1
2

ชาวนากับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ (บทที่ 1-บทที่ 5)


ดาวประดับฟ้า



นิทานเชิงบริหารธุรกิจเรื่อง
ชาวนากับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ
(บทที่ 1-บทที่ 5)

เรื่องราวดีๆ ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการเงินการลงทุนทำอย่างไรให้รวย? 
ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ลองอ่านนิทานเรื่องนี้ดูสิ แล้วคุณจะได้แง่คิดดีๆมากมาย......ชาวนาที่ใฝ่ฝันจะเป็นมหาเศรษฐีใน 1 ปี เขาจะทำได้หรือไม่?


บทที่ 1 ...โอกาส... 


มีพระราชาอยู่เมืองหนึ่งปกครองราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข สงบมาโดยตลอดเมื่อบ้านเมืองสงบสุข พระราชาก็รู้สึกเบื่อๆ ที่ไม่มีอะไรทำพระราชามีราชธิดาแสนสวย ร่ำลือไปทั่วแคว้นแดนต่างๆองค์ชายน้อยใหญ่ ต่างก็หมายปองราชธิดาองค์นี้กันทั้งนั้นพระราชาเอง ก็อยากได้องค์ชายที่มีความสามารถที่สุดถึงแม้ยังไม่ถึงเวลาที่จะทรงให้อภิเสกก็ตามพระราชาก็ให้อำมาตรส่งเทียบเชิญไปยังเมืองต่างๆเพื่อนเชิญองค์ชายน้อยใหญ่ ให้มาร่วมพบปะสังสรรพระราชาเองก็หวังที่จะใช้ช่วงเวลานั้น หมายตาองค์ชายไว้ 



หลังจากองค์ชายจากเมืองน้อยใหญ่ มาพร้อมเพรียงกันหมดทุกพระองค์แล้ว...พระราชาก็ทรงประกาศว่า วันพรุ่งนี้จะออกประพาสป่าและให้องค์ชายทุกพระองค์ทรงติดตามไปด้วยเหล่าองค์ชายต่างตื่นเต้นเป็นการใหญ่ เพราะเดาใจพระราชาไว้ว่า คงจะต้องให้มีการแข่งขันอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน... 

ณ ป่าเขาลำเนาไพรห่างไกลเมืองฝั่งตะวันออกขบวนประพาสป่าของพระราชากับเหล่าองค์ชายทั้งหลายก็เคลื่อนขบวนมาถึงบึงใหญ่แห่งหนึ่งด้วยความตกใจจากขบวนของพระราชาทำให้ฝูงห่านในบึง ต่างส่งเสียงร้องเอะอะโวยวายเป็นการใหญ่...พระราชาได้ยินเสียงห่านดังแบบนั้นก็เกิดความคิดที่จะลองภูมิเหล่าองค์ชายทั้งหลาย...จึงทรงถามออกมาว่า... 



"ใครตอบได้บ้างว่า เหตุใดห่านจึงร้องเสียงดังกว่า เป็ดไก่หลายเท่านัก" 
เหล่าองค์ชายทั้งหลาย ต่างแย่งกันยกมือเพื่อขอตอบคำถามเพื่อจะได้ทำคะแนนให้ตนเอง เพราะพระราชธิดาเองก็ทรงกำลังตั้งใจฟังคำตอบอยู่เช่นกัน...พระราชาทรงชี้ไปที่องค์ชายที่อยู่ด้านหน้าสุด...องค์ชายรีบตอบด้วยความมั่นใจในทันทีว่า 

"เพราะห่านมันมีคอยาวกว่า เป็ดและไก่พะยะค่ะ จึงทำให้มันส่งเสียงได้ดังกว่า"... 
พระราชาพยักหน้า พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า "มีท่านใด มีความเห็นแตกต่างจากคำตอบนี้บ้างไหม" ทุกพระองค์ต่างส่ายหน้า แสดงว่าต่างก็คิดเช่นเดียวกับองค์ชายองค์นั้น... 

ขณะนั้นเอง ทหารก็ควบคุมตัวหนุ่มน้อยชาวนาคนหนึ่งเข้ามาพอดีพระราชาหันไปมองและทรงตรัสถามทหารไปว่า เกิดอะไรขึ้นทหารรายงานว่า เห็นชายคนนี้มายืนทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงต้นไม้ต้นโน้นกระหม่อมเกรงจะมาทำมิดีมิร้าย จึงนำตัวมาให้ท่านสอบสวนพะยะค่ะ 

พระราชาจึงทรงตรัสถามชายหนุ่มไปว่า "เจ้าเป็นใคร มาจากไหน และมาทำอะไรที่นี่"
หนุ่มน้อยชาวนาตอบด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า "ข้าพเจ้าเป็นชาวนาบ้านนอก หากินอยู่บริเวณนี้ทุกวันวันนี้เห็นมีคนมากมาย ก็เลยเข้ามาดูขอรับ" 

พระราชายังไม่เชื่อเลยทีเดียวนัก จึงทรงสั่งให้ควบคุมตัวเอาไว้ก่อน...ก่อนที่ทหารจะพาตัวออกไป พระราชาทรงนึกสนุกอยากรู้ว่าชาวนาบ้านนอก จะมีปัญญาตอบคำถามเหมือนเหล่าองค์ชายได้หรือไม่...ก็เลยทรงถามออกมาว่า... "เดี๋ยวก่อน ไหนเจ้าลองตอบคำถามข้าสิว่าทำไม ห่าน จึงส่งเสียงดังกว่าเป็ดและไก่หลายเท่านัก"
ชาวนาตอบคำถามด้วยความใสซื่อว่า "มันเป็นธรรมชาติพระเจ้าค่า" 

เหล่าองค์ชายทั้งหลายได้ยินคำตอบแบบกำปั้นทุบดินของชาวนาก็พากันหัวเราะยกใหญ่...พร้องทั้งนึกสมเพศชาวนาที่หามีปัญญาอย่างพวกพระองค์ 
พระราชาจึงตรัสว่า... "เจ้าคงไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงเพราะมันจำเป็นต้องใช้สติปัญญาข้าจะบอกให้เจ้ารู้ก็ได้ว่า องค์ชายทุกพระองค์ทรงให้เหตุผลว่า เป็นเพราะคอห่านยาวกว่าคอสัตว์อื่นๆจึงทำให้ส่งเสียงได้ดังกว่า..." 

หนุ่มน้อยชาวนาได้ฟังพระราชาตรัสเช่นนั้นก็ทรงตอบกลับไปว่า "มันเป็นธรรมชาติจริงๆ พระเจ้าค่ะ"

พระราชาได้ฟังดังนั้น ก็ยังคงคิดว่า ชาวนาคงโง่ถึงขนาดฟังเหตุผลแล้วก็ยังไม่เข้าใจ...แต่ก็ทรงเปิดโอกาสให้ชาวนา ทรงตรัสถามว่า "ทำไมเจ้าจึงคิดว่ามันเป็นธรรมชาติล่ะ" 



ชาวนาจึงตอบกลับไปว่า "ท่านพระราชาทรงเคยได้ยินอึ่งอ่างร้องไหมพระเจ้าค่ะอึ่งอ่าง มันมีคอสั้นเพียงนิดเดียว แต่ทำไมมันจึงสามารถส่งเสียงร้องได้ดังกว่าสัตว์อื่นๆ ล่ะพระเจ้าค่ะ" พระราชาได้ฟังดังนั้น ก็นั่งนิ่งไปครู่ใหญ่ๆ เลยทีเดียวเหล่าองค์ชายทั้งหลายต่างก็เสียหน้าไปตามๆ กัน 



พระราชาจึงหันเห สถานการณ์เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่ผ่านมาบังเอิญหันไปเห็นป่าไผ่ ซึ่งมีหน่อไม้มากมายที่โผล่พ้นดินขึ้นมาพระองค์ก็เลยตรัสถามออกไปว่า "ใครรู้บ้างว่า ทำไม หน่อไม้จึงงอกดันดินที่แข็งๆ ขึ้นมาได้" เหล่าองค์ชายทั้งหลาย ต่างก็แย่งกันยกมือเพื่อตอบคำถามทำคะแนนอีก...พระราชาทรงชี้มือไปที่องค์ชายองค์หนึ่งองค์ชายองค์นั้น รีบตอบอย่างมั่นอกมั่นใจเต็มที่ว่า "เพราะหน่อไม้มันมีปลายแหลม มันจึงสามารถดันดินแข็งๆ โผล่ขึ้นมาได้พะยะค่ะ" พระราชาได้ฟังคำตอบก็พยักหน้าชื่นชมในความหลักแหลมขององค์ชายองค์นี้.. 

"มีใครคิดเห็นเป็นอย่างอื่นไหม..." พระราชาตรัสถามเงียบ... เพราะองค์ชายทุกองค์ ทรงคิดเช่นนี้ทั้งสิ้น ด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะหนุ่มน้อยชาวนาพระราชาจึงตรัสถามไปว่า"แล้วเจ้าล่ะ เจ้าชาวนา มีคำตอบเป็นอย่างอื่นไหม"

"มันเป็นธรรมชาติ พะยะค่ะ" หนุ่มน้อยชาวนาตอบ 
เล่นเอาทุกคนเงียบ ไม่มีเสียงอื้ออึงอะไรทั้งสิ้นต่างกับคราวก่อนที่ได้ยินคำตอบนี้แล้วพากันหัวเราะเยาะพระราชาจึงตรัสถามออกไปว่า "ทำไมล่ะ เจ้ามีเหตุผลอย่างไรหรือ?" องค์หญิงซึ่งนั่งฟังนิ่งๆ อยู่เนิ่นนานให้ความสนใจหนุ่มน้อยชาวนามากยิ่งขึ้นทรงใจจดใจจ่อรอฟังคำตอบจากเขาอย่างตั้งใจเป็นครั้งแรกที่ไอ้หนุ่มลูกทุ่งได้เห็นพระพักตร์ของพระราชธิดาชัดๆ...หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาข้างนอก ร่างกายร้อนวู๊วาบไปหมดตั้งแต่เกิดมาเป็นผู้เป็นคน ยังไม่เคยเห็นใครสวยงามขนาดนี้มาก่อนเลย... 



"ว่าไงล่ะ เจ้าหนุ่มชาวนา หาเหตุผลไม่ได้ล่ะสิคราวนี้" พระราชาตรัสถามขึ้น 
"มันเป็นธรรมชาติจริงๆ พระเจ้าข้า" ชาวนาตอบกลับไป พร้อมกับอธิบายต่อว่า "พระราชาลองดูตรงนั้นสิพะยะค่ะ" พร้อมกับชี้มือไปที่โคนต้นไม้ใกล้ๆ กับป่าไผ่นั่นเอง "เห็ดต้นนั้น ปลายมันก็ไม่ได้แหลมอย่ากับหน่อไม้ แต่มันก็สามารถดันตัวเองโผล่พ้นดินขึ้นมาได้พะยะค่ะ" องค์ชายทั้งหลาย ต่างก็พากันเสียหน้าส่วนพระราชาเองกลับรู้สึกชื่นชมไอ้หนุ่มชาวนาขึ้นมาแล้วสิ

"เจ้านี่ ไม่ธรรมดาเลยนะ นี่หากว่าเจ้าเป็นหนึ่งในองค์ชายเหล่านี้ เจ้าคงได้คะแนนไปเยอะเลยทีเดียวเสียดายที่เจ้าเป็นแค่ชาวนา ไม่คู่ควรกับราชธิดาของเรา" ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหล่านางใน นางสนม ซังกึม ทั้งหลายต่างส่งเสียงวี๊ดว๊าย บ้างก็ส่งเสียงกริ๊ด ด้วยความตกใจเพราะที่พื้นตรงนั้น มีหนูนาตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อละล่าเข้าไปหากลุ่มพระสนมเหล่านั้น...เสี้ยววินาทีนั้นเอง... ทหารที่อยู่ใกล้ๆ ตรงนั้น ก็ใช้ท่อนไม้ฟาดลงไปที่ตัวหนู... เจ้าหนูผู้โชคร้าย ก็เลยต้องตาย...หลังจากทุกอย่างสงบลง ก็ถึงเวลากลับวังของพระราชาและเหล่าองค์ชายทั้งหลายเพื่อร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้... 

เป็นเพราะกามเทพ แผงศรใส่พระธิดาหรือประการใดมิทราบได้...พระธิดา เกิดความรู้สึกพึงพอใจในตัวหนุ่มน้อยชาวนาเข้าแล้วสิ...หนุ่มน้อยชาวนาก็เช่นเดียวกัน... แต่ด้วยความต่ำต้อยของตน..ก็ได้แต่หักห้ามใจตัวเองไว้เงียบๆ... 

ก่อนพระราชาจะเดินทางกลับ ได้ตรัสกับหนุ่มชาวนาว่า... "เอาอย่างนี้ เจ้าหนุ่มชาวนา ในฐานะที่เจ้าสามารถให้เหตุผลกับคำถามของเรา ทำให้พวกเราเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น" พระราชาหยุดตรัส และหันไปมองทางพระธิดาของพระองค์... 

แล้วก็หันมาตรัสต่อว่า "อีก 1 ปีข้างหน้า อายุของพระธิดาของเราจะถึงเวลา อภิเสกสมรส และอีก 1 ปีข้างหน้า เราจึงจะคัดเลือกตัวราชบุตรเขยอีกครั้งว่าจะเป็นผู้ใดเมื่อเจ้าสามารถชนะองค์ชายทั้งหลายได้ในวันนี้เราก็จะให้โอกาสเจ้า" 

พระราชาหยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วตรัสต่อว่า "เพื่อให้เกิดความคู่ควรกับธิดาของเราซึ่งโดยขนบธรรมเนียมประเพนี แต่โบราณมาแล้วจะต้องอภิเสกกับองค์ชายเท่านั้นเมื่อเจ้าเลือกเกิดไม่ได้ จึงไม่ได้เกิดเป็นองค์ชายแต่เราก็จะให้โอกาสเจ้า โดยเจ้ามีเวลา 1 ปีเจ้าจงสร้างตัวเองให้ร่ำรวยขึ้นมาให้ได้โดยจะต้องให้รวยที่สุดของประชาชนในเมืองของเรา" 



"แต่มีเงื่อนไขว่า... เจ้าต้องสร้างความร่ำรวยขึ้นมาจากทุนที่เราจะให้แก่เจ้าในวันนี้...และทุนที่เราจะให้แก่เจ้าก็คือ...หนูตายหนึ่งตัว ตัวนั้น" พระราชาชี้ไปที่หนูนาที่ถูกตีจนตาอยู่ตรงหน้าทหารที่ตีมัน 

ทหารรีบหยิบหนูตายเข้ามาส่งให้หนุ่มน้อยชาวนาอย่ารู้ใจพระราชา... 
หนุ่มน้อยชาวนาหยิบหางหนูไว้แล้วปล่อยให้ตัวหนูห้อยโตงเตงพร้อมกับการจากไปของขบวนประภาสป่าของพระราชา...รวมทั้งพระราชธิดาที่แสนจะสวย 
หนุ่มน้อยชาวนา ยกหนูขึ้นมามองดูพร้อมกับคิดในใจว่า... 

"สร้างตัว จากหนูตายหนึ่งตัว..."


บทที่ 2 ...ทำไม... 

หนุ่มน้อยชาวนาถือหนูตัวนั้นเดินไปตามทางเพื่อจะกลับบ้าน...แต่ในสมองก็ครุ่นคิดอย่างหนัก...จะทำอย่างไรดีกับหนูตัวนี้นะ...เกิดมาก็ไม่เคยทำการค้ากับเขาสักทีวันวันมีแต่ ทำไร่ไถนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควายหรือไม่ก็ออกไปหาปูหาปลาเอามากินกัน...แล้วนี่ จะต้องสร้างตัวให้รวยที่สุด จากหนูตายหนึ่งตัวยิ่งคิดก็ยิ่งมองไม่เห็นหนทาง...แต่ก็ยังให้ความสนใจในโอกาสที่เข้ามาในชีวิตจะปล่อยให้มันผ่านไป หรือจะไขว่คว้าไว้ดี... 

"หรือเราจะเข้าไปในตัวเมืองดีนะ" ชายหนุ่มคิดในใจ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่อาจจะช่วยให้พบเจอหนทางที่จะก้าวเดินต่อไปยังเป้าหมายได้ 



"หากกลับบ้านก่อนแล้วเข้าเมืองในวันรุ่งขึ้น หนูนี้อาจจะเน่าก็เป็นได้เอาวะ เพื่อองค์หญิงที่เป็นดั่งดวงใจ วันนี้เราจะไม่กลับบ้านแต่จะตรงเข้าเมืองพร้อมกับทุนที่พระราชาให้มานี้เป็นไงเป็นกันสิน่า... แล้วค่อยกลับบ้านทีหลังก็ยังได้..." ว่าแล้วหนุ่มน้อยชาวนาก็เปลี่ยนเส้นทางเดิน เพื่อตรงเข้าสู่ตัวเมือง..... 

ระหว่างทาง เขาได้เจอชายชราคนหนึ่งกำลังหาบฟืนงกๆ เงิ่นๆ ... 
"คุณตา คุณตา..." หนุ่มชาวนาเรียก "ตาจะหาบฟืนไปไหนเหรอครับ..." 
"ข้าจะเอาฟืนเข้าไปขายในเมือง... แล้วเอ็งล่ะ จะไปไหนเร๊อะ" ชายชราเป็นฝ่ายถามบ้าง 

"ฉันก็จะเข้าไปในเมืองเหมือนกันจ้าตา" ชายหนุ่มตอบ 
"เจ้าจะไปธุระอะไรหรือ..." ชายชราถาม 

"ฉันจะไปสร้างตัวให้ร่ำรวยกว่าประชาชนคนไหนๆ ในเมืองจ้าตา..." 
ชายชราหยุดเดิน แล้วหันมามองดูชายหนุ่มด้วยสีหน้าประหลาดใจ... 
"ไปสร้างความร่ำรวยด้วยตัวเปล่าๆ นี่น่ะเหรอวะ..." ชายชราอดที่จะถามไม่ได้... 
"เปล่าจ้าตา ฉันมีหนูมาด้วยหนึ่งตัวจ้า..." ชายหนุ่มตอบด้วยใบหน้าใสซื่อ...
"แล้วไอ้หนูนี่ เป็นหนูวิเศษที่จะช่วยให้เจ้าร่ำรวยยังงั้นรึ..." ชายชราถามอีก 

"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน..." ว่าแล้วชายหนุ่มก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายชราฟัง... 

หลังจากฟังจบ ชายชราก็นิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก...ชายหนุ่มเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ควรจะช่วยตาหาบฟืนดีกว่าตาจะได้เดินสบายๆ เข้าเมือง 

"มานี่ตา... ฉันหาบฟืนให้ตาเอง ไหนๆ เราก็จะไปทางเดียวกันแล้ว" พูดจบ ชายหนุ่มก็รีบเอื้อมมือไปยกเอาหาบฟืนจากบ่าชายชรา 

"ขอบใจเอ็งมากเลยว่ะ... วันนี้ข้าโชคดีแท้ๆ เลยที่เจอเอ็งแต่ข้าก็ไม่รู้จะช่วยเอ็งยังไงจริงๆ...ข้าขนฟืนจากป่าเข้าไปขายในเมืองมาก็ตั้งหลายปี ข้าก็ยังไม่เห็นจะรวยเลย นี่เอ็งมีหนูตายแค่ตัวเดียวแล้วเอ็งจะรวยได้ยังไงวะ..." 

"ไม่เป็นไรจ้าตา... ฉันจะลองดูให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน" 

ชายหนุ่มกับชายชรา คุยกันไปตลอดทางอย่างถูกคอจนมาถึงประตูเมือง... ก่อนจะเข้าประตูเมืองชายชราได้เอ่ยกับชายหนุ่มว่า... 
"มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพอจะช่วยเจ้าได้ ก็คือ คำแนะนำ...การที่เจ้าจะยิ่งใหญ่จากดินขึ้นไปเป็นดาวนี่เจ้าจงอ่อนน้อมถ่อมตนให้มากๆ...ความอ่อนน้อมถ่อมตน จะเป็นบันใดขึ้นสู่ที่สูงให้แก่เจ้าส่วนไอ้หนูตายตัวนั้น ข้าก็จนปัญญาจริงๆ ว่าจะให้เจ้าเอาไปขายให้ใคร..." 
ขาย!!... ชายหนุ่มเกิดความคิดที่ดีขึ้นมาทันทีทีแรกก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร... พอชายชราพูดถึงเรื่องขาย...ทำให้เขารู้แล้วว่า.... จะต้องเอาหนูตัวนี้ไปเร่ขาย... 

หลังจากหาบฟืนไปส่งชายชราที่ตลาดสดแล้วชายหนุ่มก็กล่าวอำลาชายชราคนนั้น เพื่อเดินเร่ขายหนูตัวนั้นต่อไป ไม่ว่าจะเจอใคร เขาก็จะร้องถามขายหนู พร้อมกับยกหนูให้ดูไปด้วย...ถ้ากลุ่มที่เจอเป็นหญิง ก็จะมีเสียงกรี๊ดกร๊าด ดังจนแสบแก้วหูเลยทเดียว... 
เดินถามมาจนเหนื่อย ก็ไม่เห็นมีใครมีทีท่าว่าจะซื้อเลยสักคนแล้วนี่มันจะขายได้ไหมเนี่ย..... 

หลังจากเดินจนรอบตลาดแล้ว ก็ยังหาคนซื้อไม่ได้เขาจึงตัดสินใจเดินออกจากตลาด เพื่อไปเดินขายตามบ้านผู้คน... 

ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ เขาก็เพิ่งจะเคยเข้าเมืองครั้งนี้เป็นครั้งแรก..ความอลังการ ความตื่นตาตื่นใจ สีสรรของเสื้อผ้าความากมายของผู้คน สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับเขาทำให้เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย... ยิ่งเห็นสิ่งของแปลกๆ ก็ยิ่งทำให้เขาอัศจรรย์ใจยิ่งนัก 

อย่างก้อนเหล็กยาวๆ รีๆ ประมาณมือจับได้พอดีที่เขาเห็นใครๆ เอาไว้แนบหู แล้วก็พูดคุยคนเดียวอย่างกับคนบ้า บางคนก็เดินพูด บางคนก็นั่งพูดซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นทำอะไรกันจนมีคนบอกเขาว่า นั่นน่ะ เขาเรียกว่าโทรศัพท์มือถือและอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ที่เขาเคยเห็นเป็นครั้งแรก 

คนบ้านนอกอย่างเขา อย่าว่าแต่โทรศัพท์มือถือเลยโค้กกระป๋อง เขาก็ยังไม่เคยเห็นเลยถ้าไม่มีไอ้หนูตัวนี้ ชาตินี้เขาคงไม่มีโอกาสมาเห็นอะไรๆ แบบนี้อย่างแน่นอน... 

ในขณะที่เดินเพลิดเพลินชมกรุง ดูเทคโนโลยีสมัยใหม่เพลินๆ เขาก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียก... 



"ไอ้หนุ่ม... ไอ้หนุ่ม..." 

เขาหันไปมองตามทิศทางของต้นเสียงก็เจอชายวัยกลางคน พุงพลุ้ย ยืนอยู่หน้าบ้าน "เอ็งหิ้วหนูจะเอาไปทิ้งถังขยะเหรอวะนั่น..." ชายวัยกลางคนถามขึ้น 
"เปล่าจ้า... ฉันกำลังเดินเร่ขายหนูตัวนี้อยู่จ้าลุง..." ชายหนุ่มตอบ 
"บ่ะ... เอ็งนี่ ท่าจะบ้าว่ะ... ข้าเคยเห็นแต่ใครๆเขาเอาหนูตายไปทิ้งขยะแต่เอ็งกลับเอามาขาย แล้วใครเขาจะซื้อวะ..." 
"ไม่รู้เหมือนกันลุง... อาจจะมีสักคนที่เขาอยากจะซื้อก็ได้จ้า" ชายหนุ่มตอบด้วยความซื่อ 



"เอางี้ก็แล้วกัน... ข้าซื้อไปให้แมวข้ากินก็ได้แต่ข้าให้แค่บาทเดียวนะ เกินกว่านั้น ข้าไม่ซื้อหรอกว่ะ..." ชายหนุ่มดีใจจนออกนอกหน้า... 

"บาทเดียวก็บาทเดียวจ้าลุง..." ว่าพลางก็ยื่นหนูส่งให้ชายวัยกลางคนทันที 

หลังจากรับเงินเหรียญบาทมาหนึ่งเหรียญเขาก็ดีใจเป็นที่สุด...ดีใจที่สามารถขายหนูได้จริงๆ...แบบนี้สิ เขาเรียกว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น... 

"จากหนูตายหนึ่งตัว กลายมาเป็นเงินหนึ่งบาทแล้วเราจะทำยังไงต่อล่ะทีนี้ ถึงจะทำให้เรารวยได้" ชายหนุ่มยืนพินิจพิจารณาเหรียญบาทที่อยู่ในมือในขณะที่สมองก็ครุ่นคิดไปด้วย 

"เถ้าแก่ เก้าแก่..." เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆเขา 
"วันนี้จะซื้ออะไรบ้างล่ะครับ..." ชายคนที่ซื้อหนูเขาไปนั่นเองคือเถ้าแก่ 
เขาทักทายปราศัยชายคนที่เรียกนั้นเป็นอย่างดีไอ้หนุ่มชาวนายืนดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้าจนชายคนนั้นจากไป ความสงสัยทำให้เขาถามเถ้าแก่ออกไปว่า "ลุง เอ้ย เถ้าแก่ครับ... ผู้ชายคนนั้น เขาซื้อของไปทำไมตั้งเยอะแยะครับ..." 

"เขาซื้อเอาไปขายน่ะสิ... ร้านอั๊วเป็นร้านขายส่ง คนขายของส่วนใหญ่ก็จะมาซื้อของที่นี่แหล่ะ" ถึงแม้เขาจะไม่เคยเป็นพ่อค้าแต่ฟังเท่านั้นเขาก็พอจะเดาออกแล้วว่าคนมาซื้อของที่นี่ แล้วก็เอาไปขายต่ออีกที
"แล้ว... หนึ่งบาทของผมนี่ จะซื้ออะไรเถ้าแก่ได้บ้างครับ"เขาถามขึ้น 

เถ้าแก่มองหน้าเขาพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก แล้วตอบไปว่า "ไม่รู้จะซื้ออะไรได้บ้างนะ หนึ่งบาทเนี่ย...เอาอันนี้ไปก็แล้วกัน..." 



พูดจบเถ้าแก่ก็หยิบน้ำตาลปึกที่อยู่ข้างๆ ส่งมาให้หนุ่มน้อยชาวนา 2 ก้อน... 

เขารับเอามาพร้อมกับจ่ายเงินหนึ่งบาทนั้นให้เถ้าแก่คืนไปแล้วก็เดินจากมา... 

ชายหนุ่มถือน้ำตาลปึกเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะเอาไปขายให้ใครเหมือนกัน 
จนมาถึงหน้าโรงงานแห่งหนึ่ง คนกำลังเลิกงานพอดีเขารีบคลี่น้ำตาลปึกออกจากห่อ แล้วถามขายให้ผู้คนทันที 

คนแล้วคนเล่า ไม่มีใครซื้อเขาเลยจนเดินมาถึงรถเข็นขายของคันหนึ่ง 
เขาหยุดยืนพักอยู่ข้างๆ สิ่งที่เขาเห็นก็คือคนงานหยุดซื้อของจากรถเข็นคันนี้เรื่อยๆในรถเข็นมีของหลายสิ่งหลายอย่างให้เลือกซื้อดูแล้วน่าสนใจ ผิดกับเขา ที่ถือห่อน้ำตาลปึกสองก้อนดูแล้วมันไม่น่าซื้อซะเลย...

พอแม่ค้าว่าง เขาจึงเดินเข้าไปทักทายด้วยความอ่อนน้อมด้วยจิตใจที่งดงามของเขา ด้วยมารยาทที่ดีทำให้เขาสามารถได้มิตรไมตรีจากแม่ค้าคนนั้นเขาขอแม่ค้าวางน้ำตาลปึกของเขาเพื่อขายด้วยแม่ค้าก็ยินดีให้วางได้... 

ขณะที่รอขายของ เขาก็ซักถามพูดคุยกับแม่ค้าไปเรื่อยเปื่อยแต่สิ่งหนึ่งที่เขาได้รู้จากแม่ค้าก็คือ...แม่ค้าคนนี้ ขายของแบบนี้มา 10 ปีแล้วกำไรที่ได้ ก็พออยู่ได้ไปเดือนชนเดือนจะให้ร่ำรวยนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก

"แล้วป้าไม่คิดจะไปทำอย่างอื่นที่ทำให้รวยได้เหรอครับ..." เขาถามขึ้น 

"ก็เพราะไม่รู้จะไปทำอะไรน่ะสิ... ที่ทำได้ก็ที่เห็นนี่แหล่ะเกิดไปทำอย่างอื่นแล้วไม่ได้อย่างที่คิดจะทำอย่างไรล่ะจะเอาเงินที่ไหนซื้อข้าว เอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกป้าไม่กล้าเสี่ยงหรอก..." แม่ค้าอธิบายเหตุผลให้ชายหนุ่มฟัง 
เขาได้ฟังแม่ค้าบอกดังนั้น ก็เข้าใจทันทีเลยว่าเหตุใด คนที่อยากรวยหลายๆ คน จึงไม่รวยเพราะความเสี่ยงนี่เอง...คนไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ก็เลยต้องทำอย่างที่เคยทำอยู่ทุกวันเพราะมันมีความมั่นคงกว่า.... 
"แม่ค้า.. น้ำตาลปึกนี่ ขายยังไงคะ..." เสียงคนงานสาวคนหนึ่งดังขึ้น ดึงเขาออกมาจากความคิด "อันละบาทจ้าหนู เหลือแค่สองอันเอง หนูจะเอาหมดเลยไหม" แม่ค้าถามกลับ 

"เอาสองอันเลยก็ได้ค่ะ... จริงๆแล้ว หนูอยากดื่มน้ำอ้อยมากกว่าแต่ไม่เห็นมีใครเอามาขายเลย" สาวโรงงานบ่นให้แม่ค้าฟัง พร้อมกับจ่ายเงินค่าน้ำตาลปึกแล้วก็เดินจากไป 

"โห... ป้า ไอ้น้ำตาลปึกนี่มันขายได้ก้อนละหนึ่งบาทเลยเหรอ" หนุ่มน้อยชาวนาถามขึ้น 
"เขาก็ขายก้อนละบาทกันทั้งนั้นแหล่ะ... อ้าวนี่เอ็งเอามาขาย เอ็งไม่รู้เหรอว่าเขาขายก้อนละเท่าไร" 

"ไม่รู้ครับ..." เขาทำหน้าอายๆพร้อมกับรับเงิน 2 บาทจากแม่ค้า สักพักก็ขอลากลับบ้านตอนนี้เขามีเงิน 2 บาทแล้ว... 

ระหว่างที่จะเดินทางกลับบ้านนอกเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า ไม่รู้จะกลับไปทำไมพ่อแม่ของเขาก็ไม่มี เขาอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กบ้านของเขาก็หามีไม่ อาศัยหลับนอนศาลาเก็บศพเก่าๆ ที่เขาเลิกใช้กันไปแล้ว ข้าวของก็แทบไม่มีอะไรเลยอีกอย่าง ระยะทางก็ไกลโขเอาการอยู่ทีเดียว และที่สำคัญ เขาจะต้องสร้างตัวให้ร่ำรวยภายใน 1 ปีเวลาของเขามีน้อยเหลือเกิน 

เท้าไวเท่าความคิด...เขาเปลี่ยนเส้นทางทันที มุ่งหน้าสู่บ้านของเถ้าแก่ 
เพราะไม่รู้จะไปทางไหน ที่พอนึกได้ก็บ้านของเถ้าแก่คนเดียวเท่านั้น... 

ไม่นานนัก เขาก็ยืนอยู่หน้าบ้านเถ้าแก่เขารู้สึกลังเล เก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเข้าไปดีหรือไม่ตัดสินใจอยู่นานทีเดียวที่สุดก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะเข้าไปขอพึงพิงเถ้าแก่ 



"อ้าว... พ่อหนุ่ม... มาซื้ออะไรอีกเหรอ ร้านอั๊วจะปิดแล้วนะ" เถ้าแก่ทักขึ้นเมื่อเห็นหนุ่มน้อยชาวนาเดินเข้ามาหาเขายกมือไหว้อย่างนอบน้อม พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า "หวัดดีอีกครั้งครับเถ้าแก่... พอดีผมขายน้ำตาลปึกหมดแล้วได้เงินมาสองบาทแน่ะครับ" ไม่รู้จะบอกยังไงที่จะขอพักอยู่ที่นี่สักคืนก็เลยพูดเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน... 

"แล้วนี่ ลื้อจะมาซื้อเอาไปขายอีกเร๊อะ..." เถ้าแก่ถามขึ้น 

"เปล่าครับ พอดีบ้านผมอยู่บ้านนอก ห่างจากที่นี่ไกลมากๆผมเลยตั้งใจว่าจะมาขออาศัยพักกับเถ้าแก่สักคืนผมทำงานแลกก็ได้นะครับ" ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง เพราะได้บอกความต้องการออกไปแล้วรอแต่เพียงคำตอบจากเถ้าแก่ ซึ่งก็ทำเอาหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่เหมือนกัน 

เถ้าแก่นิ่งคิดอยู่อึดใจใหญ่ๆ เพราะรู้สึกไม่ค่อยจะไว้ใจเขาสักเท่าไรแล้วก็ตัดสินใจตอบไปว่า 

"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวลื้อไปนอนที่โรงปลาทูของอั๊วคืนนี้เขานึ่งปลาทูกัน ลื้อก็ช่วยงานเขาเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน" พูดจบเถ้าแก่ก็หันไปหาลูกน้องคนหนึ่งพร้อมกับสั่งว่า 

"อาโยเอ้ย ตอนลื้อจะกลับไปโรงปลาทู พาอ้ายหนุ่มคนนี้ไปด้วยนะให้อีช่วยงานลื้ออะไรก็ได้ แล้วหาที่หลับที่นอนให้อีด้วยล่ะ" คนงานชื่อโย รับคำเสร็จก็ทำงานต่อ 

ไม่ต้องรอให้ใครบอก หนุ่มน้อยชาวนาก็กุลีกุจอ ช่วยงานนายโยอย่างแข็งขัน...หลังจากปิดร้านเสร็จ เพื่อนใหม่ชื่อโย ก็พาเขาไปยังโรงปลาทู... 

เมื่อคืนที่ผ่านมา หนุ่มน้อยชาวนาก็ได้รู้จักอาชีพอีกอาชีพนั่นก็คือ ลูกจ้าง ก็จากการพูดคุยกะนายโยเพื่อนใหม่นี่แหล่ะ...โยทำงานอยู่กับเถ้าแก่มาแล้ว 3 ปีหนุ่มน้อยชาวนาก็ได้รู้อีกว่า ถ้าเขาทำงานอย่างโยอย่าว่าแต่ 1 ปีเลย ตลอดชีวิตก็ไม่สามารถรวยได้ 

หลังจากกินข้าวกินปลากันเสร็จเรียบร้อยโยก็พาหนุ่มหน้อยชาวนาไปยังร้านเถ้าแก่เพื่อเตรียมเปิดร้านแต่เช้า...ตอนกลางวัน โยต้องมาช่วยเถ้าแก่ที่ร้านตอนกลางคืน ต้องนึ่งปลาทูตอน ตี 2 ถึงตี 4 เขาจะได้นอน 2 ช่วง คือ หลังจากเก็บร้านเสร็จแล้วกลับโรงงานปลาทูก็อาบน้ำกินข้าวนอน และมาตื่นตอน ตี 2- ตี 4 นึ่งปลาทูเสร็จเขาก็กินข้าวเช้าและมาเปิดร้านให้เถ้าแก่ 

ชายหนุ่มเคยถามโยว่า ไม่อยากทำงานอย่างอื่นหรือโยบอกเขาว่า ความรู้น้อย ไม่รู้จะไปทำอะไรก็เลยต้องำงานอยู่กับเถ้าแก่แบบนี้แหล่ะ... 

คำตอบของโยทำให้หนุ่มน้อยชาวนานึกถึงแม่ค้าขายของหน้าโรงงาน... 
และอีกคนที่เขานึกถึงคือ หลาวพี่เปี้ยก พระที่เขารู้จักเขาเคยถามหลวงพี่ว่า หลวงพี่เคยคิดอยากจะลาสิกขาไหมหลวงพี่เปี้ยกบอกเขาว่า คิดหลายครั้งเหมือนกันแต่ถ้าลาสิกขาออกไปแล้ว ก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร.. นอกจากคนทั้งสามนี้แล้ว คงมีคนอีกมากมาย ที่คิดแบบนี้ 

ที่บ้านเถ้าแก่หลังจากช่วยนายโยกับคนงานอื่นๆ จัดร้านเสร็จแล้ว 
หนุ่มน้อยชาวนา ก็รอโอกาสให้เถ้าแก่ว่าง 

"เถ้าแก่ครับ... เถ้าแก่รวยที่สุดในเมืองนี้หรือเปล่าครับ" หนุ่มน้อยชาวนาถาม 

เถ้าแก่อึ้งไปเล็กน้อย แล้วตอบว่า "ไม่หรอก.. อั๊วก็แค่พอมีทรัพย์สินเงินทองบ้างเท่านั้นแหล่ะมีคนรวยกว่าอั๊วอีกตั้งเยอะแยะ... ลื้อถามไปทำไมวะ" หนุ่มน้อยชาวนาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เถ้าแก่ฟัง 

"โอ้โห... ให้รวยที่สุดในเมืองภายในหนึ่งปีนี่นะ...มันเป็นไปไม่ได้เลยล่ะ... ข้าทำมาหากินมาเกือบทั้งชีวิตก็เพิ่งจะพอมีบ้างเท่าที่เห็นนี่แหล่ะ...ข้าว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ลื้อเลิกคิดซะเถอะว่ะ..." 

"ผมตั้งใจแล้วครับ ขอทำให้ถึงที่สุดก็แล้วกันครับ" ชายหนุ่มหยุดคิด 
แล้วพูดต่อว่า "เมื่อวานวันเดียว จากไม่มีอะไรเลย ผมยังหาเงินได้ตั้งสองบาทแล้วครับ..." เขารู้สึกภาคภูมิใจกับผลงานของเขาเป็นอย่างมากส่วนเถ้าแก่ ก็หัวเราะ ชอบใจอยู่ในลำคอด้วยความเอ็นดู..."แล้วใครรวยสุดในเมืองนี้หรือครับ..." ชายหนุ่มถาม 

"อืมมมมมม.... ข้าว่า น่าจะเป็นเศรษฐีไม้เท้าทองคำว่ะเห็นแกสร้างตึกสูงล้ำ เสียดฟ้าแทงเมฆนั่งคิดคำนวณตัวเลข ทุกค่ำทุกเช้า คิดจะเอากำไรมีที่ดินตั้งหมื่นแสนไร่ รถยนต์มากมาย ยิ่งกว่าร้านขายรถยนต์บริวาร วิ่งกันสับสน แกเลี้ยงผู้คน แทนฝูงวัวควาย..." เถ้าแก่วิเคราะห์ให้ชายหนุ่มฟัง... 

"เถ้าแก่แนะนำทางไปบ้านเขาให้ผมหน่อยสิครับ... ผมจะไปหาเขา" ชายหนุ่มถามพร้อมกับทำหน้าตาจริงจัง 

"เขาจะให้แกพบเหรอวะ... เวลาเขาเป็นเงินเป็นทอง" 

"ไม่เป็นไรครับ... บอกทางผมเถอะครับ ผมจะเสี่ยงดวงเอาเอง" เห็นแววตามุ่งมั่นของหนุ่มน้อยชาวนาแล้ว เถ้าแก่ก็เลยบอกทางให้...



บทที่ 3 เคล็ดลับมหาเศรษฐี 


ที่หน้าคฤหาสสวยหรู ใหญ่โตมโหราฬ 

หนุ่มน้อยชาวนาถูกกันอยู่ที่หน้าป้อมยาม 
รปภ.เองก็คิดหนัก เมื่อชาวนาแจ้งความประสงค์ในการมาครั้งนี้ 
เพราะสารรูปของคนที่มาขอพบเศรษฐีไม้เท้าทองคำนั้น 
ดูไม่ได้เอาเลยจริงๆ... 

อย่าว่าแต่จะให้เข้าไปพบท่านเศรษฐีเลย 
จะโทรเข้าไปบอกเขาก็ยังไม่กล้าด้วยซ้ำ... 
กลัวโดนไล่ออกจากงาน โทษฐานเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องรายงานเข้าไป... 

กรี๊งงงงง.... กริ๊งงงงงงง 
เสียงโทรศัพท์ในป้อมยามดังขึ้น 
รปภ.รีบเข้าไปรับสายอย่างรวดเร็ว 
คนสนิทของท่านเศรษฐีโทรมาบอก รปภ. ว่า จะมีแขกมาหาท่านเศรษฐี 
ให้อนุญาตเขา เข้ามาได้... 

รปภ.วางหูโทรศัพท์เสร็จ ก็ออกมายืนงงๆ อยู่ด้านหน้า 
พร้อมกับจ้องมองดูหนุ่มน้อยชาวนาสักครู่... 
"ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าคุณเป็นคนที่ท่านเศรษฐีรอพบอยู่ 
เห็นแต่งตัวมอซอแบบนี้... ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ 
งั้น เชิญเข้าไปได้เลยครับ..." 

"คุณ วรเทพ หรือเปล่าครับ..." 
คนสนิทของท่านเศรษฐี มองมาทางหนุ่มน้อยชาวนาพร้อมกับถามคำถามขึ้น... 

"เปล่าครับ..." หนุ่มน้อยชาวนาตอบ 

"อ้าว... แล้วนี่ใครปล่อยให้คุณเข้ามาล่ะนี่" 

"ก็... คนที่อยู่หน้าประตู บอกผมว่า ท่านเศรษฐีรอพบผมอยู่น่ะครับ 
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าผมจะมาขอพบท่าน" 

"ท่านรอพบคุณ วรเทพ อยู่ ไม่ได้รอพบคุณ" 

"ถ้าอย่างนั้น ผมขอพบท่านเศรษฐีหน่อยจะได้ไหมครับ" 

"ไม่ได้หรอก... ถ้าไม่ได้นัดไว้ ก็ให้พบไม่ได้" 
คนสนิทยืนยันแข็งขันที่จะไม่ให้เข้าพบ 

"ขอให้ผมได้พบท่านเศรษฐีหน่อยเถอะครับ... นะครับ" 
หนุ่มน้อยชาวนาพยายามวิงวอน 

"ไม่ได้จริงๆ ครับ... ผมทำตามหน้าที่น่ะครับ 
ถ้าไม่ได้นัดไว้ ผมให้เข้าพบท่านไม่ได้จริงๆ..." 
คนสนิทยังคงยืนกรานเสียงแข็ง 



"มีอะไรกันเหรอ..." ชายสูงอายุ ท่าทางภูมิฐานเอ่ยขึ้น 

คนสนิทท่านเศรษฐี ท่าทีเปลี่ยนไปเป็นนอบน้อม เอ่ยขึ้นว่า 

"ผู้ชายคนนี้ เขาพยายามจะขอเข้าพบท่านให้ได้น่ะครับ 
ผมเห็นว่าไม่ได้นัดท่านไว้ ก็เลยกำลังจะให้กลับออกไปครับ" 
คนสนิทรีบเดินเข้ามาหาหนุ่มน้อยชาวนาเพื่อจะรีบพาออกไป 

"อืมมมม.. เดี๋ยวก่อน..." ท่านเศรษฐีเอ่ยขึ้น 
"เธอเป็นใคร มาจากไหนล่ะ พ่อหนุ่ม" 
ท่าทางท่านเศรษฐีเป็นคนใจดีกว่าที่คิดซะอีก 

ชายหนุ่มรีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้เศรษฐีฟังทันที 

"เอางี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวเธอตามคนสนิทของฉัน 
ไปรอฉันที่ห้องรับแขกทางโน้นก่อนนะ 
อีกสักครู่ คุณ วรเทพ จะมาคุยธุระกับฉัน 
เสร็จแล้ว ฉันจะไปคุยกับเธอ..." 
กล่าวจบ ท่านเศรษฐีก็หันไปหาคนสนิท 
และสั่งให้จัดเตรียมของว่างมาต้อนรับหนุ่มน้อยชาวนาด้วย 

ที่ห้องรับแขก หลังจากหนุ่มน้อยชาวนานั่งรออยู่เกือบชั่วโมง 
ท่านเศรษฐีก็เดินเข้ามาหาเขา 

"เธอกล้ามากเลยนะ ที่มาขอพบฉัน" เศรษฐีเอ่ยขึ้น หลังจากนั่งลงที่เก้าอี้แล้ว... 

หนุ่มน้อยชาวนารู้สึกงงเล็กน้อย ทำไมกะอีแค่มาขอพบท่านเศรษฐี 
มันต้องใช้ความกล้ากันเชียวหรือ... นี่แสดงว่า 
ใครๆ ต่างก็ไม่กล้ามาขอพบท่านเศรษฐีแน่ๆ เลย 
ดีนะที่เราไม่ได้คิดอะไรมาก อยากมาหาก็มาเลย 

"ขอบพระคุณท่าน ที่ให้โอกาสผมครับ" 
ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม 

"ไม่เป็นไร... เห็นครั้งแรก ฉันก็รู้สึกถูกชะตากับเธอแล้วล่ะ 
ยิ่งพอได้ฟังเรื่องที่เธอเล่า ฉันก็ยิ่งสนใจ" เศรษฐีหยุดคิดนิดหนึ่ง 

"ที่เธอมาหาฉัน เธอคิดว่าจะมาทำไมเหรอ" 

"ผมนอนคิดมาทั้งคืนแล้ว ไม่มีทางไหนเลย 
ที่ผมจะรวยขึ้นมาได้ ในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี 
นอกเสียจาก..." ชายหนุ่มนิ่งไป... 

"เธอคงกำลังหมายถึง นอกเสียจากมีเคล็ดลับ ใช่ไหมล่ะ" 
เศรษฐีเอ่ยขึ้น 

"ใช่แล้วครับ... มันจะต้องมีเคล็ดลับอะไรแน่ๆ 
ที่ทำให้คนบางคนรวยขึ้นมาได้ และผมก็ไม่มีเวลา 
ที่จะค้นหามัน ผมเลยตั้งใจมาขอความกรุณาจากท่าน 
เพื่อแนะนำเคล็ดลับนั้นให้ผมบ้างครับ..." 

"5555... เธอนี่ใจถึงจริงๆเลย แบบนี้ฉันชอบ" 
เศรษฐีหัวเราะออกมาดังๆ พร้อมกับเอ่ยชมเชยเขา 

"ดีเหมือนกัน ฉันจะได้มีโอกาสทดสอบเคล็ดลับของฉัน 
ฉันใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อสร้างความร่ำรวย 
จนฉันได้ล่วงรู้ความลับหลายข้อ 
ที่ทำให้คนบางคนรวยได้และคนบางคนรวยไม่ได้" 

ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้น ถึงกับดีใจสุดขีด 
เพียงเพราะความคิดแค่อยากมาพูดคุยกับท่านเศรษฐี 
ไม่ได้คราดหวังอะไรมากนัก แต่สิ่งที่เขาได้จากการตัดสินใจครั้งนี้ 
กลับนำมาซึ่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่มหาศาลกับชีวิตของเขานัก 

"เราจะมาดูกันซิว่า... ในเวลาหนึ่งปี เธอ กับ เคล็ดลับของฉัน จะไปได้ถึงไหนกัน"... 
เศรษฐี เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นปนความมั่นใจ 

"ท่านบอกมาได้เลยครับ... ผมยินดีทำตามทุกอย่าง" 
ชายหนุ่มกล่าวตอบท่านเศรษฐี ด้วยหัวใจมุ่มมั่นเช่นกัน 

"เอาล่ะ..." ท่านเศรษฐีไม้เท้าทองคำเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ 

"ก่อนจะเริ่มลงมือทำอะไร 
เราจะต้องมาเสียเวลาเรียนรู้อะไรบางอย่างกันก่อน... 
ซึ่งมันเป็นความสำคัญต่อความสำเร็จของเธออย่างมากเลยทีเดียว..." 

ชายหนุ่มตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมา 

"เธอรู้ไหมว่า ทำไมคนบางคนจึงรวย และทำไมคนอีกบางคนจึงไม่รวย" เศรษฐีถามขึ้น... 

"ตอนอยู่บ้านนอก ผมไม่รู้ครับ แต่หลังจากผมเข้าเมืองมา ผมรู้อยู่ข้อหนึ่งคือ" 
ชายหนุ่มนึกไปถึงแม่ค้าขายของ เจ้าโยลูกจ้าง และหลวงพี่เปี๊ยกอยู่ในใจ... 

"เพราะเขาไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรดีกว่าที่เขาทำอยู่ครับ" 
ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก 

"ถูกต้อง..." เศรษฐีตอบด้วยเสียงดังและมั่นคง 
"แต่สิ่งที่เธอตอบมานั้น มันมีสาเหตุ..." เศรษฐีหยุดเว้นช่วงนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า 
"แล้วทำไมเธอจึงไม่ทำไร่ไถนาอยู่บ้านนอกล่ะ ตอนนี้" 

"ก็... ผมต้องรวยที่สุดในเมืองนี้ภายในหนึ่งปี นี่ครับ" ชายหนุ่มตอบ 

"แล้วเธอรู้หรือยังว่าจะทำอะไรจึงจะรวยได้" เศรษฐีถามขึ้นอีก 

ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะตอบมาว่า 
"ยังเลยครับ..." 

"แล้วทำไมเธอจึงเลิกทำนาก่อนที่จะเจอวิธีที่รวยล่ะ 
ทำไมจึงไม่ทำนาไปแล้วก็หาหนทางไปด้วย" 

"เพราะผมมีเวลาไม่มากนี่ครับ" 

"แสดงว่าคนอื่นๆ เขาคิดว่าเขามีเวลามากล่ะสิ 
จึงค่อยๆ หาไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ" 

"คงเป็นแบบนั้นมั้งครับ..." ชายหนุ่มตอบแบบไม่มั่นใจนัก 

"งั้นเธอจงตั้งใจฟังเรื่องที่ฉันกำลังจะบอกต่อไปนี้ให้ดีๆ.." เศรษฐีจ้องเข้าไปที่ดวงตาของชายหนุ่ม... 
"สิ่งแรกที่สุดเลยก็คือ... ความฝัน" เศรษฐีพูดอย่างตั้งใจ "ต่างคนก็ต่างมีความฝันของใครของมัน บางคนก็อยากมีชีวิตที่พออยู่พอกินก็พอแล้ว บางคนก็อยากใช้ชีวิตสงบสบาย ท่ามกลางสวน บางคนก็ขอให้มีงานทำ มีครอบครัวที่อบอุ่น และบางคนก็อยากร่ำรวยมหาศาล..." 
เศรษฐีมองหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะพูดต่อว่า "ไม่ว่าจะเป็นอะไร นั่นมันก็เป็นความฝันของใครของมัน คนที่ไม่ได้ฝันว่าจะร่ำรวย เขาก็ไม่ได้เดินบนถนนที่จะนำพาให้เขาร่ำรวย... แต่พวกเขาก็ยังเดินอยู่บนเส้นทางของพวกเขา รวมทั้งเดินไปด้วยความสุขใจที่ ความฝันเป็นจริง" 
ชายหนุ่มยังคงตั้งใจฟังอย่างใจจดจ่อเช่นเดิม 
"ความสุขที่เกิดจากความรู้จักพอของพวกเขา 
เป็นความสุขที่น่าอิจฉา ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยกาย 
แต่จิตใจก็สบาย แต่ก็จะมีบางคนที่อยู่อย่างพอเพียงไม่เป็น 
ไม่รู้จักประมาณตนเอง ชีวิตก็จะเดือดร้อน 
หาเงินมาได้ก็เป็นค่าผ่อนโน่นผ่อนนี่ ค่าดอกเบี้ยค่าอะไรต่อมิอะไร 
ทั้งๆที่วัตถุนิยมเหล่านั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในการยังชีพเลย 
แต่มันจำเป็นสำหรับหน้าตา... แล้วก็พากันนำเงินที่จะได้ในอนาคต 
เอามาใช้ในปัจจุบัน ถึงแม้จะต้องเสียดอกเบี้ยก็ยอม 
เขาจะมีความสุขกว่านี้ หากมีสิ่งเหล่านั้น ตามความเป็นจริง 
ตามการประมาณตนเองว่าตอนนี้เขาควรจะมีอะไรได้บ้างแล้ว" 

เศรษฐีหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า 
"เธอไม่จำเป็นต้องเชื่อฉันก็ได้นะ เพราะนี่มันเป็นความคิดของฉันเอง 
ซึ่งมันอาจจะผิดก็ได้" 

"ผมอยากฟังต่อครับ" ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบ 

"หลายๆ คนจึงอยู่อย่างไม่มีความสุข ทั้งๆที่เขาสามารถมีความสุขได้..." 
เศรษฐีพูดต่อ 
"เรามาดูอีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มที่มีความฝันว่าอยากรวย แต่ก็ไม่สามารถที่จะรวยได้... หลายๆ คนในกลุ่มนี้ เกิดจากการวางแผนผิด รู้ก็ทั้งรู้ว่า การจะรวยได้ จำเป็นจะต้องเอาเงินไปต่อเงิน ลำพังเพียงแค่การใช้แรงกายแลกเงินตรามานั้น มันไม่สามารถทำให้ร่ำรวยได้หรอก ทุกคนเกิดมาก็มี 24 ชั่วโมงเท่ากันหมด คนที่รวยได้ เขาไม่ได้มีเวลามากกว่าคนอื่นเลย แต่เขาสามารถบริหารเงินและเวลาของเขาได้ดีกว่าคนอื่น" 
"แล้วทำไมคนที่ไม่รวย เขาจึงไม่ทำในแบบที่จะทำให้รวยล่ะครับ" 
ชายหนุ่มสงสัย... 

"เขาไม่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้ 
เขาไม่สามารถเอาชนะสิ่งที่มายั่วยวนเขาได้" 
เศรษฐีตอบ 

"อะไรหรือครับ คือสิ่งที่มายั่วยวน" ชายหนุ่มถาม 

"ก็พวกวัตถุนิยมนั่นแหล่ะ 
ทำงานหาเงินมาได้ เหลือจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว 
มันเหลือพอที่จะผ่อนรถได้ เขาก็เอาไปผ่อนรถ 
เอาไปผ่อนบ้าน บางคนก็ใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่ายก็มี" 

ชายหนุ่มทำหน้างงนิดๆ 

"บางครั้งวางแผนผิด ไม่ได้เผื่อเหตุสุดวิสัยไว้ 
เมื่อถึงคราวเหตุสุดวิสัยขึ้นมา ก็ต้องสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก 
เวลาที่พอมีเหลือ ก็ต้องเอาไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้ 
ในที่สุดก็จะติดกับดักอยู่ตรงนั้น 
เงินที่หามาได้ก็หมดไปกับรายจ่ายที่ตนเองสร้างขึ้น 
เวลาที่จะใช้หาเงินเพิ่มก็หมด เงินที่ควรจะนำมาต่อเงินก็หมด 
และที่หมดไปเลยก็คือ โอกาสที่จะร่ำรวย" 

"เพราะจะไม่ทำงานก็ไม่ได้ เพราะต้องมีเงิน" ชายหนุ่มกล่าวเสริม 

"ใช่.. และที่สำคัญ ตกงานก็ไม่ได้ 
เพราะเอาเงินในอนาคตมาใช้ในปัจจุบันหมดแล้ว 
คนเหล่านี้จึงกอดงานเขาไว้แน่น 
หมดโอกาสที่จะไปทำอะไรได้อีก" 



เศรษฐีหยุดจิบน้ำ แล้วก็พูดต่อว่า 
"มันก็แปลกดีนะ... 

คนสมัยฉัน ส่วนใหญ่จะเก็บเงินที่ได้มาในวันนี้ 
เอาไว้ใช้ในอนาคต 
แต่คนสมัยนี้ กลับเอาเงินที่จะได้ในอนาคต 
เอามาใช้ในวันนี้... หลายๆ ชีวิต จึงเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย 
คนเหล่านี่น่าสงสารยิงกว่าคนกลุ่มแรกที่ฉันบอกอีก 
เพราะในจิตใจลึกๆ ของพวกเขานั้น มีความฝันว่าอยากร่ำรวย 
คิดดูสิว่าคนเหล่านี้จะทุกข์ใจขนาดไหน 
อยากจะรวย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะติดอยู่ในกับดักเสียแล้ว" 

"ผมโชคดีจังที่สามารถตกงานได้... ไม่ต้องมีเงื่อนไขของหนี้สินมาบีบเร้า" 
ชายหนุ่มนึกเปรียบเทียบกับตัวเขาเอง 

"ใช่... มันทำให้เธอยังมีโอกาสที่จะร่ำรวยอยู่" 
เศรษฐีพูดสนับสนุนเขา 

"โอกาสก็ไม่มีเพราะเวลาหมดไปกับการใช้แรงงานแล้ว 
แถมเงินที่จะเอาไปต่อเงินก็ไม่มีอีก..." 
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น 

"ผมยังไม่เข้าใจเรื่อง เอาเงินไปต่อเงินครับ" 
ชายหนุ่มเป็นฝ่ายถามขึ้นมา 

"เรื่องเอาเงินไปต่อเงิน เอาไว้ฉันจะอธิบายให้ฟังทีหลัง" 
เศรษฐีหันไปพูดกับชายหนุ่ม 



"ที่ฉันเล่ามาทั้งหมด มันยังมีอีกหลายเรื่อง ที่เป็นกับดัก 
ทำให้คนที่อยากรวย รวยไม่ได้ ฉันจึงอยากให้เธอเข้าใจ 
เกี่ยวกับกับดักบนเส้นทางสู่ความร่ำรวย... แม้แต่ 
การพนัน สาวงาม หรือ ความสุขส่วนตัว 
ก็เป็นตัวทำให้คนล้มเหลวมามากต่อมากนัก 
เพราะ... นำเงินออกไปใช้นอกระบบกับเรื่องพวกนั้น" 
เศรษฐีหยุดเพื่อมองดูว่า ชายหนุ่มตามเขาทันหรือไม่ 

"ผมจะเชื่อท่านทุกอย่างเลยครับ ขอให้บอก ให้แนะนำผมได้ทุกเรื่องครับ" 
ชายหนุ่มกล่าวกับเศรษฐีด้วยหัวใจมุ่งมั่นและทุ่มเท 

"เธอโชคดีที่ไม่ได้เรียนจบสูงๆ โชคดีที่เป็นคนจน" 
เศรษฐีเอ่ยขึ้น 

"ทำไมถึงโชคดีล่ะครับ" ชายหนุ่มสงสัย 

"หลายๆ คนที่เรียนจบสูงๆ มา มักจะเป็นน้ำที่เต็มแก้ว 
หลายๆ คนที่เกิดมารวย มักจะไม่ติดดิน 
เรื่องหน้าตาในสังคม อีกอย่างที่เป็นอุปสรรค" 
เศรษฐีอธิบาย 

ชายหนุ่มพยักหน้า ทั้งๆที่ไม่เข้าใจความหมายสักนิด 
"เอาเป็นว่า เธอรู้แล้วว่า มีกับดักต่างๆ บนเส้นทางมากมาย 
ที่จะคอยกันเธอไม่ให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้น ให้เธอมีสติตลอดเวลา 
ฉันจะให้แค่คำปรึกษาแก่เธอ อย่างเดียว 
นอกนั้นเธอต้องทำด้วยตัวของเธอเอง..." 

เศรษฐีมองเข้าไปที่ดวงตาชายหนุ่มแล้วพูดต่อ 
"ตอนนี้เธอมีเงินอยู่เท่าไรนะ" 

"สองบาทครับ" ชายหนุ่มตอบด้วยความภาคภูมิใจ 
แต่เศรษฐีแอบยิ้มที่มุมปากด้วยความเอ็นดู 

"อืมมมม... เธอเริ่มต้นจากเงินสองบาทของเธอต่อไป 
แต่ฉันจะแนะนำบางอย่างให้" 

"อะไรหรือครับ" ชายหนุ่มสงสัย 

"ในทุกวัน เธอต้องมีรายจ่ายประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร 
ค่าข้าวของเครื่องใช้... เธอจงหาวิธีให้มีเงินมาจ่ายสิ่งเหล่านั้น 
โดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรให้ได้..." 

"มีเงินโดยไม่ต้องทำอะไร... มันจะเป็นไปได้อย่างไรครับ" 


"เริ่มต้นก็คงต้องทำอะไรๆ นั่นแหล่ะ แล้วเมื่อถึงเวลาหนึ่ง ก็หยุดทำ แต่ยังได้เงินอยู่... ส่วนจะทำอย่างไรนั้น เธอต้องมองหาวิธีเอาเอง... โอกาสมีเสมอในท้องถนน เธอจงหาโอกาสนั้นให้เจอ..." เศรษฐีตอบคำถาม 
"อีกอย่าง... ฉันให้ที่พักเธอที่นี่ เพราะเราจะต้องคุยกันบ่อยๆ" 
เศรษฐีตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ อย่างเอ็นดู



บทที่ 4 หยุดทำงาน... แต่ยังคงมีรายได้อยู่ 

เช้าวันรุ่งขึ้น หนุ่มน้อยชาวนามุ่งสู่บ้านเถ้าแก่ ทันที 

"อ้าว.. เมื่อคืนไปนอนที่ไหนล่ะ ไม่เห็นกลับมาเลย" 
เถ้าแก่ถามขึ้น เมื่อเห็นหน้าชายหนุ่ม ยืนยิ้มแป้นอยู่ที่หน้าร้าน 

"ผมค้างคืนที่บ้านท่านเศรษฐีที่เถ้าแก่แนะนำให้นั่นแหล่ะครับ" 
ชายหนุ่มตอบ 

"โอ้โห... นี่เขาให้ลื้อเข้าพบด้วยเหรอวะ..." 

"โชคดีน่ะครับ ยามเข้าใจผิด คิดว่าผมคือคนที่ท่านเศรษฐีรอพบอยู่" 
ชายหนุ่มเล่าเรื่องตางๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาให้เถ้าแก่ฟัง 

"แล้ววันนี้มีแผนการอะไรบ้างล่ะ" เถ้าแก่ถามขึ้น 

"ผมจะมาถามเถ้าแก่ว่า จะหาน้ำอ้อยได้ที่ไหน เพื่อจะเอาไปขายที่หน้าโรงงาน" 

"จะเอาน้ำอ้อยไปขายหน้าโรงงาน... ก็เข้าท่าดีนะ" 
เถ้าแก่หยุดพูด แล้วหันไปเขียนอะไรบางอย่างในสมุดฉีก 
เสร็จแล้วก็ฉีกกระดาษนั้น ส่งให้ชายหนุ่ม 



"นี่แผนที่ไปโรงงานน้ำตาลปึกที่เขาส่งของให้อั๊ว 
เขาคั้นนำอ้อยเพื่อทำน้ำตาลขายน่ะ" 

"ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มยกมือไหว้ก่อนจะรับแผนที่แล้วกล่าวอำลาเถ้าแก่ 

ที่หน้าโรงงานนำตาลเล็กๆ ตามแผนที่ที่เถ้าแก่ให้มา 
ชายหนุ่มยืนลังเลอยู่ด้านนอกสักพักหนึ่งแล้ว 

"จริงๆแล้ว หนูอยากดื่มน้ำอ้อยมากกว่า แต่ไม่เห็นมีใครเอามาขายเลย"... 
เสียงของสาวโรงงานคนที่ซื้อน้ำตาลปึกสองก้อนของเขา 
ดังก้องขึ้นมาในหู 

"เมื่อมีคนอยากซื้อ เราก็ต้องขายได้แน่ๆ 
และคงมีอีกหลายคนอยากดื่มน้ำอ้อยเหมือนสาวโรงงานคนนั้นแน่ๆ" 
เขาคิดในใจพร้อมกับตัดสินใจเดินเข้าไปในโรงงานทันที 

"มีธุระอะไรหรือเปล่าพ่อหนุ่ม" เสียงหญิงวัยกลางคนเอ่ยถาม 

"ผมอยากจะมาขอซื้อน้ำอ้อยเอาไปขายหน่อยครับ" 
ชายหนุ่มตอบ 

"จะเอาเยอะไหมล่ะ" หญิงคนนั้นถามต่อ 

"ผมมีเงินติดตัวแค่สองบาทเองครับ" ชายหนุ่มตอบ 
"ผมเลยตั้งใจว่าจะทำงานแลกกับน้ำอ้อยคุณป้า ได้ไหมครับ" 

หญิงคนนั้นนิ่งคิดสักครู่หนึ่ง และตอบไปว่า 
"ก็ได้ เธอทำหน้าที่รีดน้ำอ้อยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะสอนให้ 
ส่วนค่าแรง ป้าให้วันละ 80 บาท กินข้าวกับป้า ตกลงไหมล่ะ" 

"ตกลงครับ..." หนุ่มน้อยชาวนาตกลงด้วยความยินดี 

หลังจากเรียนรู้วีธีรีดน้ำอ้อยแล้ว หนุ่มน้อยชาวนาก็ไม่รอช้า 
ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง 
เมื่อถึงเวลาพักทานอาหารเที่ยง เขาก็รีบทานรีบเสร็จ แล้วมาทำงานต่อทันที... 
จนถึงเย็น ใกล้เวลาที่โรงงานจะเลิก 

"ป้าครับ ผมจะเอาน้ำอ้อยไปขายหน้าโรงงานตอนโรงงานเลิกน่ะครับ 
ตอนนี้ใกล้เวลาโรงงานจะเลิกแล้วครับ" 

หญิงวัยกลางคนมองไปที่กองอ้อยที่จะให้ชายหนุ่มรีดเอาน้ำ 
พลัน แกก็ต้องตกใจ เมื่อกองอ้อยหมดไปแล้ว 
ปกติ แกต้องรีดจนถึงค่ำเลยทีเดียว 


"เออ อ้อยก็หมดแล้ว งานเอ็งก็เสร็จแล้วนี่... 
เอางี้... ป้าขายส่งน้ำอ้อยให้เอ็งราคาขวดละเจ็ดบาทนะ 
ค่าแรงเอ็งแปดสิบบาท ก็ได้สิบเอ็ดขวดบวกกับเงินอีกสามบาท 
แต่เอ็งเอาการเอางานแบบนี้ ข้าแถมให้เอ็งเป็นสิบห้าขวดก็แล้วกัน..." 

"ขอบคุณมากเลยครับป้า" ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้หญิงคนนั้น 
พร้อมกับรับเงินสามบาทที่หญิงคนนั้นยื่นให้ 

"ผมอยากขอยืมกระติกน้ำแข็งของป้าอันนั้นได้ไหมครับ" 
ชายหนุ่มชี้ไปที่กระติกน้ำแข็งที่ใช้ใส่น้ำกินในโรงงานของป้า 

"เอ็งจะเอาไปทำไมล่ะ" ป้าถามขึ้น 

"ผมจะเอาไว้แช่น้ำอ้อยในน้ำแข็ง มันจะได้เย็นๆ เวลาขายครับ" 

"แล้วเอ็งจะเอามาคืนป้าตอนไหนล่ะ" 

"ตอนค่ำๆ ครับ ก่อนผมจะกลับบ้าน... ป้าให้ผมยืมได้ไหมครับ" 

"เอ้า... ให้ยืมก็ให้ยืม แต่พรุ่งนี้เอ็งต้องมาช่วยป้าทำงานอีกนะ" 

"ตกลงครับ" ชายหนุ่มรับคำ แล้วรีบขนน้ำอ้อยใส่ลงในกระติก 
เพื่อจะได้ไปให้ทันเวลาเลิกงานของโรงงาน 

ระหว่างทาง เขาแวะซื้อน้ำแข็งเกร็ดด้วยเงินห้าบาท 
ซึ่งเป็นเงินเก่าของเขาสองบาท กับเงินส่วนเกินที่ป้าโรงงานน้ำตาลให้มา... 

หนุ่มน้อยชาวนามาถึงหน้าโรงงานพอดีกับเวลาเลิกงานพอดี 
เขารีบเดินตรงดิ่งไปหารถเข็นขายของ ของป้าที่เคยช่วยเขาขายน้ำตาลปึก... 

"สวัสสดีครับป้า" ชายหนุ่มทักทายพร้อมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม 

"เออ.... หวัดดีจ้า... วันนี้เอาอะไรมาขายล่ะ" 

"น้ำอ้อยแช่เย็นจ้าป้า... เมื่อวานก่อน จำได้ว่า 
มีสาวโรงงานบ่นอยากกิน แต่ไม่มีใครเอามาขาย" 
ชายหนุ่มตอบ ว่าแล้วเขาก็เปิดกระติกน้ำแข็งและจัดเรียงน้ำอ้อยทันที... 

"ป้า.... เขาขายกันขวดละกี่บาทจ๊ะ" ชายหนุ่มถาม 

"เอาอีกแล้วเอ็งนี่... ไม่รู้ราคาของที่จะขายอีกแล้ว 
เขาขายกันขวดละสิบบาท" 
ป้าตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ 

เพียงอึดใจเดียว เขาก็ขายน้ำอ้อยหมดซะแล้ว 
ได้เงินทั้งหมด 150 บาท ชายหนุ่มดีใจมากๆ 
เมื่อเช้าเขามีเงินสองบาทเอง พอตกเย็น 
เขามีเงินอยู่ในกระเป๋าถึง 150 บาทแล้ว 
ถ้าเขาทำงานแค่รีดน้ำอ้อยอย่างเดียว 
วันนี้เขาจะทำเงินได้เพียง 80 บาท จากค่าแรงเท่านั้น 

ชายหนุ่มรีบลาป้าขายของกลับทันที 
หลังจากเอากระติกน้ำแข็งไปคืนป้าที่โรงงานน้ำตาลแล้ว 
เขาก็รีบตรงไปยังคฤหาสถ์ของเศรษฐีไม้ท้าวทองคำ 
เขาตื่นเต้นมากๆ อยากรีบกลับไปเล่าให้ท่านเศรษฐีฟังเร็วๆ... 

ที่บ้านเศรษฐีไม้เท้าทองคำ... 
หนุ่มน้อยชาวนานำน้ำอ้อยสดใส่แก้วเดินไปให้เศรษฐี 
หลังจากที่แจกจ่ายอีก 4 ขวดให้กับ รปภ.หน้าประตู กับคนในบ้านไปแล้ว... 

"วันนี้ผมได้เงินทั้งหมด 150 บาทเชียวนะครับ 
แต่ผมแบ่งซื้อน้ำอ้อยมา 5 ขวดเพื่อให้กับคนอื่นๆ ในบ้านด้วย 
ความจริงผมก็อยากซื้อมามากกว่านี้หรอกครับ 
แต่ผมต้องเก็บเงินไว้เป็นทุนอยู่" 


"เธอทำถูกต้องแล้วล่ะ... แบ่ง 10% ของรายได้ เพื่อทำประโยชน์แก่ผู้อื่น" เศรษฐีพูดจบก็ดื่มน้ำอ้อยสดจนหมดแก้ว... 
"แต่ผมยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร 
ที่จะหยุดทำงานแล้วยังคงได้เงินอยู่ 
อย่างที่ท่านบอกผมเมื่อคืนนี้ มันทำได้จริงๆ เหรอครับ" 
ชายหนุ่มทำสีหน้างงๆ... 

"มีสิ ถ้าเธอสังเกตุดีๆ บวกกับความคิดอีกสักนิด 
เธอก็จะเจอวิธีที่ฉันพูดถึง..." 
เศรษฐีพูดพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดี 

"ท่านจะไม่บอกผมให้ชัดเจนเลยหรือครับ" 

"แต่ละคน จะไม่มีวิธีการที่แน่นอนถูกต้อง 
ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้น ฉันก็จะทำอีกอย่างหนึ่ง 
เธอก็จะทำในแบบของเธอ คนอื่นก็จะทำในแบบของเขา 
แต่ ทุกแบบที่ทำ อยู่บนพื้นฐานเดียวกันคือ 
หยุดทำ แต่ยังมีรายได้เข้ามาอยู่... 
ดังนั้น เธอต้องหาให้เจอด้วยตัวของเธอเอง" 

เย็นของวันรุ่งขึ้น ที่หน้าโรงงาน 
หนุ่มน้อยชาวนานำน้ำอ้อยสดมาขายมากกว่าเมื่อวาน 
เนื่องจากได้ค่าแรงจากการคั้นน้ำอ้อย 
รวมกับเงินที่ขายได้เมื่อวาน 
ทำให้เขามีน้ำอ้อยมาขายถึง 35 ขวด 

ใช้เวลาไม่นาน เขาก็ขายหมด แสดงว่า ถ้ามีมากกว่านี้ 
เขาก็ขายหมดเช่นกัน ความต้องการซื้อยังมีมากกว่าสินค้าที่เขานำมาขาย... 

เขาทำแบบนี้อยู่ 7 วัน ทำให้เขามีเงินสดหมุนเวียนถึง 5,000 กว่าบาท... 
และเย็นวันที่ 7 นี้เอง 

"มีโรงงานที่ใหญ่กว่านี้อีกนะ เอ็งรู้หรือเปล่า" 
ป้าขายของถามหนุ่มน้อยชาวนา 

"ไม่รู้จ้าป้า... แล้วมันอยู่ตรงไหนล่ะครับ" 
ชาวนาถามขึ้นด้วยความสนใจ 

หลังจากป้าอธิบายทางไปโรงงานที่ใหญ่กว่านั้นให้ชายหนุ่มแล้ว 
ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น 



"ผมสั่งเขาทำตู้แช่แบบกระจกมาอันหนึ่ง 
ผมเห็นร้านขายตู้ปลาเขากำลังทำตู้ปลา 
ก็เลยลองถามเขาให้ทำเป็นตู้แช่ให้ 
พรุ่งนี้ เขาให้ไปเอาได้..." 
ชายหนุ่มหยุดนิดหนึ่ง ก่อนพูดต่อว่า 

"ถ้าผมเอาตู้แช่กระจกนี้มาลงและฝากป้าขายให้นี่ 
จะได้ไหมครับ... ผมส่งของให้ป้าขวดละ 8 บาท" 

"อ้าว... แล้วเอ็งไม่ขายแล้วเหรอ เห็นขายดีออก" 
ป้าขายของสงสัย 

"ผมก็จะไปขายอีกโรงงานไงป้า" 
หนุ่มน้อยชาวนาตอบพร้อมกับรอยยิ้ม 

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะวะ... ขายดีแบบนี้ 
แค่ตั้งเฉยๆ ข้าก็ได้กำไรวันละหลายร้อยแล้ว" 
ป้าขายของยิ้มร่าออกมา 

หนึ่งเดือนผ่านไป 
หนุ่มน้อยชาวนา กลายมาเป็นคนขายส่งน้ำอ้อยสด 
ลงตู้แช่ฝากขายกับแม่ค้าในที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก 
ป้าโรงงานน้ำอ้อยสดเอง ก็ปล่อยเครดิตให้เขาด้วย 
เนื่องจากเห็นในความขยันและซื่อสัตย์ของเขา 
ทำให้เขาสามารถขยายสาขาได้เป็นอย่างมาก 

ส่วนตัวเขาเอง ก็ไม่ได้ทำงานที่โรงงานน้ำอ้อยนานแล้ว 
ทีแรกก็ออกมาเพื่อวิ่งส่งสินค้าตามจุดต่างๆ 
แต่ตอนนี้เขามีคนงานวิ่งส่งสินค้าแทนแล้ว 
พร้อมกับรถมอเตอร์ไซด์พวกอีก 1 คันเพื่อให้คนงานใช้ส่งของ 
และพนักงานบัญชี พนักงานคุมสต๊อกสินค้า 

"ไม่น่าเชื่อว่า เพียงเดือนเดียว 
เธอจะสามารถวางระบบการบริหารจัดการ 
จนวางมือปล่อยให้ระบบมันเดินไปได้เอง" 
เศรษฐีไม้เท้าทองคำพูดกับชายหนุ่ม 

"ก็เพราะได้ท่านช่วยแนะนำระบบบริหารจัดการให้น่ะสิครับ 
ลำพังผมเอง ไม่มีปัญญาจะคิดได้หรอกครับ" 
ชายหนุ่มพูดอย่างถ่อมตนเอง 


"เธอเป็นคนเก่งและฉลาดนะ เพียงแต่เธอขาดโอกาสที่จะได้เรียนสูงๆ เท่านั้นเอง ... แต่มันก็เป็นข้อดีกับเธอ เพราะคนที่คิดว่าตนเองเรียนน้อย ไม่มีความรู้ จะขนขวายหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา... และที่สำคัญ... เธอให้คนที่เขาเก่งกว่าเธอ มาทำงานให้เธอ..." เศรษฐี หยุดพูดพร้อมกับมองหน้าชายหนุ่ม 
"ฉันเห็นมาเยอะ... คนที่เก่งแล้วพยายามทำทุกอย่างเอง แต่เขาไม่รู้หรอกว่า มีคนเก่งกว่าเขา ทำให้ธุรกิจของเขาเสียโอกาสที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด" เศรษฐียิ้มให้ชายหนุ่ม และพูดต่อว่า 
"คราวนี้เธอก็เข้าใจแล้วสิว่า หยุดทำงานแล้ว แต่ยังมีรายได้อยู่ มันทำได้อย่างไร เป้าหมายแรกที่ฉันให้เธอทำ ก็คือ ให้มีค่าใช้จ่ายรายวัน โดยไม่ต้องทำอะไร แต่เธอไปได้ไกลกว่านั้นอีก มีกระแสเงินสดเพิ่มมากขึ้นกว่ารายจ่ายประจำวัน หลายเท่าตัวนัก..." 
"ลำดับต่อไปของเธอก็คือ ขยายตัวสินค้าเพิ่ม และคิดว่าจะเอากระแสเงินสดที่ได้มา ไปทำอะไรต่อ" 
ที่โต๊ะน้ำชาร้านขายส่งของเถ้าแก่เฮง 
หนุ่มน้อยชาวนา เอ๊ะ ไม่ใช่แล้วสิ 
ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของกิจการไปแล้ว 
งั้นเราต้องเรียกเขาใหม่แล้วสิครับเนี่ย 
เอ.... แล้วจะเรียกเขาว่าอะไรดีนะ 

เฮียน้ำอ้อยสด... ได้ยินใครๆ หลายคนเรียกเขาแบบนี้เหมือนกัน... 
แต่ผมว่า... เรียกเขาว่า ชายหนุ่ม ดีกว่า หุหุ 

วันนี้นอกจากชายหนุ่ม เถ้าแก่เฮงแล้ว ยังมีแขกอีกท่าน 
ซึ่งเป็นเพื่อนของเถ้าแก่เฮงนั่นเอง 
นานๆ เพื่อนคนนี้จะแวะมาเยี่ยมเยียนสักที 
ส่วนชายหนุ่มนั้น มักจะมาหาเถ้าแก่เฮงบ่อยๆ 

"ธุรกิจน้ำอ้อยสด ลื้อก็ไม่ต้องเข้าไปดูแลเต็มตัวแล้ว 
ลื้อจะทำอะไรอีกล่ะ"... 
เถ้าแก่เฮงหันมาถามชายหนุ่ม 
"ผมยังไม่รู้เลยครับเถ้าแก่... แต่ท่านเศรษฐีบอกว่า โอกาสมันมีมากมายในท้องถนน ใครตาแหลมคมก็จะมองเห็น" ชายหนุ่มตอบ 
"โอกาสมันมีเยอะแยะก็จริง 
แต่ลื้อมีเวลาเหลืออีก 11 เดือนเอง 
ต้องเป็นโอกาสใหญ่ๆ เท่านั้น จึงจะบรรลุเป้าหมายได้" 
เถ้าแก่เฮงเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยชายหนุ่มอย่างไรได้ 

"พูดถึงเรื่องโอกาสแล้ว 
ผมส่งลูกน้องคนหนึ่งไปดูตลาดรองเท้าที่เมืองคูขาด 
ตั้งใจว่าจะเข้าไปตีตลาดที่เมืองนี้ 
แต่ลูกน้องกลับมารายงานว่า ทำตลาดไม่ได้หรอก" 
เฮียเม้ง เจ้าของโรงงานรองเท้าเอ่ยขึ้นบ้าง 

"ทำไมล่ะเฮียเม้ง" เถ้าแก่เฮงสงสัย 



"ก็คนเมืองคูขาด เขาไม่นิยมใส่รองเท้ากัน 
ไปไหนมาไหน เขาก็เดินเท้าเปล่ากันทั้งนั้น 
ผมเลยหันไปทำตลาดที่เมืองปะคำแทน ขายดีมากเลย" 
เฮียเม้งตอบ 

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เกิดปี๊งขึ้นมาทันที 

"เฮียเม้งครับ..." ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น 

"ให้ผมไปทำตลาดที่เมืองคูขาดให้เฮีย เอาไหมครับ" 
ชายหนุ่มพูดต่อ 

"มันคงยากนะ เพราะทัศนคติคนที่นั่น เขาไม่ใส่รองเท้ากัน" 
เฮียเม้งแย้งขึ้น 

"เฮียคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เหรอครับ" ชายหนุ่มถาม 

"ถึงมันจะเป็นไปได้... แต่มันยาก" เฮียเม้งตอบ 

ชายหนุ่มนิ่งคิดสักครู่... แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า 
"ผมสนใจจริงๆนะเฮีย 
ผมคิดว่า ถึงมันจะยาก... แต่มันเป็นไปได้ ครับ" 

ทุกคนนิ่งไปพักหนึ่ง 
เฮียเม้งเอ่ยขึ้นว่า 
"ได้สิ ถ้าคุณอยากทำจริงๆ แต่ผมแนะนำว่า 
ให้คิดให้ถี่ถ้วนอีกทีดีไหม ในความคิดของผมนะ 
ยังอีกหลายปี กว่าจะเข้าไปทำตลาดที่นั่นได้ 
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาหรอก 
ทำไมคุณไม่ทำอะไรที่มันง่ายกว่านี้ล่ะ" 

"ถ้าอย่างนั้น... พรุ่งนี้ผมโทรบอกเฮียอีกทีนะครับ 
ผมจะกลับไปคิดคืนนี้ก่อนครับ" 
ชายหนุ่มบอกกับเฮียเม้งไป แต่ในใจนั้น ตัดสินใจแล้วว่าเอาแน่...


บทที่ 5 "เอารองเท้าไปขาย... แต่อย่าขายรองเท้าให้เขา" 
"การจะเป็นคนที่แตกต่างจากคนทั่วไป เราจำเป็นจะต้องคิดไม่เหมือนพวกเขา ถ้าเราคิดเหมือนเขา... เราก็จะเป็นเหมือนพวกเขา" เศรษฐีพูดขึ้น หลังจากชายหนุ่มกลับมาปรึกษาเขา 
"คนทั่วๆไป มักจะทำอะไรๆ ที่มันไม่ยุ่งยากซับซ้อน 
เพราะมันง่ายกว่ากันเยอะเลย เขาไม่ค่อยอยากจะเสี่ยงกับเรื่องอะไร 
ปล่อยให้ชีวิตมันดำเนินไปเรื่อยๆ ของมัน 
แต่ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก 
เพราะเขาก็มีความสุขในแบบของเขา" 
เศรษฐีมองเข้าไปที่ดวงตาชายหนุ่ม 

"เมื่อเธอต้องการที่จะแตกต่างจากพวกเขา 
เธอจึงพูดว่า ถึงมันจะยาก... แต่มันก็เป็นไปได้ 
ส่วนคนที่พูดว่า ถึงมันจะเป็นไปได้... แต่มันก็ยาก 
ความมุ่งมั่น ทุ่มเทของสองคนนี้ก็ต่างกันแล้ว" 
เศรษฐีพูดต่อ 
"เหมือนกับคนที่บอกตัวเองว่า อยากรวย กับคนที่บอกกับตัวเองว่า ต้องรวย เราสามารถทำนายอนาคต คนทั้งสองได้เลย" เศรษฐียิ้มนิดหนึ่งที่มุมปาก 
"เมื่อเธอตัดสินใจแล้วว่าจะทำ ฉันก็อยากจะให้ข้อคิดเธอไปข้อหนึ่ง เธอเอารองเท้าไปขายก็จริง แต่จงอย่าขายรองเท้าให้เขา" 
สามวันผ่านไป ที่เมืองคูขาด 
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ... 
ชายหนุ่มขายรองเท้าได้ไม่ถึง 30 คู่ 
สถานที่ ๆ เขานำรองเท้าไปวางขายก็เป็นตลาดชุมชน 
มีคนหนาแน่นมากมายจับจ่ายซื้อของ 

ที่นี่ ถึงจะเป็นตัวเมือง แต่ผู้คนก็ใช้ชีวิตแบบพอเพียง 
ไม่ยึดติดวัตถุนิยม อยู่กันอย่าสมถะ 
อยู่กันอย่าเท้าติดดิน... 

"เธอเอารองเท้าไปขายก็จริง แต่จงอย่าขายรองเท้าให้เขา" 
คำพูดของท่านเศรษฐีดังก้องอยู่ในหูของเขา 
เอารองเท้ามาวางขาย มันขายไม่ได้จริงๆ 
แล้วจะขายอะไรเพื่อให้เขาซื้อรองเท้าล่ะ... 

วันที่ 4 ของการอยู่ที่เมืองคูขาด 
วันนี้ ชายหนุ่มมาขายของแต่เช้า 
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป... 
เขาและลูกน้อง ช่วยกันจัดบอร์ด 
ให้ความรู้เรื่องโรคที่เกิดจากการไม่ใส่รองเท้า 
วันนี้เขาคิดว่าจะขายความกลัว... 
กลัวที่จะเป็นโรคต่างๆ เหล่านั้น... 

วันที่ 4 และ 5 ถึงแม้จะขายความกลัว 
แต่เขาก็ขายรองเท้าได้ไม่ถึง 10 คู่ 
มันเกิดอะไรขึ้น ชาวเมืองส่วนใหญ่ ยังรู้สึกเฉยๆ 
ไม่ได้สนใจเรื่องโรคต่างๆ ที่เขานำเอามาประกอบการขายเลย 
และมีหลายๆเสียงพูดว่า 

"ชาวเมืองทั้งหลายก็อยู่สุขสบายมาหลายร้อยปี 
ไม่เห็นต้องใส่รองเท้าเลย หลายๆ คนก็อยู่กันจนแก่จนเฒ่า" 

เฮ้อ..... แล้วจะทำอย่างไรล่ะเนี่ย 
จึงจะเปลี่ยนทัศนคติของชาวเมือง 
ให้มาใส่รองเท้าได้นะ... 
ส่วนตัวของเขาเองเชื่อมั่นอย่างเต็มที่เลยว่า 
หากชาวเมืองนี้ ได้ใส่รองเท่า 
รับรองว่า ทุกคนจะต้องใส่รองเท้าไปจนตลอดชีวติเลยล่ะ 
เพราะเมื่อก่อนเขาเองก็ไม่ใส่รองเท้า 
สมัยที่อยู่บ้านนอก จนเริ่มเป็นหนุ่ม ปีนั่นแหล่ะ 
เขาจึงมีโอกาสได้รองเท้าคู่แรกในชีวิต 
และตัวเขาเองก็พบว่า 
รองเท้าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างหนึ่งของชีวิต นอกจากเสื้อผ้าอาภร... 



ขณะที่เขากำลังเครียดอยู่นั่นเอง 
ก็มีลุงชาวเมืองคนหนึ่ง มาซื้อรองเท้าของเขา 
แกเลือกเบอร์ต่างๆ ของรองเท้ามาได้ 4 คู่ 

"ลุงเอา สี่คู่นะ" ลุงชาวเมืองคูขาดเอ่ยขึ้น 

ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ เพราะทำไมลุงแกจึงซื้อไปเยอะขนาดนั้น 
ทั้งๆ ที่รองเท้าคู่เก่าของแกก็ยังไม่สึกหรอเสียหายเลย 

"รองเท้าลุงก็ยังดีอยู่เลย ทำไมลุงซื้อใหม่อีกล่ะครับ" 
ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย 

"ก็... ซื้อไปให้ลูกหลานด้วย อีกคู่ก็จะเก็บเอาไว้ 
เผื่อคู่นี้สึกแล้วจะได้มีรองเท้าใส่" 
ลุงชาวเมืองตอบพร้อมกับยื่นเงินค่ารองเท้าให้ 

"คนเมืองนี้เขาไม่ใส่รองเท้ากัน 
ลุงกลัวจะไม่มีใครเอามาขายอีก เลยซื้อเก็บไว้" 
ลุงชาวเมืองยังพูดต่อ 

"คู่แรกนี่... ลุงไม่ได้ซื้อหรอก 
คราวก่อนโน้น คนขายรองเท้าเขาเล่นเกมส์ทายปัญหา 
ใครตอบถูกก็ได้รองเท้าเป็นรางวัล 
ลุงโชคดีตอบถูก" 

"พอใส่รองเท้าแล้ว จึงเห็นคุณค่าของมัน 
แล้วก็กลัวจะไม่มีใครเอามาขายอีก" 
ลุงชาวเมืองรับเงินทอน แล้วก็เดินจากไป... 

คำพูดของลุงชาวเมือง 
ทำให้เขาเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีกว่า 
หากใครได้ใส่รองเท้า รับรอง ชีวิตนี้ เขาจะขาดรองเท้าไปไม่ได้... 

แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ จึงจะให้เขาได้ใส่รองเท้า 
ครั้นจะแจกฟรี ก็ไม่ไหวแน่ๆ เพราะไม่ใช่การทำการค้า 
และจะแจกฟรีได้สักกี่คน 
คนในเมืองนี้ก็ร่วมๆ 2 แสนคน ใช่น้อยซะเมื่อไร 
แต่หากทำตลาดได้ ยอดขายก็ไม่น้อยเหมือนกัน 



ค่ำคืนของวันที่ 5 ที่เมืองคูขาด 
หลังจากชายหนุ่มเสร็จภาระกิจประจำวันแล้ว 
เขาก็ออกมานั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ข้างๆที่พัก 
เขากำลังตัดสินใจว่าจะยอมแพ้ แล้วขนรองเท้ากลับ 
หรือจะสู้ต่อดีนะ เพราะเขามีเวลาไม่มาก 
ไม่มีเวลามากพอ ที่จะค่อยๆ ทำให้คนใส่รองเท้ากัน ทีละนิด 

คนที่มาซื้อรองเท้าของเขาเกือบทั้งหมด 
คือคนที่มีรองเท้าอยู่แล้ว 
แต่ลูกค้ารายใหม่ แทบจะไม่มีเลย 

การที่เขาเพ่งจิตอยู่ที่ความคิดนั้นเอง 
ทำให้จิตของเขาเป็นสมาธิ จนจิตสงบ 
เมื่อจิตสงบ ปัญญาก็เกิด 

เขาร้องไชโย ในใจ 
เขารู้แล้วว่าจะทำอย่างไร 
นี่เองน่ะหรือ ที่ท่านเศรษฐีบอกว่า 

"เธอเอารองเท้าไปขายก็จริง แต่จงอย่าขายรองเท้าให้เขา" 

วิเศษจริงๆ เลย วิธีนี้ 
ได้ผลอย่างแน่นอน 
และต่อไป เราก็จะยึดครองตลาดสิ้นค้ารองเท้าที่เมืองนี้ได้ 

ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจจนมือไม้สั่น 
กับความคิดที่แสนจะวิเศษของเขา 
พรุ่งนี้เช้า เขาจะเริ่มปฏิบัติการ ทันที... 

เช้าวันรุ่งขึ้น... 
ชายหนุ่มจัดการหาห้องเช่าได้แห่งหนึ่ง เพื่อเป็นโกดังเก็บรองเท้า 
และเขาสั่งให้ลูกน้องขนรองเท้าลงจากรถเข้าโกดังให้หมด 
เสร็จแล้วให้นำรถกับรองเท้าส่วนหนึ่งไปเจอเขาที่ตลาด 
จากนั้นชายหนุ่มก็ตรงดิ่งสู่ตลาดกลางทันที 
เขาเดินทักทายพ่อค้าแม่ค้าเกือบทุกเจ้าในตลาด 

เมื่อกลับมาถึงที่แผงขายรองเท้าของเขา 
เขาติดป้ายตัวใหญ่บะเร่อเทิ่มว่า.... 

"รับซื้อสินค้าการเกษตรทุกชนิด" 

ที่เมืองนี้ ชาวเมืองส่วนใหญ่จะทำการเกษตรเป็นหลัก 
ดังนั้นสินค้าการเกษตรที่เขานำมาขายจึงมีราคาไม่แพง 
ข้อมูลที่ได้ก็มาจากการที่เขาเดินทักทายพ่อค้าแม่ค้านั่งเอง 

ใช้เวลารออยู่ไม่นาน 
ที่หน้าร้านของเขาก็มีผู้คนมากมายมายืนออกันแน่นเลยทีเดียว 
เปล่าหรอก... ไม่ใช่เขามาซื้อรองเท้ากัน 
แต่เขาพากันนำสินค้าการเกษตรมาขายให้ชายหนุ่ม 
ชายหนุ่มเองก็รับซื้อสินค้าในราคาตลาดที่เขาเดินสำรวจมาแล้ว 
นอกจากเงินที่ชาวเมืองได้กลับไป 
ยังได้รองเท้ากลับไปอีกด้วย 
บางคนก็ได้รองเท้าคู่หรือสองคู่ 
บางคนก็ได้มากกว่านั้น ตามปริมาณสินค้าที่นำมาขาย 

ไม่น่าเชื่อว่า การขายรองเท้าโดยวิธีรับซื้อสินค้าจะได้ผล 
ใช้เวลาไม่นาน สินค้าเกษตรก็เต็มรถ 
ส่วนรองเท้าของเขาก็หมดไปเกินกว่าครึ่งหนึ่งที่เขานำมา 

เมื่อปิดการรับซื้อสินค้าเกษตรเรียบร้อยแล้ว 
ชายหนุ่มก็สั่งให้ลูกน้องคนหนึ่งอยู่เฝ้าโกดังรองเท้า 
ส่วนเขาเองกับลูกน้องอีกคนรีบตีรถกลับ 

เมื่อกลับมาถึงเมือง ชายหนุ่มก็ตรงเข้าสู่ตลาดทันที 
เขาเดินเช็กราคาสินค้าเกษตรอยู่สักพัก 
เมื่อได้รู้ราคาจนเป็นที่พอใจแล้ว 
เขาก็หาที่เหมาะๆ นำสินค้าเกษตรที่เขาซื้อมาจากเมืองคูขาด 
ขายส่งให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดแห่งนี้ 



ข่าวการขายส่งของเขากระจายไปจนทั่วตลาด 
และไม่นานนัก สินค้าของเขาก็ขายหมดเกลี้ยง 
หลังจากคำนวณกำไร-ขาดทุนแล้ว 
ก็เป็นตามที่เขาวางแผนไว้ตั้งแต่แรก 
กำไรที่ได้จากการขายส่ง หักราคารองเท้า 
ยังทำให้เขามีกำไรเหลืออีกพอสมควร 
แต่สิ่งที่เขาจะได้ในอนาคตคือ 
ตลาดรองเท้าที่เมืองคูขาดอย่างแน่นอน 

ที่คฤหาสถ์ของเศรษฐีไม้เท้าทองคำ 
ชายหนุ่มเล่าเรื่องต่างๆให้เศรษฐีฟัง 
เศรษฐีถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ... 

"ฉันไม่คิดว่าเธอจะทำแบบนี้เลยนะเนี่ย... 
ความหมายของฉันไม่ได้โลดโผนขนาดนี้" 
เศรษฐีพูดไปอมยิ้มไป 
"อย่าขายผักบุ้งไฟแดง แต่จงขายไฟที่มันลุกพรึ๊บ เวลาเทผักบุ้งใส่กระทะ และขายผักบุ้งที่ลอยขึ้นไปบนฟ้า แล้วตกลงมาสู่จานที่มีคนรอรับอยู่..." 
เศรษฐีหยุดนิดหนึ่งเพื่อให้ชายหนุ่มจินตนาการณ์ตาม 
"ฉันหมายถึงประมาณนี้... 
แต่สิ่งที่เธอทำ ก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ 
ขายโอกาส... ให้ชาวเมืองนั้นได้ใส่รองเท้า" 

ชายหนุ่มวิ่งรถไปมาระหว่างสองเมืองอยู่หนึ่งอาทิตย์ 
เขาก็ตัดสินใจหยุดแถมรองเท้า 
จากนั้นก็จัดการตกแต่งโกดังรองเท้าให้เป็นร้านรองเท้า 
เพื่อรองรับลูกค้าที่ตั้งใจที่จะมาซื้อรองเท้า 

จากการที่ได้รองเท้าเป็นของแถมกลับบ้านของชาวเมือง 
ที่นำสินค้าเกษตรมาขาย 
นอกจากได้ใส่รองเท้าเองแล้ว 
ยังได้เผื่อแผ่ให้กับลูกหลาน ญาติสนิท มิตรสหาย 
การได้ใส่รองเท้าของชาวเมืองเริ่มกระจายออกไป 

เป็นอย่างที่ชายหนุ่มคิดเอาไว้ 
ค่านิยมการใส่รองเท้าเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ 
คนที่ใส่แล้วก็จะบอกต่อถึงข้อดีแบบปากต่อปาก 
คนที่ยังไม่มีโอกาสได้ใส่ ก็รู้สึกเหมือนตนเองตกยุค 
ความรู้สึกทางด้านวัตถุนิยมเริ่มก่อกำเนิดขึ้น ถึงแม้จะเล็กน้อย 
แต่ก็มีผลทางด้านจิตใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว 
ทำอย่างไรได้ เพราะนี่คือธรรมชาติของมนุษย์ 
ผู้ซึ่งยังหนาไปด้วยกิเลส 
ไม่มีผู้ใดฝืนธรรมชาติไปได้เลย 
ใครที่ล่วงรู้ความลับของธรรมชาติต่างหาก 
ที่จะสามารถสร้างประโยชน์จากมันได้ 
แม้แต่เครื่องบินที่บินอยู่บนฟ้า 
ก็ไม่ได้ฝืนกฎของธรรมชาติ 
ใครจะไปคิดล่ะว่า ก้อนเหล็กหนักๆ จะลอยไปมาอยู่บนฟากฟ้าได้... 
ก็เพราะมีผู้ล่วงรู้ธรรมชาติของแรงต้านของอากาศ 
และพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ 
โธมัส เอดิสัน ก็ได้ล่วงรู้ธรรมชาติของกระแสไฟฟ้า 
ตัวนำไฟฟ้า จนพัฒนาขึ้นมาเป็นหลอดไฟให้แสงสว่าง 

ธรรมชาติ จึงเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้และทำความเข้าใจ 
และพัฒนาความรู้ความเข้าใจ เพื่อนำไปประยุกค์ใช้งาน 
แม้แต่การบริหารงานมนุษย์ด้วยกันเอง 
ยังต้องรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคน 
ซึ่งไม่มีใครจะเป็นได้เหมือนใคร 
ใครล่วงรู้ธรรมชาติของมนุษย์ 
ก็จะบริหารงานมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 



ร้านรองเท้าของชายหนุ่มจึงเริ่มมีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ 
จนในที่สุด..... 
ชาวเมืองคนใดที่ไม่ใส่รองเท้า 
กลายเป็นบุคคลที่แปลกและแตกต่างไปจากคนของชุมชน 

เมื่อต้องวิ่งรอกรถไปมาระหว่างสองเมือง 
ทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนกลางของสินค้าของสองเมืองนี้ 
สินค้าหลากหลายชนิดเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ 
จากร้านขายรองเท้าเพียงอย่างเดียว 
ได้พัฒนากลายมาเป็นร้านสรรพสินค้าของเมืองคูขาดไปเสียแล้ว 
สินค้าฟุ่มเฟือยมากมายเริ่มเข้ามาสู่ตลาดของเมืองแห่งนี้ 
พร้อมกับพัฒนาการด้านวัตถุนิยมที่เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆของชาวเมือง 

ชายหนุ่มมองไปยังอนาคตของธุรกิจของเขาที่เมืองคูขาดนี้ 
สิ่งที่เขาเห็นก็คือ จากการรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรเพื่อระบายรองเท้า 
ได้พัฒนากลายมาเป็น..... 

"คูขาดพืชผล" 
...ศูนย์รับซื้อผลิตผลทางการเกษตรที่ใหญ่โต 
...ศูนย์จำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตร 
...ศูนย์สงเสริมการเกษตรครบวงจรทั้งพืชและสัตว์ 

เรื่องพืช ก็ขายตั้งแต่เมล็ดพันธุ์พืช ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช 
ไปจนถึงการรับซื้อผลผลิตกลับคืนมา 

เรื่องสัตว์ ก็ขายตั้งแต่พันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ ยา วัคซีน 
และการรับซื้อผลผลิตกลับคืน 

นั่นคือพัฒนาการที่เป็นไปของร้านรองเท้า 
กับร้านรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรเล็กๆในตอนต้น 
ซึ่งใช้เวลาพัฒนาเป็นแรมปีเหมือนกัน 

หลังจากวิ่งรถขนสินค้าระหว่างสองเมือง 
รวมทั้งเริ่มมีสินค้าแตกไลน์เพิ่มขึ้น 
ชายหนุ่มก็พอจะมองอนาคตของพัฒนาการ 
และการเติบโตของธุรกิจทั้งสองสายงาน 
คือการเติบโตของร้านรองเท้าไปสู่ร้านสรรพสินค้า 
และการเติบโตของร้านรับซื้อสินค้าเกษตรไปสู่ศูนย์เกษตรครบวงจร... 
แต่เขามีเวลาไม่มากพอที่จะรอคอยวันนั้น 
เพราะมันต้องใช้เวลาพัฒนาการ เกินกว่าเวลา 1 ปีที่เขามีอยู่ 
นี่ก็ล่วงเข้าสู่เดือนที่ 2 แล้ว เขาต้องทำอะไรสักอย่าง 
เพื่อแก้ปัญหานี้ให้ได้... 

หลังจากสอนงานให้ลูกน้องที่ไว้ใจได้เป็นงานแล้ว 
ชายหนุ่มก็ปล่อยให้ลูกน้องวิ่งรอกระหว่างสองเมืองแทนเขา 

ส่วนเขาเองก็กลับมาตั้งหลักที่คฤหาสถ์ของเศรษฐี 
"ที่ปรึกษา...." ความคิดหนึ่งแล่นปรี๊ดขึ้นมาในสมองของเขา ชายหนุ่มเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการให้คนที่เก่งกว่าเรา ทำงานให้เรา หรือเป็นที่ปรึกษาให้เรา ชายหนุ่มรีบลงมือทันที 
"ท่านเศรษฐีครับ..." ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น 

"ผมอยากให้ท่านช่วยแนะนำผู้บริหารเก่งๆ สักคนให้ผมหน่อยครับ" 
ชายหนุมกล่าวต่อ 

"เธอจะเอาไปทำไมรึ?..." เศรษฐีถามทั้งๆ ที่อ่านเกมส์ชายหนุ่มออก 

"ผมมองเห็นการเติบโตของธุรกิจของผมในอนาคต 
แต่ผมเองไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะบริหารจัดการมัน 
ให้เติบโตไปตามนั้นได้ครับ" 

"แล้วเธอมีแผนการอย่างไรล่ะ" เศรษฐีถามอีก 

"ผมจะตั้งทีมที่ปรึกษาเพื่อวางแผนบริหารงานเหล่านั้น 
รวมทั้งงานอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกครับ" 
ชายหนุ่มตอบ 

เศรษฐีนิ่งคิดอยู่สักครู่ จึงเอ่ยขึ้นว่า 

"ได้สิ... ฉันจะแนะนำให้เธอ"





1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss