in such a way to look natural. May be some of my readers can provide information about it.


:: armchairtravelogue.blogspot.com ::

12. นครเปตรา มรดกโลก 1 ใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ของโลก ประเทศจอร์แดน


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ-> https://www.youtube.com/v/VAXu4ODpqmk


* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ-> http://www.360cities.net/image/petratreasury#-389.41,-14.12,109.6


นครเปตรา (จากภาษากรีก πέτρα แปลว่าหิน ภาษาอารบิก البتراء) คือนครหินแกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซีกับทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812)


นครเปตราได้รับลงทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยกล่าวอธิบายไว้ว่า "เป็นหนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ" (one of the most precious cultural properties of man's cultural heritage) ปัจจุบันสามารถเดินทางเข้าไปโดยอาศัยม้าเท่านั้น


เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 นครเปตราได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ของโลก จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ

ประวัติ
ก่อตั้งและเจริญรุ่งเรือง
ชนกลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามาสู่เปตราคือพวกเอโดไมต์ ซึ่งเข้ามาราวปี 1000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ชนชาติที่สร้างเมืองเปตราขึ้นมานั้นคือชาวนาบาเทียน (Nabataeans) ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายอาหรับ คนกลุ่มนี้สกัดผาหินทรายเป็นบ้านเรือนและอาศัยอยู่ในถ้ำทีมีอยู่ทั่วเมือง พวกเขามีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ แต่เปลี่ยนมาค้าขายและรับจ้างเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้แก่กองคาราวาน คนเผ่านี้มีความซื่อสัตย์ ค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เรียกเก็บจากผู้สัญจรก็ช่วยให้พวกนาบาเทียนมีชีวิตที่รุ่งเรื่องขึ้น


สาเหตุที่เปตราตั้งอยู่บนดินแดนอันแห้งแล้ง มีแต่หินกับทรายนั้นก็น่าจะเพราะเปตราตั้งอยู่เส้นทางการค้าสำคัญที่สุดของโลกในขณะนั้น 2 สาย ได้แก่เส้นทางสายสายตะวันออก - สายตะวันตก คาบสมุทรอาหรับกับอ่าวเปอร์เซียจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสายสายเหนือ - ใต้ ที่เชื่อมทะเลแดงกับ กรุงดามัสกัส ซีเรีย นอกจากนั้นเมืองนี้ยังมีแหล่งน้ำจืดสำคัญซึ่งต่อมาเรียกกันว่า วาดี มูซา หรือ หุบเขาโมเสส ซึ่งเล่ากันว่าเป็นน้ำที่ได้เมื่อโมเสสเสกออกมาเพื่อให้ชาวยิวได้กินแก้กระหาย เหล่าพ่อค้าหรือนักเดินทางที่เดินทางผ่านทะเลทรายอันว่างเปล่าและแห้งแล้งใกล้เคียงนั้นไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมุ่งมาที่เมืองเปตราอย่างเดียว


เปตราเป็นศูนย์กลางค้าขนาดใหญ่ จนทำให้นักเดินทางชาวกรีกมักนำเรื่องความมั่งคั่งมาเล่าให้ฟัง ตามบันทึกของสตราโบ นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกได้อธิบายไว้ว่า เมืองเปตราเป็นตลาดซื้อสินค้าสำคัญที่สุดของโลกตะวันออก ยางไม้หอม กำยาน เครื่องเทศของชาวอาหรับ ทองแดง เหล็ก เครื่องปั้นดินเผา รูปปั้น ผ้าย้อมของชาวฟินิเซียนล้วนถูกลำเลียงผ่านเมืองเปตราไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และชาวเปอร์เซีย


วิหารใหญ่ในเมืองเปตรา
เปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสต์ศักราชที่ 70 ในช่วงเวลานี้เปตราถูกปกครองด้วยกษัตริย์นาม อารีตัสที่ 4 (Aretas IV) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องให้ว่า ฟิโลเดมอส (Philodemos) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน และด้วยความมั่งคั่ง ความเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกล และชัยภูมิอันยากแก่การพิชิต จึงทำให้เมืองมีโอกาสเจริญเติบโตได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องกลัวศัตรูจากภายนอก


ชาวเปตรานับถือเทพเจ้าสององค์คือ เทพดูซาเรส (Dushares) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเทพอัลอัซซา (Al Uzza) ชายาของเทพดูซาเรส เทวีแห่งน้ำ


