กับดักชีวิต
โดย ตัน ภาสกรนที (วิถีตัน)
จุดสิ้นสุดของสิ่งหนึ่งมักจะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดต่อไปเสมอ ฤดูกาลรับปริญญาทุกปีมาพร้อมกับรอยยิ้มความสุขของบัณฑิตใหม่
เคยคิดไหมครับว่า หลังจบจากรั้วมหาวิทยาลัย ถึงจะตีตั๋วจบปริญญาใบเดียวกัน
แต่ทำไมคนบางคนเดินทางไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้ไกลกว่า มีชีวิตที่โชติช่วงกว่า ขณะที่คนจำนวนไม่น้อยกลับหมดพลัง หมดไฟ ใช้ชีวิตราวกับเป็นฟันเฟืองที่หมุนวนย่ำอยู่กับที่
อะไรคือความแตกต่างที่ทำให้แต่ละคนก้าวไปถึงความสำเร็จได้ไม่เท่ากัน ?
ถ้าอายุเกษียณของคนเราอยู่ที่ 60...
20 ปีแรกของชีวิตคือช่วงเวลาของการเรียนรู้ จากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่
20 ปีต่อมาเป็นช่วงเวลาของการทำงานสร้างฐานะ สร้างความมั่นคงในชีวิต
จนถึงอายุ 40
ในช่วง 20 ปีของการทำงานนี้เป็น 20 ปีทองในชีวิตที่สำคัญที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทุ่มเท ตักตวงประสบการณ์ ใช้เวลาที่ทุกคนมีเท่ากัน 20 ปีนี้ดำเนินชีวิตอย่างไร
สำหรับผม 20 ปีนี้เป็น 20 ปีของความลำบาก การทุ่มเทหยาดเหงื่อ การทำงานหนัก การเรียนรู้สั่งสมชั่วโมงบิน ผ่านประสบการณ์ล้มเหลว และแก้ปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่า
การใช้เวลาในชีวิตให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการตั้งเป้าหมายในชีวิต
จะเลือกลำบากก่อนสบาย หรือเลือกสบายก่อนแล้วค่อยลำบาก เราเท่านั้นที่เป็นคนออกแบบชีวิต
หลายคนติดกับดักชีวิต เพราะเลือกใช้ชีวิตเหมือน "หนูถีบจักร"
วิ่งไปแค่ไหนก็ยังย่ำอยู่กับที่ เพราะเสียเวลาทำในสิ่งซ้ำๆ ทำในสิ่งที่ไม่ได้พัฒนาตนเอง หรือก่อประโยชน์ใดๆ ในชีวิต บางคนเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตสนุกสนาน ลอยชาย ไร้จุดหมาย ขาดการเข้มงวดกับตัวเอง
นับวันบางคนยิ่งอายุมากขึ้น ชีวิตกลับตกอยู่ในสภาพหลังแอ่น เพราะสารพัดปัญหาที่มะรุมมะตุ้มมานานจนแทบจะมองไม่เห็นอนาคตแสงสว่างปลายอุโมงค์
การวางแผนชีวิตที่ผิดพลาด มักเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาแรก โดยเฉพาะเมื่อพยายามแก้ปัญหาแรกด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ก็มักจะเป็นชนวนให้เกิดปัญหาที่ 2-3-4 ตามมาแบบไม่รู้จบ
สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะการติดกรอบ ติดกับดักความคิดของตัวเอง เวลาที่เราวิ่งวุ่นอยู่กับการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาจนไม่มีเวลาคิดสร้างสรรค์งานใหม่ๆ
เปรียบเหมือน "แมลงวันในครอบแก้ว" ที่ถูกใครสักคนเอาแก้วใสๆ ไปจับมันขังไว้
เจ้าแมลงวันที่น่าสงสารพยายามบินออกไปข้างนอกให้ได้ โดยไม่เฉลียวใจเลยว่ามีผนังแก้วที่ขวางกั้นอยู่ เมื่อมองไม่เห็นก็จะพุ่งเข้าชนอยู่อย่างนั้น ทำเรื่อยๆ ซ้ำๆ จนกระทั่งหมดแรงและตายไปในที่สุด
เวลาที่เราพยายามจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่รู้ว่าจุดบอดของตัวเองคืออะไร ไม่ต่างจากแมลงวันที่ติดกับดักในครอบแก้ว ไม่สามารถทะลุผ่านปัญหานั้นไปได้ เพราะมองไม่เห็นจุดบอดในตัวเองที่คอยขวางกั้น
บางคนขาดระเบียบวินัยในการทำงาน ผัดวันประกันพรุ่ง งานเข้ามากขึ้นก็จับต้นชนปลายไม่ถูก กลายเป็นดินที่พอกคลุมอยู่ทั้งตัวจนกลายเป็นหมูไร้อนาคต
ถ้าหากเราไม่รู้ว่าจุดบอดของเราอยู่ตรงไหน แต่ดันทุรังทุ่มเทกำลังเดินก้าวต่อไปข้างหน้าโดยที่มีกำแพงแก้วครอบไว้อยู่ แล้วเราจะเดินไปได้ไกลอีกแค่ไหน
การที่เราจะเดินไปถึงจุดหมายของชีวิตได้ต้องอาศัยปัจจัยมากมาย บางคนมีความคิดที่ดีแล้วก็ต้องอาศัยความสามารถลงมือทำไปให้ถึงเป้าหมาย แต่บางครั้งเมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ยังต้องอาศัยเครื่องมือเพื่อเป็นแรงส่งเราไปให้ถึงให้ได้ ความคิดมีระยะห่างกับความเป็นจริงเสมอ
ระหว่างระยะทางนั้นมีจุดบอดเป็นครอบแก้วบางๆ ที่เรามองไม่เห็น อยู่ที่เราจะหาเจอแล้วทำลายจุดบอดนี้ไปได้หรือไม่ ว่างๆ ลองหาเวลานั่งเงียบๆ ทบทวนตัวเราเองดูว่าชีวิตของเรามีจุดบอดไหม ถ้าตอบว่าไม่มี นั่นเป็นเพราะไม่มีจริงๆ หรือยังหาจุดบอดของตัวเองไม่เจอ
ถ้าคิดว่าหาจุดบอดนั้นเจอแล้ว เราจะทำลายกับดักครอบแก้วนั้นได้อย่างไร เพื่อเดินต่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากับดักที่ขวางกั้นความสำเร็จของคุณให้เจอและทลายมันให้จงได้ครับ