Only A Boy Named David (With Lyrics)
หินก้อนเดียวสยบกองทัพ เรื่อง : เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ kiatanantha.lou@dpu.ac.th
ถ้ามีใครพูดว่า SME คือ หมากระเป๋า ธุรกิจขนาดใหญ่เป็น ร็อตไวเลอร์ หากฟัดกันจริงๆ SME ตายคาเขี้ยวแน่นอน ผมขอบอกว่า ตาหมอนี่คิดผิด!
ลองนึกดูว่า แทนที่จะฟัดกันซึ่งหน้า เจ้าหมากระเป๋ากลับพุ่งพรวดไปใต้ท้องพี่บึ๊ก แล้วกัดลูกกระแป๋งของพี่ท่านจนจมเขี้ยว คิดหรือว่าร็อตไวเลอร์ยังจะยืนไหว?
ไม่ว่าจะในศึกสงครามหรือการฟาดฟันกันทางธุรกิจ แพ้หรือชนะ ขึ้นอยู่กับคำเพียงคำเดียว “กลยุทธ์”
ความจริงนี้ได้รับการพิสูจน์มาแล้วตั้งแต่หลายพันปีก่อน โดยเดวิดเด็กเลี้ยงแกะชาวอิสราเอล เขาสามารถสยบกองทัพของชาวฟิลลิสทินที่มีขุมกำลังเหนือกว่าด้วยหินเพียงก้อนเดียว เรามาย้อนเวลากลับไปพร้อมกัน เพื่อเป็นประจักษ์พยานในวีรกรรมของหนุ่มน้อยผู้รักษาแผ่นดินอิสราเอล
...ณ หุบเขาอีลาห์ ทัพของอิสราเอลนำโดยกษัตริย์ซาอูลกำลังประจันหน้ากับกองทัพชาวฟิลลิสทิน กองทัพทั้งสองประจัญหน้ากันเช่นนี้มา 40 วันแล้ว ทั้งสองฝ่ายตั้งค่ายอยู่บนยอดเขาคนละฝั่งของหุบเขา ต่างฝ่ายต่างก็รอให้อีกฝ่ายหนึ่งบุกเข้ามาก่อน เพราะผู้ที่บุกเข้ามาจะต้องผ่านหุบเขาซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำ จึงมีโอกาสจะเพลี่ยงพล้ำได้ง่าย
ดูเหมือนว่ากองทัพของฟิลลิสทินจะมีภาษีดีกว่า เพราะมีนักรบร่างยักษ์ชื่อโกไลแอธร่วมทัพมาด้วย ชายผู้นี้รูปร่างบึกบึนสมส่วน สูงเกือบสามเมตร ใส่ชุดเกราะทำจากโลหะสำริดหนักร่วม 80 กิโลกรัม มีหอกยาวสามเมตรกว่าเป็นอาวุธประจำตัว
ทุกๆ วันโกไลแอธจะออกมาตะโกนท้าทายทัพของกษัตริย์ซาอูลให้ออกมาประลองกันตัวต่อตัว เขาประกาศก้องว่า ถ้าฝ่ายไหนแพ้ จะต้องตกเป็นเมืองขึ้นของอีกฝ่าย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ทหารอิสราเอลเสียขวัญขนาดไหน การจะไปสู้กับคนที่ใส่เสื้อเกราะหนักเท่ากับคนคนหนึ่ง แล้วยังเดินเหินได้สะดวก สูงกว่าตัวเองเกือบสองเท่า ถือหอกยาว ถ้าไม่โดนหอกเสียบอกเสียก่อน ถึงเข้าประชิดตัวได้ก็ไม่มีปัญญาจะกระโดดขึ้นไปฟันคอ ฟันหน้า ซึ่งเป็นจุดที่ไม่มีเกราะป้องกัน
40 วันผ่านไปก็ยังไม่มีทหารอิสราเอลคนไหนหาญกล้าอาสาออกไปสู้กับโกไลแอธ หากเหตุการณ์ยังยืดเยื้อเช่นนี้ต่อไป จุดจบของอิสราเอลคงจะมาถึงเข้าสักวัน
ท่ามกลางความสิ้นหวัง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อเดวิด ซึ่งเดินทางมาแนวหน้าตามคำสั่งของพ่อเพื่อสืบข่าวเกี่ยวกับพี่ชาย เดวิดได้ยินข่าวเกี่ยวกับโกไลแอธ เห็นความกลัวในแววตาของทหารอิสราเอล จึงตัดสินใจเข้าเฝ้ากษัตริย์ซาอูลเพื่ออาสาต่อสู้กับโกไลแอธ ตอนแรกกษัตริย์ก็ยังลังเล เพราะเดวิดเป็นแค่เด็กเลี้ยงแกะที่ไม่ประสีประสาเรื่องการรบ ไม่เคยแม้แต่จะจับดาบ การส่งเด็กตัวกระปิ๋วคนนี้ออกไปดวล ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการส่งเขาไปตาย แต่สุดท้าย เจ้าหนุ่มเดวิดก็ใช้ลูกตื๊ออ้อนวอนกษัตริย์ยอมให้ออกรบในที่สุด