การล่มสลาย
ด้วยเหตุที่เกิดเมืองใหม่และเส้นทางค้าขายใหม่ที่ปลอดภัยและสะดวกกว่าในช่วงเวลาต่อมา เปตราที่เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยการค้าก็เริ่มสูญเสียอำนาจลง เมืองอ่อนแอและถูกต่างชาติโจมตีเข้าได้ง่าย จนเมื่อถึงปี พ.ศ. 649 (ค.ศ. 106) พวกโรมันนำโดยจักรพรรดิทราจัน หรือ ไทรอะนุส(Traianus) ได้เข้ายึดครองเปตราและผนวกนครนี้เข้าเป็นจังหวัดในจักรวรรดิโรมัน แต่เปตราก็ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงราวปี ค.ศ. 300 เมื่อจักรวรรดิโรมันเริ่มคลอนแคลน ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 906 (ค.ศ. 363) แผ่นดินไหวก็ได้ทำลายอาคารและระบบชลประทานที่ถือว่าดีมากของเมืองลง
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 เปตรากลายเป็นที่ตั้งคริสต์ศาสนามณฑลของบิชอป แล้วถูกมุสลิมยึดในคริสต์ศตวรรษที่ 7 แล้วก็เสื่อมถอยมาเรื่อยๆ จนลบเลือนหายไปจากผู้คน


การค้นพบ
ถึงแม้ซากเมืองเปตราจะเป็นสิ่งที่น่าอยากรู้อยากเห็นของผู้คนในช่วงยุคกลาง เช่นมีสุลต่านของอียิปต์ ไบบารส์ (Sultan Baibars) เดินทางเข้าไปเยี่ยมชนในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 13 แต่การค้นพบเปตราที่นำไปสู่การเปิดเผยต่อสายตาชาวโลกเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ เมื่อปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812) เมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท (Johann Ludwig Burckhardt) ซึ่งกำลังเดินทางจากจอร์แดนไปอียิปต์เพื่อไปศึกษาถึงแหล่งที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ บวร์กฮาร์ทได้เห็นด้านหน้าอันใหญ่โตของเปตรา แต่ผู้นำทางท้องถิ่นสั่งห้ามมิให้เขาลงไปทำอะไรที่นั่น บวร์กฮาร์ทจึงแอบบันทึกย่อไว้ขณะที่อูฐเดินผ่าน ถึงแม้จะเป็นเพียงบันทึกเล็กๆ คร่าวๆ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการที่เปิดเมืองสู่สายตาชาวโลก ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2369 (ค.ศ. 1826) เลออง เดอ ลาบอร์ด (Leon de Laborde) ชาวฝรั่งเศสที่ได้เดินทางเข้าไปสำรวจเมืองและเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า "Voyage de l'Arabie Pétrée" แปลว่า "การเดินทางในเปตราแห่งอาหรับ" (ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2373) ซึ่งการเขียนหนังสือครั้งนี้ถือเป็นการนำภาพและความรู้ต่างๆ ที่ชาวโลกไม่เคยเห็นมาเปิดเผยให้ได้รับรู้
การสำรวจทางโบราณคดีเริ่มขึ้นในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงดำเนินการสำรวจอยู่


มรดกโลก
เปตราได้รับลงทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 9 เมื่อปี พ.ศ. 2528 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้
(i) - เป็นตัวแทนที่แสดงถึงผลงานชิ้นเอกทีได้ถูกจัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันแสนฉลาด
(iii) - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
(iv) - เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ


Petra (Greek "πέτρα" (petra), meaning stone; Arabic: البتراء, Al-Batrāʾ) is a historical and archaeological city in the Jordanian governorate of Ma'an that is famous for its rock cut architecture and water conduit system. Established sometime around the 6th century BC as the capital city of the Nabataeans,[2] it is a symbol of Jordan as well as its most visited tourist attraction. It lies on the slope of Mount Hor[3] in a basin among the mountains which form the eastern flank of Arabah (Wadi Araba), the large valley running from the Dead Sea to the Gulf of Aqaba. Petra has been a UNESCO World Heritage Site since 1985.


The site remained unknown to the Western world until 1812, when it was introduced by Swiss explorer Johann Ludwig Burckhardt. It was described as "a rose-red city half as old as time" in a Newdigate Prize-winning poem by John William Burgon. UNESCO has described it as "one of the most precious cultural properties of man's cultural heritage".Petra was chosen by the Smithsonian Magazine as one of the "28 Places to See Before You Die."


