เรียกได้ว่า ทายาทธุรกิจท่านนี้วางเป้าหมายตัวเองมาตั้งแต่ต้น ในการสานต่อธุรกิจของครอบครัว ดังนั้นเธอจึงตั้งใจเลือกศึกษาในสาขาวิชาที่สามารถนำมาพัฒนาธุรกิจของครอบครัวให้ดีขึ้นเรื่อยๆ "ณัฐฑี" จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ปริญญาโทเกียรตินิยมอันดับ2จากประเทศอังกฤษ สาขาวิชาThe ICMA centre, Henley Business School,University of ReadingMSc International Securities, Investment and Banking ซึ่งเป็นการเรียนโดยตรงทางด้านการลงทุนและการลงทุนในตราสารอนุพันธ์
หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 2 คณะบริหารธุรกิจ สาขาบัญชี มหาวิทยาลัยเอแบค ปริญญาโท The Master of Science in Marketing Program (MIM) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
แม้งานแรกของ คุณอัญ" จะไม่ได้กลับมาทำธุรกิจเพชรของครอบครัว แต่เลือกทำงานเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชี บริษัทชื่อดัง Price water house coopers ซึ่ง "เธอ" เล่าว่า ทำงานอยู่ที่ Price water house coopers เป็นเวลาทำงาน 2ปี แฮปปี้กับผู้ร่วมงาน และการทำงานที่ต้องทำเป็นทีม แต่ในที่สุดกลับไม่ใช่งานที่ตัวเองชอบจริงๆ จึงตัดสินใจลาออกและเตรียมเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ น่าจะเรียกได้ว่า การตัดสินใจลาออกจากงานแรกในครั้งนั้น ทำให้ "เธอ" ได้ค้นพบว่า อะไรคือ งานที่เธอชอบ
การตัดสินใจไม่ไปเรียนต่างประเทศ โดยเลือกศึกษาต่อในประเทศแทน เพื่อที่จะได้ทำงานที่ตัวเองรัก เมื่อหันมาจับธุรกิจของครอบครัวเต็มตัว เธอจึงต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพชร และเครื่องประดับเพชรอย่างจริงจัง ด้วยการศึกษาต่อที่สถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (GIA) และใช้เวลาตอนเย็นเรียนปริญญาโท The Master of Science in Marketing Program (MIM) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ความสำเร็จที่ผ่านมา การันตีด้วยรางวัลเกียรติยศ เช่น ชนะเลิศ Thammasat Asia MOOT Corp Competition เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขัน Global MOOT Corp Competition, Texas, USA รางวัล รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง Global MOOT Corp Competition, Texas, USA รางวัล รองชนะเลิศอันดับสอง New Venture Championship, Oregon, USA
ขณะที่ประสบการณ์ 2 ปี ของการทำงานที่ Price water house coopers สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับหน้าที่รับผิดชอบในตำแหน่ง CFO ได้เป็นอย่างดี เพราะเธอพกความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการเงินการบัญชีมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประสบการณ์เหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2009
อย่ามัวหลงกระแส Social จนทำให้ลืมช่องทางการตลาดพื้นฐานอย่างเว็บไซต์
***ทำการตลาดผ่าน Social Media เพราะตามกระแสโดยมองข้ามการตลาดพื้นฐาน (โดย ณัฐกรณ์ รัตนชัยสิทธ์ www.nuttakorn.net)
ในปีที่ผ่านมามีหลายแบรนด์ที่ตามกระแสการทำการตลาดบน Social Media แต่กลับมองข้ามความสำคัญของการวัดผลที่เป็นมูลค่าทางการขาย ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญของธุรกิจอย่างมาก
ผมขอยกตัวอย่างเคสแบรนด์ระดับโลกอย่างเป๊ปซี่ เป๊ปซี่ได้ย้ายงบการตลาดแบบดั้งเดิมในทีวีไปยัง Social Media ใน โครงการ "Pepsi Refresh Project" โดยใช้งบประมาณมากถึง 20-30 ล้านเหรียญสหรัฐ
จำนวน Follower ใน Twitter ซึ่งมีเพียง 60,000 คน ทำให้เห็นว่า Pepsi Refresh ไม่ได้เพียงกระทบในแง่ของยอดขายครับ แต่ยังแสดงถึงการสร้างกระแสและวัดผล Social Media ซึ่งไม่ Effective หรือมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
หากเปรียบเทียบกับชาร์ลีชีนน์ (Charlie Sheen) Twitter ของเขาได้ใช้เวลาสร้างเพียงเดือนเดียวแต่เขามีเกือบ 3.2 ล้านผู้ติดตาม นั่นคือความสำเร็จที่แท้จริงในการทำตลาดผ่านทาง Social Media
โดยเห็นได้ชัดจากคู่แข่งอย่างโค๊ก ซึ่งการทำการตลาดผ่านทางช่องทาง Social Media นั้นยังถือว่าเป็นลงทุนในระยะยาวที่ต้องอาศัยการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง
จากเคสที่เล่ามาข้างต้น ผมคิดว่าเป็นเคสที่น่าสนใจและเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับนักการตลาด ในการทำตลาดผ่านทางช่องทาง Social Media โดยเราจะมีการเรียนรู้จากผลตอบรับในด้านของ Brand Engagement เองหรือรวมถึงยอดขาย ซึ่งเราจะต้องมีการวางแผน รับฟังและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยนำ Insight ที่ได้มาจากการทำ Social Listening มาพัฒนาเป็น Campaign เพื่อกระตุ้นยอดขายต่อไป
และที่สำคัญเราไม่ควรที่จะสนใจในการทำการตลาดผ่านทางช่องทาง Social Media อย่างเดียว มีหลายบริษัทที่มองข้ามการทำตลาดโดยใช้เว็บไซต์เป็นช่องทางการขาย แต่ได้นำช่องทางที่เป็น Social Media มาเป็นช่องทางขายแทนซึ่งผมมองว่าเป็นการใช้ช่องทางที่ผิดและจะส่งผลกระทบในระยะยาว
- Unique Visitors จำนวนคนเข้าชม จุดนี้จะทำให้ธุรกิจทราบเลยว่าแต่ละสื่อนั้นมีค่าใช้จ่ายต่อการจำนวนคนเข้าเท่าไร - Average Time on site จำนวนเวลาที่เข้ามาใช้งานในเว็บไซต์ ซึ่งสามารถวัดคุณภาพของทราฟฟิกได้ - On-Site Social Interaction มีการพูดคุยหรือการแชร์ข้อมูลไปยังบุคคลอื่นหรือไม่ - Micro Conversion ข้อมูลพฤติกรรมย่อย เช่น จำนวนคนที่มาสมัครเป็นสมาชิก จำนวนการขอข้อมูลจากเว็บไซต์ เป็นต้น - Sale Conversion หากเป็น E-Commerce เว็บไซต์เราก็จะสามารถวัดยอดขาย โดยเราจะต้องคำนึงถึง ROI เป็นสำคัญว่าเราจ่ายไปกับสื่อเท่าไรและได้รายรับกลับคืนมาเท่าไร
หากเราจะมีการทำตลาดผ่านทาง SEO หรือ Organic Search คือการทำปรับแต่งให้เว็บไซต์นั้นติดในผลค้นหาของ Search Engine โดยบริษัทส่วนมากในตลาดเมืองไทย ยังคิดว่าการทำ SEO นั้นคือการติด Ranking อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นการวัดค่าความสำเร็จที่ไม่ถูกต้อง เราต้องมองถึงการวัดโดยยกตัวอย่างต่อไปนี้