1
2

กับดักชีวิต โดย ตัน ภาสกรนที (วิถีตัน)






กับดักชีวิต
โดย ตัน ภาสกรนที (วิถีตัน)

จุดสิ้นสุดของสิ่งหนึ่งมักจะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดต่อไปเสมอ ฤดูกาลรับปริญญาทุกปีมาพร้อมกับรอยยิ้มความสุขของบัณฑิตใหม่


เคยคิดไหมครับว่า หลังจบจากรั้วมหาวิทยาลัย ถึงจะตีตั๋วจบปริญญาใบเดียวกัน 
แต่ทำไมคนบางคนเดินทางไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้ไกลกว่า มีชีวิตที่โชติช่วงกว่า ขณะที่คนจำนวนไม่น้อยกลับหมดพลัง หมดไฟ ใช้ชีวิตราวกับเป็นฟันเฟืองที่หมุนวนย่ำอยู่กับที่

อะไรคือความแตกต่างที่ทำให้แต่ละคนก้าวไปถึงความสำเร็จได้ไม่เท่ากัน ?
ถ้าอายุเกษียณของคนเราอยู่ที่ 60... 

20 ปีแรกของชีวิตคือช่วงเวลาของการเรียนรู้ จากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ 
20 ปีต่อมาเป็นช่วงเวลาของการทำงานสร้างฐานะ สร้างความมั่นคงในชีวิต 
จนถึงอายุ 40

ในช่วง 20 ปีของการทำงานนี้เป็น 20 ปีทองในชีวิตที่สำคัญที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทุ่มเท ตักตวงประสบการณ์ ใช้เวลาที่ทุกคนมีเท่ากัน 20 ปีนี้ดำเนินชีวิตอย่างไร

สำหรับผม 20 ปีนี้เป็น 20 ปีของความลำบาก การทุ่มเทหยาดเหงื่อ การทำงานหนัก การเรียนรู้สั่งสมชั่วโมงบิน ผ่านประสบการณ์ล้มเหลว และแก้ปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่า
การใช้เวลาในชีวิตให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการตั้งเป้าหมายในชีวิต

จะเลือกลำบากก่อนสบาย หรือเลือกสบายก่อนแล้วค่อยลำบาก เราเท่านั้นที่เป็นคนออกแบบชีวิต 



หลายคนติดกับดักชีวิต เพราะเลือกใช้ชีวิตเหมือน "หนูถีบจักร"
วิ่งไปแค่ไหนก็ยังย่ำอยู่กับที่ เพราะเสียเวลาทำในสิ่งซ้ำๆ ทำในสิ่งที่ไม่ได้พัฒนาตนเอง หรือก่อประโยชน์ใดๆ ในชีวิต บางคนเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตสนุกสนาน ลอยชาย ไร้จุดหมาย ขาดการเข้มงวดกับตัวเอง

นับวันบางคนยิ่งอายุมากขึ้น ชีวิตกลับตกอยู่ในสภาพหลังแอ่น เพราะสารพัดปัญหาที่มะรุมมะตุ้มมานานจนแทบจะมองไม่เห็นอนาคตแสงสว่างปลายอุโมงค์

การวางแผนชีวิตที่ผิดพลาด มักเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาแรก โดยเฉพาะเมื่อพยายามแก้ปัญหาแรกด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ก็มักจะเป็นชนวนให้เกิดปัญหาที่ 2-3-4 ตามมาแบบไม่รู้จบ

สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะการติดกรอบ ติดกับดักความคิดของตัวเอง เวลาที่เราวิ่งวุ่นอยู่กับการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาจนไม่มีเวลาคิดสร้างสรรค์งานใหม่ๆ 