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

13. "สระน้ำใหญ่ที่สุดในโลกที่ชิลี" รีสอร์ทติดทะเล"ซาน อัลฟองโซ เดล มาร์" ประเทศชิลี


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ-> http://youtu.be/vSze2hd1jXY


* ชมแผนที่ค่ะ-> http://goo.gl/iuEUr


รีสอร์ทติดทะเล"ซาน อัลฟองโซ เดล มาร์" ในประเทศชิลี ได้เนรมิตสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดกว้างกว่า 1 กิโลเมตร ทอดตัวยาวริมชายหาด กว้างใหญ่พอที่จะให้คุณทำกิจกรรมทางทะเลอย่างเล่นวินเซิร์ฟได้เลยทีเดียว


และนี่ก็คือสระว่ายน้ำ “คริสตัล ลากูน” (Crystal Lagoon) ของรีสอร์ท ซาน อัลฟอนโซ เดล มาร์ (San Alfonso del Mar) ทางตอนใต้ของประเทศชิลี ที่เพิ่งจะทุบสถิติสระว่ายน้ำที่ใหญ่และลึกที่สุดในโลกไปเมื่อ 5 ปีก่อน ด้วยขนาดสระว่ายน้ำที่ทอดยาวกว่า 1 กิโลเมตรขนาบข้างชายหาด และจุดลึกสุดอยู่ที่ 35 เมตร ทั้งสระจุน้ำได้ทั้งหมด 2.5 ล้านลิตร เรียกว่าเจ้าของรีสอร์ทตั้งใจจะจำลองทะเลมาไว้ตรงหน้ารีสอร์ทเลยล่ะ หลังจากที่พบว่าชายหาดบริเวณนี้มีฉลามชุกชุม เป็นอันตรายกับนักท่องเที่ยว แต่ก็ไม่อยากให้นักท่องเที่ยวพลาดโอกาสในการสัมผัสลมทะเลชายหาด พร้อมกับเล่นน้ำเย็น ๆ ไปด้วย


สำหรับน้ำที่นำมาใช้ในสระนั้น ก็สูบมาจากน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก ผ่านท่อสูบน้ำใต้ดินที่เชื่อมลงไปในมหาสมุทรตรงหน้า จากนั้นทางรีสอร์ทก็นำน้ำทะเลมาผ่านการกรองเป็นน้ำจืดใสสะอาดเสียก่อน โดยระบบการจัดการน้ำนี้ ก็สั่งการด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด เป็นเทคโนโลยีที่ไฮเทคและง่ายมาก ๆ


ส่วนเรื่องงบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้าง คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 4.5 หมื่นล้านบาท และเท่านั้นยังไม่พอ ทางรีสอร์ทยังต้องเสียค่าบำรุงรักษาสระว่ายน้ำเป็นรายปีอีกปีละ 100 ล้านบาท


ทั้งนี้ นับตั้งแต่รีสอร์ทแห่งนี้เปิดใช้บริการ ปรากฏว่ามีผู้มาใช้บริการแล้วมากมาย แม้ว่าราคาค่าเข้าพักจะแพงหูฉี่ก็เถอะ ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าสระว่ายน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ จะครองสถิติไปอีกหลายสิบปีเลยทีเดียว ก็แหงล่ะ เล่นสร้างซะอลังการงานสร้างทุบสถิติเดิมด้วยความกว้างใหญ่กว่าถึง 6 เท่าขนาดนี้ ใครจะตามทุบสถิติได้ทัน…


สระว่ายน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยาวถึง 3,324 ฟุต (1,015 เมตร) และมีพื้นที่ทั้งหมด 19.8 เอเคอร์ สระว่ายน้ำ บรรจุน้ำถึง 66 ล้านแกลลอน (250 ล้านลิตร) เป็นปริมาณน้ำมากที่สุด เท่าที่สระว่ายน้ำปกติถึง 6,000 เท่า


World’s largest swimming pool
The San Alfonso del Mar resort seawater pool in Algarrobo, Chile has been officially declared the largest swimming pool in the world, according to the Guinness World Records.


San Alfonso del Mar is a private resort located in Algarrobo, Chile, about 100 km (60 mi) west of the capital Santiago.It is notable for having the Guinness world record for the largest swimming pool in the world. It has been attracting tourists since it opened in December 2006.


San Alfonso del Mar.
San Alfonso's pool is one kilometer, or about 3/5's of a mile long. The pool covers an area of 19 acres that holds 66 million gallons of seawater.The pool, developed by Chilean company Crystal Lagoons, uses water pumped, filtered, and treated from the Pacific Ocean to supply to the pool.
Development


While early estimates put the total cost of construction at about US$ 3.5 million for the pool alone, more recent, and perhaps accurate estimates are in the area of $1.5 to 2 billion USD total for construction and almost $4 million USD in annual maintenance.The pool has been frequently reported as having a depth of 115ft, the actual depth of the pool is 11.5ft (3.5m).


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: kapook.com ::

14. บูร์จอัลอาหรับ นครรัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> https://www.youtube.com/v/rYbtBXhMFAQ


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/2g88E


บูร์จอัลอาหรับ (อาหรับ: برج العرب‎; Burj al-Arab) เป็นโรงแรมที่หรูหราในนครรัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีความสูง 321 เมตร หรือ 1,050 ฟุตและยังสูงเป็นอันดับ 32 ของโลก ตึกบูร์จอัลอาหรับ ตั้งอยู่บนเกาะที่ถูกถมขึ้นห่างจากชายฝั่งจูไมราบีช 280 เมตรและเชื่อมต่อด้วยสะพานที่มีลักษณะโค้ง ตึกบูร์จอัลอาหรับ มีลักษณะโครงสร้างการออกแบบเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมืองดูไบและตัวอาคารเลียนแบบมาจากใบของเรือใบ


การก่อสร้างของตึกบูร์จอัลอาหรับเริ่มต้นก่อสร้างในปี ค.ศ.1994 แล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2542 มันถูกสร้างให้เหมือนกับใบเรือของเรือใบแบบชาวอาหรับซึ่งตัวตึกมีเสา 2 เสาแยกออกมาเป็นรูปตัวVในขณะที่ช่องว่างระหว่างตัวVส่วนหนึ่งก็ถูกปิดให้เป็นห้องใหญ่ๆและแบ่งออกเป็นชั้นๆ สถาปนิกบอกว่า. “สิ่งก่อสร้างนี้จะเป็นสัญลักษณ์ของดูไบซึ่งก็เหมือนกับ โอเปร่า เฮาส์ที่เป็นสัญลักษณ์ของนครซิดนีย์ หรือ หอไอเฟลที่เป็นสัญลักษณ์ของนครปารีสและมันก็ต้องการที่จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเช่นกัน”

Burj Al Arab (Arabic: برج العرب‎,Tower of the Arabs) is a luxury hotel located in Dubai, United Arab Emirates. At 321 m (1,053 ft), it is the fourth tallest hotel in the world. Burj Al Arab stands on an artificial island 280 m (920 ft) out from Jumeirah beach, and is connected to the mainland by a private curving bridge. The shape of the structure is designed to mimic the sail of a ship. Sometimes incorrectly referred to as "the world's only seven-Star hotel", its star rating has been often debated.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

15. หาดมูริไว (Muriwai Beach) ทางตะวันตกของเมืองออคแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://player.vimeo.com/video/30650057


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/goNCS


Muriwai Beach เป็นหาดที่มี กระแสน้ำไหลแรง คลื่นใหญ่ และหินลื่น
หาดทรายมีสีดำจากแร่เหล็กที่ได้มาจากภูเขาไฟโบราณ
ที่หาด Muriwai Beach แห่งนี้ เป็นแหล่งที่อยู่ของนกแกนเน็ท(Gannet colony)
ซึ่งเป็นนกทะเล จงอยปากยาว จับปลากินเป็นอาหาร

Muriwai, also called Muriwai Beach, is a coastal community located on the west coast of North Island, New Zealand. It is also home to a large colony of gannets.


Location
It is approximately 17 km West of Kumeu, 42 kilometres Northwest of Auckland city, at the southern end of an unbroken 50 kilometre stretch of beach which extends up the Tasman Sea coast to the mouth of the Kaipara Harbour. One of several popular beaches in the area (others include Piha and Karekare), it experiences a population explosion in summer when Aucklanders head to the sea.


Statistics
At the 2001 Census of Population and Dwellings: The census usually resident population count for Muriwai Beach was 2,037, a change of 14.3 percent since 1996.The median income of people in Muriwai Beach is $24,500, compared with $19,500 for Rodney District and $18,500 for all of New Zealand. The unemployment rate in Muriwai Beach was 5.3 percent, compared with Rodney District percent for 5.1 and 7.5 percent for all of New Zealand.


Activity
Surfing is the main pastime at Maori Bay/Muriwai. Other pastimes enjoyed at Maori Bay include paragliding and hang gliding, especially when the prevailing souwesterly wind provides favourable conditions.
Fishing is also popular, although dangerous in many places.
Bush walking is encouraged, with boardwalks in place.
Driving along the beach is popular, especially at fishing contest time, although vehicles have been mass stranded in past years.
Sand yachts are available for hire at the local beach store.
There are also many mountain bike trails up in the pines, mainly downhill and freeride trails.
The beach was used extensively for motor racing from the 1920s through to the 1940s.


Geology
Sand and Rock (sedimentary), Older volcanic material, with many concretions and layers in the cliff walls. A blowhole plays often. The shore platform is also well jointed, with the main rock type being piha conglomerate.


Black sand beach
It is also unique because of its black sand, caused by the iron content derived from the ancient volcanoes in the area. The majority of the black mineral sand is carried up the west coast from Mt Taranaki through the process of longshore drift. This sand is igneous material that was eroded from the volcanic area. Despite this, the area has retained much of its natural beauty and isolation.


Muriwai Beach Regional Park
Much of the land at the southern end of the beach is part of the Muriwai Beach Regional Park. Maori Bay (to the south) is separated from Muriwai Beach by a steep cliffs and rocky nesting areas that are home to the region's only gannet colony. The site of the gannetry has been identified as an Important Bird Area, by BirdLife International.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::


1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss