ชีวิตลิขิตเอง Cover by Kui
นิทานเชิงบริหารธุรกิจเรื่อง
ชาวนากับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ
(บทที่ 6-บทที่ 10)
เรื่องราวดีๆ ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการเงินการลงทุนทำอย่างไรให้รวย?
ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ลองอ่านนิทานเรื่องนี้ดูสิ แล้วคุณจะได้แง่คิดดีๆมากมาย......ชาวนาที่ใฝ่ฝันจะเป็นมหาเศรษฐีใน 1 ปี เขาจะทำได้หรือไม่?
=> ชาวนากับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ (บทที่ 1-บทที่ 5)
บทที่ 6 ...ทีมที่ปรึกษาและบริหารธุรกิจ...
ชายหนุ่มรู้จักตัวของเขาเองดีว่า เขามีความคิดที่ดี
เขามองเห็นโอกาสต่างๆ มากมาย
แต่การที่จะลงมือปั้นความคิดของเขาให้เป็นจริงขึ้นมานั้น
เขาต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ
เพื่อทำให้งานสำเร็จได้สมดังปรารถนา
แน่นอน หากเขาไม่มีเงื่อนไขของเวลา
ในการสร้างตัวเองให้รวยที่สุดในเมือง ภายใน 1 ปี
เขาย่อมมีเวลาเรียนรู้งานและพัฒนามันขึ้นมาได้
เขายังเข้าใจดีอีกว่า การทำการค้า เราต้องทำเองให้มาก
พึ่งพาจมูกคนอื่นหายใจให้น้อยที่สุด แต่สถานการของเขาตอนนี้ ทำอย่างนั้นไม่ได้
เพราะการค้าแต่ละอย่าง กินเวลาจนกว่าจะประสบความสำเร็จไม่ใช่น้อยเลย
แต่หากเขามีทีมงานที่ดี มีประสบการณ์ งานของเขาก็จะประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น
และสามารถทำการค้าได้หลายอย่างมากขึ้น
กรอปกับกิจการของเขา สามารถมีเงินเหลือมาพัฒนาเรื่องนี้ได้
ชายหนุ่มจึงให้เวลากับการคัดเลือกคนเข้ามาช่วยงาน
เพื่อจะตั้งเป็นทีมบริหารงาน โดยทีมนี้จะรับการถ่ายทอดความคิดจากเขาโดยตรง
จากนั้นก็จะไปช่วยกันวางแผนงานและบริหารจัดการให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย
ตัวของเขาเองก็จะมีเวลามองหาโอกาสใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป....
ทีมบริหารงานของชายหนุ่มก็เป็นรูปเป็นร่างพร้อมที่จะลุยงานแล้ว
หลังจากให้แนวคิดและนโยบายงานเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มก็ปล่อยให้ทีมที่ปรึกษาบริหารจัดการงานต่อได้เลย
ทั้ง 3 ธุรกิจของเขาคือ
1.โรงงานผลิตน้ำอ้อยสด ให้เพิ่มการผลิตน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆ พร้อมพัฒนาบรรจุภรรณ์
2.ร้านสรรพสินค้าที่เมืองคูขาด เพิ่มสินค้าให้มากขึ้นเรื่อยๆ
3.กิจการรับซื้อสินค้าทางการเกษตร พัฒนาทั้งการซื้อการขาย ให้ครบวงจร
หลังจากเบาใจในเรื่องการบริหารจัดการแล้ว ชายหนุ่มก็มีโอกาสได้ใช้สมองในการคิดหาโอกาสใหม่ๆ มากขึ้น ดังนั้น ชายหนุ่มจึงเริ่มมองเห็นโอกาสใหม่ อีกโอกาส
"รถบรรทุกหนึ่งคัน ขนผักและผลไม้ได้ 20 ตัน
เพื่อนำไปส่งอีกเมืองหนึ่ง
บวกกำไรกิโลละ 50 สตางค์ ถึง 1 บาท
เที่ยวหนึ่งก็ทำเงินได้อย่างน้อย 15,000 บาท
ขากลับก็ขนสินค้าอื่นๆ จากเมืองนั้น กลับมาที่เมืองนี้ ได้กำไร 20,000 บาท
รวมเป็นเงิน 35,000 บาทต่อเมืองต่อเที่ยวต่อวัน
อืมมมมม... ไม่เลวเลยทีเดียว"
ชายหนุ่มคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่เขาวิ่งรถขนสินค้าระหว่างเมือง
นอกจากขนสินค้าของตนเองแล้ว ยังมีพ่อค้าคนอื่นฝากสินค้าของเขาติดรถมาด้วย
โดยให้เขาคิดค่าบริการตามสมควร สิ่งที่เขามองเห็นคือ
ในที่สุด การขนสินค้าระหว่างเมืองของเขา
หากบริหารจัดการดีๆ จะมีคนจ่ายค่าจ้างคนขับและค่าน้ำมันแทนเขาได้เลย
เขาจึงให้ทีมบริหารงานของเขาวางแผนขยายไปยังเมืองอื่นๆ เพิ่มขึ้น
เพื่อให้ครอบคลุมทุกเมืองด้วยเงินที่มาจากตัวของมันเอง
ชายหนุ่มได้วางเป้าหมายให้ทีมบริหารงานของเขาทำคือ
ให้มีโกดังพักสินค้าทุกเมือง มีรถขนส่งสินค้าให้เพียงพอ
เพื่อใช้ขนถ่ายสินค้าของเขาเอง และให้บริการรับฝากสินค้ากับผู้อื่นด้วย
ถึงแม้จะใช้เวลาหลายปี แต่ก็เป็นธุรกิจที่มีอนาคตแน่นอน
เพราะอย่างไร ก็ต้องขนส่งสินค้าของตัวเองอยู่แล้ว
ข้างฝ่ายโรงงานน้ำอ้อยของเขาเองก็ใช่ย่อย
หลังจากที่เขาดำเนินการอยู่ไม่นานนัก
ป้าเจ้าของโรงงานก็ขายโรงงานต่อเขาเพราะแกอยากพักแล้ว
จากน้ำอ้อยเพียงอย่างเดียว ก็พัฒนาน้ำสารพัด
เนื่องจากเขามีผักและผลไม้อยู่ในมือเองด้วย
บวกกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารโรงงาน
ที่มองเห็นถึงกระแสของการดูแลสุขภาพของผู้คน
ระยะเวลาไม่กี่ปี ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผักและผลไม้บรรจุกล่องของเขา
จะต้องวางจำหน่ายทุกเมืองที่สายการส่งสินค้าของเขาไปถึง อย่างแน่นอน
สิ่งหนึ่งที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการธุรกิจก็คือ ...รองเท้า...
ชายหนุ่มได้เจอกับนักออกแบผลิตภัณฑ์คนหนึ่ง
เป็นคนที่มีความสามารถในการออกแบบสินค้าได้ดีมาก
เขายังจำได้ดี ช่วงที่เขาทำตลาดรองเท้าใหม่ๆ เขาลองให้คนนี้ออกแบบรองเท้าให้
"มันจะไปได้เร้อ... ที่เอ็งจะผลิตรองเท้ายี่ห้อของตัวเอง
คู่แข่งในตลาดก็เยอะแยะไปหมดไม่รู้ยี่ห้ออะไรต่อยี่ห้ออะไร
แถมเขายังยึดครองตลาดมานานอีกแล้วด้วย"
คำพูดของเพื่อนๆ ที่หลับตานึกถึงว่า
จะผลิตรองเท้ายี่ห้อใหม่ออกสู่ตลาด แค่คิดก็เหนื่อยแล้วเพื่อนๆ เขาคิดเช่นนั้น
ชายหนุ่มแอบมั่นใจในอนาคตของรองเท้ายี่ห้อเขาอยู่ลึกๆ
ด้วยรูปแบบที่ทันสมัย หลากหลายสไตน์มากมายออกสู่ตลาดเป็นระยะๆ
ด้วยฝีมือการวางแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์ของทีมบริหารงาน
แค่ขยับตัวไม่นานนัก ยี่ห้อใหม่ของเขาก็ติดตลาดอย่างรวดเร็ว
และขึ้นมาเป็นผู้นำในท้องตลาดในที่สุด
ลุง ป้า น้า อา ลูกเด็ก เล็กแดง ต่างรู้จักกันทั้งนั้น
คุณเองก็อาจกำลังสวมใส่รองเท้าของเขาอยู่ก็ได้....
เพราะรองเท้าของเขาก็กระจายไปทุกมุมเมืองที่สายการส่งสินค้าของเขาเข้าไปถึง...
เมื่อยี่ห้อของเขาติดตลาดเป็นที่รู้จักกันทั่วไปเป็นอย่างดี
เขาก็เริ่มแตกไลน์สินค้าไปสู่อย่างอื่น
เช่น... กางเกงยีนส์ เสื้อ เข็มขัด ฯ อีกที
แรกๆ ชายหนุ่มก็กังวลใจกับเงินที่จะนำมาลงทุน
เพราะกระแสเงินสดจากธุรกิจของเขาไม่เพียงพอแน่ๆ
ทีมที่ปรึกษาจึงบอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง
เพราะพวกเขาเป็นมืออาชีพเรื่องเขียนแผนธุรกิจอยู่แล้ว
จะนำไปเสนอขอกู้เงินที่ธนาคารอีกที
"นำเงินของคนอื่น มาต่อเงินให้เรา มันจะทำให้เราก้าวกระโดดไปได้เร็วขึ้น หากรอเก็บเงินตัวเองเพื่อลงทุน มันไม่ทันการหรอก เพราะเวลาของเธอจะหมดเสียก่อน แต่เธอจะต้องเป็นคนตัดสินใจเอาเองว่า จะค่อยๆเติบโต หรือจะเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะเธอเป็นคนเห็นองค์รวมของธุรกิจในมือของเธอเอง ความเห็นของคนอื่น แค่นำมาเป็นส่วนประกอบเพื่อประมวลผลเท่านั้น อย่าได้เชื่อความคิดเห็นของใครทั้งหมด..." ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของท่านเศรษฐีอยู่ในใจ
วันนี้ เขาได้รู้วิธีนำเงินของคนอื่นมาต่อเงินให้เขาแล้ว...
ธนาคารต่างๆ เริ่มปล่อยสินเชื่อให้ จากเครดิตของกิจการต่างๆ ที่เขามี
เพราะมันเป็นการกู้เงินเพื่อขยายกิจการ ซึ่งธนาคารจะปล่อยกู้ง่ายกว่า การสร้างกิจการใหม่ จากนั้นจึงหมุนเงินออกไปสร้างกิจการใหม่ และนำกิจการใหม่นั้นเข้าไปกู้เงินอีก
เหลือเวลาอีก 6 เดือน...
ชายหนุ่มก็ยังสร้างฐานะขึ้นมาได้ไม่เท่าไร
ทุกธุรกิจของเขา ยังไปไม่ถึงอนาคตที่เขาวางไว้
เขายังห่างไกลจากเศรษฐีไม้เท้าทองคำหลายขุมนัก
อยู่มาวันหนึ่ง มีคนมาบอกขายบ้านให้กับชายหนุ่ม
เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว เนื้อที่ 50 ตรว.
เนื่องจากเจ้าของบ้าน ต้องย้ายไปอยู่เมืองอื่น
จึงไม่อยากเสียเวลาในการรอประกาศขาย
เจ้าของบ้านพอใจในราคา 3 แสนบาท
สภาพบ้านยังดีอยู่ ไม่ต้องปรับปรุงอะไรมากนัก
นอกจากทาสีใหม่เท่านั้น
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจซื้อ เพื่อให้คนเช่า
ธนาคารเรียกเงินดาวน์ 12,000 บาท
และผ่อนเดือนละ 1,820 บาท
ปรากฎว่าเขาสามารถให้เช่าได้ในราคาเดือนละ 2,000 บาท
"ดีจัง... ซื้อบ้านหนึ่งหลังราคา 3 แสน ด้วยเงินเพียง 12,000 บาท
และยังได้เงินเฉยๆอีกเดือนละ 180 บาท"
ชายหนุ่มพูดกับเศรษฐี หลายๆ คนจะมองการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ราคาเต็มของมัน
แต่ชายหนุ่มกลับมองที่ราคาของกระแสเงินสดที่จะต้องใช้
"ฉันยังมองว่าไม่ดีเลย" เศรษฐีเอ่ยขึ้น
"ROI ของเธอได้แค่ 18% เอง"
ชายหนุ่มรู้สึกงง
อะไรคือ ROI
"ROI คืออะไรครับ" ชายหนุ่มถามขึ้น
"Return On Invested capital หรือ Return On Investment มันก็คือ เปอร์เซ็นต์ของผลตอบแทนจากการลงทุนนั่นเอง" เศรษฐีตอบ
"แล้วมีวิธีคำนวณอย่างไรเหรอครับ" ชายหนุ่มสงสัย
"เอากำไรที่ได้ หารด้วยเงินที่ลงทุนไป คูณด้วยหนึ่งร้อย เธอก็จะได้ตัวเลขออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์" เศรษฐีหยุดเล็กน้อย
"หากตัวเลขออกมาเป็น 0 ก็หมายความว่า ไม่มีกำไร และไม่ขาดทุน หากตัวเลขออกมาน้อยกว่า 0 ก็หมายความว่า ขาดทุน และหากตัวเลขออกมามากกว่า 0 ก็หมายความว่า มีกำไร ยิ่งตัวเลขออกมายิ่งเป็นบวกมากๆ ยิ่งแสดงว่า ความคุ้มค่าในการลงทุนอันนั้น คุ้มค่ามากๆ" เศรษฐีหยุดรอชายหนุ่มเพื่อให้ตามให้ทัน
"อย่างกรณีของเธอ... ใช้เงินลงทุน 12,000 บาท ให้คนเช่าเดือนละ 2,000 บาท แต่เธอต้องส่งงวดธนาคารเดือนละ 1,820 บาท จึงมีกำไรเหลือเดือนละ 180 บาท ในหนึ่งปี เธอจะมีกำไร 180x12 = 2,160 กำไร หาร เงินลงทุน คูณ 100 (2,160/12,000)*100 = 18% การคำนวณต่อปี ก็เพื่อให้เปรียบเทียบกับการฝากเงินกินดอกเบี้ยกับธนาคาร"
"นี่คือ ROI ของกระแสเงินสด
แต่ความจริงเธอยังได้กำไรเป็นสินทรัพย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จากการผ่อนงวดธนาคาร เพียงแต่
มันไม่ได้เป็นเงินสดตอบแทนกลับมาในทันที
ข้อสังเกตุอีกอย่าง
เธอจะไม่เห็นฉันพูดถึงราคาจริงๆ ของบ้านที่เธอซื้อมาเลย
เวลาคำนวณหาความคุ้มค่าของเงินลงทุน
แต่ราคาจริงของมัน ก็สำคัญ...สำหรับการเกร็งกำไร"
เศรษฐีอธิบายต่อไปเรื่อยๆ
"ส่วนตัวของฉันนั้น...
จะเลือกลงทุนที่ ROI มากกว่า 50% ขึ้นไป
เพราะมันมีการลงทุนดีๆ อีกเยอะแยะให้เราเลือก
โดยเฉพาะ ROI ที่ 100%-300% มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ค่อยๆ เรียนรู้ไป แล้วเธอก็จะมองเห็นอย่างที่ฉันเห็น"
"เธอกำลังพัฒนาการตัวเองจากผู้ประกอบการ มาเป็นนักลงทุนแล้วนะนี่..."