เปรียบเหมือน "แมลงวันในครอบแก้ว" ที่ถูกใครสักคนเอาแก้วใสๆ ไปจับมันขังไว้ 

เจ้าแมลงวันที่น่าสงสารพยายามบินออกไปข้างนอกให้ได้ โดยไม่เฉลียวใจเลยว่ามีผนังแก้วที่ขวางกั้นอยู่ เมื่อมองไม่เห็นก็จะพุ่งเข้าชนอยู่อย่างนั้น ทำเรื่อยๆ ซ้ำๆ จนกระทั่งหมดแรงและตายไปในที่สุด

เวลาที่เราพยายามจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่รู้ว่าจุดบอดของตัวเองคืออะไร ไม่ต่างจากแมลงวันที่ติดกับดักในครอบแก้ว ไม่สามารถทะลุผ่านปัญหานั้นไปได้ เพราะมองไม่เห็นจุดบอดในตัวเองที่คอยขวางกั้น

บางคนขาดระเบียบวินัยในการทำงาน ผัดวันประกันพรุ่ง งานเข้ามากขึ้นก็จับต้นชนปลายไม่ถูก กลายเป็นดินที่พอกคลุมอยู่ทั้งตัวจนกลายเป็นหมูไร้อนาคต 
ถ้าหากเราไม่รู้ว่าจุดบอดของเราอยู่ตรงไหน แต่ดันทุรังทุ่มเทกำลังเดินก้าวต่อไปข้างหน้าโดยที่มีกำแพงแก้วครอบไว้อยู่ แล้วเราจะเดินไปได้ไกลอีกแค่ไหน

การที่เราจะเดินไปถึงจุดหมายของชีวิตได้ต้องอาศัยปัจจัยมากมาย บางคนมีความคิดที่ดีแล้วก็ต้องอาศัยความสามารถลงมือทำไปให้ถึงเป้าหมาย แต่บางครั้งเมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ยังต้องอาศัยเครื่องมือเพื่อเป็นแรงส่งเราไปให้ถึงให้ได้ ความคิดมีระยะห่างกับความเป็นจริงเสมอ 



ระหว่างระยะทางนั้นมีจุดบอดเป็นครอบแก้วบางๆ ที่เรามองไม่เห็น อยู่ที่เราจะหาเจอแล้วทำลายจุดบอดนี้ไปได้หรือไม่ ว่างๆ ลองหาเวลานั่งเงียบๆ ทบทวนตัวเราเองดูว่าชีวิตของเรามีจุดบอดไหม ถ้าตอบว่าไม่มี นั่นเป็นเพราะไม่มีจริงๆ หรือยังหาจุดบอดของตัวเองไม่เจอ 



ถ้าคิดว่าหาจุดบอดนั้นเจอแล้ว เราจะทำลายกับดักครอบแก้วนั้นได้อย่างไร เพื่อเดินต่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากับดักที่ขวางกั้นความสำเร็จของคุณให้เจอและทลายมันให้จงได้ครับ 
http://bit.ly/oySRtd





คนที่มีความสุขที่สุดในโลก





คนที่มีความสุขที่สุดในโลก

คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ร่ำรวย 
คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ 
แต่คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ คนที่มีความสบายใจเท่านั้นเอง 
และความหมายของความสบายใจ คือ 

หนึ่ง    เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เชื่อว่าเรามีดี น่าคบหา และเราทำได้ 
สอง     รู้จักตัวเอง ยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเอง และพร้อมจะปรับปรุงเสมอ 
สาม    ไม่ดื้อดึง ถ้าวันวานเคยทำผิดพลาด ก็ยินยอมเปลี่ยนแปลงและรับฟังคนอื่น 
สี่          เห็นค่าของตัวเอง ไม่คิดว่าตัวเองไร้ค่า จึงมีความสุขในใจเสมอ 
ห้า       เผชิญความทุกข์ เมื่อรู้ตัวว่าทุกข์ ก็รีบหาทางหลุดพ้น ไม่จมอยู่กับมัน 
หก       กล้าหาญเสมอ กล้าเปลี่ยนแปลงและรับมือกับสิ่งแปลกใหม่หรือปัญหาต่างๆ 
เจ็ด      มีความฝัน เมื่อชีวิตมีจุดหมาย เราก็จะเดินไปบนถนนชีวิตอย่างมีความหวัง 
แปด    มีน้ำใจเอื้ออาทร เมื่อเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  ก็พบความสุขในใจเสมอ 
เก้า     นับถือตัวเอง ไม่ดูถูกตัวเองด้วยการลดคุณค่าและทำในสิ่งที่เสื่อมเสียต่อตัวเอง 
สิบ      เติมสีสัน สร้างรอยยิ้มให้ชีวิตของตนเองและคนรอบข้าง