ในห้องแต่งตัว เดวิดมองดูชุดเกราะและอาวุธที่กษัตริย์ทรงมอบให้ แต่ก็ตัดสินใจไม่ใส่เสื้อเกราะ ไม่พกดาบ ไม่ถือโล่ เขาเดินออกจากค่ายไปประจัญหน้ากับโกไลแอธในชุดเสื้อผ้าธรรมดาที่สวมมา ในมือมีแค่เครื่องเหวี่ยงก้อนหินซึ่งใช้ในการป้องกันฝูงแกะจากสัตว์ร้ายอย่างหมาป่าและสิงโต
เมื่อโกไลแอธได้ทราบข่าวว่ากองทัพอิสเราเอลได้ส่งคนมาประลองกับตน ก็รู้สึกดีใจ รีบสวมชุดเกราะ แล้วคว้าหอกคู่ใจมุ่งสู่สนามประลองในทันที เมื่อเขาพบว่าคู่ต่อสู้เป็นแค่เด็กตัวจ้อย แถมในมือมีแค่เครื่องเหวี่ยงหิน เลยคิดว่าการประลองครั้งนี้คงจบลงในเวลาแค่อึดใจเดียว
เมื่อได้สัญญาณให้เริ่มประลอง หนุ่มน้อยเดวิดก็พุ่งพรวดเข้าไปหาโกไลแอธอย่างสุดฝีเท้า พร้อมกับเหวี่ยงก้อนหินเป็นวงกลมเพื่อเพิ่มแรงส่ง เมื่อความเร็วและแรงส่งได้ที่ เขาก็ปล่อยก้อนหินออกไป ความเร็วของการวิ่งบวกกับแรงเหวี่ยงจากเครื่องเหวี่ยงทำให้ก้อนหินพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ตรงไปยังบริเวณหน้าผากของโกไลแอธ ซึ่งเป็นส่วนที่เปิดโล่ง
โกไลแอธมัวแต่ตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เลยโดนก้อนหินกระแทกเข้าที่หน้าฝากอย่างจัง จนล้มลง ก่อนที่จะลุกขึ้นมาได้ เดวิดก็เข้าถึงตัว ดึงดาบของโกไลแอธออกมาจากฝัก แล้วตัดคอทหารร่างยักษ์ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
ชัยชนะเหนือความคาดหมายนี้ทำให้กองทัพฟิลลิสทินขวัญกระเจิง ล่าถอยกันอย่างไม่เป็นกระบวน ทหารอิสราเอลไม่ปล่อยให้โอกาสนี้เสียเปล่า ตามไปโจมตีสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง สามารถยึดอาวุธ และเสบียงได้เป็นจำนวนมาก
ด้วยชื่อเสียงและทรัพยากรที่เพิ่มขึ้นหลังจากการศึกครั้งนี้ ทำให้ศัตรูของอิสราเอลเข็ดขยาดไม่ค่อยกล้าจะมาตอแยกับอิสราเอลเหมือนเมื่อก่อน เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ “เดวิดและโกไลแอธ” กับกองทัพของตนเอง
การตัดสินใจของเดวิดสอดคล้องกับคำพูดของซุนวูปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์ชาวจีน ซึ่งกล่าวไว้ว่า หากต้องการจะได้รับชัยชนะ เราต้อง “โยนกลยุทธ์ที่เคยทำให้เราได้ชัยชนะทิ้งไปซะ แล้วปล่อยให้สถานการณ์เป็นผู้กำหนดกลยุทธ์ที่จะใช้ในการต่อสู้ครั้งต่อไป”
เดวิดรู้ดีว่า หากตัวเองสู้กับโกไลแอธด้วยการดวลดาบดวลหอก เหมือนที่ทหารทำกัน มีหวังได้โดนฟันขาดสองท่อนอย่างแน่นอน ในเมื่อวิธีการประลองที่ใช้กันมาทำให้ตนเองเสียเปรียบ ก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม เพราะเงื่อนไขมีแค่อย่างเดียวคือ ใครล้มก่อนแพ้
ดังนั้น หากจะต้องสู้ เขาก็ขอสู้วิธีที่เขาได้เปรียบที่สุด เป้าหมายของเดวิด คือ ล้มโกไลแอธ ซึ่งมีจุดอ่อนอยู่ที่ใบหน้า โดยไม่ต้องเข้าประชิดตัวได้ นั่นหมายความว่า เขาต้องโจมตีระยะไกล และมีโอกาสเพียงครั้งเดียว ในช่วงเวลาสั้นๆ เพราะโกไลแอธเป็นนักรบที่มีประสบการณ์ ถ้าการโจมตีครั้งแรกผิดพลาด หรือโจมตีช้าเกินไปย่อมจะถูกมองออก และสามารถป้องกันตัวเองได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น เดวิดก็มีแต่ตายกับตาย
เดวิดประเมินแล้วว่า จุดอ่อนของเขาคือพละกำลัง ส่วนจุดแข็งอยู่ที่ความเร็ว ความคล่องตัว และความสามารถในการใช้เครื่องเหวี่ยงก้อนหิน เขาจึงเลือกทิ้งชุดเกราะและโล่ เพราะจะทำให้เขาช้าลง ตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่าย โกไลแอธก็ตัวใหญ่ซะขนาดนั้น ถ้าโดนเข้าจังๆ ยังไงเกราะกับโล่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้วสู้ใส่เสื้อผ้าที่ตัวเองเคยชินเสียไม่ดีกว่าหรือ
เขาเลือกใช้เครื่องเหวี่ยงก้อนหินแทนดาบ เพราะการใช้ดาบต้องเข้าประชิดตัว นั่นหมายถึง เขาจะต้องผ่านด่านหอกยาวสามเมตรของโกไลแอธให้ได้ก่อน แต่ถึงจะผ่านไปได้ ก็ไม่มีปัญญาจะโจมตีส่วนใบหน้าซึ่งเป็นจุดอ่อนอยู่ดี เครื่องเหวี่ยงก้อนหิน คือ อาวุธที่เขาชำนาญที่สุดและสามารถโจมตีในระยะไกลได้
เขาเลือกวิ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ นอกจากจะช่วยเพิ่มความแรงของการโจมตีแล้ว ยังทำให้คู่ต่อสู้สับสน ไม่ทันระวังตัว เพราะโดยปกติแล้ว ในการดวลกัน ทั้งสองฝ่ายจะเดินเข้าไปหากัน การฉีกธรรมเนียมการประลองนี้ ย่อมเป็นเรื่องเกินความคาดหมายของทหารมืออาชีพอย่างโกไลแอธ เดวิดต้องการจะใช้ช่วงเวลาที่โกไลแอธกำลังงง เพื่อหาจังหวะโจมตี
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการวิ่งเข้าไปหา คือ เขาไม่แน่ใจว่าหลังจากโดนก้อนหินเข้าไปแล้ว โกไลแอธจะยืนขึ้นมาได้เร็วแค่ไหน การวิ่งเข้าไปหา จะช่วยให้เขามีโอกาสโจมตีซ้ำก่อนที่โกไลแอธจะตั้งตัวทัน
ตำนานเรื่องนี้ เป็นบทเรียนสอนเราว่า “กลยุทธ์ที่ดี” ประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ
1. การเลือกใช้จุดเด่นของเรา โจมตีจุดที่อ่อนแอที่สุดของคู่แข่ง
2. ความกล้าที่จะคิดนอกกรอบ ทำในสิ่งที่คู่แข่งคาดไม่ถึง แม้จะสวนทางกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่
3. การใช้ประโยชน์จากเงื่อนเวลา และสถานการณ์อย่างเหมาะสม
ถ้ามันช่วยให้เดวิดล้มยักษ์ สยบกองทัพได้ เราก็สามารถนำมันมาใช้ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในสงครามธุรกิจได้เช่นกัน หากเข้าใจบทเรียนนี้อย่างลึกซึ้ง SME เองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไก่รองบ่อนอีกต่อไป
|