เศรษฐีเอ่ยขึ้น
"นายครับ...
ไฟไหม้ร้านที่คูขาดครับ..."
เสียงที่ปรึกษาคนหนึ่ง โทรมารายงานชายหนุ่ม
"เฮ้ย!!..." ชายหนุ่มร้องเสียงหลง
"แล้วเสียหายมากหรือเปล่า" ชายหนุ่มถามกลับไป
"ตอนนี้ รถดับเพลิงกำลังทำงานอยู่ครับ
แต่คาดการว่า คงจะเอาไม่อยู่แน่ๆ เลย"
เสียงตอบมาตามสาย
"เดี๋ยวผมจะเดินทางไปที่คูขาดตอนนี้เลย... แค่นี้นะ"
ชายหนุ่มตัดบท พร้อมกับเสียงท่านเศรษฐีเรียกให้คนขับรถของท่านเอารถออก
"เดี๋ยวให้เด็กมันพาเธอไปก็แล้วกันนะ"
เศรษฐีกล่าวกับเขา
"ขอบพระคุณมากครับ"
ชายหนุ่มกล่าวคำขอบคุณพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม
หลังจากเขาเปิดร้านขายรองเท้าที่เมืองคูขาดได้ 2 เดือน
ยอดขายรองเท้าเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สาเหตุก็มาจาก กระแสค่านิยมทางวัตถุ เริ่มเข้าไปยังเมืองนั้น
จากการที่เขาได้หาหนทางให้ชาวเมืองจำนวนหนึ่ง ได้มีโอกาสใส่รองเท้า...
ซึ่งบังเอิญไปสร้างความแตกต่างระหว่างคนที่ใส่รองเท้า
และคนที่ไม่ใส่รองเท้าเข้าอย่างจัง...
ทำให้ชาวเมืองคูขาด หันมานิยมใส่รองเท้ากันเป็นการใหญ่
ชายหนุ่มมองเห็นโอกาสอีกโอกาสหนึ่งที่แฝงมากับชาวเมืองที่มาซื้อรองเท้า
นั่นก็คือ สินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ ซึ่งปกติ เมืองอื่นๆ ทั่วๆไป
ก็ขายกันเป็นเทน้ำเทท่าอยู่แล้ว
เพียงแต่ที่เมืองคูขาดนี้ ค่านิยมของชาวเมืองแตกต่างจากเมืองอื่นๆ
แต่... ณ เวลานี้ เมื่อรองเท้านำร่องไปแล้ว ค่านิยมทางวัตถุเริ่มเกิดขึ้น
สินค้าตัวอื่นๆ น่าจะมีโอกาสสร้างตลาดที่นั่นได้ไม่แพ้รองเท้าเลยทีเดียว
เพราะเมื่อคนมาซื้อรองเท้า ก็ย่อมต้องเห็นสินค้าตัวอื่นๆ
เขาไม่ต้องเสียเงินในการจะสร้างกิจกรรมเพื่อให้คนมาดูสินค้าตัวใหม่อีก
นี่คือโอกาส....
หลังจากเปิดร้านรองเท้าได้ 2 เดือน
เขาจึงได้ขยายร้านให้ใหญ่ขึ้นหลายเท่า
และส่งสินค้าต่างๆ มากมายไปจัดแสดงเพื่อขายที่นั่น
2 เดือนผ่านไป สินค้าอื่นๆ ขายได้อย่างที่เขาคิด
ถึงแม้จะยังไม่มากมายอะไร แต่ก็ไม่ทำให้ขาดทุน
เขายังเชื่อว่า อนาคตต้องสดใสอย่างแน่นอน
แต่!!!.....
วันนี้ ไฟกำลังเผาไหม้ร้านสรรพสินค้าของเขา
ในขณะที่เขามีเวลาเหลืออีกแค่ 6 เดือน..ในการสร้างตัว
เสียงล้อรถบดถนนดังเล็ดลอดเข้ามาภายในรถ
เสียงแรงประทะของลมกับตัวรถ ก็ใช่ย่อยเหมือนกัน
รถกำลังแล่นด้วยความเร็วเต็มพิกัด
คนขับรถนั่งขับด้วยใจจดใจจ่อ สายตาเพ่งไปที่ถนนแทบไม่กระพริบ...
ชายหนุ่มนั่งเครียดอยู่ด้านหลังของรถเก๋งคันงาม
เขาถอนหายใจและกระสับกระส่ายเกือบตลอดเวลา
ร้านสรรพสินค้าแห่งนี้ เพิ่งเริ่มจะให้กระแสเงินสดกับเขา
หลังจากติดลบอยู่ 3 เดือน อนาคตก็กำลังจะสดใส
แล้วสวรรค์เล่นตลกอะไรกลับเขานี่
ธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น โรงงานน้ำผักและผลไม้
ไม่ว่าจะ คูขาดพืชผล หรือ รถรับขนส่งสินค้าของเขา
ล้วนแล้วแต่ยังไม่มั่นคงทั้งสิ้น
เงินได้มาส่วนใหญ่ก็หมดลงไปกับการวางระบบ
ที่ปรึกษาของเขาบอกว่า ระบบ เป็นเรื่องสำคัญมาก
ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ
เพราะธุรกิจของเขา เป็นระบบสากลไปแล้ว
เพราะเถ้าแก่ไม่ได้บริหารจัดการเอง
ระบบ จะเข้ามาช่วยลดการรั่วไหลได้ ถึงแม้จะไม่หมดก็ตาม
หัวใจของชายหนุ่มยิ่งเต้นแรงมากขึ้น
มือไม้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ทันทีที่รถแล่นเข้าสู่ตัวเมืองคูขาด
สายตาของเขาก็กระทบกับกลุ่มควันและเปลวไฟอยู่บนท้องฟ้า
ในใจของเขา อยากให้รถไปถึงที่นั่นเร็วๆ
รู้สึกว่าเวลามันจะวิ่งช้าเสียเหลือเกิน
รถยังไม่ทันจะหยุดสนิทดี ชายหนุ่มก็พุ่งพรวดออกไปจากรถด้วยความรีบร้อน
เบื้องหน้าของเขา....
ไฟกำลังโหมไหม้อย่างไม่มีวี่แววว่าจะสงบ
พนักงานดับเพลิง ก็กำลังทำงานอยู่อย่างขมักเขม้น
ผู้คนมากมายที่ยืนล้อมมุงดูอย่างหนาตา
ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอะไรก่อน
เขามีความรู้สึกว่าตัวเขาเอง เงอะๆ ง๊ะๆ ไปหมด
"สติ..." ชายหนุ่มคิด พร้อมกับรำลึกไปถึงพระอาจารย์เสกสรร
ซึ่งท่านเป็นอาจารย์ของเขา สมัยที่เขาได้มีโอกาสไปบวชเป็นพระ
"จงมีสติ อยู่กับตัว ทุกลมหายใจเข้าออก คนมีสติ ย่อมสามารถแก้ไขปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีกว่าคนไม่มีสติ คนไม่มีสติ ก็โน่นไง เดินยิ้ม เดินร้องไห้ เดินกราบไหว้เสาไฟฟ้าอยู่โน่นไง ทุกสัดส่วนของร่างกายเขา ก็ไม่ต่างไปจากคนทั่วไปเลย แต่สิ่งที่เขาไม่มีเหมือนคนทั่วไปคือ สติ... หากไม่มีสติ... ก็ไม่ต่างจากคนบ้าเหล่านั้น แล้วจะเอาปัญญาที่ไหน ไปแก้ปัญหา..." ชายหนุ่มยกมือไหว้ขึ้นท่วมหัว จิตใจระลึกไปถึงพระอาจารย์
หลายๆ คนที่เห็น อาจจะคิดว่า เขาขอให้เทวดาฟ้าดินช่วยเหลือ
หรือขอบารมีครูบาอาจารย์ให้ช่วย
แต่เปล่าเลย....
พระอาจารย์เสกสรร สอนไว้ว่า...
"ถ้าเข้าถึง พุทธ ธรรม สงฆ์ จริงๆ แล้ว คนผู้นั้นจะไม่งมงายอีกต่อไป เพราะเมื่อก่อน มนุษย์ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว เวลาเกิดปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็เอาต้นไม้บ้าง ภูเขาบ้าง เป็นที่พึ่ง บางคนก็ถือเอา รุกขเทวดา เจ้าที่ ผีสาง นางไม้ เป็นที่พึ่ง สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทางเลย สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย เมื่อเข้าถึง พุทธ ธรรม สงฆ์ ก็จะเข้าใจเรื่องกรรม การกราบไหว้ พุทธ ธรรม สงฆ์ จึงไม่ได้กราบไหว้เพื่ออ้อนวอน จึงไม่ใช่การกราบไหว้เพื่อร้องขอ แต่กราบไหว้เพื่อระลึกถึงพระคุณของท่าน ที่ช่วยทำให้เราเกิดปัญญา...."
หลังจากเขาเรียกสติกลับคืนมาแล้ว
เขาตรงดิ่งเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที
"สวัสดีครับ" ชายหนุ่มยกมือขึ้นสวัสดี
เมื่อก่อน เวลาที่เขาจะยกมือไหว้ใคร
เขาจะประเมิณคนๆ นั้นก่อนว่า อ่อนกว่า หรือแก่กว่าเขา
การพนมมือสวัสสดีของเขา ขึ้นอยู่กับอายุ
หากคนที่อายุมากกว่าเขา เขาจะเป็นฝ่ายไหว้ก่อน
หากคนที่อายุน้อยกว่าเขา เขาจะเป็นฝ่ายรอรับไหว้
เขาเปลี่ยนความรู้สึกนั้นได้ เมื่อวันที่เขาทำความเข้าใจเสียใหม่
เกี่ยวกับการพนมมือสวัสสดี
เมื่อก่อนเขาผูกติดการพนมมือสวัสสดีกับคำว่า ไหว้
การพนมมือสวัสสดีของเขา จึงขึ้นอยู่กับวัยวุฒิ
แต่วันนี้....
การสวัสสดีด้วยการยกมือพนม คืออากัปกิริยา ของการทักทายกันของคนไทย...
ดังนั้น เขาจึงไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะยกมือพนมพร้อมกับ
กล่าวคำว่า สวัสสดี กับใครๆ ก็ตาม
"การสวัสสดีแบบไทยๆ อย่าให้คนต่างชาติ ต้องมาสอนพวกเราเลย"
ชายหนุ่มคิดในใจและนึกถึงภาพที่ยังติดตาอยู่...
เป็นภาพของนางงามจักรวาลสวัสสดีพร้อมกับบิดามารดาของเธอ
"ผมเป็นเจ้าของที่นี่ครับ" ชายหนุ่มกล่าวต่อ
"พอดีเลยครับ... สารวัตร กำลังถามหาอยู่พอดีเลย"
เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งตอบเขา
เจ้าหน้าที่ตำรวจคนเดิม เดินนำหน้าชายหนุ่มเพื่อไปหาสารวัตร
หลังจากทักทายกันพอสมควรแล้ว สารวัตรบอกกับชายหนุ่มว่า
"เดี๋ยวเพลิงสงบแล้ว ผมขอเชิญที่โรงพักด้วยนะครับ"
สารวัตรหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า
"ตอนนี้เราตั้งไว้สองประเด็นคือ
ถูกลอบวางเพลิง กับ วางเพลิงเพื่อเอาประกัน"
"วางเพลิงเพื่อเอาประกัน..."
ชายหนุ่มร้องเสียงหลง
บทที่ 7 ...วิกฤติ และ โอกาส...
หลังจากสถานการณ์ไฟไหม้คลี่คลายลง
ความเสียหายที่เกิดขึ้น เรียกได้ว่า แทบไม่เหลืออะไรเลย
ชายหนุ่มกลับมาปักหลักอยู่ที่คฤหาสถ์ของเศรษฐีไม้เท้าทองคำได้ 2 วันแล้ว...
เขายังคิดไม่ตกเลยว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร
สินค้าเสียหายเกือบทั้งหมด
วันพรุ่งนี้ เขาจะต้องเข้าร่วมประชุมใหญ่กับที่ปรึกษาทั้งหมด
เพื่อสรุปหาแนวทางแก้ปัญหาต่างๆ และการวางแผนการขั้นต่อไป
"ฉันเสียใจ ที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น..."
เศรษฐีมองจ้องไปที่ดวงตาของชายหนุ่ม
"แต่ฉันก็ดีใจ ที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเช่นกัน..."
เศรษฐีพูดต่อ ซึ่งสร้างความสงสัยให้ชายหนุ่มเป็นยิ่งนัก
"ทำไมเหรอครับ..." ชายหนุ่มเอ่ยถาม
"เพราะ.. ฉันกำลังเห็นเธอเริ่มไม่ทำตามคำแนะนำของฉัน"
เศรษฐีพูดในขณะที่ชายหนุ่มขยับตัวเพื่อตั้งใจฟังยิ่งขึ้น
"เธอกำลังบริหารกระแสเงินสดแบบไม่ระวังหลัง ฉันเคยบอกเธอแล้วว่า ให้เก็บเงินสดไว้ 30% ของแต่ละธุรกิจ ก็เพื่อระวังหลังในเรื่องแบบนี้นั่นเอง"
"เกือบ 50% ของธุรกิจที่ล้มเลิกกิจการไปทั้งหลายนั้น มาจากการขาดกระแสเงินสด.. เจ้าของกิจการทั้งหลาย ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ทั้งไม่ได้เตรียมแผนการไว้รองรับหากเกิดปัญหา ซึ่งปัญหาที่เกิด อาจจะไม่ได้มาจากอุบัติเหตุในแบบของเธอเสมอไป แต่... มันมาได้ทุกรูปแบบ ปัญหาเรื่องกระแสเงินสด เป็นปัญหาที่ทุกธุรกิจ ต้องให้ความสำคัญ"
"เธอยังโชคดี ที่ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติขนาดเขาเหล่านั้น
ฉันจึงดีใจที่เธอได้บทเรียนนี้
เพื่อที่เธอจะได้ไม่พลาดในเรื่องนี้อีก...
เธออาจจะยังมองไม่เห็นทางออก
แต่ฉันเชื่อว่า เธอจะมองเห็นมัน...
... จำคำฉันไว้.... พลิกวิกฤติ ให้เป็นโอกาส"
เศรษฐีเดินจากไป ทิ้งชายหนุ่มให้อยู่กับความคิดของตัวเอง
ณ ห้องประชุมสำนักงานที่ปรึกษาของชายหนุ่ม
ที่ปรึกษาแต่ละท่าน ก็ต่างเสนอแนวทางต่างๆ
เพื่อก้าวเดินต่อ ของร้านสรรพสินค้าเมืองคูขาด
จนมาสรุปกันที่ เปิดร้านสรรพสินค้าขึ้นใหม่อีกครั้ง
เพราะคู่แข่งก็ยังไม่มี ตลาดก็กำลังสวย
ที่ปรึกษา มั่นใจถึงอนาคตของการเติบโตที่เมืองนี้ทุกคน
ชายหนุ่มยังคิดอะไรไม่ออกเลยในตอนนี้
ได้แต่สั่งให้ดำเนินการตามที่ที่ประชุมสรุป
แต่ปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ก็คือ
เงินทุนที่จะนำมาดำเนินการในครั้งนี้
เพราะหากเขานำเงินทุนสำรองของธุรกิจตัวอื่น
เพื่อมาหมุนก่อน หากเกิดปัญหาฉุกเฉินขึ้น
ไม่ใช่เพียงธุรกิจนี้ตัวเดียวเท่านั้นที่จะล้ม
แต่จะพลอยทำให้ธุรกิจอื่นๆ ล้มลงไปด้วย
ส่วนเรื่องการจะกู้เงินธนาคารเพิ่ม ตอนนี้ธนาคารก็ยังสงวนท่าทีอยู่
เนื่องจาก ได้ปล่อยกู้ให้กับเขามากพอสมควรกับทุกโปรเจ็กของเขา
ทางด้าน บริษัทประกัน ก็ยังไม่จ่ายค่าสินไหม
เนื่องจากอยู่ในระหว่างขั้นตอนการสืบสวนหาสาเหตุ
เพราะทางเจ้าหน้าที่ ยังไม่ได้ทิ้งประเด็นการเผาเพื่อเอาเงินประกัน
ตอนนี้เขากำลังติดปัญหาเรื่องเงินลงทุน
ถึงแม้เศรษฐีไม้เท้าทองคำ จะมีมากมายก็ตาม
ชายหนุ่มก็เชื่อมั่นว่า เขาคงไม่ให้เงินทุนอย่างแน่นอน
ความหนักใจทำเอาชายหนุ่มกินไม่ได้ นอนไม่หลับไปหลายวัน
หนทางแก้ปัญหาก็ยังหาไม่เจอ
"คืนนี้... เราจะไปร่วมงานเฉลิมพระชนมพรรษาของพระราชากัน
ฉันได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองในคืนนี้ด้วย
เธอควรจะไปเป็นเพื่อนฉันนะ"
เศรษฐีไม้เท้าทองคำบอกกับชายหนุ่มที่โต๊ะกาแฟมื้อเช้า
ชายหนุ่มนึกถึงองค์หญิงขึ้นมาทันที...
ใช่สิ... ตั้งแต่วันนั้น จนวันนี้ 6 เดือนแล้ว
ที่เขามุ่มมั่นอยู่กับการสร้างตัว
จนลืมนึกถึงองค์หญิงไปเลย
ภาพความสวยงามสดใสขององค์หญิงผุดขึ้นมาในมโนภาพของเขา
ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่
เศรษฐีได้แต่อมยิ้มในความตื่นเต้นของเขา
"เย็นนี้ เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน"
"ครับ" ชายหนุ่มรับคำ
ที่งานเฉลิมพระชนมพรรษา ของพระราชา
ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองนั้น ตัวลีบเล็กนิดเดียว
เมื่อเขาเห็นผู้คนมากมายที่ได้รับเกียรติมางานนี้
ความรู้สึกต่ำต้อย น้อยวาสนา มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
"ผู้คนมากมายในงาน เขาไม่ได้สนใจเลยว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน
เขาไม่ได้มองเธอด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลนเลยสักนิด"
เศรษฐีเอ่ยขึ้นเบาๆ กับชายหนุ่ม เหมือนรู้ใจว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่...
"เธอเองต่างหาก ที่คิดน้อยเนื้อต่ำใจไปเอง
คิดดูถูกตัวเอง"
เศรษฐีพูดต่อ
"ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ ทั่วไป
ที่ชอบคิดว่า ตัวเองอาภัพอับโชค น้อยวาสนา
เวลามีอะไรสะกิดใจเพียงน้อยนิด
ก็เหมือนกับมันเป็นเรื่องร้ายแรง
คิดไปเองสารพัดสารเพ"
เศรษฐียังคงอธิบายต่อ
"แต่มันก็เป็นธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง
ที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้น รวมทั้งเธอ คิดอย่างนั้น
ดังนั้น..."
เศรษฐีหยุดพูด เพื่อรอดูว่าชายหนุ่มตั้งใจฟังมากแค่ไหน
"เมื่อวันใดก็ตาม ที่เธอจะต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้อีก จงจำคำพูดของฉันไว้ให้ดีว่า.... ผู้ที่รู้สึกว่าต่ำต้อยกว่า มักจะคิดเล็กคิดน้อย หรือคิดน้อยเนื้อต่ำใจ ถ้าวันนั้น เป็นเธอเองที่คิดแบบนี้ จงรีบตั้งสติให้ดีๆ แต่ถ้าวันนั้น เป็นคนอื่นคิด เธอจะได้เข้าใจถึงจิตใจของเขามากยิ่งขึ้น ว่ามันเปราะบางขนาดไหน..." เศรษฐียิ้มให้เล็กน้อย แล้วจึงยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ
งานเฉลิมฉลองดำเนินไปอย่างสนุกสนานรื่นเริง
การแสดงต่างๆ มากมาย ทยอยขึ้นแสดงบนเวทีไม่ขาดสาย
ผู้คนมากมาย ต่างทำความรู้จักกัน
บ้างก็แนะนำเพื่อนใหม่ให้กับเพื่อนเก่า
บ้างก็เข้าไปแนะนำตนเองกับผู้หลักผู้ใหญ่
ชายหนุ่มก็เช่นกัน
วันนี้เป็นวันที่เขาได้รู้จักกับเจ้าใหญ่นายโต
ได้รู้จักกับนักธุรกิจระดับแนวหน้า จากการแนะนำของท่านเศรษฐี
สักพัก เสียงจากการแสดงต่างๆ ก็เงียบลง
ผู้คนที่จับกลุ่มคุยกัน ต่างหยุดนิ่ง
และหันมองไปทางเวที
และไม่นาน ชายหนุ่มก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างกาย
หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาเต้นข้างนอก
เส้นเลือดทุกเส้นในทุกอนูของร่างกาย ขยายตัววูบวาบไปหมด
เพราะข้างบนเวที องค์หญิง กำลังทรงถวายพระพรแด่พระราชา
ถึงแม้ที่นั่งของชายหนุ่มจะห่างไกลกับเวทีมากก็ตาม
แต่เขาก็รู้สึกราวกับว่าได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์หญิง
เขารู้สึกมีกำลังใจ ฮึกเหิม อย่างบอกไม่ถูก
หากต้องต่อสู้เพื่อเลือกอัศวินตอนนี้ เขาคงยอมสู้แบบแลกชีวิต
นี่สินะ...พลังแห่งรักและศรัทธา
ซึ่งคงไม่ได้ต่างอะไรจากสัตว์โลกอื่นๆ ที่ต่างต่อสู้กันเพื่อเป็นผู้ชนะ
ตั้งแต่เริ่มงาน จนกระทั่งงานเลิก
ชายหนุ่มไม่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับองค์หญิงเลยแม้แต่น้อย
การที่เขาเห็นองค์หญิงบนเวทีนั่นแหล่ะ คือการได้ใกล้ชิดที่สุดแล้ว
ผิดกับเหล่าองค์ชายจากเมืองต่างๆ ทั้งหลาย
ที่ได้มีโอกาสรายล้อมอยู่รอบๆ องค์หญิง
แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว สำหรับเขา
6 เดือนเต็มๆ ที่เขายุ่งอยู่แต่กับงาน
จนลืมคิดถึงองค์หญิงไปเสียสนิท
นั่นก็เป็นเพราะความฝันที่ยิ่งใหญ่ และเป้าหมายที่หนักอึ้ง
ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ ความเหน็ดเหนื่อย
ความท้อใจ ทั้งหลาย มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง
เสมือนมีพลังบางอย่างกระตุ้นให้เขากระโจนออกไป ให้ถึงเป้าหมายโดยเร็วที่สุด
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสถ์ของท่านเศรษฐี
แน่่ใจได้เลยว่า... ในค่ำคืนนี้ชายหนุ่มคงไม่สามารถข่มตาให้หลับได้อย่างแน่นอน
เศรษฐีเองก็รู้ดี จึงนั่งคุยเป็นเพื่อนกับเขา
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอในวันนี้ คือพลังขับเครื่องที่วิเศษ" เศรษฐีเอ่ยขึ้น
"บนเส้นทางสู่ความสำเร็จ ถึงแม้เป้าหมายจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพลังขับเคลื่อนที่วิเศษแบบนี้มาหนุน บางคนก็คือ คนรัก บางคนก็คือ ครอบครัว บางคนก็คือ พ่อ แม่ ลูก"
"พลังเหล่านี้ จำเป็นอย่างยิ่งยวด เมื่อวันที่เจอวิกฤติ
หลายๆ คน ถึงกับฆ่าตัวตาย
เพราะเขาไม่มีโอกาสได้รับพลังเหล่านี้"
"มันจะปรากฎแก่ใจเธอเองเลยว่า ก่อนหน้านี้
เธอกลุ้มใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น เหมือนมันเป็นปัญหาใหญ่โต
แต่เวลานี้ ปัญหาเหล่านั้น มันจิ๊บจ๊อยไปเลยใช่ไหม"
เศรษฐีหันไปถามชายหนุ่ม
"ครับ..." ชายหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเขินอาย
"ความจริงแล้ว ไอ้ปัญหาที่เธอยังแก้ไม่ตกตอนนี้นั้น
มันยังเล็กน้อย....
วันข้างหน้า บนเส้นทางธุรกิจ...
เธอยังจะต้องเจอหนักหนาสาหัสกว่านี้อีกหลายเท่านัก..."
"นอกจากพลังที่ฉันพูดถึงไปแล้วนั้น
ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่จะช่วยให้เธอไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ อย่างไม่ท้อถอย"
"เธอต้องเข้าใจธรรมชาติของเส้นทางสู่ความสำเร็จ และธรรมชาติอันนั้นก็คือ... เส้นทางสู่ความสำเร็จ เรียงรายไปด้วยความล้มเหลว ฉันผ่านชีวิตมาจนถึงบัดนี้ ฉันเองก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใคร สำเร็จได้โดยไม่เคยล้มเหลวมาก่อนเลย"
"ความล้มเหลวหรือปัญหาอุปสรรคนี่แหล่ะ คือตัวคัดกรองคนจริง ออกจากคนไม่จริง.... ใครผ่านไปไม่ได้ ก็กลับเข้าไปรวมกับกลุ่มคนธรรมดาทั่วไป และเช่นเดียวกัน... หากใครผ่านตัวคัดกรองนี้ไปได้ ก็จะได้ชื่อรวมกลุ่มกับคนประสบความสำเร็จ และเป็นที่กล่าวถึง ของคนทั่วไป รวมทั้งขอเคล็ดลับในความสำเร็จนั้น"
"จงจำไว้ว่า.... ผู้ที่ล้มเลิกก่อน... ไม่เคยไปถึงเป้าหมาย" กล่าวจบ เศรษฐีก็ขอตัวไปนอน
เสียงโทรศัพท์ดังปลุกชายหนุ่มตั้งแต่เช้า
"นายครับ...
ที่เมืองคูขาด มีร้านสรรพสินค้า แบบเดียวกับเรา
เปิดให้บริการแล้วครับ"
เสียงรายงานจากปลายสาย ทั้งตะกุกตะกัก ทั้งรีบร้อน
"แล้วรู้ไหมว่า เป็นร้านของใคร" ชายหนุ่มถามออกไป
"เป็นร้านของเสี่ยวิชัยครับ" ปลายสายตอบกลับมา
เสี่ยวิชัยนี่ก็คือเจ้าของบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า
ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำตลาดสินค้าให้กับเจ้าของแบรนด์เนมต่างๆ
ปกติแกจะไม่เล่นตลาดขายปลีก แต่เน้นหนักไปที่การขายส่ง
วันนี้แกนึกแปลกอะไรขึ้นมา จึงได้มาเปิดร้านสรรพสินค้าที่เมืองคูขาด...
"ร้านเขาใหญ่ขนาดไหนเหรอ" ชายหนุ่มถามขึ้น
"เท่าๆ กับร้านเก่าของเราที่ถูกไฟไหม้นั่นแหล่ะครับ"
ปลายสายตอบกลับมา
"บ่ายโมงตรงวันนี้ เรียกประชุมที่ปรึกษาด่วน"
ชายหนุ่มสั่งกลับไป
"ครับผม..." เสียงจากปลายสายตอบกลับมา พร้อมกับวางสายไป
ชายหนุ่มกัดกรามแน่น สายตาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย...
ปัญหาเรื่องร้านถูกไฟไหม้ ยังไม่ทันได้แก้ไขเลย
ก็ดันมาเจอปัญหาใหญ่นี้อีกแล้วสิ
แต่ยังไงเขาก็จะต้องฟันฝ่ามันไปให้ได้
"คนล้มเลิกก่อน ไม่เคยไปถึงเป้าหมาย"
คำพูดของเศรษฐีไม้เท้าทองคำยังดังก้องอยู่ในหูของเขา
ที่ห้องประชุมสำนักงานที่ปรึกษาของชายหนุ่ม
"เรามีทางเลือกอยู่ 2 ทาง" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
"หนึ่ง ถอย หรือ สองเปิดให้ใหญ่กว่าคู่แข่ง"
พูดจบ ชายหนุ่มก็มองดูหน้าของที่ปรึกษาแต่ละคน
ว่าคิดเห็นกันอย่างไร
"ถ้าจะเปิดใหญ่กว่าเก่า เราจะหาเงินทุนมาจากที่ไหน
ขนาดจะเปิดเท่าเดิม ตอนนี้เราก็ยังติดปัญหาเรื่องนี้อยู่เลยครับ"
ที่ปรึกษาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
"เรื่องเงิน ผมพอมีทางออกอยู่ ว่าแต่
เราลองมาช่วยกันวิเคราะห์หน่อยสิว่า
ถ้าเปิดเป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่โต จะคุ้มค่าการลงทุนหรือไม่"
ชายหนุ่มตอบ ทั้งๆ ที่ในใจนั้น ยังไม่แน่ใจเรื่องช่องทางการหาเงินทุนเลย
ที่ประชุมต่างก็หาเหตุผลมาวิเคราะห์กันยกใหญ่
จนในที่สุด ก็ได้ข้อสรุปว่า ทำห้างสรรพสินค้า
"อีกสามวัน ผมจะให้คำตอบเรื่องเงินลงทุน"
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น พร้อมกับกล่าวปิดการประชุม
สามวันมานี้ ชายหนุ่มวิ่งวุ่นอยู่กับการเข้าพบผู้คน
เพื่อเสนอขายหุ้น...
การเพิ่มผู้ถือหุ้น เป็นทางเลือกที่ชายหนุ่มตัดสินใจ
เนื่องจากธนาคารไม่ปล่อยกู้เพิ่ม
การจะระดมเงินทุนก็มีวิธีนี้อีกหนึ่งทาง
การที่เศรษฐีไม้เท้าทองคำแนะนำเขาให้รู้จักบุคคลต่างๆ ในงานคืนนั้น...
มันกลับกลายเป็นโอกาสให้กับเขา
สัดส่วนการถือหุ้นของเขาเหลืออยู่เพียง 25%
แต่เขาก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่
เพราะเขากระจายหุ้นออกไปหลายบุคคล
เมื่อทุกอย่างพร้อม ห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งเมืองคูขาดจึงเริ่มต้นขึ้น...
แต่กว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ จนเปิดบริการได้
มันก็คงเลย กำหนดเวลา 1 ปี ของเขาแล้วล่ะ
เพราะเขาเหลือเวลาอีกแค่ 5 เดือนกว่าๆ เอง
ขณะที่ปล่อยให้ธุรกิจห้างสรรพสินค้าดำเนินการไปนั้น
ชายหนุ่มก็ออกพบปะแวะเวียนเพื่อเยี่ยมเยียนบุคคลต่างๆ ที่เขารู้จัก ทั้งใหม่และเก่า...
เพื่อเสาะแสวงหาโอกาสใหม่ๆ นั่นเอง
การที่เขาเห็นโอกาสต่างๆ จนสร้างตัวมาถึงจุดนี้ได้
ก็เพราะเขาเปิดตัวเองออกสู่โลกใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ
สถานที่ใหม่ๆ บวกกับสายตาอันชาญฉลาดของเขา
ทำให้มองเห็นโอกาสดีๆ อยู่เสมอๆ
ทุกวันนี้ ชายหนุ่มรู้ซึ้งถึงคำพูดที่ว่า
"เงินทองมีอยู่มากมายบนท้องถนน อยู่ที่ใครจะมองเห็นมัน และไขว่ขว้าเอามา"
ทุกวันและทุกย่างก้าว
เขาเห็นโอกาสที่จะทำเงินมากมายจริงๆ
แต่มันไม่ใช่หนทางที่เขาจะสร้างตัวได้โดยเร็ววัน
มันก็แปลกดีเหลือเกิน...
คนที่ดินรนเพื่อหาโอกาส กลับมองไม่เห็นโอกาส
คนที่เห็นโอกาส กลับก้าวล่วงเกินกว่าที่จะมาจับโอกาสเหล่านั้น...
และที่สำคัญ... ไม่สามารถหยิบยื่นโอกาสที่เห็น ให้กับใครได้
ถึงแม้จะชี้แนะอย่างไร เขาก็ไม่เข้าใจหรือมองไม่ออกสักที
และก็เพราะเหตุนี่อีกล่ะสิ ที่ทำให้โอกาสยังคงมีอยู่เรื่อยไป
ทุกยุคทุกสมัย รอให้ใครบางคนมองเห็นมันเข้า
"เธอเข้าใจแล้วสิว่า...
ทำไมวันแรกที่เธอมาหาฉัน
ฉันจึงไม่บอกโอกาสดีๆ อะไรกับเธอเลย"
เศรษฐีกล่าวขึ้น หลังจากพูดคุยกันเรื่องโอกาสกับชายหนุ่ม
"ใครไม่เห็นมันด้วยตัวเอง ย่อมไม่สามารถปั้นมันขึ้นมา จากคำบอกเล่าของคนอื่นได้"
ชายหนุ่มตอบ
บทที่ 8 ...ศักยภาพที่ซ่อนเร้น...
"ฉันมีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้เธอฟัง" เศรษฐีเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่ม ชายหนุ่มขยับตัวเพื่อที่จะตั้งใจฟัง เพราะเขารู้ดีว่า อยู่ดีๆ ท่านเศรษฐีคงไม่เล่านิทานให้เขาฟังเฉยๆ เป็นแน่แท้ มันจะต้องมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ท่านอยากจะให้คำแนะนำ หรือให้อุทาหรกับเขา และก็ไม่แน่เหมือนกัน เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกับเขาโดยตรงเลยก็เป็นได้
เมื่อเห็นชายหนุ่มพร้อมที่จะฟังแล้ว เศรษฐีจึงเริ่มเรื่อง
"ที่หมู่บ้านคนเลี้ยงช้าง เขาจะพากันเข้าป่าเพื่อไปจับเอาช้างมาเลี้ยงเพื่อใช้งาน แต่การจะฝึกช้างป่าเพื่อให้เชื่องและใช้งานได้ จึงต้องเอาลูกช้างป่ามาเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ และค่อยๆ ฝึก" เศรษฐีชำเรืองมองดูชายหนุ่มที่คงกำลังงงๆ อยู่ว่าทำไมเล่าเรื่องช้าง และก็เล่าต่อว่า
"สิ่งแรกที่คนเลี้ยงช้างทำเมื่อได้ลูกช้างป่ามาก็คือ ทำให้มันเจ็บและกลัวเกรงมนุษย์ เพื่อเป็นการบอกมันว่า มนุษย์ สามารถทำให้มันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส หรือแม้แต่ทำอันตรายถึงชีวิตของมันได้ ถ้ามันไม่อยากเจ็บปวดหรืออยากมีชีวิตรอด มันต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและเชื่อฟังมนุษย์"
"นั่นคือการปลูกฝังจิตใต้สำนึกของช้างให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น... ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นโดยไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ แต่มันส่งผลเช่นเดียวกันกับที่มนุษย์ทำ สิ่งนั้นก็คือ เมื่อเสร็จจากการนำลูกช้างป่าไปฝึกกลับมาถึงบ้าน คนเลี้ยงช้างก็จะนำโซ่มาผูกไว้ที่ขาหลังข้างหนึ่งของมัน และผูกปลายอีกข้างของโซ่ไว้กับต้นเสา เป็นเช่นนี้อยู่ทุกๆ วัน และก็เช่นกัน เมื่อคนเลี้ยงช้างไปแล้ว เจ้าช้างน้อยก็คิดว่าตนเองเป็นอิสระ จะเดินไปไหนก็ได้ แต่ทันทีที่มันเดินไกลจากต้นเสาจนโซ่ตรึง... โซ่ก็จะรั้งขาด้านหลังของมันไว้ มันเองก็พยายามดึงเพื่อให้หลุด แต่ทั้งโซ่และต้นเสา เกินกำลังของช้างตัวน้อยๆ ที่จะเอาชนะได้ สิ่งหนึ่งที่มันเรียนรู้ก็คือ ยิ่งดึงแรงเท่าไร มันก็จะยิ่งเจ็บขามากเท่านั้น"
"วันแล้ววันเล่า มันก็ยังคงดึงเพื่อให้หลุดอยู่ทุกครั้งที่โดนล่ามโซ่เส้นนี้กับต้นเสาต้นนี้ จนในที่สุด การดึงของมันจึงดึงเพียงแค่โซ่ตึง แล้วมันก็ผ่อนแรง เพราะมันรู้ว่าถ้าดึงแรงไปกว่านั้น มันจะเจ็บขาอย่างแน่นอน ความต้องการหลุดออกไปจากพันธนาการนั้นก็มี แต่การดึงเพื่อเอาชนะก็เจ็บ วันเวลาผ่านไป มันก็ยอมจำนนแต่โดยดีว่า เมื่อถูกล่ามโซ่กับต้นเสา มันจะไม่สามารถไปไหนได้ และเมื่อมันเติบใหญ่ขึ้นมา มีพละกำลังมหาศาล ชักลากขอนไม้ใหญ่โตมโหฬาลขนาดไหนก็ได้ ใช้แรงกำลังตามที่มนุษย์จะบงการได้ทุกอย่าง"
"แต่เมื่อตกเย็น คนเลี้ยงช้างนำมันมาผูกโซ่ไว้กับต้นเสาที่เดิมที่มันถูกล่ามไว้ตั้งแต่ยังเล็ก มันกลับไม่สามารถเอาชนะเพียงแค่โซ่และต้นเสาต้นเล็กๆ เมื่อเทียบกับตัวของมันที่ใหญ่โต ณ เวลานี้ได้ มันก็เพียงแค่เดินไปด้านหน้าพอให้โซ่ดึงขามันจนตึง แล้วมันก็ผ่อนแรงและเดินกลับเป็นอยู่เช่นนี้ไปจนวันที่มันตาย"
เศรษฐีนิ่งเงียบไปแต่ยังคงจ้องมองที่หน้าของชายหนุ่ม
"การจะประสบความสำเร็จในเส้นทางธุรกิจก็เช่นเดียวกัน... มันจะมีกับดักฝังเข้าไปทางจิตใต้สำนึกโดยที่เราไม่รู้ตัว จนทำให้ความพยายามที่จะประสบความสำเร็จไม่เป็นผล เพราะขาดกำลังและความทุ่มเทที่มากพอ โซ่กับต้นเสาในนิทาน มันก็คือความล้มเหลวแต่ละครั้ง รวมทั้งเสียงของคนรอบข้างตัวเรา ที่มักจะคอยบอกเราเสมอๆ ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นทำอะไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็มักจะบอกว่า มันทำไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ เมื่อฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเรามากเข้าๆ ความลังเลในความสำเร็จจะเกิดขึ้นทันที ยิ่งนำมารวมเข้ากับจำนวนครั้งที่ล้มเหลว พลังแห่งศักยภาพในตนเองที่แท้จริง จะไม่ถูกขับเคลื่อนออกมา"
"แต่ความสำเร็จกลับต้องการพลังที่ซ่อนเร้นนั้น ความสำเร็จต้องการความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ความสำเร็จต้องการความทุ่มเทจากศักยภาพทั้งหมดที่มี"
"คนทุกคนมีศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่ไม่ทุกคนที่สามารถนำศักภาพที่ซ่อนเร้นนั้นออกมาใช้ได้ จึงทำให้ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ทุกคน"
"นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นๆ อีก ที่จะส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ... แล้วฉันจะค่อยๆ เล่านิทานให้เธอฟังบ่อยๆ..." กล่าวจบ เศรษฐีก็ขอตัวเข้านอน ทิ้งให้ชายหนุ่มนึกทบทวนถึงเรื่องที่เศรษฐีเล่าให้ฟัง พร้อมกับพิจารณาตัวเองว่ามีอะไรที่บ่งบอกว่าเขาเป็นแบบช้างหรือไม่
"สวัสดีค่ะ คุณเป็นเจ้าของบ้านที่ติดป้ายประกาศให้เช่า ใช่ไหมคะ"
เสียงสุภาพสตรีคนหนึ่งดังขึ้นมาตามสายโทรศัพท์ ถามถึงบ้านที่ชายหนุ่มซื้อไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
"ใช่ครับ... คุณต้องการจะเช่าบ้านเหรอครับ"
ชายหนุ่มตอบกลับไป
"เปล่าค่ะ... ดิฉันต้องการขอซื้อต่อคุณค่ะ"
สุภาพสตรีปลายสายตอบกลับมา
"ถ้าอย่างนั้น รอผมสักครู่นะครับ ผมจะเปิดบ้านให้คุณดู ประมาณ 15 นาทีผมจะไปถึงที่บ้านหลังนั้นครับ" ชายหนุ่มกำลังว่างอยู่พอดี และอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นด้วย
"ได้ค่ะ"
หลังจากพาสุภาพสตรีท่านนั้นดูบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ตกลงราคาขายได้ที่ 5 แสนบาท ซึ่งก็เป็นราคาซื้อ-ขายกันในตลาด ณ เวลานั้น
"ซื้อบ้านหลังนี้ไม่ถึง 5 วัน ทำเงินได้ตั้ง 2 แสน"
ชายหนุ่มคิดในใจ "ถ้าอย่างนั้น ROI ก็คือ (200,000/12,000)*100 ได้เท่ากับ 1,666.66% ในเวลาไม่ถึง 5 วันนั่นเอง"
ชายหนุ่มเริ่มทบทวนที่ไปที่มาของโอกาสในครั้งนี้ เขาได้บ้านหลังนี้มาโดยบังเอิญ เพราะเจ้าของเก่ามาบอกขายให้เขา แล้วทำไมเขาจึงได้ราคาถูกกว่าราคาตลาดมากมายนักล่ะ ก็เพราะว่าเจ้าของเก่าขี้เกียจรอเวลา ต้องการเงินสดในทันที หรือไม่ก็กำลังร้อนเงินอย่างหนัก
ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตาม... มันน่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกอย่างแน่นอน
แต่มันคงไม่ลอยมาหาเราเองง่ายๆ แบบนี้บ่อยนัก เราจะต้องเป็นฝ่ายไปหาโอกาสเองดีกว่า
ว่าแล้วชายหนุ่มก็ออกตะเวนไปตามที่ต่างๆ เพื่อดูป้ายประกาศขายบ้าน และดูบ้านด้วยตัวเอง เพื่อดูสภาพบ้านว่าทรุดโทรมมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้เขามีวงเงินอยู่ 2 แสน เพื่อใช้เป็นเงินวางดาวน์ ซึ่งก็น่าจะกู้ธนาคารได้ที่วงเงิน 5 ล้านบาท เขาเพ่งความสนใจไปที่บ้านมือสอง แทนที่จะเป็นบ้านสร้างใหม่ เพราะบ้านสร้างใหม่นั้น ราคาขาย ย่อมเป็นราคาตลาดอยู่แล้ว และบ้านมือสองที่เขามองหาก็คือ บ้านที่ดูโทรมๆ ซอมซ่อ แต่หากจับมาปรับปรุ่งแต่งเติมแล้วกลายเป็นบ้านใหม่ที่สวยงามได้ราคา เรื่องแบบนี้ ต้องอาศัยการมองเป็นด้วย
เมื่อเจอบ้านเป้าหมายที่เขาต้องการแล้ว เขาจะทำการต่อรองราคาไปที่ 50% ของราคาตลาด นั่นก็แสดงว่า เขาได้สืบราคาตลาดของแต่ละทำเลเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แล้วก็รอการต่อรองราคา และเขาก็จะจบเต็มที่ไม่เกิน 70% ของราคาตลาด...
"ได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร" ชายหนุ่มคิด
สองเดือนผ่านไป... ชายหนุ่มได้บ้านมาแค่ 5 หลังที่เข้าเงื่อนไขที่เขาตั้งใจไว้ หลังจากปรับปรุ่งให้สวยงามแล้ว เขาขายไปได้แล้ว 3 หลัง อีกสองหลังให้คนเช่าอยู่
"ขายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะคนเช่าบ้านเป็นคนจ่ายค่าผ่อนงวดธนาคารให้"
ชายหนุ่มคิดเกี่ยวกับบ้านอีก 2 หลังที่ขายยังไม่ได้
ภายใน 2 เดือน ชายหนุ่มมีเงินสดในมือ 2 ล้านบาท จากเงินสด 12,000 บาทในตอนเริ่มต้น บ้าน 5 หลังที่เขาได้มานั้น เป็นผลมาจากการที่เขาไปดูบ้านเป็น 100 หลังทีเดียว... มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ในการที่จะทำเงินด้วยวิธีนี้ อาศัยความขยันและสายตาที่แหลมคม บวกกับความใจเย็นไม่อยากได้เป็นที่ตั้ง...
" 5.5 ล้านบาท ไม่แพงเลยครับสำหรับคอนโดสวยหรูใจกลางเมืองแบบนี้"... นายหน้าขายคอนโดพูดกระตุ้นให้ชายหนุ่มอยากซื้อ หลังจากที่เขาเห็นประกาศขายคอนโดห้องนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่คอนโดใหม่ แต่สภาพห้องและเฟอร์นิเจอร์ อยู่ในระดับของใหม่เลยทีเดียว แสดงว่าเจ้าของอยู่เอง และดูแลรักษาเป็นอย่างดี
เขาประมาณราคาตลาดแล้ว น่าจะอยู่ที่ 5.5 - 6 ล้านบาท นายหน้าเสนอราคามาที่ 5.5 ล้านบาท
"4 ล้าน" ชายหนุ่มเสนอราคากลับไป
"คุณลองไปคุยกับเจ้าของคอนโดดูก็แล้วกันครับ แล้วยังไง ติดต่อกลับมาหาผมอีกทีก็แล้วกัน" ชายหนุ่มแสดงทีท่าว่าอยากได้ แต่ไม่ง้อราคา
แน่นอน.... ชายหนุ่มเข้าใจดีว่า นายหน้าย่อมต้องอยากได้ราคาสูงๆ เพราะค่านายหน้าที่เขาจะได้ย่อมมากขึ้นไปด้วย อย่างกรณีนี้ ค่านายหน้าอยู่ที่ 3-5 % อย่างแน่นอน
นายหน้าเสนอราคามาที่ 5.5 ล้าน เพราะเขาก็ต้องชั่งใจแล้วล่ะว่า เป็นราคาที่น่าจะเรียกได้ และคนซื้อก็น่าจะพอใจซื้อในราคานี้ด้วย เพราะก็รู้ราคาตลาดเป็นอย่างดีเช่นกัน และงานนี้ นายหน้าจะได้ค่านายหน้า อย่างน้อยที่สุด 3% ก็เป็นเงิน 1.65 แสนบาท ไม่น้อยเลยทีเดียว
"5 ล้านบาทครับ เจ้าของเขายืนกรานว่าขอขายในราคานี้"
เสียงนายหน้าโทรมารายงานชายหนุ่มในวันรุ่งขึ้น
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน..." ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
"ผมจะให้คุณ 10% ทุกๆ บาทที่คุณสามารถลดลงได้จาก 5 ล้าน" ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอกลับไป
นายหน้าไม่ใช่เจ้าของคอนโด ที่เขามาทำงานนี้ก็เพราะค่านายหน้าที่เขาจะได้รับ... และถ้านายหน้าลองกลับไปคำนวณดูข้อเสนอของเขา การลดราคาให้ได้มากที่สุด ย่อมทำให้เขาได้เงินมากกว่าการเสนอราคาให้ได้สูงที่สุด...
นายหน้าจึงกลับไปหาเจ้าของคอนโดน และยกแม่น้ำทั้ง 500 สาย สารพัดเรื่อง มาประกอบ เพื่อจูงใจให้เจ้าของคอนโดลดราคาลงมาอีก สุดท้าย ราคาก็มาจบกันที่ 4 ล้านบาท นายหน้าได้ 3% จากเจ้าของเป็นเงิน 1.2 แสนบาท และได้จากชายหนุ่ม 10% ของเงินที่ลดลงมาคือ 1 ล้านบาท เป็นเงิน 1 แสนบาท รวมแล้วเขาได้เงินจากการขายครั้งนี้ 2.2 แสนบาท ซึ่งถ้าเขาขายที่ 5 ล้าน จะได้เงินค่านายหน้าเพียง 1.5 แสนบาท
ชายหนุ่มเองก็พอใจไม่น้อย เพราะเขาเสียเงิน 1 แสนบาท เพื่อประหยัดไป 9 แสนบาท คุ้มจะตายไป และเขามั่นใจว่าขายได้ไม่ต่ำกว่า 5.5 ล้านบาทอย่างแน่นอน
8 เดือนผ่านไป.... ฐานะของหนุ่มน้อยชาวนา ยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของมหาเศรษฐีไม่เท้าทองคำเลย... เขามีเวลาเหลืออยู่เพียง 4 เดือนเท่านั้น...
ธุรกิจที่เขามีอยู่ตอนนี้ก็คือ
1.ธุรกิจน้ำผักและผลไม้ ซึ่งพัฒนามาจาก การขายน้ำอ้อยสด เขามีทั้ง โรงงานผลิตเอง และบริษัทจัดจำหน่ายเอง การขนส่งไปยังเมืองต่างๆ ก็จากบริษัทขนส่งสินค้าของเขา กำไรจากผลประกอบการทั้งหมด หลังจากหักเป็นเงินสำรองตามการเติบโตแล้ว ก็นำไปพัฒนาธุรกิจให้เติบโตขึ้นไปอีก
2.ธุรกิจรองเท้า เกิดจากความบังเอิญที่ได้ยินเรื่องเมืองคูขาดที่ไม่ชอบใส่รองเท้ากัน... ตอนนี้เขามีแบรนด์เป็นของตัวเอง แต่จ้างโรงงานอื่นผลิตอีกที โดยที่บริษัทเขาเป็นผู้ออกแบบ รองเท้าของเขาเริ่มติดตลาดเป็นที่รู้จักไปทุกเมือง คาดว่า ไม่เกิน 6 เดือนจากนี้ไป จะต้องขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง
3.ห้างสรรพสินค้า พัฒนามาจาก ร้านรองเท้า บวกกับ วิกฤตจากไฟไหม้และคู่แข่ง ขณะนี้อยู่ในการก่อสร้างตัวอาคาร ยังไม่ได้เปิดดำเนินการ คงต้องใช้เวลาอีกเกือบปีจึงจะเสร็จ
ธุรกิจตัวนี้ เขาถือหุ้นอยู่ 25% แต่ก็เป็นหุ้นใหญ่ สาเหตุเพราะปัญหาทางด้านการเงินที่เติบโตไม่ทันธุรกิจ
4.บริษัทจัดจำหน่ายสินค้า พัฒนามาจากการขยายร้านรองเท้าให้เป็นร้านสรรพสินค้า และเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำ จึงเปิดบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า รับสินค้าจากผู้ผลิต นอกจากขายเองที่ร้านแล้ว ยังส่งขายให้กับร้านอื่นๆ ทั่วไป ทุกๆ เมือง
5.บริษัทจัดส่งสินค้า พัฒนามาจาก การรับและส่งสินค้าทางการเกษตร ไปยังเมืองต่างๆ เนื่องจากต้องการลดต้นทุนทางการขนส่ง จึงให้คนอื่นจ่ายค่าขนส่งให้ โดยการรับจ้างขนส่งสินค้า แถมยังมีกำไรอีกต่างหาก ธุรกิจเริ่มเป็นที่รู้จัก
6.บริษัทการเกษตรครบวงจร พัฒนามาจาก การต้องการให้ชาวเมืองได้ลองใส่รองเท้ากัน โดยให้สินค้าการเกษตรเป็นตัวจ่ายค่ารองเท้าให้ชาวเมือง แต่ได้ผลเกินคาด ทำให้เกิดเป็นธุรกิจขึ้นมา ตอนนี้กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
7.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เริ่มมาจากการที่มีคนมาบอกขายบ้านให้ แต่ธุรกิจตัวนี้ เขายังไม่สามารถพัฒนาให้มันเดินเองได้ เพราะเขาเองต้องเป็นผู้ออกตระเวนหาบ้านเป้าหมาย ยังหาระบบให้คนอื่นทำแทนไม่ได้
"ผมมีเวลาเหลืออีกแค่ 4 เดือนเองครับ... ผมยังมองไม่เห็นหนทางเลย..."
ชายหนุ่มปรับทุกข์กับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ
"ธุรกิจต่างๆ ก็อยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัว ถึงแม้จะทำเงินได้มากอยู่... แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้เป้าหมายเลยครับ"
ชายหนุ่มทอดสายตาอย่างเหนื่อยหน่าย
"เธอคิดจะยอมแพ้แล้วเหรอ..." เศรษฐีถามขึ้น
"เปล่าครับ... ผมจะไม่ยอมแพ้ จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย"
ชายหนุ่มตอบ
"งั้นก็ดีแล้ว.... ฉันมีอะไรบางอย่างอยากจะบอกเธอ..."
เศรษฐีเอ่ยขึ้น
"มีอยู่หนทางหนึ่งที่จะทำให้เธอเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน"
เศรษฐีกล่าวต่อ ชายหนุ่มถึงกับโยกตัวเข้ามาใกล้ๆ เพื่อไม่ให้พลาดคำพูดทุกคำของเศรษฐี...
"เธอเคยผ่านวิกฤตมาแล้ว... และเธอก็ได้รับโอกาสที่เกิดขึ้นจากวิกฤต นั้น..."
เศรษฐีหยุดมองหน้าชายหนุ่ม
"นอกจากเธอเองที่เจอวิกฤต... ก็ยังมีคนอีกมากมายที่กำลังเจอวิกฤตเช่นกัน...
ธุรกิจดีๆ หลายๆ ตัว ต้องปิดกิจการลง เพราะผู้บริหารไม่สามารถแก้ไขวิกฤตนั้นได้..."
"มันน่าเสียดายธุรกิจดีๆ เหล่านั้นเหลือเกิน... หากเธอเข้าไปเจอธุรกิจเหล่านั้นได้ถูกจังหวะ โอกาสก็จะเป็นของเธอ...."
หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของท่านเศรษฐีมาทั้งคืน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง... แต่สิ่งแรกที่เขาจะต้องทำคือ ผ่องถ่ายธุรกิจด้านอสังหาฯ ไปให้ที่ปรึกษารับลูกไปเล่นต่อ
ดังนั้น การประชุมของที่ปรึกษาในวันนี้จึงเกิดขึ้น หลังจากชายหนุ่มเล่าประสบการณ์ในเรื่องที่เขาได้ลองทำเงินจาก อสังหาฯ.... ให้กับกลุ่มที่ปรึกษาฟัง และตอนนี้ เขาก็รอฟังความคิดเห็นของทีมที่ปรึษาแต่ละคน... ว่ามีแนวทางสร้างระบบอะไรขึ้นมาจับธุรกิจนี้
ไม่น่าเชื่อว่า... จากที่เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้ เขาต้องทำเองเท่านั้น แต่ตอนนี้ ข้อสรุปของที่ประชุม กลับสร้างความพึงพอใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก... เพราะเขาสามารถวางมือได้โดยที่ธุรกิจนี้ ก็ยังดำเนินต่อไปได้
สิ่งสำคัญตัวแรกของความสำเร็จในธุรกิจนี้คือ อสังหาฯ ที่เราต้องเห็น และจากประสบการณ์ของชายหนุ่มนั้น 100 หลัง ได้ 5 หลัง ที่ประชุมจึงสรุปออกมาว่า จะต้องเป็นสื่อกลาง การซื้อ-ขาย อสังหาฯ เพื่อสร้างโอกาสให้กับตนเอง ในการได้เห็นสินค้าให้ได้มากที่สุด
วารสาร-เว็บไซด์-คอลเซ็นเตอร์ จึงเกิดขึ้น พร้อมทั้งเกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่างๆ เช่น -รับบริหาร อสังหาฯ ให้เช่าทุกชนิด โดยหัก 20% จากค่าเช่า -บริการให้ข้อมูล อสังหาฯ ให้เช่าทุกชนิด ด้วยสื่อ ทั้ง 3 -บริการฝากซื้อ-ฝากขาย อสังหาฯ ทุกชนิด -ฯ
ชายหนุ่มมอบทุนทั้งหมดที่เขาทำได้จากอสังหาฯ ที่ผ่านมา เป็นเงินลงทุนกับโปรเจ็กนี้... จากนั้น เขาก็มุ่งสู่เรื่องที่อยากจะทำ หลังจากคิดทบทวนคำพูดของเศรษฐีเมื่อคืน...
บทที่ 9 ...เป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน...
ชายหนุ่มนำตัวเองเข้าสู่สังคมของผู้ประกอบการต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น หอการค้า สมาคม ชมรม ฯ
จุดประสงค์ของเขาก็คือ เพื่อได้พบกับผู้ประกอบการที่กำลังเจอวิกฤติ
แน่นอน... เขามีเวลาเหลือแค่ 4 เดือน เพื่อโอกาสสุดท้ายในการจะรวยที่สุด...
ถึงแม้เขาจะยังมองไม่เห็นหนทางเลย
แต่เขาก็ไม่ย่อท้อสักนิด ไม่เคยคิดที่จะถอดใจ
ยังคง มุ่งมั่น แน่วแน่ หาโอกาสต่อไป...
วันเวลาก็ยิ่งผ่านไป...
แต่เขาก็ยังไม่เห็นโอกาสเหมาะๆ
ถึงแม้จะมีผู้ประกอบการที่เจอวิกฤต หลายๆ กิจการก็ตาม
เขาได้ให้คำแนะนำ ตามวิสัยทรรศน์ ที่เขามองเห็น
เพื่อแก้ปัญหาให้กับ ผู้ประกอบการเหล่านั้น
สิ่งที่เขาให้ไป... ก็ส่งผลให้เขามีผู้คนนับหน้าถือตามากขึ้นเรื่อยๆ
จากการที่เขาได้พบปะพูดคุยกับนักธุรกิจหลายๆ คน
เขามองเห็นทัศนคติของคนประสบความสำเร็จกับคนที่ล้มเหลว
อย่างหนึ่งเลยก็คือ ทัศนคติต่อปัญหาที่พบเจอหรือปัญหาต่างๆ ที่จะเจอในการทำงาน
"เคยมีคนถามผมว่า... ผมไม่เจอปัญหาอุปสรรค์ในการทำงานบ้างเลยหรือ
เพราะดูเหมือนว่าผมทำธุรกิจตัวไหน มันก็ช่าง่ายดายซะเหลือเกิน"
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นกับเศรษฐี และพูดต่อว่า
"ผมนิ่งคิดอยู่ตั้งนาน ก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะเจอปัญหาเรื่องไหนหนักหนาสาหัสซักตัว
แต่พอได้พูดคุยกับนักธุรกิจที่ล้มเหลว ปัญหาต่างๆ
ที่เขายกมาพูดคุย มันเป็นปัญหาที่ผมก็เจอมาเหมือนๆ กัน
สำหรับพวกเขา มันเป็นปัญหาที่ใหญ่และเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ
แต่สำหรับผม เรื่องเหล่านั้น ไม่เคยเข้ามาอยู่ในสมองของผมเลย
เพราะผมมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ยังไงก็ต้องเจอ
เจอแล้วก็แก้ไข แก้ไขเสร็จก็ไปเจออันใหม่อีก แล้วก็แก้ไขต่อไป
มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว"
เศรษฐียังคงนั่งฟังเงียบๆไม่แสดงความคิดเห็นอะไร ชายหนุ่มยังคงพูดต่อไปอีก
"เช่นเดียวกับนักธุรกิจส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ เขาไม่ได้มองเห็นเรื่องเหล่านั้นเป็นปัญหาเลย"
"ถูกต้อง ความคิดจึงมีผลโดยตรงต่อคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ คิดเช่นไรก็จะเป็นเช่นนั้น" เศรษฐีสนับสนุนความคิดของชายหนุ่ม และพูดต่อว่า
"และหากอยากประสบความสำเร็จ ต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มประสบความสำเร็จ เพราะเขาจะพูดถึงแต่เรื่องที่จะทำให้สำเร็จ และหากอยากประสบความล้มเหลว ก็เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนล้มเหลว เพราะเขาจะพูดถึงแต่หนทางที่ทำให้ล้มเหลว คนเรา มักจะมีความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ และความสำเร็จ ไม่ต่างไปจากกลุ่มเพื่อนฝูงที่เราคบเท่าไรหรอก"
"นีคือคุณเอก เจ้าของไอศกรีมชื่อดังครับ"
เพื่อนนักธุรกิจคนหนึ่ง แนะนำให้ชายหนุ่มได้รู้จักเพื่อนใหม่
"คุณเอก เขากำลังเผชิญกับวิกฤตธุรกิจอย่างหนัก
ผมคิดว่า คุณอาจจะให้คำชี้แนะกับเขาได้
เพราะผมเองก็แก้ปัญหาได้จาก คำแนะนำของคุณ"
เพื่อนผู้แนะนำเพื่อนใหม่พูด
"สวัสดีครับ และยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเอก..." ชายหนุ่มทักทาย
"สวัสดีครับท่าน ผมได้ยินชื่อเสียงของท่านจากเพื่อนหลายๆ คน
วันนี้ยินดีมากๆ เลย ที่ได้มีโอกาสพบเจอด้วยตนเอง"
คุณเอก เอ่ยขึ้น
"คุณเอกชมเกินไปแล้วล่ะครับ....
ผมไม่ได้มีความสามารถอะไรขนาดนั้นเลย
เพื่อนๆ เขาให้เกียรติพูดถึงผม ผมก็ดีใจมากครับ
แต่ผม ไม่ได้เก่งอย่างที่เขาพูดกัน จริงๆ นะครับ"
ชายหนุ่มตอบกลับ
การสนทนาดำเนินต่อไป จนเข้าสู่เรื่อง วิกฤตทางธุรกิจไอศกรีม ของคุณเอก
"ธุรกิจของผม มีหุ้นส่วนทั้งหมด 3 คน
สัดส่วนการถือหุ้น 40:30:30 ผมถือ 40 ครับ"
เอกเริ่มเล่าเรื่องธุรกิจไอศกรีมของเขาให้ชายหนุ่มฟัง
"ปัญหาที่เกิดตอนนี้คือ หุ้นส่วนทะเลาะกัน
และทั้ง 2 คน ยืนยันคำเดียวว่า จะถอนหุ้น
และแบ่งทรัพย์สินกัน"
เอกยังคงเล่าต่อ
"สาเหตุที่ทะเลาะกันก็เพราะ พี่ไก่ เขาลงมาล้วงลูกการบริหารงานของผม
ผมเป็นกรรมการผู้จัดการ ความคิดของผมคือ
หุ้นส่วนมีหน้าที่คุมนโยบาย ส่วนผมบริหารบริษัทให้เป็นไปตามนโยบาย
หากผมไม่สามารถทำให้เป็นไปตามนโยบายไม่ได้
ค่อยมาลงลึกถึงจะถูก แต่พี่ไก่กลับเข้าไปตามแผนกต่างๆ
และสั่งการโน่น-นี่ ตามอำเภอใจ ทำให้ผมบริหารงานยาก
พี่ไก่ให้เหตุผลว่า เป็นเจ้าของบริษัทเหมือนกัน ย่อมมีสิทธิสั่งงาน
ผมพยายามอธิบายเท่าไรก็ไม่ฟัง คงกลัวพนักงานไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเจ้าของ
เลยอยากแสดงบารมีบ้าง"
เอกหยุดเว้นช่วงการพูด หลังจากร่ายยาวมาแล้ว
ส่วนชายหนุ่มก็นั่งฟังอย่างตั้งใจและวิเคราะห์ตาม
"เมื่อพี่ไก่ไม่พอใจผม ก็เลยไปใส่ไคร้ผมให้พี่หญิง หุ้นส่วนอีกคน
เขาคงจะเผาผมหลายเรื่องมาก จนพี่หญิงคล้อยไปตามเขา
และก็มาถึงจุดแตกหัก คือ ปิดกิจการเพื่อแบ่งทรัพย์สิน
หรือไม่ ผมก็ต้องซื้อหุ้นของพวกเขาทั้งหมด
ผมไม่มีเงินซื้อหุ้นของพวกเขาได้หรอกครับ
ไอ้หุ้นที่ลงไปนั้น ผมก็ยังเป็นหนี้อยู่เลย"
เอกพูดพร้อมกับทำสีหน้ากังวลใจ
"คุณเอก อยากให้ผมช่วยเรื่องอะไรครับ"
ชายหนุ่มถามขึ้น
"ผมไม่อยากปิดบริษัทครับ เพราะธุรกิจกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี
ร้านไอศกรีม กำลังขยายสาขาไปยังห้างต่างๆ"
พูดจบ เอกก็นำเอกสารต่างๆ ให้ชายหนุ่มดู
การพูดคุยซักถามเป็นไปอยู่สักพัก
ชายหนุ่มเองก็มองเห็นโอกาสการขยายตัวของธุรกิจไอศกรีมของเอก...
ว่าจะดำเนินไปได้สวยแน่ๆ
"ท่านสนใจร่วมลงทุนกับธุรกิจของผมไหมล่ะครับ"
เอกถามขึ้น ชายหนุ่มได้ฟังคำถาม ก็นิ่งคิดสักพักก่อนจะตอบออกไปว่า...
"ผมคงต้องหารือกับที่ปรึกษาก่อนนะครับ แล้วผมจะให้คำตอบอีกที"
สามวันผ่านไป.... หลังจากการประชุมหารือของที่ปรึกษา
ก็ได้ข้อสรุปว่า ธุรกิจมีอนาคต สู้กับตลาดได้สบายๆ
และยังสามารถขยายสาขาออกไปสู่ต่างประเทศได้ด้วย
เพราะความโดดเด่นของรสชาติ และอีกหลายๆ เรื่อง
เหมาะที่จะร่วมลงทุนด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนเรื่องเงินลงทุน ที่ปรึกษาสรุปกันว่า
ต้องเขียนแผนธุรกิจใหม่ พร้อมกับเสริมเรื่องการนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์
รวมทั้งการขยายธุรกิจออกสู่ต่างประเทศ
น่าจะทำให้ธนาคารสนใจที่จะปล่อยเงินกู้ในโครงการนี้
ด้วยความสามารถของที่ปรึกษา
ทำให้การปล่อยกู้ของธนาคารรวดเร็วกว่าขั้นตอนการปล่อยกู้แบบปกติมาก...
ทำให้ชายหนุ่มได้ร่วมลงทุนกับธุรกิจไอศกรีมของเอก
ถึงแม้ชายหนุ่มจะถือหุ้นใหญ่ แต่ชายหนุ่มก็ให้เอกบริหารเหมือนเดิม
เนื่องจากเอกมีประสบการณ์และชำนาญการเรื่องนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
ชายหนุ่มเพียงแต่ส่งที่ปรึกษาเข้าไปดูแลเรื่องนโยบายบริษัทเท่านั้น
นอกจากธุรกิจไอศกรีมของเอกแล้ว
การเอาตัวเองเข้าไปใน ชมรมและสมาคมต่างๆ ของนักธุรกิจ
ทำให้ชายหนุ่มได้โอกาสดีๆ มาถึง 7 ธุรกิจ
ทุกธุรกิจ ชายหนุ่มเน้นในเรื่องที่จะเข้าเงื่อนไขในการที่จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นหลัก...
นั่นคือ หากร่วมลงทุนแล้ว ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้
รวมทั้งเป็นตลาดที่มีอนาคต...
"นอกจากเธอเองที่เจอวิกฤต... ก็ยังมีคนอีกมากมายที่กำลังเจอวิกฤตเช่นกัน... ธุรกิจดีๆ หลายๆ ตัว ต้องปิดกิจการลง เพราะผู้บริหารไม่สามารถแก้ไขวิกฤตนั้นได้..." "มันน่าเสียดายธุรกิจดีๆ เหล่านั้นเหลือเกิน... หากเธอเข้าไปเจอธุรกิจเหล่านั้นได้ถูกจังหวะ โอกาสก็จะเป็นของเธอ...." ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของเศรษฐีไม้เท้าทองคำ
ชายหนุ่มนึกถึงช่วงแรกๆ ที่เขาบากบั่นทำธุรกิจ
มันช่างยากเสียเหลือเกิน แม้แต่เรื่องจะหาเงินมาลงทุน
แต่ทุกวันนี้ เขามีความสามารถเรื่องการบริหารเงินลงทุน
ทำให้เขาเจอโอกาสดีๆ ที่ไม่ต้องไปเริ่มต้นตั้งแต่ต้น
เขาเพียงแต่มองหาธุรกิจที่จะไปต่อยอดให้เจอ
และเขาเองก็ไม่ได้เอาเปรียบธุรกิจเหล่านั้นด้วย
หากแต่เข้าไปช่วยให้ธุรกิจเหล่านั้นผ่านพ้นวิกฤตไปได้
และต่อยอดอนาคตของธุรกิจให้เติบโตอีกต่างหาก
โดยเจาะจงไปที่ธุรกิจที่มีองค์ประกอบครบตามเงื่อนไขที่จะพลักดันเข้าตลาดหลักทรัพย์
เพราะเพียงข้ามคืน ก็เป็นเศรษฐีอย่างท่านเศษฐีไม้เท้าทองคำบอกไว้จริงๆ
"อืมมมม.... นี่สินะ ที่ใครๆ เขาเรียกว่า นักลงทุน" ชายหนุ่มคิดในใจ และเข้าใจที่มาที่ไปของการร่ำรวยของท่านเศรษฐีไม้เท้าทองคำ...
นอกจากลงทุนสร้างธุรกิจของตนเองแล้ว ก็เข้าไปลงทุนต่อยอดในธุรกิจของคนอื่นด้วย ทำให้ท่านเศรษฐี มีธุรกิจมากมายที่ทำเงินให้ พอได้เงินมาก ก็ทำให้ลงทุนในธุรกิจอื่นต่อไปได้อีกมาก เงินมันก็ไปต่อเงินมาให้เรื่อยๆ โดยที่เราเป็นผู้นั่งควบคุมการทำงานของเงิน
"ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสามารถมีเงินเป็นลูกน้อง ทำงานหาเงินให้เรา"
ขณะที่เฝ้ารอธุรกิจใหม่ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่จะเข้าได้เพียงชั่วข้ามคืน
ขบวนการตรวจสอบต่างๆ ต้องใช้เวลา
ซึ่งมันก็กินเวลาที่เหลืออยู่ของหนุ่มน้อยชาวนาให้หมดไปด้วย...
4 เดือนสุดท้ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มไม่สามารถที่จะสร้างฝันให้เป็นจริงขึ้นมาได้
ไม่สามารถที่จะสร้างตัวร่ำรวยที่สุดในเมืองได้ ภายในเวลา 1 ปี...
"มีไม่กี่คนหรอกนะ ที่ไปถึงฝันที่ตนเองตั้งไว้ ตามเวลาที่กำหนด"
เสียงเศรษฐีไม้เท้าทองคำเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบสงบ
ชายหนุ่มหันหน้าไปตามเสียงนั้น ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"การตั้งเป้าหมายไว้ ก็เพื่อให้ตัวเรามีทิศทางที่จะเดินไปหา การกำหนดระยะเวลา หรือเส้นตาย ก็เพื่อเร่งเร้าตัวเราเอง การที่เธอก้าวขึ้นมายืน ณ จุดนี้ได้ ก็เพราะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเธอนั่นเอง... ถึงแม้เวลาที่ตั้งไว้ มันจะหมดลงไปแล้ว แต่เธอก็เดินมาได้ไกลกว่าครึ่ง และที่สำคัญ... ถ้าเธอจะสู้ต่อ เธอก็สามารถไปถึงฝันได้อย่างแน่นอน" คำพูดของเศรษฐี กระตุ้นให้ชายหนุ่มคิดตาม แต่เขายังพูดอะไรไม่ออก...
"เป้าหมาย สลักไว้บนแผ่นหิน... ...แผนงาน เขียนลงบนผืนทราย" พูดจบ เศรษฐีก็นิ่งเงียบให้ชายหนุ่มได้คิด
"เหตุผลว่า ทำไมแผนงาน จึงต้องเขียนลงบนผืนทราย ทำไมจึงไม่สลักไว้บนแผ่นหินเหมือนเป้าหมาย เธอคงเข้าใจสินะ" เศรษฐีถามขึ้น
"เข้าใจครับ เพราะว่า... กว่าจะไปถึงเป้าหมายได้ เราคงต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการ เปลี่ยนแปลงแผนงานเรื่อยๆ เมื่อ วิธีนี้ ใช้ไม่ได้ ก็ต้องลบทิ้งเพื่อเปลี่ยนเป็นอีกวิธี แต่ทุกวิธี ก็เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย ซึ่งสลักไว้บนแผ่นหิน ไม่มีวันลบเลือน" ชายหนุ่มตอบด้วยความมั่นใจ
"ฉันเข้าใจ ทุกอย่างที่เธอทำทั้งหมด ก็เพื่อองค์หญิง
เธอจึงต้องทำตัวเอง ให้เข้าเงื่อนไขที่พระราชาตั้งไว้
เพื่อให้ได้รับสิทธิ ในการเข้ารับการคัดเลือก...
แต่ฉันว่า ฉันอ่านอะไรในใจของเธอบางอย่างออกนะ"
เศรษฐีตั้งข้อสงสัย
"อะไรหรือครับ" ชายหนุ่มถามขึ้น
"ถึงแม้วันนี้ เธอสามารถเข้าเงื่อนไขของพระราชา
ฉันก็คิดว่า เธอคงลำบากใจ และตัดสินใจไม่ถูก
ว่าจะเข้าร่วมคัดเลือกหรือไม่"
เศรษฐี เอ่ยขึ้น ทำเอาชายหนุ่มอึ้งไปเหมือนกัน
"ท่านรู้ความคิดของผมด้วยหรือครับนี่" ชายหนุ่มถามออกไป
"รู้สิ... เลือดนักธุรกิจ มันฝังเข้าไปในสายเลือดของเธอแล้ว
เธอไม่อยากทิ้งเส้นทางสู่ความสำเร็จนี้ เพื่อไปใช้ชีวิตในอีกแบบ
ความท้าทายของโลกธุรกิจ มันปลุกเร้าเธอ กระตุ้นให้เธอกระชุ่มกระชวย..."
เศรษฐียิ้มให้ชายหนุ่ม
"จริงครับ... บางครั้ง ผมยังแอบดีใจเลย ที่ผมทำไม่สำเร็จในเวลานี้
และบางครั้ง ผมก็คิดว่า ผมไม่ใช่ในแบบที่จะเป็นนั้น
แต่ แบบที่กำลังเป็นอยู่นี่แหล่ะ คือตัวผม
การอภิเสกสมรสกับองค์หญิง ทำให้ผมต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตไป...
ซึ่ง นั่น ไม่ใช่ผมแน่ๆ"
ชายหนุ่มพูดด้วยความหนักแน่น
"แล้วองค์หญิงล่ะ" เศรษฐีถามขึ้น
"ที่ผ่านมา เหมือนกับผมหลอกตัวเองเรื่ององค์หญิง
ไม่มีโอกาสพูดคุย ไม่มีโอกาสได้รู้จัก
เห็นเพียงแค่รูปลักษณ์ที่แสนจะสวยงามเท่านั้น
และที่สำคัญ ผมเองนั้น คู่ควรกับองค์หญิงหรือไม่"
ชายหนุ่มเปิดใจ
"ผมคงจะอึดอัดมากเลย หากได้อภิเสก จริงๆ
ความรู้สึกต่ำต้อยของตัวเอง มันจะต้องหลอกหลอนไปจนวันตายแน่ๆ
ผมคงรับไม่ได้กับการที่ตัวเอง ไม่สามารถเป็นผู้นำครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์...
ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร.... มันเหมือนกับว่า
ผมทนไม่ได้ที่จะเป็นชายหนุ่มผู้โชคดี เหมือนหนูตกถังข้าวสาร
อาจจะมีหลายๆ คนอยากจะเป็นแบบนั้น...
แต่ผมไม่... ผมอยากเป็นผู้นำครอบครัว ด้วยลำแข้งของผมเอง"
"เธอก็ไม่ต่างอะไรกับฉันหรอก...
ในวันที่ฉันเพิ่งจะเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว ยังเป็นพนักงานบริษัทอยู่
ฉันมีโอกาสได้พบรักกับลูกสาวเจ้าของบริษัท
ใครๆ ก็รู้ว่าเรารักกัน และก็ไม่มีใคร ขัดขวางด้วย
แม้แต่ครอบครัวของเธอ..."
เศรษฐีเล่าความหลังให้ชายหนุ่มฟัง
"ฉันยังโชคดีกว่าเธอ ที่ได้มีโอกาสคบหากัน
เราก็รู้ว่า เรารักกัน แต่..."
"ฉันรับไม่ได้กับความรู้สึกต่ำต้อย เมื่อเข้าไปอยู่ในครอบครัวของเขา
มันเหมือนกับฉันไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้
ฉันอยากจะเป็นผู้นำโดยสมบูรณ์
อยากประสบความสำเร็จด้วยลำแข้งของตนเอง
ฉันจึงเข้าใจเธอไงล่ะ"
"แล้วเธอคนนั้นไปไหนล่ะครับ ท่านไม่ได้แต่งงานกันเหรอครับ"
ชายหนุ่มถามขึ้น
"ไม่ได้แต่งงานกันหรอก... ฉันขอเวลาสร้างตัว 4 ปี
ใน 4 ปีนี้ เราจะเป็นอิสระต่อกัน เมื่อครบ 4 ปีแล้ว
หากเราทั้งคู่ยังไม่มีคนอื่น เราค่อยมาสานต่อเรื่องความรักของเรา"
เศรษฐีเล่าถึงความหลังอีกครั้ง
"ปีที่ 2 เท่านั้น เธอก็แต่งงานกับลูกชายเศรษฐีคนหนึ่ง
ซึ่งตอนนั้น ฉันก็ยังสร้างเนื้อสร้างตัวไปไม่ถึงไหน"
"แล้วท่านเสียใจมากไหมครับ" ชายหนุ่มถามขึ้น
"ไม่รู้สินะ วันแรกที่รู้เรื่อง ก็เจ็บแปล๊บๆ บ้าง
แต่ฉันดีใจที่เธอได้คนที่เหมาะสมกับเธอมากกว่า
เธอคงมีความสุข มากกว่าอยู่กับฉัน"
"แล้วนี่เธอจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ..." เศรษฐีถามกลับ
"ผมก็จะลุยต่อไปครับ เป้าหมายของผม ยังเหมือนเดิม
คือ รวยที่สุดในเมืองนี้ แต่ไม่ใช่เพื่อให้ได้เข้าเงื่อนไขแล้วนะครับ
แต่เพื่อพิสูจน์ศักยภาพ ของการเกิดมาเป็นคน ๆ หนึ่ง
ว่าจะมีศักยภาพสักแค่ไหน
ในเมื่อคนเหมือนกันทำได้ ผมก็ต้องทำได้เช่นกัน"
ชายหนุ่มตอบ
วันเวลาผ่านไป ธุรกิจของชายหนุ่มสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้
ทีละตัวสองตัว ราคาต่อหุ้น เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวนัก
สร้างผลกำไรให้กับชายหนุ่มเป็นอย่างมาก
ทุกธุรกิจ ถึงแม้จะเจอปัญหาอุปสรรค์ก็จริง
แต่ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรค์ไปได้ด้วยดี
และเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
รวมทั้งมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นเช่นกัน
กลับมาข้างฝ่ายพระราชาบ้าง
พระราชาได้กำหนดการ เรียกชุมนุมองค์ชายจากเมืองต่างๆ
เพื่อเข้าสู่พิธีคัดเลือกราชบุตรเขย
ในวันที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว พระราชาก็ทรงให้นำขบวนออกประพาสป่า
พระราชาทรงพาคณะประพาสป่าด้วยความเกษมสำราญ
จนเมื่อถึงที่เหมาะๆ แห่งหนึ่ง พระราชาทรงให้หยุดขบวน
"เราจะหยุดพักกันที่นี่" พระราชาตรัสขึ้น
เหล่าผู้ติดตามทั้งหลาย ต่างก็จัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง
หลังจากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว
พระราชาทรงขึ้นประทับยังพระที่นั่ง
องค์ชายจากเมืองต่างๆ เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
พร้อมทั้งเหล่าเสนา-อำมาต ที่รอถวายบังคมอยู่แล้ว
ต่างพากันกล่าวคำถวายบังคมอย่างพร้อมเพียงกัน
เมื่อถวายบังคมเสร็จ องค์หญิงก็ทรงประทับนั่งยังพระที่นั่งของพระองค์
วันนี้ องค์หญิงทรงสวยงามสดใสเป็นพิเศษกว่าทุกวัน
เนื่องจากทรงเป็นวันสำคัญของพระองค์
ถึงแม้โลกจะเปลี่ยนไปขนาดไหนก็ตาม
แต่พระองค์ก็ทรงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเภณี
พระองค์ ไม่เคยลิ้มลองความรักเลย เนื่องจากไม่เคยมีโอกาสได้คบหากับใคร...
และพระองค์ก็เข้าใจดีว่า... พระองค์ต้องทรงเลือกคู่ครองด้วยวิธีนี้
วิธีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ
ใครก็ตาม... ที่ได้รับการคัดเลือกในวันนี้
เขาคนนั้นคือคู่ครองของพระองค์
ทันใดนั้นเอง.....
"ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท"
ทุกสายตาต่างหันมาจับจ้องที่ทหารเสนารักษ์ผู้เดินเข้ามายังหน้าพระที่นั่ง
"มีอะไรรึ..." พระราชาทรงถามขึ้น
"มีชายคนหนึ่ง จะขอเข้าเฝ้า พะย่ะค่ะ" ทหารรายงาน
"ใครกันรึ..." พระราชาทรงถาม
"เขาให้ทูลว่า เขาคือชาวนาคนที่พระราชาทรงให้หนูตายกับเขาเพื่อสร้างตัว พะย่ะค่ะ"
ทหารรายงานต่อ
"อ้อ... เจ้าหนุ่มชาวนาคนนั้นนั่นเอง... ให้เขาเข้ามาได้"
พระราชาทรงจำชายหนุ่มได้
อึดใจเดียว ทั้งเสนารักษ์และชายหนุ่มก็มาอยู่ต่อหน้าพระที่นั่งแล้ว
ทุกสายตา ต่างจับจ้องมาที่ชายหนุ่ม ซึ่งบัดนี้
ไม่เหลือหลอของคราบชาวนาจนๆ อีกเลย
แต่กลับอยู่ในภาพของนักธุรกิจผู้สง่างาม ดุจดังเทพบุตรจุตติลงมาเกิด
องค์ชายทุกพระองค์ ต่างก็จดจำคู่แข่งคนสำคัญนี้ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
รวมทั้งองค์หญิงด้วย....
ในพระทัยขององค์หญิง เต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
พระกรของพระองค์สั่นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทรงร้อนวูบวาบ ไปทั่วพระวรกาย
ไม่ต้องบอก พระองค์ก็รู้ดีว่า พระพักตร์ของพระองค์ต้องแดงอย่างแน่นอน...
"ถวายบังคมพะยะคะ"
ชายหนุ่มทำการถวายบังคมพระราชา
"ทำตัวตามสบายเถอะ..."
พระราชาตรัสกับชายหนุ่ม
"เป็นพระมหากรุณา พะยะคะ"
ชายหนุ่มกลับคืนสู่ท่าปกติ
"เป็นอย่างไรบ้างล่ะ... หนึ่งปีผ่านไป มันช่างรวดเร็วเหลือเกินนะ"
พระราชาถามขึ้น
"พะยะคะ" ชายหนุ่มน้อมรับคำ
"แต่หม่อมฉัน ไม่สามารถสร้างตัว ให้รวยที่สุดในเมืองได้ทันเวลา พะยะคะ"
ชายหนุ่มทูลขึ้น
"เรารู้แล้ว..."
พระราชาตรัสขึ้น
"เรารับรู้เรื่องราวของเธอ จากเศรษฐีไม้เท้าทองคำ ตลอดเวลา
เพราะเศรษฐีไม้เท้าทองคำ เป็นสหายของเราเอง"
พระราชาตรัสต่อ ขณะที่ชายหนุ่มอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยินมา
"เศรษฐีไม้เท้าทองคำ บอกกับเราว่า...
ในไม่ช้านี้ เธอจะต้องเป็นคนรวยที่สุดในเมืองนี้ อย่างแน่นอน"
พระราชาตรัสอย่างชื่นชมชายหนุ่ม
"หม่อมฉันมาในวันนี้ เพื่อแจ้งให้พระองค์ทรงทราบว่า
หม่อมฉันไม่สามารถสร้างตัวให้เข้าเงื่อนไขได้...
เพราะหม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์ทรงรู้เรื่องนี้แล้ว พะยะคะ"
ชายหนุ่มกราบทูลพระราชา
"ไม่เป็นไรหรอก...
ในเมื่อเธอไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้
เธอก็ต้องยอมรับว่าเธอหมดสิทธิในการเข้ารับการแข่งขันคัดเลือกกับองค์ชายอื่นๆ"
พระราชาตรัสออกมา
"แต่เธอก็สามารถอยู่ร่วมชมการคัดเลือกนี้ได้ เราอนุญาต"
"เป็นพระมหากรุณาแก่หม่อมฉันอย่างเหลือล้น พะยะคะ"
ชายหนุ่มก้มลงถวายบังคม
องค์หญิงได้ยินการสนทนามาโดยตลอด
เมื่อถึงตรงนี้ พระหฤทัยของพระองค์ เจ็บแปล๊บขึ้นมา
เหมือนถูกทิ้มแทงด้วยสิ่งของแหลมคม
พระองค์ทรงกลั้นพระอัสสุชล
ที่อยู่ๆ ก็เอ่อล้นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ให้หลั่งออกมา
"ทำไมเราจึงรู้สึกเจ็บแปล๊บแบบนี้ด้วยนะ"
องค์หญิงทรงดำริอยู่ในพระทัย
"เราไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย
ครั้งแรกที่ได้เจอเขา เราก็รู้สึกอีกแบบ อย่างมีความสุข
พอได้รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก
เรากลับรู้สึกในอีกแบบ อย่างมีความทุกข์"
"ทำอย่างไรได้ล่ะ...
เราต้องทำตามประเภณี
ถ้าให้เราเลือกคู่ครองเองได้
เราคงเลือก เขาคนนี้อย่างแน่นอน"
องค์หญิงทรงพยายามซ่อนความรู้สึกเหล่านี้ไว้ในพระหฤทัย
"เอาล่ะ.... ณ เวลานี้ เราจะได้ทำการคัดเลือกราชบุตรเขย"
พระราชาทรงประกาศให้ทุกคนได้ทราบ
"เราได้เตรียมวิธีการไว้เรียบร้อยแล้ว
ใครที่สามารถเอาชนะในข้อคัดเลือกของเราได้
ผู้นั้น จะเป็นผู้ที่ได้อภิเสกกับธิดาของเรา"
พระราชายังคงตรัสอย่างทรนงค์องอาจ
"กติกามีอยู่ง่ายมาก..."
พระราชาตรัสขึ้น
"ใครก็ตาม ที่สามารถทำให้ช้างของเรา ยกขาขึ้นได้พร้อมกันทั้ง สี่ขา
คนผู้นั้นจะเป็นผู้ชนะการแข่งขันนี้"
พระราชาบอกเงื่อนไขการแข่งขัน พร้อมกับคิดในพระทัยว่า
แม้แต่ควาญช้างทุกคน ก็ไม่สามารถทำได้
อำมาตย์ผู้หนึ่ง ที่ทรงคิดเงื่อนไขนี้ให้พระองค์
กราบทูลว่า เขาเคยเป็นควาญช้างมาก่อน
รับรองว่า วิธีนี้ ไม่มีผู้ใดทำได้อย่างแน่นอน
ควาญช้างทำได้อย่างเก่งที่สุดก็ ยกเพียง สามขา เท่านั้น
ขนาดยก สามขา ก็ยังหาผู้ที่จะฝึกช้างได้ยากยิ่งนัก...
บทที่ 10 ...ฝันที่เป็นจริง...
เจ้าชายองค์แล้วองค์เล่า ต่างก็ทยอยกันเข้าไปควบคุมช้าง เพื่อให้ยกขาทั้ง 4 ข้างให้ได้... แต่ก็ยังไม่มีองค์ชายองค์ใด ทำได้สำเร็จสักพระองค์ ชายหนุ่มนั่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาไม่ได้คาดสายตา ในใจก็รอลุ้นว่า องค์ชายท่านใดนะ จะเป็นผู้ชนะ พร้อมกับนึกขำในข้อค้นหาราชบุตรเขยของพระองค์ ไม่เข้าใจว่า เหตุใด พระราชา จึงใช้วิธีการนี้ วิธีที่ดูเหมือนง่ายๆ แต่ไม่ง่ายเลย อีกอย่าง ใครจะไปคาดคิดล่ะว่า... การทำช้างให้ยก 4 ขาได้ จะกลายเป็นราชบุตรเขย
เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ยังไม่มีองค์ชายองค์ใด ทำได้สำเร็จ ทุกพระองค์ ที่ทรงยอมแพ้กลับมา ต่างก็ส่ายพระพักต์กันถ้วนหน้า... บางพระองค์ แม้แต่จะขึ้นประทับบนคอช้าง เพื่อทรงบังคับเองก็ยังไม่กล้า... แต่ก็มีหลายพระองค์ ที่ทรงขึ้นบังคับช้าง เพื่อหวังที่จะเป็นผู้ชนะให้ได้ แต่ก็ต้องทรงกลับลงมาด้วยความผิดหวังกันทั้งสิ้น
และแล้ว ก็เหลือองค์ชายอีกเพียงแค่ 3 องค์ รวมทั้งองค์ที่นั่งสงบนิ่ง อยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม ดูท่าทางองค์ชายองค์นี้ จะมั่นใจซะเหลือเกินว่าพระองค์ ทรงสามารถทำได้ พระองค์ไม่ว๊อกแว๊กเลยแม้แต่น้อย อย่างมากก็ทรงพระสลวลเล็กน้อย เมื่อมีองค์ชายบางองค์ ทรงทำอะไรขำๆ
ชายหนุ่มมององค์ชายองค์นี้ อย่างพินิจพิเคราะห์ รู้สึกถูกชะตาด้วยเป็นพิเศษ... ดูพระองค์ ทรงเป็นคนกระตือลือล้น มีแววตามุ่งมั่น และเด็ดเดี่ยว หากพระองค์ ทรงเป็นนักธุรกิจแล้วล่ะก็ คงจะประสบความสำเร็จอย่างมากมายเลยทีเดียว
"ขอประทานอภัย องค์ชาย" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
"พระองค์ทรงรู้วิธีบังคับช้าง ให้ยกสี่ขา ได้ใช่ไหม พะยะคะ" ชายหนุ่มถามต่อ
"ทำไมเธอจึงคิดว่าเรารู้วิธีล่ะ" องค์ชายถามกลับ
"กระหม่อมเห็นองค์ชาย ดูมีความมั่นใจ มากๆ ไม่ทรงกระวนกระวายใดๆ ให้เห็นพะยะคะ"
ชายหนุ่ม กับองค์ชาย สนทนากันได้ไม่นานเท่าไร องค์ชาย 2 พระองค์ที่เหลือ ก็กลับลงมาด้วยความผิดหวัง เพราะไม่สามารถบังคับช้างได้ และก็ถึงคิวองค์ชายองค์สุดท้าย... คือองค์ชายที่สนทนากับชายหนุ่มเมื่อสักครู่นี้เอง
องค์ชายลุกขึ้นยืน ด้วยท่าทางสง่างาม พระองค์หันมายิ้มให้ชายหนุ่ม ก่อนที่จะเดินออกไปสู่ลานกว้าง... ที่ล้านกว้างนั้น มีช้างที่จะใช้แข่งขันยืนอยู่ ข้างๆ ช้าง ยังมีควาญช้างคอยควบคุมกำกับอยู่ข้างๆ ป้องกันช้างตื่นกลัวตกใจ ช้างที่พระราชา ทรงเลือกมาเป็นช้างเพื่อแข่งขันนั้น ได้ทรงคัดเลือกช้างที่เชื่องที่สุดแล้ว เพื่อความปลอดภัยขององค์ชายทุกพระองค์
เมื่อเดินไปถึงช้าง องค์ชายทรงยืนนิ่งๆ ที่ด้านหน้าช้าง ทรงมองเข้าไปที่ดวงตาของมัน เหมือนกำลังส่งกระแสจิตอะไรบางอย่าง สักครู่ พระองค์ ก็เดินอ้อมไปทางด้านซ้ายของช้าง ทรงใช้มือลูบไล้ไปตามตัวของมันจนเลยไปถึงด้านหลัง... แล้วก็อ้อมไปทางด้านขวาของช้าง จนเลยไปถึงหัว เหมือนพระองค์ ทรงสำรวจ หรือทำพิธีอะไรก็มิทราบได้
ความเงียบสงบปกคลุมสถานที่แห่งนี้ไปโดยปริยาย ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่องค์ชาย เพราะองค์ชายมาแปลก ต่างจากองค์ชายองค์อื่นๆ ซึ่งต่างก็ ขึ้นทรงช้างเลย เพื่อบังคับช้างให้ได้ดั่งใจ แต่องค์ชายท่านนี้ กลับเดินวนไปวนมา รอบๆ ช้าง มือก็คลำไปตามลำตัวช้างอยู่เป็นนานสองนาน ส่วนสายตากลับมองออกไปบริเวณรอบๆ ข้างๆ ช้าง เหมือนกำลังทรงใช้สมาธิอย่างมาก หรือพระองค์ ทรงมีเวทย์มนต์นะ...
ทันใดนั้นเอง... องค์ชายก็พละออกมาจากช้าง แล้วเดินตรงไปทางด้านข้างเล็กน้อย เมื่อเดินมาได้ไม่กี่ก้าวพระองค์ก็ทรงหยุด และก้มลงเก็บอะไรบางอย่างขึ้นมาจากพื้น...
หิน.... มันเป็นหินนั่นเอง องค์ชายทรงหยิบหินก้อนใหญ่เต็มฝ่ามือขึ้นมาถือ 2 ก้อน... จากนั้นพระองค์ก็ทรงลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปหาช้างเชือกนั้น ขณะเดินไป พระองค์ก็จับหินฝาดใส่กันด้วยมือทั้งสองข้าง เสียงหินกระทบกันดัง ปั๊ก ปั๊ก... ทามกลางสายตาที่จดจ้องไปที่องค์ชาย ต่างก็พากันสงสัยยิ่งนัก กับการกระทำของพระองค์ พระองค์กำลังจะทำอะไรกันแน่นะ... เห็นเดินเคาะหิน วนไปวนมา รอบๆ ตัวช้างหรือกำลังใช้เวทย์มนต์เช่นเดิม...
องค์ชายเดินอ้อมตัวช้าง จนมาหยุดอยู่ที่ด้านท้าย แล้วพระองค์ก็ทรงเงื้อหินสองก้อนขึ้น และทุบหินประกบกันเข้าสุดแรง ตรงไข่ช้าง
แปร้น!!!....... เสียงช้างร้องดังสนั่นไปทั่ว พร้อมกับกระโดดสี่ขาขึ้น ด้วยความเจ็บปวดและตกใจ
.............. คนรอบข้างต่างอึ้งไปกับเหตุการนั้น........
สักพัก... เสียงเฮ ก็ดังสนั่นหวั่นไหว เสียปรบมือดังกึกก้องไปทั่วป่าแห่งนี้ ทุกผู้คนต่างยินดีกับความสำเร็จขององค์ชาย สร้างความสับสนอลม่านไปทั่ว เมื่อความดีใจ ค่อยๆผ่อนคลายลง ผู้คนต่างก็เริ่มทยอยกลับเข้าที่เดิม มีเพียงองค์ชายองค์เดียวเท่านั้น ที่ยังคงยืนสง่างามอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน
หลังจากเสียงต่างๆ ได้เงียบลง พระราชาทรงประกาศว่า... "อีก 3 เดือนข้างหน้า เราจะจัดงานอภิเสกสมรส ให้องค์ชายท่านนี้ กับพระราชธิดาของเรา" สิ้นเสียงพระราชา เสียงเฮด้วยความดีใจก็ดังกระหึ่มขึ้น...
ที่บ้านเศรษฐีไม้เท้าทองคำ... เศรษฐีกำลังนั่งอยู่กับชายหนุ่มที่โต๊ะรับแขก
"ฝีมือเธอใช่ไหม พ่อหนุ่ม" เศรษฐีเอ่ยขึ้น "เรื่องอะไรครับท่าน"
"ก็เรื่องที่องค์ชายผู้ชนะการแข่งขันนั่นไง ฉันเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ที่เธอแนะนำองค์ชาย" ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่งๆ... "แต่ฉันพอจะเข้าใจเธอนะ ว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น"
"ครับ... ผมบอกวิธีให้กับองค์ชายไปเอง เพราะผมอยากให้เรื่องนี้มันจบๆ ลงไป ไม่อย่างนั้น การอภิเษก เลื่อนออกไปเป็นปีหน้า มันก็จะมาคอยหลอกหลอนจิตใจของผม หากผมยังมีโอกาสอยู่"
"ผมได้ไตร่ตรองดูเป็นอย่างดีแล้ว ท่ามกลางระหว่างที่องค์ชายแต่ละพระองค์ เข้าไปแข่งขัน จิตใจผมก็ครุ่นคิด หากผมได้อภิเษก...
ผมก็ต้องทิ้งโลกของธุรกิจไป เพราะผมคิดว่า มันไม่สง่างามเลย หากพระราชา จะเปิดทำธุรกิจโน่น นี่ มากมาย โลกของธุรกิจ มันหมิ่นเหม่กับคำว่า จริยธรรม"
"สิ่งที่เราทำถูกต้อง ในบางครั้ง ในสายตาของบางคน กลับคิดว่า เราเอาเปรียบ ดังนั้น หากพระราชา ทำธุรกิจไปด้วย คำครหาต่างๆ ย่อมมีมากมายอย่างแน่นอน"
"ผมถามใจตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ระหว่างอยู่ในโลกธุรกิจ กับ โลกของพระราชา ที่ไหน ที่ผมจะมีความสุขที่สุด...
คำตอบที่ผมได้รับคือ... โลกของธุรกิจ มันมีความท้าทาย มันมีอะไรให้ได้ค้นหา มันมีอะไรต่างๆ ให้ได้ทดสอบความสามารถ มันมีรสชาติต่างๆ ที่ผมต้องการ"
"ผมคิดว่าโลกของพระราชา น่าจะเหมาะสมกับเหล่าองค์ชายจากเมืองต่างๆ มากกว่า เพราะพวกพระองค์ ทรงเข้าใจและลึกซึ้ง กับโลกของเหล่าพระองค์เป็นอย่างดี ...
ส่วนผมเอง ก็หลงใหลเสน่ห์แห่งโลกธุรกิจ มันเป็นเหมือนลมหายใจเข้าออกของผม ถึงแม้วันนี้ ผมจะล้มละลาย มันก็คงจะไม่แตกต่างจากวันแรก วันที่ผมเข้าเมืองมาด้วยตัวเปล่าๆ กับหนูตายอีก 1 ตัว ดังนั้น ผมก็พร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ใหม่"
เศรษฐีไม้เท้าทองคำ มองเห็นแววตามุ่งมั่นของชายหนุ่ม มันมีประกายแวววาวเหมือนกับเพชรเม็ดงามกระทบแสง ท่าทางที่กระตืดรือร้นของเขาอีกอย่าง ช่างไม่ต่างอะไรกับเศรษฐีในยามหนุ่มเลย เศรษฐีไม้เท้าทองคำ แอบมั่นใจอยู่ลึกๆ ว่า เพียงไม่กี่ปีหรอก ชายหนุ่มคนนี้ จะทยานขึ้นมาอยู่แถวหน้าของโลกธุรกิจ
อีก 1 ปีผ่านไป.... ชายหนุ่มก็ผงาดขึ้นมาอยู่แถวหน้าอย่างที่ เศรษฐีไม้เท้าทองคำคิดไว้ ธุรกิจทุกตัวของเขา ขึ้นมาเป็นผู้นำอันดับหนึ่ง ทิ้งห่างคู่แข่งออกไปเรื่อยๆ ทั้งยังมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย
"น่าแปลกใจนะครับ ท่าน" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นกับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ "เรื่องอะไรเหรอ" เศรษฐีถาม "ก็... ผู้คนมากมายพยายามค้นหาเคล็ดลับ เพื่อจะประสบความสำเร็จในธุรกิจที่เขาทำ พยายามหาหนทางที่ยุ่งยากซับซ้อน ด้วยหวังว่า นั่นคือหนทางที่ถูกต้อง นั่นคือเคล็ดลับที่ยิ่งใหญ่"
"ทั้งๆ ที่ ความจริงแล้ว... การจะประสบความสำเร็จ ใช้แค่เรื่องง่ายๆ ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรซับซ้อนเลย"
"ขอเพียงมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ บวกกับหัวใจที่มุ่งมั่น... เรื่องอื่นๆ ก็จะพัฒนาขึ้นมาตามสัญชาตญาณของมนุษย์"
"มันไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่อยากจะกินมะพร้าวน้ำหอม แล้วพยายามผ่าออกมากินด้วยตนเอง ครั้งแรกๆ ถึงแม้จะผ่าออกมาได้สำเร็จ และมะพร้าวก็อาจจะเละตุ้มเปะไปเลยก็ได้ แต่หากผ่าบ่อยๆ ย่อมเกิดความชำนาญ สุดท้าย ก็ไม่ต่างจากแม่ค้ามืออาชีพ"
"แต่คนส่วนใหญ่ ก็ลงมือผ่ามะพร้าวเพียงไม่นาน แล้วก็ถอดใจ ก่อนที่จะผ่าได้จนสำเร็จ และก็บอกกับตัวเองว่า ฉันคงทำไม่ได้หรอก ทุกอย่างก็จะหยุดลง" เศรษฐีไม้เท้าทองคำเอ่ยขึ้นบ้าง
สองสายตาของมหาเศรษฐีทั้งคู่ประสานกัน พร้อมกับรอยยิ้มให้กันและกัน
"เราคงไม่สามารถช่วยคนที่ขาดความมุ่งมั่น ให้เขาไปถึงเป้าหมายของเขาได้หรอก เพราะเขาต้องเดินบนเส้นทางของเขาเอง ตัดสินใจก้าวแต่ละก้าวด้วยตัวของเขาเอง ตัดสินใจเลี้ยวซ้ายและเลี้ยวขวาด้วยตัวของเขาเอง"
"ใช่ครับ... เราก็คงทำได้แค่ให้แนวคิดกว้างๆ เพื่อให้เขานำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับเส้นทางเดินของเขา ให้เหมาะสมกับความเป็นตัวตนของเขา"
"ผมนึกถึงวันแรกที่ผมได้พบท่าน แล้วก็อดที่จะขำไม่ได้" ชายหนุ่ม ยิ้มออกมา
"ทำไมหรือ"
"ก็วันนั้น ผมตั้งใจไว้ว่า ผมจะทำตามที่ท่านบอกทุกอย่าง ประมาณว่า เหมือนกับท่านต้องเขียนบทละครให้กับผม.... แล้วผมก็จะเล่นตามบทละครนั้น"
"ไม่ว่าท่านจะให้เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ผมก็จะทำตามโดยไม่บิดพลิ้ว เพื่อที่ผมจะได้ประสบความสำเร็จเหมือนกับท่าน ประมาณว่า ผมจะเลียนแบบเส้นทางสู่ความสำเร็จของท่าน"
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า... อย่าแปลกใจไปเลยพ่อหนุ่ม ยังมีคนอีกมากมาย ที่คิดแบบนั้น แล้วสักวัน เขาก็จะเข้าใจเอง...
เหมือนที่เธอเข้าใจอยู่ตอนนี้ไง"
สองเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ ต่างมีเรื่องราวมากมาย มาเล่าสู่กันฟังได้เรื่อยๆ เพราะเขาทั้งสอง คือผู้ที่ผ่ามะพร้าวน้ำหอมได้อย่างชำนาญแล้ว อยากจะกินเมื่อไรก็ผ่ากินได้เมื่อนั้น อย่างง่ายดายพร้อมกับตั้งใจกันว่า จะส่งเสริมใครก็ตาม ที่อยากจะผ่ามะพร้าวน้ำหอมกินเองให้เป็น...
แล้วในวันข้างหน้า... เราก็จะมีเศรษฐีใหม่ เข้ามาร่วมวงสังสรรค์กับเรา จากการช่วยเหลือของพวกเรา คนแล้วคนเล่า...
จบบริบูรณ์
คมความคิด บางส่วน
"ทำไมไม่ทำนาก่อนที่จะรวย ทำไมไม่ทำนาไปแล้วก็หาวิธีไปด้วย"
"แสดงว่าคนอื่นๆ เขาคิดว่ามีเวลามากล่ะสิ จึงค่อยๆ หาไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ"
"ความฟันแต่ล่ะคนต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอะไร คนที่ไม่ได้ฟันว่าจะร่ำรวย เขาก็ไม่ได้เดินบนถนนที่จะนำพาให้เขาร่ำรวย"
"คนที่ฟันว่าอยากรวยแต่ก็ไม่สามารถที่จะรวยได้ หลายๆคนเกิดจากการวางแผนผิด"
"การจะรวยได้ จำเป็นจะต้องเอาเงินไปต่อเงิน"
"ทุกคนเกิดมา 24 ชม. คนที่รวยได้เขาไม่ได้มีเวลามากว่าคนอื่น"
"เอาชนะใจ เอาชนะสิ่งยั่วยวน"
"หยุดทำงาน แต่ยังคงมีรายได้อยู่"
"แบ่ง 10% ของรายได้ เพื่อทำประโยชน์แก่ผู่อื่น"
"คนเก่งมักทำทุกอย่างเอง เลยขาดโอกาสที่จะโตอย่างก้าวกระโดด"
"โอกาสมันมีมากมายในท้องถนน ใครตาแหลมคมก็มองเห็นมัน"
"การจะเป็นคนที่แตกต่างจากคนทั่วไป เราจำเป็นที่จะต้องคิดไม่เหมือนพวกเขา"
"ใครล่วงรู้ธรรมชาติ จะสามารถสร้างประโยชน์จากมันได้"
"เส้นทางความสำเร็จ เรียงรายไปด้วยความล้มเหลว"
"ความล้ม และปัญหา อุปสรรค คือตัวคัดกรองคนจริง"
"ความสำเร็จต้องการพลังแห่งศักยภาพที่ซ่อนเร้น
ความสำเร็จต้องการความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า"
"ทุกคนมีศักยภาพที่ซ่อนเร้น แต่ไม่ทุกคนที่สามารถนำออกมาใช้ได้"
"คนเรามีความเชื่อ ทัศนคติ และความสำเร็จไม่ต่างไปจากกลุ่มเพื่อน"
"เป้าหมายสลักไว้ที่แผ่นหิน แผนงานเขียนลงบนผืนทราย"
ขอบคุณเนื้อหาที่ให้แรงใจมีขึ้นอีกครั้ง
:: Facebook "ชาวนากับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ" ::
:: ebooks.in.th ชาวนากับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ ::
:: richdadthai.com ::
|