ความสุข นั้น คือพอใจกับวิถีชีวิตของตัวเอง 
และวางฝันของตัวเองตามกำลังที่ตนทำได้ 

การได้รับวัตถุและความสำเร็จในหน้าที่การงาน 
ทำให้เราพึงพอใจและยกระดับฐานะเท่านั้น 
แต่เป็นการสร้างความสุขเพียงภายนอก 
และอาจมิได้อยู่กับเราอย่างมั่นคงถาวรตลอดไป 

เพราะคนเรานั้นย่อมมีความต้องการเพิ่มขึ้นเสมอไม่มีวันหยุดนิ่ง 
ความสุขที่แท้จริงเกิดจากภายในจิตใจของคนเรา 
ถ้าจิตใจของเราไม่ว่าง เต็มไปด้วยอารมณ์อันตรายต่าง ๆ 
ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง 

เพราะความสุขนั้นมักเกิดขึ้นท่ามกลางความสงบเสมอ 
ชีวิตของคนเรานั้นไม่ยืนยาวนัก เราสามารถหาความสุขให้ตัวเองได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ 
ไม่ต้องมุ่งหวังยามแก่เฒ่า แล้วค่อยอยู่อย่างสงบสุขอย่างที่หลายคนเชื่อกัน 
เชื่อเถอะ เราสามารถมีความสุขที่สุดในโลกได้ในตอนนี้ ถ้าเราเริ่มจากตัวเราเอง  

:: marymagz.com ::






นิทาน 3 เรื่อง บอกนิสัยคน





นิทาน 3 เรื่อง บอกนิสัยคน



 1. สมหวัง ไม่ชอบกินไข่
ทุกครั้งที่ได้ไข่มา ก็ให้ สมนึก กิน
แรกๆ สมนึก ก็รู้สึก ขอบคุณสมหวัง
แต่นานๆเข้า สมนึก ก็เคยชิน
เมื่อเกิดความเคยชิน ก็เหมือนกับเป็นหน้าที่
ที่ สมหวัง ต้องทำ



จนมาวันหนึ่ง สมหวัง เอาไข่ให้ สมชาย
สมนึก ก็อารมณ์เสีย โดยลืมไปว่า
ไข่นี้เป็นของ สมหวัง สมหวังจะให้ใครก็ได้
สมนึก จึงทะเลาะกับ สมหวัง เพราะเรื่องนี้
แล้วก็เลิกคบกัน






 2. ฤดูร้อน ร้อนมาก
เพื่อนๆหลายคน ไปเดินเล่นกัน
ไปถึงแม่น้ำ ก็เอาขาไปแช่น้ำกัน
ปรากฏว่า รองเท้าของ สมศรี ลอยตามน้ำไป
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน พื้นถนนร้อนมาก
และต้องเดินไกล สมศรีจึงขอให้เพื่อนๆช่วย
แต่ทุกคน มีรองเท้าแค่คู่เดียว

สมศรี ไม่สบอารมณ์
เพราะเธอชอบ ขอให้คนอื่นช่วยเสมอ
และแค่ทำเป็นงอน ก็จะมีคน ยื่นมือเข้าช่วย
แต่ครั้งนี้ไม่ เธอจึงคิดว่า 
เพื่อนๆทุกคนใช้ไม่ได้ ไม่ยอมช่วยเหลือ



แล้วก็มี สมปอง เอารองเท้าตัวเอง ให้สมศรีใส่
ยอมทนเท้าร้อน เดินต่อ
สมศรี ขอบคุณ สมปอง สมปองบอกสมศรีว่า

“เธอต้องจำไว้ว่า ไม่มีใคร มีหน้าที่ต้องช่วยเธอ
ที่ช่วยเธอ เพราะเป็นเพื่อนกัน ไม่ช่วยก็ไม่ผิด”

สมศรี จำคำพูดของสมปอง
ต่อแต่นี้ไป สมศรีก็ให้ความช่วยเหลือเพื่อนๆ เป็น 
และด้วยความเต็มใจหลายครั้ง 




เรามักจะหวังให้ คนอื่นดีต่อเรา
ตอนแรก เราก็ซาบซึ้ง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เคยชิน
เคยชินกับที่คนอื่นดีต่อเรา
เหมือนเป็นหน้าที่ ที่เขาต้องดีต่อเรา

เมื่อวันหนึ่ง ไม่ดีต่อเรา เราก็โมโห
ความจริง ไม่ใช่ว่า คนอื่นไม่ดีต่อเราแล้ว
แต่เป็นเพราะ เราเรียกร้องมากขึ้น เคยชินกับการรับ
ก็เลยลืมบุญคุณ เลิกซาบซึ้ง ลืมขอบคุณ






 3. แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า
หมาป่าจะกินแพะ แพะจึงสู้
ใช้เขาสู้กับหมาป่า และก็ตะโกนขอให้เพื่อนๆ ช่วย

 วัว มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป
 ม้า มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีก ตัว
 ลา เห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบๆ
หมู ผ่านมา เห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป
 กระต่าย ได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อนๆไปทุกตัว
หมา ได้ยิน รีบวิ่งเข้ามา จะสู้กับหมาป่า
 หมาป่า เห็นมีหมามาช่วย จึงวิ่งหนีไป แพะรอดตาย

กลับมาถึงบ้าน เพื่อนๆมาทุก “ตัว”

 วัว บอก “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้า แทงทะลุท้องมัน”
 ม้า “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้า กระทืบมัน”
 ลา “ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดังๆ ให้หมาป่าตกใจตาย”
หมู “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า พุ่งชนให้มันตกเขาไป”
 กระต่าย “ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าวของความช่วยเหลือ”
ในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้ ขาดอยู่ ”ตัว” เดียวคือ หมา 


มิตรภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ดูที่ คำพูด ที่แสนหวาน
แต่เป็น มือ ที่ยื่นให้ตอนคับขัน
พวกที่อยู่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณ ทำให้คุณรู้สึกดี 
อาจจะไม่ใช่เพื่อนแท้ของคุณ 
แต่กับเขา ที่ดูเหมือนห่างไกล 
แต่ใส่ใจคุณตลอดเวลา
ตอนคุณมีความสุข ไม่ไปสมทบ
แต่ตอนคุณต้องการช่วยเหลือ จะทำเพื่อคุณอย่างเงียบๆ 
และเป็นห่วงใส่ใจคุณ นั่นเป็นเพื่อนแท้ของคุณ

:: namchiang.com ::






หมากล้อม อ่านความคิดพินิจคน







หมากล้อม อ่านความคิดพินิจคน
ยามสัประยุทธ์ อ่านวิธีวาง หมากล้อม ก็พินิจรู้นิสัยคน


แต่ก่อน มีแม่ทัพคนหนึ่งเล่น หมากล้อม เก่งมาก ฝีมือแม่ทัพดีหาคนเล่นชนะได้ยาก และก็ภูมิใจในฝีมือตนมาก

วันหนึ่ง แม่ทัพออกรบ ผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีป้ายติดว่า “หมากล้อม อันดับ 1 ของประเทศ”

แม่ทัพเห็นแล้วรู้สึกไม่ยอมรับในใจ จึงพักทัพ แวะเข้าไปหาเจ้าของบ้าน ขอประลองหมากล้อมด้วย

ปรากฎว่า เจ้าของบ้านแพ้ทั้ง 3 กระดาน

แม่ทัพยิ้ม เอามือลูบเครา พลางหัวเราะใส่เจ้าของบ้าน  “เหอะๆ..แกเอาป้ายลงได้แล้ว”
แล้วแม่ทัพก็ไปออกรบด้วยความกระหยิ่มในฝีมือการวาง หมากล้อม และวิสัยทัศน์ในกลยุทธของตน


หลังจากนั้นไม่นาน แม่ทัพรบชนะกลับมา ผ่านมาที่เดิม
ก็ยังเห็นป้าย อันดับ 1 แขวนอยู่ที่บ้านหลังเดิม ก็อดไม่ได้ แม่ทัพจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้าน และท้าดวลอีก

คราวนี้แม่ทัพบอกสำทับเจ้าของบ้านว่า เล่นให้ดี ถ้าชนะจะให้รางวัล แต่ถ้าแพ้ จะปลดป้ายอวดดีที่ติดไว้หน้าบ้านทิ้ง

แต่ปรากฎว่าครั้งนี้ แม่ทัพกลับพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงทั้ง 3 กระดาน ไม่เหลือเค้าลางความเก่งเดิมที่เคยทะนงในฝีมือ


แม่ทัพประหลาดใจมาก ถามเจ้าของบ้านว่าเพราะอะไร ? 

ไปฝึกที่ไหนเพื่อมาแก้มือหรือเปล่า ? 

รู้สึกไม่อาจยอมรับได้ว่าเจ้าของบ้านเก่งกว่า เลยอ้างว่าเพิ่งเดินทัพกลับมายังเหนื่อยล้า พรุ่งนี้จะมาเล่นด้วยใหม่


เป็นอย่างนี้ สามวัน ทุกวันแม่ทัพแพ้หมากล้อมอย่างหมดรูป 3 กระดาน ทั้งสามวัน จนไม่อาจไม่ยอมรับว่าฝีมือตนด้อยกว่า และไม่มีเหตุผลใดกล่าวอ้างอีก จึงยอมรับนับถือฝีมือเจ้าบ้านอย่างจริงใจ ยอมตบรางวัลให้ตามสัญญา แต่ก็ยังอดถามไม่ได้ว่า แล้วทำไม


เจ้าบ้านขอร้องให้แม่ทัพรับปากว่าถ้าตอบตามจริงแล้วจะไม่มีโทษ แม่ทัพให้สัตย์

เจ้าของบ้านจึงตอบตามตรงว่า

เพราะท่านเป็นแม่ทัพ และข้าเป็นผู้น้อย  
วันแรกที่เจอกัน ท่านเดินทัพไปรบ แต่กลับอดไม่ได้ต้องแวะมาลองฝีมือกับข้าพเจ้า ย่อมแสดงว่าท่านรู้สึกไม่ยอมรับนับถือผู้ใดในสิ่งที่ท่านคิดว่าท่านเก่งกว่า 

อีกทั้งเมื่อเดินหมากท่วงทีกลยุทธเดินหมากท่านดุดันวางรุกรุนแรงหมายกินพื้นที่ไม่เหลือ มุ่งหมายชนะฝ่ายเดียว 

ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าแพ้ชนะมีผลต่อความมั่นใจของท่านในการออกรบ ครั้งก่อนนั้น ท่านกำลังมีภารกิจต้องไปออกรบ ข้าน้อยจะไปลบเหลี่ยม ทำให้ท่านหมดขวัญกำลังใจไม่ได้

แต่ครั้งนี้ ท่านชนะกลับมา และบังคับให้ข้าน้อยเล่นอีก ถ้าแพ้จะปลดป้ายของข้าน้อยออก จึงมิอาจออมมือให้แล้วขอรับ”

แม่ทัพพยักหน้ายอมรับในเหตุผล ที่เจ้าของบ้านอ่านได้กระจ่าง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าไม่พึงใจออกมา แต่ก็ไม่ว่ากระไร มอบรางวัลแล้วกลับไปยังทัพของตน 

พอถึงที่พักก็คิดว่า คนที่อ่านกลหมากได้จนรู้ความคิดอ่านของตนย่อมจะเป็นภัย ใครรู้ว่าแม่ทัพแพ้หมดรูปขนาดนั้นถึงไหนอายถึงนั่น จึงสั่งลูกน้องคนสนิทให้ไปฆ่าเจ้าของบ้านเสีย 

โดยให้เหตุผลว่าถ้าข้าศึกรู้ว่ามีคนนี้อยู่อาจเอาไปใช้เป็นประโยชน์ในการศึกคราวต่อไป แต่เมื่อไปถึง เจ้าของบ้านก็เก็บของและป้ายนั้นพร้อมออกเดินทางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว


คนที่เก่งจริงในโลกนี้ คือคนชนะได้ แต่ไม่จำเป็นต้องชนะ
มีใจกว้างขวางพอที่จะให้คนอื่นได้ชนะ ได้ภูมิใจในฝีมือของตน 
ได้ไปรบในสนามรบของตนอย่างมั่นใจ



การใช้ชีวิต ก็เหมือนกัน.....
รู้ ไม่จำเป็นต้องพูด ไม่พูด ใช่ว่าจะไม่รู้

หากคุณพูดในสิ่งที่คุณรู้ แต่เป็นเรื่องที่เจ้าของเรื่องไม่อยากให้รู้ หรือไม่คิดว่าคนอื่นจะรู้ คุณไม่ได้มิตร แต่ได้ศัตรู

คนทุกคนบอกว่ารับความจริงได้ ต้องการให้คุณพูดความจริง แต่พอคุณพูดแล้ว ใช่ว่าจะรับได้ทุกคน อาจจะโกรธคุณอีกต่างหาก ที่รู้ความจริงในใจ หรือความคิดของเขา

การที่เขาบอกให้คุณพูดความจริง ที่จริงแค่ต้องการจะรู้ว่าคุณรู้เท่าไหน แต่ไม่ได้หมายความว่ารับความจริงได้ เมื่อรู้ว่าคุณรู้เยอะมาก เยอะกว่าที่เขาคาดไว้ เขาย่อมโกรธคุณ เพราะ “รู้ทัน” หรือไม่ทำใจยอมรับได้ว่า ในเรื่องนั้นคุณเก่งกว่า รู้เยอะกว่าเขา

ต่อหน้าคนใจแคบ คุณต้องใจกว้าง ถ้าทำใจกว้างไม่ได้ ก็ต้องแกล้งโง่ เพราะไม่มีทางทำให้เขาพึงใจในความเก่งของคุณได้ ต่อให้เขายอมรับก็ยอมรับด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม และมุ่งจะเอาชนะท่านให้ได้ มีแต่เสียกับเสีย

ต่อหน้าคนใจกว้าง คูณแสดงความสามารถได้ตามจริง เต็มเท่าที่คุณมี แต่ก็ยากนักที่จะเจอคนใจกว้างได้ง่ายๆ ในสังคมปัจจุบัน

คนเก่งหมากล้อมอ่านพินิจวิธีการเดินหมากล้อมก็เห็นความคิดอ่าน
คนเก่งใช้ชีวิต ก็ต้องอ่านพินิจวิธีคิดอ่านของคนที่ตนพบด้วย เพราะมีผลต่อการปฏิสัมพันธ์กันในอนาคต


1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss