1
2

Happinessss Fb : Beautiful World Part 9




Happinessss Fb : Beautiful World Part 9

1. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ประเทศไทย

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/ESldStIKh6Q

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/QZZI


อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามันด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่มีลักษณะสวยงามตามธรรมชาติ รอบ ๆ เกาะมีปะการัง กัลปังหา ทิวทัศน์ใต้ทะเลที่งดงาม และเอกลักษณ์ทางธรรมชาติคือภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาเป็นชั้น ๆ ถ้ำที่สวยงาม ตลอดจนชายหาดยาวสะอาด สุสานหอย 40 ล้านปี ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 389.96 ตารางกิโลเมตร หรือ 243,725 ไร่


เกาะพีพีดอน
เกาะพีพีดอน เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะพีพี มีเนื้อหาประมาณ 28 ตารางกิโลเมตร กว้าง 3.5 กิโลเมตรและยาว 8 กิโลเมตร บริเวณอ่าวต้นไทร ที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเกาะ เป็นที่ตั้งของท่าเรือราว 2 กิโลเมตร มีหาดทรายสวยงาม น้ำใส


ลักษณะของพีพีดอน เป็นลักษณะของเกาะขนาดใหญ่และขนาดกลาง 2 เกาะ ติดกัน และมีส่วนเวิ้งอ่าวที่โค้งเชื่อมเข้าหากันเป็นแนวยาวสวยงาม ซึ่งเวิ้งอ่าวทั้งสองที่โค้งเข้าหากันนั้น เรียกกันว่า อ่าวต้นไทร และ อ่าวโละดาลัม ซึ่งทั้งสองอ่าวก็ประกอบไปด้วย หาดทรายสีขาวละเอียดและน้ำสีฟ้าใส ซึ่งสามารถมองเห็น ปะการังใต้น้ำได้ชัดเจน และยังคึกคักไปด้วยร้านค้า โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ในหลากหลายราคาให้เลือก


ส่วนอ่าวอื่นของเกาะเช่น อ่าวโละดาลัม อ่าวรันตี อ่างโละบาเกา อ่าวยงกาเส็ม อ่าวโละลานะ อ่าวนุ้ย และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นของเกาะคือ แหลมตง ตั้งอยู่ทางด้านเหนือสุดของเกาะ มีโลกใต้ทะเลที่สวยงาม


เกาะพีพีเล
อ่าวมาหยา เกาะพีพีเล เป็นเกาะขนาดเล็ก มีพื้นที่ประมาณ 6.6 ตร.กม. ตั้งห่างจากเกาะพีพีดอนประมาณ 2.2 กิโลเมตร เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยภูเขาหินปูน มีหน้าผาสูงชัน ตั้งฉากกับพื้นผิวทะเล เกือบทั้งเกาะ ความลึกน้ำเฉลี่ยราว 20 เมตร ลึกสุดประมาณ 34 เมตร ทางตอนใต้ของเกาะ


ภายในทิศตะวันออกฉียงเหนือของเกาะพีพีเล มีการค้นพบถ้ำโบราณ ซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกับอ่าวปิเละ มีชื่อเรียกว่า “ ถ้ำไวกิ้ง ” ต่อมารัชกาลที่ 9 ได้เสด็จประพาส จึงทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “ ถ้ำพญานาค” ซึ่งทรงตั้งตามหินก้อนหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายเศียรพญานาค และเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านที่เข้ามาเก็บรังนกในถ้ำแห่งนี้ ภายในถ้ำนอกจากจะมีหินงอกหินย้อยอันสวยงามแล้ว ถ้ำแห่งนี้ คงเรียกได้ว่า เป็นถ้ำอันมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมากมาย เพราะได้มีการค้นพบภาพเขียนสีสมัยประวัติศาสตร์ เป็นรูปช้าง และรูปเรือต่างๆ เช่น เรือใบยุโรป, เรือใบอาหรับ, เรือสำเภา , เรือกำปั่น เป็นต้น มีการสันนิษฐานว่า ภาพเขียนเหล่านี้ เป็นฝีมือของนักเดินเรือหรือไม่ก็พวกโจรสลัด เพราะจากการศึกษาเส้นทางเดินเรือจากฝั่งตะวันตกไปตะวันออก ณ จุดนี้เป็ฯจุดที่สามารถแวะพักหลบลมมรสุม ขนถ่ายสินค้า และซ่อมแซมเรือได้


เกาะแห่งนี้ เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง The Beach นำแสดงโดยลีโอนาโด ดิคาปริโอ


เกาะพีพีเล เป็นเกาะที่ไม่มีโรงแรมที่พัก แต่นักท่องเที่ยว นิยมไปเที่ยวแบบเช้า เย็นกลับ เพื่อชมความงามรอบๆเกาะพีพีเล ซึ่งเป็นที่เลื่องลือกล่าวขานถึงความสวยงามไปทั่วโลก เกาะพีพีเล ประกอบไปด้วย หาดหรืออ่าวที่สวยงาม จำนวน 3 แห่ง ได้แก่


อ่าวปิเละ ตั้งอยู่ทางเหนือของเกาะพีพีเล ตัวอ่าวมีลักษณะโค้งเว้า ปากทางเข้าค่อนข้างแคบ โอบลอบไปด้วยผาสูงชันเกือบรอบด้าน เมื่อเข้าไปข้างในก้นอ่าวจะเห็นว่ากว้างขวาง และมีหาดทรายสีขาวละเอียด เหมาะสำหรับพักผ่อนและอาบแดด บริเวณรอบๆปากอ่าว เป็นจุดดำน้ำลึกที่น่าสนใจ


ถัดมาอีกด้านหนึ่ง คือ อ่าวมาหยา เป็นอ่าวที่สวยงามมาก น้ำทะเลใสนิ่ง หาดทรายกว้างสีขาวละเอียด ลักษณะโค้งเว้าเข้าไป จะน้อยกว่าอ่าวปิเละ มีเทือกเขาผาล้อมรอบ จนดูคล้ายทะเลปิด และเป็นฉากในหนังเรื่อง เดอะบีช นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาชมความงามกันทุกวัน ไม่ขาดสาย


อ่าวถัดมา คือ อ่าวโละซามะ อยูทางด้านใต้ของเกาะ สามารถเดินได้ถึงกันจากอ่าวมาหยา อ่าวมีลักษณะไม่ใหญ่มาก สามารถดำน้ำดูปะการังได้ทั้งดำน้ำตื้นและดำน้ำลึก


Phi Phi Islands
The Phi Phi Islands (Thai: หมู่เกาะพีพี, Thai pronunciation: [pʰīː pʰīː]) are located in Thailand, between the large island of Phuket and the western Andaman Sea coast of the mainland. The islands are administratively part of Krabi province. Ko Phi Phi Don ("ko" (Thai: เกาะ) meaning "island" in the Thai language) is the largest island of the group, and is the only island with permanent inhabitants, although the beaches of the second largest island, Ko Phi Phi Lee (or "Ko Phi Phi Leh"), are visited by many people as well. The rest of the islands in the group, including Bida Nok, Bida Noi, and Bamboo Island (Ko Mai Phai), are not much more than large limestone rocks jutting out of the sea.


Phi Phi Don was initially populated by Muslim fishermen during the late 1940s, and later became a coconut plantation. The Thai population of Phi Phi Don remains more than 80% Muslim. The actual population however, if counting laborers, especially from the north-east, from the mainland is much more Buddhist these days.


The islands came to worldwide prominence when Ko Phi Phi Leh was used as a location for the 2000 British-American film The Beach. This attracted criticism, with claims that the film company had damaged the island's environment, since the producers bulldozed beach areas and planted palm trees to make it look like the book, an accusation the film's makers contest. The film's release was attributed to an increase in tourism to the islands. Phi Phi Leh also houses the 'Viking Cave', from which there is a thriving bird's nest soup industry.


History
From archaeological discoveries, it is believed that the area was one of the oldest communities in Thailand, dating back to the prehistoric period. It is believed that this province may have taken its name from Krabi, which means sword. This may come from a legend that an ancient sword was unearthed prior to the city’s founding.
The name Phi Phi (pronounced ‘pee pee’) originates from Malay, the original name for the islands were Pulau Api-Api (The Fiery Isle). The name refers to the Pokok Api-Api, which literary translated as the Fiery Tree (Grey Mangrove) which is commonly found throughout the Island. They were incorporated into the national park in 1983.


Geography
There are six islands in the group known as Phi Phi. They lie 50 km south-east of Phuket and are part of Hadnopparattara-Koh Phi Phi National Park which is home to an abundance of corals and marine life. There are limestone mountains with cliffs, caves and long white sandy beaches. The national park covers a total area of 242,437 Rai.


Phi Phi Don and Phi Phi Le are the largest and most well-known islands. Phi Phi Don is 28 sqkm: 8 km in length and 3.5 km wide. Phi Phi Le is 6.6 km


Administration
There are 5 villages on Ko Phi Phi under administration of Ao Nang sub-district, Muang district, Krabi Province.
The villages are:
Ao Maya
Ban Laem Tong
Laem Tong
Ban Ton Sai
Hat Yao
Phi Phi Don


Boundary
Ko Phi Phi comprises 6 islands, 2 of them are the main island – Phi Phi Don and Phi Phi Le. On Ko Phi Phi there are 2 villages and under administration of Ao Nang sub-district, Muang district, Krabi Province. The islands are surrounded by the Andaman Sea.


Climate
Weather in the region is tropical - there are only two seasons: the hot season from January to April, and the rainy season from May to December. Temperatures during the year average 25°C to 32°C (77°F to 89.6°F) and the yearly rainfall averages 2568.5mm. The rain in this region comes down heavily over short periods.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

2. Neist Point, ไอเอิ้ล ออฟ สกาย, สก๊อตแลนด์ ( Isle of Skye, Scotland)

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/mtK5NPWmfN0

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/jIMY

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://goo.gl/CR5Of

Neist Point เป็นจุดชมวิวยอดนิยม ทางตะวันตกของ Skye มีประภาคารที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1909


Neist Point is a popular viewpoint on the most westerly point of Skye. It has had a lighthouse since 1909.


Geography
Neist Point is the most westerly point on the Duirinish peninsula on the Isle of Skye. It projects into The Minch and provides a popular walk and viewpoint.


Natural history
Basalt at Neist Point is very similar to that at the Giant's Causeway in Northern Ireland. A steep path leads down from the road.


It is a good place to see whales, dolphins, porpoises and basking shark. Common sea-birds include Gannets, Black Guillemots, Razorbills and European Shags. Several rare plants, including saxifrages are found on the point.


Lighthouse
Neist Point Lighthouse, designed by David Alan Stevenson, was first lit on 1 November 1909. An aerial cableway is used to take supplies to the lighthouse and cottages.
Since 1990, the lighthouse has been operated remotely from the Northern Lighthouse Board headquarters in Edinburgh. The former keepers' cottages are now in private ownership.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::


3. หมู่บ้านมรดกโลก...ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) ประเทศญี่ปุ่น

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/47GreDExJns

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/WDyu


* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.nippon.com/en/images/k00007/ (ภาพสุดท้ายสวยมากค่ะ)


หมู่บ้านชิราคาวาโกะตั้งอยู่บนภูเขาในเขตจังหวัดกิฟูและโทยามา (Gifu and Toyama Prefectures) ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู ประกอบไปด้วยบ้านเรือนรูปร่างแปลกตาที่มีอายุเก่าแก่กว่า 200-300 ปี กระจายไปในแนวเหนือ-ใต้ ตามที่ราบแคบ ๆ ที่ขนานไปกับแม่น้ำโชกาวะ (Shokawa River)


เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ในหุบเขาที่มีภูเขาสูงล้อมรอบทุกด้านถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ชาวบ้านแถบนี้จึงพัฒนาสังคมและวิถีชีวิตที่แตกต่างจากชุมชนอื่นในญี่ปุ่นมาช้านาน


หมู่บ้านแห่งนี้มีสิ่งที่แปลกตาคือหลังคาทรงสูงที่มีความชันมากถึง 60 องศา กับพื้นดิน จนดูเหมือนคนพนมมือภาษาญี่ปุ่นจึงเรียกสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่าเป็นรูปแบบกัสโช (Gassho-zukuri) ซึ่งแปลว่าสร้างแบบพนมมือ ด้านหน้าทำเป็นหน้าจั่วแบบบ้านทรงไทย มีการเจาะช่องหน้าต่าง เพื่อรับแสงสว่างจากภายนอก และเป็นการระบายอากาศให้ถ่ายเท
จากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง เมื่อมองจากภายนอกจึงดูมีสัดส่วนสวยงาม


ในฤดูหนาวมีหิมะตกหนักมาก ชาวบ้านจึงสร้างหลังคาทรงแหลมสูงลาดลงด้านข้างทั้งสองของบ้านช่วยให้หิมะและน้ำฝนไหลลงมาตามหลังคา ไม่เกาะค้างบนหลังคาเป็นเวลานาน ๆ หิมะจะได้ไม่กองทั่ว


หิมะที่ตกหนักจะไหลลงมาจากหลังคามากองรอบบ้าน จะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความเย็นและลมหนาวได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้บ้านส่วนใหญ่ยังหันหน้าไปทางเดียวกันตามทิศทางลม เพื่อช่วยให้บ้านเย็นสบายในฤดูร้อน และสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว


วัสดุที่ใช้มุงหลังคาเป็นวัสดุท้องถิ่นที่หาได้ไม่ยากในแถบนั้น ประกอบด้วย เศษไม้ ต้นไผ่ ดินเหนียว หญ้าคา หลังคาอาจมีความหนาถึง 1 เมตร เพื่อรองรับน้ำหนักหิมะและป้องกันไม่ให้น้ำซึมทะลุหลังคาเข้ามาในบ้าน ทำให้หลังคาไม่ต้องเปียกน้ำเป็นเวลานาน ๆ จนทำให้ผุพังเร็ว


จุดเด่นอีกอย่างคือไม่มีการใช้ตะปูในการมุงหลังคา แต่ใช้วิธีแบบธรรมชาติ คือใช้ไม้ขัดกัน และใช้เชือกมัดให้แน่น


เนื่องจากหลังคาพวกนี้ทำจากวัสดุธรรมชาติ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่อยู่บ่อย ๆ การมุงหลังคาใหม่จะทำในช่วงฤดูใบไม้ผลิหลังจากหิมะละลายหมดแล้ว ในปัจจุบันบ้านแต่ละหลังต้องมุงหลังคาใหม่ทุก 25-35 ปี การมุงหลังคาต้องอาศัยแรงชาวบ้านประมาณ 100-200 คน เหมือนการลงแขกเกี่ยวข้าวของไทย และใช้เวลาเพียงวันเดียว สำหรับบ้าน 1 หลัง ทุกปีจะมีบ้าน 2-3 หลังที่ต้องมุงหลังคาใหม่ เป็นการถ่ายทอดวิธีมุงหลังคาจากรุ่นสู่รุ่นสืบทอดกันมาเป็นประจำทุกปี


ในหน้าร้อนช่วงเช้า ต้องมีการฉีดน้ำขึ้นไปบนหลังคาเพื่อป้องกันไฟไหม้
ในช่วงฤดูหนาว ประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ จะมีการเปิดไฟ ตอนเย็นช่วงสุดสัปดาห์ ๆ ละ 1 วัน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่วนจะเปิดวันไหนบ้างต้องติดตามจากเว็ปไซต์


ภายใต้หลังคาทรงสูง จะแบ่งเป็นชั้น ๆ ตั้งแต่ 2-4 ชั้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย ชั้นล่างเป็นที่อยู่อาศัย เนื่องจากมีพื้นที่มากพอในบ้าน ทำให้ชาวบ้านอยู่กันแบบครอบครัวขยาย ทุกคนในครอบครัวอาศัยอยู่รวมกันหมดในหลังเดียว ส่วนชั้นบนใช้เป็นที่เก็บของและเลี้ยงไหม ชุมชนแห่งนี้ในอดีต (และปัจจุบันสำหรับบางบ้าน) ยังชีพด้วยการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม


ก่อนหน้านี้หมู่บ้านชิราคาวาโกะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของโลกภายนอก แม้แต่คนญี่ปุ่นเอง ชาวบ้านอยู่กันอย่างสงบ ในปี พ.ศ. 2467 มีบ้านเรือน แบบกัสโชนี้ถึง 300 หลังคาเรือน ต่อมามีการสร้างเขื่อนและตามมาด้วยผล จากสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ในปี พ.ศ. 2504 บ้านเรือนทรงดังกล่าวลด เหลือ 191 หลัง และปัจจุบันเหลือเพียง 114 หลังเท่านั้น แต่ก็มีความพยายาม ในการอนุรักษ์จากคนรุ่นใหม่ โดยมีคำขวัญว่า “ไม่รื้อ ไม่ขาย ไม่เช่า” และชี้ให้เห็นความสำคัญถึงการอนุรักษ์บ้านเรือนที่มีเอกลักษณ์แบบนี้


ในปี พ.ศ.2538 หมู่บ้านชิราคาวาโกะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก้ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แห่งใหม่ขึ้นในพริบตา บ้านเรือนต่าง ๆ แปรสภาพกลายเป็นร้านขายของ ที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว เป็นร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ บ้านพักค้างคืน ต้องคอยติดตามชมว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้จะรักษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายไว้ได้อีกนานเท่าใด ท่ามกลางกระแสการท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามามากขึ้น ๆ โดยเฉพาะทัวร์นำเที่ยวจากไทยที่เปิดเส้นทางนี้ ให้เป็นที่รู้จักเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง และกลายเป็นกระแสในหมู่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบประเทศญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว


สำหรับการเดินทางมาหมู่บ้านนี้ทำได้หลายทาง สามารถนั่งรถไฟ จากโอซากาหรือนาโงยาไปลงที่เมืองคานาซาวา (Kanazawa) แล้วต่อรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาทีถึงหมู่บ้าน หรือจากนาโงยา นั่งรถไฟเข้าเมืองทาคายามา (Takayama) แล้วต่อรถบัส อีกประมาณ 50 นาที


จุดท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในการสัมผัสบรรยากาศคือการพักค้างคืนในหมู่บ้านชาวนา มีบ้านหลายๆ หลังเปิดให้เป็นที่พักในแบบที่เรียกว่า Minshuku โดยเฉพาะที่ Ogimachi เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่สุดของชิราคาวาโกะ บ้านวาดะ (Wada) และ บ้านนางาเสะ (Nagase) ในโอกิมาชิ (Ogimashi) เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อที่จะได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ว่าชาวบ้านดำรงชีวิตอย่างไรในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมทุกปี จะมีประเพณีลุยน้ำ ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากที่ โกคายาม่า (Gokayama) มี หมู่บ้านอาอิโนะคุระ (Ainokura) ที่ซึ่งหมู่บ้านตั้งตระหง่านท้าทายขุนเขาอยู่ตลอดเวลา และ หมู่บ้านสุกะนุมะ (Suganuma) กับบ้าน 9 หลังที่รวมอยู่ในบ้าน 2 หลัง เป็นสิ่งล้ำค่าที่จะได้มาสัมผัสกับบ้านที่เป็นวัฒนธรรมอันเก่าแก่ และมีค่าของญี่ปุ่นนี้ จุดชมวิวของ ปราสาทโอกิมาชิ (Ogimashi) ได้รับความนิยมมากสำหรับการชมทัศนียภาพของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ จะสามารถมองเห็นหมู่บ้าน 59 หลังคาเรือน จุดชมวิวนี้เหมาะมากกับการชมภาพมุมกว้างของหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นความเขียวชอุ่มของฤดูใบไม้ผลิ สีน้ำตาลแดงของฤดูใบไม้ร่วง หรือว่าในยามที่มีหิมะตกปกคลุม


มรดกโลก
หมู่บ้านทางประวัติศาสตร์แห่งชิระงะวะโงและโกะกะยะมะได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 19 เมื่อปี พ.ศ. 2538 ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้


(iv) - เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ


(v) - เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตาม กาลเวลา

Historic Villages of Shirakawa-gō and Gokayama
The Historic Villages of Shirakawa-gō and Gokayama are one of Japan's UNESCO World Heritage Sites. The site is located in the Shogawa river valley stretching across the border of Gifu and Toyama Prefectures in northern Japan. Shirakawa-gō (白川郷, "White River Old-District") is located in the village of Shirakawa in Gifu Prefecture. The Gokayama (五箇山, "Five Mountains") area is divided between the former villages of Kamitaira and Taira in Nanto, Toyama Prefecture.

These villages are well known for their houses constructed in the architectural style known as gasshō-zukuri (合掌造り). The Gasshō-zukuri, "prayer-hands construction" style is characterized by a thatched and steeply slanting roof resembling two hands joined in prayer. The design is exceptionally strong and, in combination with the unique properties of the thatching, allow the houses to withstand and shed the weight of the region's heavy snowfalls in winter.


The houses are large, with three to four storeys encompassed between the low eaves, and historically intended to house large extended families and a highly-efficient space for a variety of industries. The densely-forested mountains of the region still occupy 96% of all land in the area, and prior to the introduction of heavy earth-moving machinery, the narrow bands of flat lands running the length of the river valley limited the area available for agriculture and homestead development. The upper storeys of the gasshō houses were usually set aside for sericulture, while the areas below the first (ground) floor were often used for the production of nitre, one of the raw materials needed for the production of gunpowder.

:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: clipmass.com ::

4. เกาะโมโอราอา (Moʻorea (Tahitian pronunciation: \ˌmō-ō-ˈrā-ä, ˈmō-ō-ˌrā-\) *เฟรนช์โปลินีเซีย

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/Ee3nCO6gt9M

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/MccR

* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://goo.gl/HvqYB


เกาะโมโอราอา (ตาฮิติ: Moorea; (เสียงอ่านภาษาตาฮิติ: ˌ/mō-ō-ˈrā-ä/)[1]) เป็นส่วนหนึ่งของ**หมู่เกาะโซไซเอตี อยู่ห่างจากเกาะตาฮิติทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 17 กิโลเมตร


**หมู่เกาะโซไซเอตี
หมู่เกาะโซไซเอตี (อังกฤษ: Society Islands) เป็นหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตอนใต้ เป็นส่วนหนึ่งของเฟรนช์โปลินีเซีย มีเมืองหลวงคือ ปาเปเอเต หมู่เกาะประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือ หมู่เกาะวินด์เวิร์ด (เกาะตาฮีตี เกาะโมโอเรอา และเกาะขนาดเล็กอีกหลายเกาะ) และหมู่เกาะลีเวิร์ด เป็นหมู่เกาะที่เกิดจากภูเขาไฟและมีพื้นที่เป็นภูเขา ผลิตเนื้อมะพร้าวตากแห้งและไข่มุก


ในปี ค.ศ. 1767 กัปตันแซมวล วอลลิส อ้างสิทธิครอบครองหมู่เกาะให้แก่อังกฤษ ต่อมา ค.ศ. 1768 ลุย-อองตวน เดอบูแกงวิล นักเดินเรือได้อ้างสิทธิให้แก่ฝรั่งเศสแต่ไม่ได้รับการยอมรับในเวลานั้น ในปีเดียวกันกัปตันเจมส์ คุก พร้อมคณะเดินทางของบริติชรอยัลโซไซเอตี จึงเป็นที่มาของชื่อเกาะ ต่อมามีสถานภาพเป็นดินแดนใต้อารักขาของฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1843


*เฟรนช์โปลินีเซีย (อังกฤษ: French Polynesia; ฝรั่งเศส: Polynésie française; ตาฮีตี: Pōrīnetia Farāni) เป็นดินแดนของฝรั่งเศสในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ มีฐานะเป็น "overseas collectivity" พร้อมกับ "overseas country" ซึ่งเป็นตำแหน่งเฉพาะตัว ประกอบด้วยกลุ่มเกาะหลายเกาะในภูมิภาคโพลินีเซีย เกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ตาฮีตีในหมู่เกาะโซไซตี ซึ่งยังเป็นเกาะที่มีผู้อยู่อาศัยมากที่สุดและเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของดินแดน (ปาปีติ) อีกด้วย และแม้จะไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่เกาะกลีแปร์ตอนก็ถูกบริหารโดยเฟรนช์โปลินีเซีย


การบริหาร
ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2489-2546 เฟรนช์โปลินีเซียมีฐานะเป็นดินแดนโพ้นทะเล (overseas territory, ฝรั่งเศส: territoire d'outre-mer หรือ TOM)
ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 ได้ยกเป็นอาณานิคมโพ้นทะเล (overseas collectivity, ฝรั่งเศส: collectivité d'outre-mer หรือ COM)
และตามพระราชบัญญัติลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 ได้กำหนดให้เฟรนช์โปลินีเซียมีฐานะพิเศษอีกฐานะเรียกว่า ประเทศโพ้นทะเล (overseas country, ฝรั่งเศส: pays d'outre-mer หรือ POM) เพื่อเน้นความเป็นอิสระในการปกครองตนเองของดินแดน


ประวัติศาสตร์
ฝรั่งเศสปกครองหมู่เกาะนี้ตั่งแต่ พ.ศ. 2332 หมู่เกาะนี้จึงกลายเป็นอานานิคมของฝรั่งเศสนับแต่นั้นโดยมีชื่อว่าเฟรนซ์โปลินิเซีย ต่อมาเฟรนโปลินิเซียได้รับการเลื่อนฐานะเป็นดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2547 ดินแดนนี้จึงได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นประเทศโพ้นทะเลของฝรั่งเศสโดยรัฐบาลฝรั่งเศสอนุญาตให้เฟรนโปลินิเซียมีประธานาธิบดีได้ ประธานาธิบดีคนแรกของเฟรนโปลินิเซียคือนายกาสตง ตง ซองโดยได้ดำรงตำแหน่งในปี พ.ศ. 2547

Moʻorea (Tahitian pronunciation: \ˌmō-ō-ˈrā-ä, ˈmō-ō-ˌrā-\) is a high island in French Polynesia, part of the Society Islands, 17 km (roughly 9 mi) northwest of Tahiti. Its position is 17°32′S 149°50′W. Moʻorea means "yellow lizard" in Tahitian. An older name for the island is ʻAimeho, sometimes spelled 'Aimeo or ʻEimeo (among other spellings misunderstood by early visitors with no knowledge of the language). Early Western colonists and voyagers also referred to Moʻorea as York Island.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

5. "The Memorial to the Children Victims of the War" อนุสรณ์สถานเพื่อเด็กLidice ที่ถูกฆ่าตายจากสงคราม สาธารณรัฐเช็ก ตะวันตกเฉียงเหนือของ ปราก

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/j-V-wUkgeQw

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/KPlZm588QuU

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/EhTw


ประติมากรรมจากปี 1990 โดย Marie Uchytilová รูปปั้นของเด็กสีบรอนซ์ 82 คน (เด็กหญิง 42 คน และเด็กชาย 40 คน) อายุ 1 ถึง 16 เพื่อเป็นเกียรติแก่เด็กที่ถูกฆ่าตายที่ Chelmno ในช่วงฤดูร้อนของปี 1942


ชะตากรรมของเด็กที่ Lidice เป็นเรื่องเศร้าที่สุดของโศกนาฏกรรม Lidice เด็กถูกแยกออกจากแม่ในโรงยิมของโรงเรียนมัธยมใน Kladno เด็กถูกย้ายโดยรถไฟไปที่ค่ายกักกัน Lodz เป็นเวลา 3 สัปดาห์


เด็กเล็กที่สุด 1 ขวบหกวัน เด็กอายุมากที่สุดไม่เกิน 16 ปี เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนชะตาขของเด็กก็ถูกตัดสิน เด็กถูกส่งมาที่ค่ายกักกันเคล์มนอ (Chełmno)


ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อถูกนำไปยังปราสาท และบอกว่าพวกเขาต้องเดินทาง ให้ใส่ชุดชั้นในหรือผ้าขนหนู และให้อาบน้ำก่อนเดินทาง หลังจากนั้นพวกเขาถูกนำตัวไปที่รถบรรทุกที่ดัดแปลงสำหรับบรรทุกคนที่ 80-90 ซึ่งพวกเขาถูกฆ่าด้วยไอเสียรถใน 8 นาที และนี่คือโศกนาฏกรรมของเด็ก Lidice เช่นกัน


Lidice... เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ห่างจากกรุงปรากประมาณ 30นาที (หากเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว)
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านของชาวเชค มีอาชีพเกษตรกรเป็นพื้นฐานเรียบง่ายและสงบสุข ถึงแม้ในขณะนั้นจะอยู่ในช่วงของไฟสงครามและการสร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของท่านผู้นำ ฮิตเลอร์ ก็ตาม แต่แล้วหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่สามารถหลีกหนีจากไฟสงครามได้ เมื่อสมุนมือขวาของท่านผู้นำถูกลอบสังหารเสียชีวิต และ พลพรรคนาซีได้สืบทราบมาว่า มือสังหารได้มาอาศัยหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่กบดาน


หลังจากเค้นหาความจริงจากชาวบ้านแล้วแต่ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ท่านผู้นำจึงสั่งให้ ลบ Lidice ออกจากแผนที่ บ้านเรือน โรงเรียน โบสถ์ ถูกเผาทิ้ง ผู้ชายในหมู่บ้านถูกยิงทิ้ง ผู้หญิงถูกส่งเข้าค่ายกักกัน ส่วนเด็กที่เหลือ 82คนถูกส่งเข้าค่ายกักกัน มีเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวไม่มีแม้รองเท้าใส่ และในที่สุดเด็กๆจาก Lidice ทั้งหมดก็ถูกสังหารโดยการใช้แก๊สพิษลมควันบนรถ...หลังจากที่สงครามสิ้นสุดมีเพียงผู้หญิง 153 คนและเด็ก 17 คนที่รอดชีวิตที่กลับมา


จวบจนทุกวันนี้ท่านผู้นำคงไม่ทราบว่าสิ่งที่ท่านสั่งในครั้งนั้น แต่ไม่ได้ทำให้ Lidice ลบออกจากแผนที่แต่อย่างใด แต่กลับทำให้หลายคนได้รู้จัก Lidice มากขึ้นและจะมากขึ้นไปอีกทุกครั้งที่มีคน หลายเชื้อชาติ ภาษา ได้มีโอกาสแวะเข้ามายังหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ ซึ่งถูกเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ให้กับผู้เสียชีวิตกว่า 300คน และความโหดร้ายของท่านผู้นำก็จะเป็นที่จดจำตลอดไปเช่นกัน.

"The Memorial to the Children Victims of the War" Lidice is a village in the Czech Republic just northwest of Prague.
A sculpture from the 1990s by Marie Uchytilová stands today overlooking the site of the old village of Lidice. Entitled "The Memorial to the Children Victims of the War" it comprises 82 bronze statues of children (42 girls and 40 boys) aged 1 to 16 to honour the children who were murdered at Chełmno in the summer of 1942. A cross with a crown of thorns marks the mass grave of the Lidice men. Overlooking the site is a memorial area flanked by a museum and a small exhibition hall. The memorial area is linked to the new village by an avenue of linden trees. In 1955 a "Rosarium" of 29,000 rose bushes was created beside the avenue of lindens overlooking the site of the old village. In the 1990s the Rosarium was neglected, but after 2001 a new Rosarium with 21,000 bushes was designed and created. Situated 500 metres from the museum, in the new village, is an art gallery which displays permanent and temporary exhibitions. The annual children's art competition attracts entries worldwide.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: nopgarud.multiply.com ::

6. "วัดแขวนหน้าผา(เสวียนคงซื่อ悬空寺 ) (Hanging Monastery หรือ Suspended Temple)"เหิงซาน (Hengshan 恒山) ในมณฑลซานซี หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ภูเหนือ (北岳) แห่งแผ่นดินจีน

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/Wy2SbxKP6Y8

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/MwrK


The Hanging Temple หรือ Hanging Monastery หรือในชื่อท้องถิ่นภาษาจีนว่า Xuan Kong Si เป็นวัดที่ถูกสร้าง
ให้ยึดติดอยู่กับหน้าผา สูงจากระดับพื้นดิน 75 เมตร (264 ฟุต) ในบริเวณ Mount Heng,Hunyuan County, จังหวัด Shanxi, ประเทศจีน เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ Datong City ห่างประมาณ 65 กม.ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ


The Hanging Temple นี้ ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจมากแห่งหนึ่งในพื้นที่ของ Datong City มีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 1,600 ปีมาแล้ว ตามตำนานกล่าวว่าวัดนี้เริ่ม สร้างในสมัยช่วงปลายของ Northern Wei Dynasty โดยฝีมือคนเพียงคนเดียวซึ่งเป็นพระ ชื่อ Liao Run และมีการพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ
จนเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นว่าโครงสร้างของตัวอาคารจะอยู่บนท่อนไม้สี่เหลี่ยมจำนวนมากที่เจาะสอดเข้าไปในหินหน้าผา โดยมีเสาหรือไม้ค้ำยันช่วยรับน้ำหนักบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


The Hanging temple นอกจากจะได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นวัดที่ถูกสร้างในทำเลที่เป็นหน้าผาที่มีความลาดชันมากที่สุดแล้ว ยังเป็นสถานที่ที่รวมเอา 3 ลัทธิและศาสนาไว้ด้วยกันอีกด้วย กล่าวคือ พุทธ เต๋า และขงจื๊อซึ่งนักท่องเที่ยวจะสัมผัสได้เมื่อเข้าไปชมภายใน


วัดเขาเหิงซาน ชื่อเสวียนคง หรือ เสวียนคงซือ ( Hanging Temple ) วัดจีนสุดลี้ลับ ตั้งท้าทายกฏฟิสิกส์ของโลกอย่างเหลือเชื่อ แขวนอยู่ริมผาบนยอดเขาศักดื์สิทธิ์ " เหิงซาน " และเป็นที่รู้จักกันในนามของ เขาใต้สวรรค์ ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ จัดเป็น 1 ใน 5 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และ มรดกทางวัฒนธรรมของจีน สำหรับคนอ่านนิยายจีน จะรู้กันดีว่า เทือกเขาเหิงซานนั้น เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่เส้นทางขึ้นสูงชันกว่า 700 เมตร ทั้งท้าทาย และ ลึกลับซับซ้อน เต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะอย่างนั้น หากใครต้องการจะขึ้นไปวัดเหิงซานแห่งนี้ จำเป็นต้องมีศรัทธาที่แรงกล้าจริงๆ

The Hanging Temple or Hanging Monastery (simplified Chinese: 悬空寺; traditional Chinese: 懸空寺; pinyin: Xuánkong Sì) is a temple built into a cliff (75 m or 246 ft above the ground) near Mount Heng in Hunyuan County, Shanxi province, China. The closest city is Datong, 64.23 kilometers to the northwest. Along with the Yungang Grottoes, the Hanging Temple is one of the main tourist attractions and historical sites in the Datong area. Built more than 1,500 years ago, this temple is notable not only for its location on a sheer precipice but also because it includes Buddhist, Taoist, and Confucian elements. The structure is kept in place with oak crossbeams fitted into holes chiseled into the cliffs. The main supportive structure was hidden inside the bedrock.


History
According to the history of Shangshen Mountain, construction of the temple was by only one man, a monk named Liao Ran (了然). Over a history of more than 1,600 years many repairs and extension led to its present day scale. This temple is over 50 meters tall.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

7. สกาเร็ต (Xcaret) ... ที่ดีที่สุดของเม็กซิโกวัฒนธรรมมายันและธรรมชาติในที่เดียว!

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/SHGQaS0oZEY

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/FxsB


* ชมโบชัวร์ค่ะ -> http://www.xcaret.com/images/xcaret/servicies/brochure-xcaret.pdf


Xcaret เป็นโบราณส​​ถานมายาบนชายฝั่งทะเลแคริบเบียนของแหลมยูคาทาน มันตั้งอยู่ 55 กิโลเมตรทางใต้ของเกาะที่อยู่ใกล้ Playa del Carmen


คำว่า "Xcaret" หมายถึง ทางเข้าเล็ก ๆ ในมายา มันเป็นชื่อหลังจากที่เว้าว่าในอดีตทำหน้าที่เป็นสถานที่ยุทธศาสตร์เพื่อการเดินเรือและการค้าสำหรับ Maya เป็นเวลากว่าพันปี, โซนนี้ Nature Park และโบราณคดีได้รับการพระราชพิธีที่สำคัญศูนย์และพอร์ตมายัน ว่ากันว่ามายาที่ใช้ในการมาที่นี่เพื่ออาบน้ำในน่านน้ำของตนในการชำระล้างจิตใจและร่างกายของพวกเขาก่อนที่จะแล่นเรือไปยังเกาะที่อยู่ใกล้ของ Cozumel เพื่อบูชาเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์, Ixchel


Xcaret ที่เคยเป็นทะเลสาบที่ซ่อนอยู่ในป่า แต่นักพัฒนามีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ในปี 1992 ความฉลาดของมนุษย์รวมกับความงดงามของธรรมชาติได้เกิดขึ้นที่สวนสนุกที่น่าสนใจมากมายันมีความหลากหลายของสถ​​านที่น่าสนใจพิสูจน์ว่าการพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมและความบันเทิงที่ไม่ได้แนวความคิดตรงข้าม


หรือเป็นที่รู้จักเป็น 'สวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ', Xcaret เป็นหนึ่งของโลกที่มีชื่อเสียงที่สุดสวนสาธารณะเชิงนิเวศทางโบราณคดี ที่เข้ามาคนมาเรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศของพื้นที่และประวัติศาสตร์มายันพักผ่อนบนชายหาด, ลอยลงแม่น้ำใต้ดิน, ว่ายน้ำกับปลาโลมาหรือเดินป่าปกคลุมเส้นทาง


ที่นี่คุณจะได้พบซากปรักหักพังทางโบราณคดี, ฟาร์มเห็ดที่กินได้และสวนกล้วยไม้ ทะเลสาบที่ไหลเข้าทางธรรมชาติที่ล้อมรอบด้วยป่าเขตร้อนและสัตว์ป่าเป็นบ้านไปหลายร้อยของปลาเขตร้อนสีสันสดใส ศาลาผีเสื้อท้องถิ่นถือเป็นหนึ่งในที่ใหญ่ที่สุดของโลกโดยมีน้ำตก, ไม้ดอกและผีเสื้อบินอยู่อย่างอิสระ หอชมวิวจะนำคุณไป 240 ฟุตขึ้นไปในอากาศสำหรับมุมมองที่งดงามของสวนสาธารณะ


คุณสามารถไปดำน้ำดูปะการังกับปลาเขตร้อน; สำรวจแม่น้ำใต้ดินอย่างไม่น่าเชื่อที่เชื่อมต่อชุดของ sinkholes ที่ช่วยให้คุณสามารถว่ายน้ำข้ามสวนสาธารณะทั้ง; และเสร็จสิ้นวันที่มีการแสดงคืนที่งดงามของเกมลูกมายันที่ให้มุมมองที่ไม่ซ้ำกันของเม็กซิโกที่อุดมไปด้วย และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันและประวัติ


Xcaret เป็นสถานที่มหัศจรรย์ที่คุณจะใช้จ่ายตลอดทั้งวันเพลิดเพลินกับธรรมชาติความหลากหลายของกิจกรรมและเข้ามาติดต่อใกล้ชิดกับโลกมายาลึกลับและมีมนต์ขลัง ทั้งหมดที่รวมกันจะทำให้การมาเยือนของคุณเพื่อ Xcaret ประสบการณ์อย่างแท้จริงที่ไม่ซ้ำกันและน่าจดจำ

Xcaret is a natural park that treasures the best of the traditions and culture of Mexico, a paradise that combines the natural beauty and cultural wealth of the country and the region. Located 45minutes from Cancun, Mexico, Riviera Maya, in Xcaret you will find underground rivers, natural pools and a myriad of attractions that will take you to live unforgettable experiences, as the first Butterfly Pavilion in Mexico, a Coral Reef Aquarium which is one of the few places in the world where reef structures can be seen in their natural habitat and a nursery for regional fauna, which has received recognition from Guinness World Records for having achieved the highest number of macaws born in the same facility during a year.


At Xcaret you can also enjoy festivals and ceremonies that have been designated Intangible Cultural Heritage of Humanity by UNESCO like the ceremony of the Papantla Flyers, the Day of the Dead Festival and the mariachi as well as the delightful Mexican cuisine.


By late afternoon, more than 300 actors are waiting to take you through a musical journey through the history of Mexico, a festival of light and color with the most representative of Mexico and its traditions. Enjoy the cultural heritage and love for the environment through the knowledge and coexistence.


:: xcaret.com ::
:: mayanexplore.com ::

8. มหาวิหารซากราดาฟามิเลีย (La Sagrada Familia) มรดกโลก ประเทศสเปน


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/5lYdrhYYWpg


* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.sagradafamilia.cat/sf-eng/docs_instit/vvirtual.php?vv=1

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/rMBH


La Sagrada Familia โบสถ์ที่สร้างไม่เสร็จนี้เป็นสัญลักษณ์ของบาร์เซโลนา แม้จะเป็นงานชั้นยอดที่แสดงถึงอัจฉริยภาพของ อันโตนี เกาดี้ สถาปนิกผู้เลื่องชื่อ แต่ก็ยังมีการโต้เถียงกันอยู่ถึงการออกแบบที่เป็นโมเดิร์นโดยเฉพาะหอคอยที่มีเครนค้ำเด่นเห็นชัด ซึ่งทุกวันนี้มีคนแห่กันไปดูโบสถ์นี้กันล้นหลาม ลา ซากราดา ฟามิเลีย มีความสูง 170 เมตร ตั้งอยู่บนถนน Carrer de Mallorca งานชิ้นนี้มีความแปลกตาจากงานชิ้นอื่นของเกาดี้ ตรงสีสันอันเรียบนิ่งแบบโทนสีธรรมชาติ ให้ความรู้สึกที่สงบผ่อนคลายและเยือกเย็นเ พราะความที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังคงรายละเอียดละเมียดที่ละไม ดูจากลวดลายสลักเสลาที่ด้านนอกตัวโบสถ์และภายใน แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาในศาสนาอย่างท่วมท้น สมกับเป็นงานชิ้นสุดท้ายที่เขาอุทิศตนให้กับศาสนจักร ก่อนจะสิ้นลมใต้เงาของยอดโบสถ์นั่นเอง


La Sagrada Familia ถูกกระทบกระเทียบมาตลอดว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่โชว์ชัยชนะของโมเดิร์นนิสม์ด้วยความฟุ่มเฟือยฟู่ฟ่านี้เองที่ทำให้คนในเมืองทึกทักกันว่าเป็นวิธีไถ่บาปของเมืองสมัยใหม่ ผู้ที่ริเริ่มโครงการนี้คือ โฮเซป โบคาเบลลา พ่อค้าหนังสือและเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Associacio Josefina สมาคมที่ตั้งขึ้นเพื่อสรรเสริญนักบุญโยเซฟ ฟรานเชสก์ เดอ พอลล่า เดล วิลลาร์ สถาปนิกคนแรกวางแบบไว้ให้เป็นโบสถ์สไตล์โกธิก แต่พอเกาดี้มาสานต่อโครงการตอนที่เขาอายุ 32 ปี เขาก็ใช้อิสระกับแนวคิดแฟนตาซีเต็มที่ แม้ว่าเขาจะเป็นสถาปนิกขี้เล่นแต่ก็เป็นคนที่ศรัทธาในศาสนา ในช่วงบั้นปลายชีวิต เขาอุทิศตนให้กับซากราดา ฟามิเลีย ทั้งหมด ใช้ชีวิตสันโดษในกระท่อมข้างโบสถ์ ปฏิเสธเงินเดือน สวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ รับประทานน้อยนิดแล้วยังออกไปเรี่ยไรเงินสร้างโบสถ์จากพวกนักธุรกิจอีกด้วย


ในปี ค.ศ. 1936 สิบปีหลังการเสียชีวิตของเกาดี้ แผนงานสร้าง ซากราดา ฟามิเลียของเขาถูกทำลาย
ด้วยน้ำมือของพวกต่อต้านศาสนา จึงบอกได้ยากว่าโบสถ์แห่งนี้จะสำเร็จออกมาในรูปแบบไหน แม้จะมีการต่อต้านไปทั่ว แต่การก่อสร้างโบสถ์ก็กลับมาดำเนินต่อในปี ค.ศ. 1952 และกลายเป็นแรงผลักดันที่หยุดไม่ได้ มีความสนใจจากทั่วโลกที่รวมทั้งได้ค่าผ่านประตูมาช่วยกระตุ้นโครงการให้ไปต่อ จึงเกิดแผนที่จะทำให้โบสถ์เสร็จสมบูรณ์เพื่อจะรำลึกครบรอบ 1 ศตวรรษการเสียชีวิตของเกาดี้


ที่ตั้งภูมิประเทศ
La Sagrada Familia ตั้งอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนา (คาตาลัน: Barcelona; สเปน: Barcelona) เมืองใหญ่อันดับสองทั้งในด้านขนาดและประชากรของประเทศสเปนตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของคาบสมุทรไอบีเรีย มีประชากรในตัวเมือง 1.5 ล้านคน แต่ถ้านับปริมณฑลโดยรอบอาจมากกว่า 4 ล้านคน ใช้ภาษาทางการ 2 ภาษา คือ ภาษาคาตาลัน (Catalan) และภาษาสเปน(Castilian Spanish)


บาร์เซโลนาเป็นเมืองท่าสำคัญ และเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เคยเป็นอาณานิคมของโรมันมาก่อน เคยถูกยึดครองโดยชาติต่าง ๆ หลายครั้ง รวมทั้งฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2183 บาร์เซโลนาเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวยามราตรีที่รื่นเริงสนุกสนาน บาร์เซโลนามีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สำคัญมากมาย อาคารแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) ที่ดูแปลกประหลาดออกแบบโดยสถาปนิกชาวสเปนชื่ออันตอนี เกาดี (Antonio Gaudi) นับเป็นจุดดึงดูดด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ


ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
ซากราดาฟามีเลีย (คาตาลัน: Temple Expiatori de la Sagrada Família; สเปน: Templo Expiatorio de la Sagrada Familia หรือ Sagrada Familia) เป็นสถาปัตยกรรมประจำเมืองบาร์เซโลนาในประเทศสเปนที่ออกแบบโดยอันตอนี เกาดี สถาปนิกชาวคาตาลัน เป็นผลงานที่เรียกว่า โมเดิร์นนิสโม เป็นงานศิลปะเฉพาะถิ่นและเป็นอาร์ตนูโวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว


งานชิ้นนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2425 มีกำหนดก่อสร้างหอคอยทั้งหมด 18 หอคอย นับตั้งแต่ปีเริ่มสร้างจนถึงปัจจุบันสร้างเสร็จไปแล้วแค่ 8 หอคอย งานคืบหน้าไปประมาณร้อยละ 50 สถาปนิกผู้ออกแบบถูกรถรางทับเสียชีวิตไปเมื่อ พ.ศ. 2469 โดยศพของเขาได้ถูกฝังไว้ในซากราดาฟามีเลียด้วย


แม้เกาดีจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ผู้ร่วมงานของเขายังคงสานต่อโครงการโดยอาศัยรูปถ่าย ภาพร่าง และแบบจำลองที่เกาดีทำไว้แต่แล้วในปี พ.ศ. 2479 โครงการก็ต้องหยุดชะงักเพราะสงครามกลางเมืองในสเปนห้องใต้ดินและแบบจำลองอย่างละเอียดก็ถูกเผาทำลาย แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามทีมงานก็กลับมาทำงานกันต่อ โดยอาศัยภาพร่าง ภาพถ่ายและแบบจำลองอื่น ๆ ที่รอดพ้นจากการถูกทำลาย ภายหลังได้นำคอมพิวเตอร์มาใช้ออกแบบ แต่ถึงจะใช้เทคโนโลยีมากมายมาช่วย กว่าโครงการนี้จะเสร็จก็อีกยาวไกลถึงปี พ.ศ. 2569


ลักษณะเด่นของอาคารแห่งนี้จะสังเกตได้ถึงสีที่ตัดกันของหินด้านหน้าและด้านหลังอย่างชัดเจน และพบรูปแบบการก่อสร้างที่แตกต่างกันระหว่างแบบเก่าและแบบที่สร้างต่อขึ้นไหม่ในปัจจุบัน


-สร้างโดย อันโตนิ เกาดิ (Antoni Gaugi) สถาปนิกชาวคาลาตัน
-สร้างในปี พ.ศ. 2432 ปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ อายุจากเริ่มสร้างประมาณ 120กว่าปี


รูปแบบศิลปะและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
เป็นผลงานที่เรียกว่า โมเดิร์นนิสโม เป็นงานศิลปะเฉพาะถิ่นและเป็น อาร์ตนูโวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความเป็นแฟนตาซีมาก มีกำหนดก่อสร้างหอคอยทั้งหมด 18 หอคอยนับตั้งแต่ปีเริ่มสร้างจนถึงปัจจุบันสร้างเสร็จไปแล้วแค่ 8 หอคอย ตัวอาคารบรรจงประดับด้วยโมเสคจากเวเนเชี่ยน ประดับด้วยปฏิมากรรมแกะสลักจากหินหลายพันชิ้นจากศิลปินสเปน

Sagrada Família
The Basílica i Temple Expiatori de la Sagrada Família (English: Basilica and Expiatory Church of the Holy Family; Spanish: Basílica y Templo Expiatorio de la Sagrada Familia), commonly known as the Sagrada Família (Catalan pronunciation: [səˈɣɾaðə fəˈmiɫiə]), is a large Roman Catholic church in Barcelona, Catalonia, Spain, designed by Catalan architect Antoni Gaudí (1852–1926). Although incomplete, the church is a UNESCO World Heritage Site, and in November 2010 was consecrated and proclaimed a minor basilica by Pope Benedict XVI.


Though construction of Sagrada Família had commenced in 1882, Gaudí became involved in 1883,taking over the project and transforming it with his architectural and engineering style—combining Gothic and curvilinear Art Nouveau forms.


Gaudí devoted his last years to the project, and at the time of his death in 1926, less than a quarter of the project was complete.Sagrada Família's construction progressed slowly, as it relied on private donations and was interrupted by the Spanish Civil War—only to resume intermittent progress in the 1950s. Construction passed the midpoint in 2010 with some of the project's greatest challenges remaining and an anticipated completion date of 2026—the centennial of Gaudí's death. The basílica has a long history of dividing the citizens of Barcelona—over the initial possibility it might compete with Barcelona's cathedral, over Gaudí's design itself, over the possibility that work after Gaudí's death disregarded his design, and the recent possibility that an underground tunnel of Spain's high-speed train could disturb its stability.


Describing Sagrada Familia, art critic Rainer Zerbst said "it is probably impossible to find a church building anything like it in the entire history of art" and Paul Goldberger called it 'the most extraordinary personal interpretation of Gothic architecture since the Middle Ages'.


:: rhungthip.blogspot.com ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

9. Kempinski Hotel Barbaros Bay Bodrum, Bodrum, turkey

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/Ef3xw6M38u8

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/FOmU

ประทับใจกับการบริการระดับ 5 ดาวของโรงแรม Kempinski Hotel Barbaros Bay Bodrum ไม่ว่าคุณจะมาท่องเที่ยวในวันหยุดพักผ่อน หรือเดินทางมาติดต่อธุรกิจที่ตุรกี ห้องพักทั้ง 173 ห้องของที่นี่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และพร้อมบริการคุณในวันที่คุณมาเยือนย่าน Bodrum


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/4G4QMso-yZg


โบดรัม
"ประเทศตุรกี" (Turkey) หรือ "สาธารณรัฐตุรกี" (Republic of Turkey) เป็นประเทศที่ตั้งประเทศตุรกีตั้งอยู่ระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย โดยมีช่องแคบบอสฟอรัส (Bosporus) ทะเลมาร์มาร่า (Marmara) และช่องแคบดาร์ดาแนลส์ (Dardanelles) แบ่งขั้นระหว่างตุรกีฝั่งยุโรปและตุรกีฝั่งเอเชีย และยังเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยว และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ไม่แพ้ที่อื่นๆ


"เมืองโบดรัม"
"กรุงอังการา" (Ankara) เป็นเมืองหลวงของประเทศตุรกี และเป็นเมืองหลวงของจังหวัดอังการา โดยอังการาเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากอิสตันบูล ตั้งอยู่ในจังหวัดอังการาอยู่ที่ระดับความสูงเฉลี่ย 938 เมตร....


"เมืองโบดรัม" (bodrum) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดมูลา (Mugla) 1 ใน 81 จังหวัด ของประเทศตุรกี โดยตัวเมืองนั้นตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของภูมิภาคทะเลอีเจียน (Aegean Region) นอกจากนี้แล้ว เมืองโบดรัม ยังถือว่าเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาตร์อันยาวนาน


เนื่องจากว่าเมืองโบดรัมนั้นเป็นที่ตั้งของ "สุสานมุสโซเลียม หรือ สุสานของกษัตริย์โมโซลุส" ซึ่งอยู่ในเขตเมืองกรีกโบราณฮาลคาร์นาซซัส (Halicarnassus) ปัจจุบันเมืองโบดรัมถือว่าเป็นเมืองที่เงียบสงบและมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย


สำหรับการท่องเที่ยวในเขตเมืองโบดรัมนั้น สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่อยากแนะนำให้คุณไปเยือน ก็คือ "ปราสาทโบดรัม หรือ ปราสาทเซนต์ปีเตอร์ " (Bodrum Castle , St Peter Castle ) ตัวปราสาทนั้นตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองโบดรัม โดยปราสาทถูกสร้างขึ้นในปี 1402 โดย อัศวิน Hospitaller




"พิพิธภัณฑ์โบราณคดีใต้น้ำ ในปราสาทโบดรัม"
ปราสาทโบดรัม ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญ และมีความโดดเด่นที่สุดของเมืองโบดรัม และต่อมาในปี 1962 รัฐบาลตุรกีได้ตัดสินใจที่จะเปิดปราสาทให้เป็นพิพิธภัณฑ์โบราณคดีใต้น้ำ (Museum of Underwater Archaeology เนื่องจากมีการค้นพบซากเรือโบราณในทะเลอีเจียนเป็นจำนวนมาก


จึงได้มีการนำโบราณวัตถุที่สำคัญๆ ซึ่งค้นพบพร้อมกับซากเรืออัปปาง นำมาจัดแสดงภายในปราสาท ซึ่งได้แก่ เหล่าเครื่องเมือเครื่องใช้จำพวก หม้อ ,ไห , แจกัน , เครื่องประดับอียิปต์ และอื่นๆอีกจำนวนมาก


"ประตูมินโดส์ "
หลังจากนั้นขอแนะนำให้คุณไปเยือน "ประตูมินโดส์ " (Myndos Gate) ประตูเมืองเก่าที่ถือว่าเป็นอนุสาวรีย์และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญมากแห่งหนึ่งของเมืองโบดรัม โดยประตูสร้างขึ้นภายในสมัยของกษัตริย์โมโซลุส (Mausolus) ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งอนุสรณ์ที่แสดงถึงการต่อสู้อย่างนองเลือดที่สุดในระหว่างการล้อมของเมืองโดยเล็กซานเดอมหาราช


"โรงละครโบราณโบดรัม"
ต่อมาขอแนะนำให้คุณไปชม "โรงละครโบราณโบดรัม" (Bodrum Amphitheatre) อีกหนึ่งโบราณสถานที่สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์โมโซลุส แม้ว่าการสร้างโรงละครแห่งนี้จะไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็ยังคงเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้าง ที่ได้รับการเก็บรักษาไว้ดีที่สุดของเมืองกรีกโบราณฮาลคาร์นาซซัส


"กังหันลมโบราณ"
จากนั้นขอแนะนำให้คุณไปชม "กังหันลมโบราณ" ( Bodrum Windmills) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงามมาก สถานที่ที่คุณจะได้ชมเหล่ากังหันลมที่พร้อมใจกันหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพื่อจับลมจากชายฝั่งทะเล
โดยกังหันลมเหล่านี้ทำจากหินและไม้กระดาน สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 คนในท้องถิ่นใช้กังหันลมในการบดแป้ง และเมล็ดพืชต่างๆ ปัจจุบันกังหันลมได้ถูกบูรณะเพื่อใช้ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั้งในท้องถิ่นและต่างประเทศอีกด้วย


"สุสานของกษัตริย์โมโซลุส"
สุดท้ายขอแนะนำให้คุณเดินทางไปเยือน "สุสานของกษัตริย์โมโซลุส" สุสานของพระเจ้ามุสโซลุส กษัตริย์แห่งเอเซียไมเนอร์ หรือ เปอร์เซียในปัจจุบัน สร้างโดยพระมเหสีชื่อ อาเตมีสเซีย ซึ่งเป็นทั้งพระขนิษฐาของพระองค์ด้วย ความตายของพระสวามี ทำให้พระนางเสียพระทัยมากถึงขนาดผสมเถ้าถ่านกระดูกของพระสวามีกับเครื่องดื่มของพระองค์ จึงสร้างสุสานไว้เป็นที่ระลึก คำว่า MAUSOLEUM จึงถูกใช้ขนานนามสุสานขนาดใหญ่ ๆ ในเวลาต่อมา


ในปัจจุบันนี้เหลือแต่ซากปรักหักพังบางส่วนบางส่วนเพราะเกิดแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 12 - 13 ขึ้นและชิ้นส่วนเหล่านี้ถูกนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของประเทศอังกฤษชื่อ บริทิช มิวเซียม โดยปัจจุบันสุสานแห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณอีกด้วย


Kempinski Hotel Barbaros Bay is on the Bodrum Peninsula, is a 30-minute drive to the Milas Bodrum International Airport (BJV), a 3-hour drive to either Izmir (ADB) and Dalaman International Airports (DLM). Alternately, travellers can take a 45-minute ferry from Kos Island International Airport on the Greek island of Kos.


Bodrum… A secluded paradise and sophisticated playground.


The New York Times does not call Bodrum the Saint Tropez of Turkey for nothing… Along with its secluded bays, hidden coves and historic treasures, Bodrum also offers all the delights of a world-class resort from designer shopping and authentic handicrafts to golf, scuba diving and outstanding sailing, not to mention fine dining and world-class nightlife. So you are really spoiled for choice, with the best of both worlds – get away from it all and get into the thick of things… In Bodrum, be as secluded or sophisticated as suits your mood…


:: travel.thaiza.com ::
:: kempinski.com ::

10. รีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล โดยเป็นเมืองที่กล่าวขานกันว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลก


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/Co95p4JHcp4


* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://goo.gl/RHSvs


* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://goo.gl/2flN2

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/xBOR


รีโอเดจาเนโร (โปรตุเกส: Rio de Janeiro; เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /ˈriːoʊ deɪ dʒəˈnɛəroʊ/) หรือ รีอูจีชาเนย์รู (เสียงอ่านภาษาโปรตุเกสสำเนียงบราซิล: [ˈʁi.u dʒi ʒaˈnejɾu]) หรือ รีอูดีชาไนรู (เสียงอ่านภาษาโปรตุเกส: [ˈʁiu dɨ ʒɐˈnɐjɾu] มีความหมายว่า "แม่น้ำเดือนมกราคม") หรือมักเรียกโดยย่อว่า รีโอ (Rio) เป็นเมืองหลวงของรัฐรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล โดยเป็นเมืองที่กล่าวขานกันว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และเป็นที่รู้จักในด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะชายหาดโกปากาบานา (Copacabana) และอีปาเนมา (Ipanema) เทศกาลรื่นเริงประจำปีของบราซิล และรูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ที่รู้จักในชื่อ กริชตูเรเดงโตร์ บนยอดเขากอร์โกวาดู


รีโอเดจาเนโรตั้งอยู่ที่ละติจูด 22 องศา 54 ลิปดาใต้ และลองจิจูด 43 องศา 14 ลิปดาตะวันตก ( (6,150,000) 22°54′S 43°14′W) รีโอมีประชากรประมาณ 6,150,000 (พ.ศ. 2547) และพื้นที่ 1,256 กม² (485 ไมล์²) และเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศบราซิลรองจากเซาเปาลู (São Paulo) รีโอเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศบราซิล ก่อนที่เมืองบราซิเลียจะเป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960)


รีโอเดจาเนโรได้รับเลือกจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ให้เป็นเมืองเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 31 ประจำปีคริสต์ศักราช 2016 (พ.ศ.2559) ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่จะจัดขึ้นในเขตทวีปอเมริกาใต้นับตั้งแต่มีการริเริ่มแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเป็นต้นมา


Christ the Redeemer ( statue ) รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่บนยอดเขากอร์โกวาดู ( Corcovado Mountain ) ในนครรีโอเดจาเนโร ( Rio de Janeiro ) ประเทศบราซิล ( Brazil ) ได้รับการลงคะแนนเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ และถือเป็นสัญญาลักษณ์ของนครรีโอเดจาเนโร และที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวคริสต์ในประเทศ บราซิลทั้งหมด ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเมือง


อูกริชตูเรเดงโตร์ (โปรตุเกส: O Cristo Redentor; อังกฤษ: Christ the Redeemer) เป็นรูปปั้นพระเยซูคริสต์ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาดู ประเทศบราซิล มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยเอโตร์ ดา ซิลวา กอชตา ชาวบราซิล และสร้างโดยปอล ลันดอฟสกี ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2474


รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งยังเป็น1ใน7สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครรีโอเดจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี


ข้อมูลเฉพาะ รูปปั้นพระเยซูคริสต์
รูปปั้นสูง 30 เมตร
กว้าง 38 เมตร ( วัดจากปลายแขนซ้าย ถึงปลายแขนขวา )
มีน้ำหนัก 635 ตัน
ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขากอร์โกวาดู ( Corcovado Mountain ) ที่ระดับความสูง 710 เมตร ในอุทยานแห่งชาติทิจูคา ( Tijuca Forest National Park ) ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็น มหานครรีโอเดจาเนโร ( Rio de Janeiro ) ได้ทั้งหมด
ถือเป็นรูปปั้นพระเยซูคริสต์ขนาด ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ตั้งอยู่บนระดับความสูง 710 เมตร
ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก หุ้มด้วยหินสบู่ ( Soapstone ) เนื่องจากมีความทนทานสูง และเหมาะต่อการใช้งาน
การแกะสลักดำเนินการโดยช่างแกะชาวฝรั่งเศล นามว่า Paul Landowski
ทีมงานออกแบบโครงสร้างนำโดยวิศวกรชื่อ Albert Caquot
ผู้ออกแบบสถาปัตกรรม เป็นวิศวกรชาวบราซิล ชื่อว่า Heitor da Silva Costa


ประวัติ รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร
1850 แนวความคิดในการก่อสร้างรูปปั้นขนาดใหญ่บนยอดเขากอร์โกวาดู เริ่มเมื่อช่วงกลางปี 1850 เมื่อหลวงพ่อ Pedro Maria ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก เจ้าหญิง Isabel ให้ทำการก่อสร้างรูปปั้นทางศาสนาขนาดใหญ่ ทางเจ้าหญิงเองไม่ทรงเปิดกว้างในรู้แบบการก่อสร้าง แต่หลวงพ่อ Pedro Maria กลับคุ้นคิด หารูปแบบที่เหมาะสม ไม่ไ้ด้จนเวลาล่วงเลยมากว่า 39 ปี บราซิลเปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐในปี ค.ศ.1889
1921 จึงมีการเสนอ 2 โครงการการรูปปั้นขนาดยักษ์ ที่เป็นสัญญาลักษณะของเมือง โดยรูปแบบแรกเป็นรูปพระเยซูคริสต์ และมีโลกอยู่ในมือ และอีกรูปแบบเป็นรูปพระเยซูคริสต์กางแขน และรูปแบบหลังได้รับการรับเลือก
1922 เริ่มทำการก่อสร้าง การก่อสร้างใช้เวลา 9 ปี ตั้งแ่ต่ปี ค.ศ. 1922 ถึง 1931 wowboom


การก่อสร้างเส้นทางเดียวที่จะลำเลียงวัสดุก่อสร้าง และคนงานขึ้นสู่ยอดเขา โดยใช้รถไฟผ่านทางรถไฟ และปัจจุบัน ก็ยังคงใช้สำหรับขนส่งนักท่องเที่ยวขึ้นสู่ยอดเขา หรืออาจใช้เส้นทางรถยนต์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที แล้วต่อด้วยการเดินขึ้นบันไดอีก 222 ขั้น ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นบัไดเลื่อนเรียบร้อยแล้ว


1931 รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร เสร็จสมบูรณ์ และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1931 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 8,750,000 บาท ( 250,000 เหรียญสหรัฐ )
2006 ทางบราซิลจัดการณรงณ์ ให้ประชาชนชาวบราซิลช่วยกัน โหวต ให้ รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร ได้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก มีผู้สนับสนุนมากมาย รวมทั้งของรางวัลเป็นจำนวนมาก และในวันที่ 7


2007 รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ในวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007 สมตามความตั้งใจของชาวบราซิล
2008 รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร ถูกฟ้าฝ่าเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2008 แต่รูปปั้นไม่ได้รับความเสียหายเนื่องจากหุ้มด้วยหินสบู่


Rio de Janeiro ( /ˈriːoʊ deɪ ʒəˈnɛəroʊ/ or /ˈriːoʊ deɪ dʒəˈnɛəroʊ/; Brazilian Portuguese: [ˈʁi.u dʒi ʒaˈnejɾu], River of January), commonly referred to simply as Rio, is the capital city of the State of Rio de Janeiro, the second largest city of Brazil, and the third largest metropolitan area and agglomeration in South America, boasting approximately 6.3 million people within the city proper,making it the 6th largest in the Americas, and 26th in the world.[5] Rio de Janeiro has become a home of a World Heritage Site named "Rio de Janeiro: Carioca Landscapes between the Mountain and the Sea," as granted by UNESCO on 1 July 2012 in the category Cultural Landscape. The decision was taken by the committee of the assets of the organization. The announcement came during a meeting in St. Petersburg, Russia.
The city was the capital of Brazil for nearly two centuries, from 1763 to 1815 during the Portuguese colonial era, 1815 to 1821 as the capital of the United Kingdom of Portugal, Brazil and Algarves, and 1822 to 1960 as an independent nation. Rio is nicknamed the Cidade Maravilhosa or "Marvelous City."
Rio de Janeiro represents the second largest GDP in the country (and 30th largest in the world in 2008),[8] estimated at about R$ 343 billion (IBGE/2008) (nearly US$ 201 billion), and is the headquarters of two major Brazilian companies – Petrobras and Vale, and major oil companies and telephony in Brazil, besides the largest conglomerate of media and communications companies in Latin America, the Globo Organizations. The home of many universities and institutes, it is the second largest center of research and development in Brazil, accounting for 17% of national scientific production – according to 2005 data.
Rio de Janeiro is the most visited city in the southern hemisphere and is known for its natural settings, carnival celebrations, samba, Bossa Nova, balneario beachessuch as Barra da Tijuca, Copacabana, Ipanema, and Leblon. Some of the most famous landmarks in addition to the beaches include the giant statue of Christ the Redeemer ('Cristo Redentor') atop Corcovado mountain, named one of the New Seven Wonders of the World; Sugarloaf mountain (Pão de Açúcar) with its cable car; the Sambódromo, a permanent grandstand-lined parade avenue which is used during Carnival; and Maracanã Stadium, one of the world's largest football stadiums. The 2016 Summer Olympics will take place in Rio de Janeiro, which will mark the first time a South American city hosts the event.Rio's Maracanã Stadium will also host the final match for 2014 FIFA World Cup. Rio de Janeiro will also host World Youth Day in 2013.


Christ the Redeemer (Portuguese: Cristo Redentor, standard Brazilian Portuguese: [ˈkɾistu ʁedẽˈtoʁ], local dialect: [ˈkɾiʃtu ɦedẽjˈtoɦ]) is a statue of Jesus Christ in Rio de Janeiro, Brazil; considered the largest Art Deco statue in the world and the 5th largest statue of Jesus in the world. It is 39.6 metres (130 ft) tall, including its 9.5 metres (31 ft) pedestal, and 30 metres (98 ft) wide. It weighs 635 tonnes (625 long,700 short tons), and is located at the peak of the 700-metre (2,300 ft) Corcovado mountain in the Tijuca Forest National Park overlooking the city. A symbol of Brazilian Christianity, the statue has become an icon for Rio de Janeiro and Brazil.It is made of reinforced concrete and soapstone, and was constructed between 1922 and 1931.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: hopeofsuphanburichurch.com ::

11. ป้อมดาวบูร์แตงจ์ (Bourtange), โกรนนิงเก็น, เนเธอร์แลนด์ บูรณะให้เหมือนในปี ค.ศ. 1750

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/iaH5IVG4_Hw

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/HA2w0zllotI


* ชมภาพแบบ “panorama” ค่ะ -> http://goo.gl/8o02O

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/M1n0


ป้อมดาว (อังกฤษ: Star fort หรือ trace italienne) คือระบบป้อมปราการที่วิวัฒนาการขึ้นระหว่างสมัยที่การใช้ดินปืนในการต่อสู้โดยการใช้ปืนใหญ่ที่เริ่มแพร่หลายมากขึ้น ที่เริ่มสร้างเป็นครั้งแรกราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในอิตาลี รูปทรงป้อมที่สร้างกันในยุคกลางไม่สามารถทนทานต่อการถูกโจมตีด้วยปืนใหญ่ได้ แรงระเบิดของปืนใหญ่สามารถทำลายกำแพงดิ่งได้อย่างง่ายดาย ขณะที่ป้อมดาวใช้กำแพงราบและเป็นโครงสร้างที่ใช้ระบบมุขป้อม (bastion) สามเหลี่ยม ที่ยื่นซ้อนกันออกมาซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่เป็นการช่วยป้องกันซึ่งกันและกัน และคูรอบป้อม ต่อมาป้อมดาวก็วิวัฒนาการมาใช้โครงสร้างเช่นระบบป้องกันแบบสามเหลี่ยม (ravelin), การสร้างเสริมส่วนบนของกำแพง (crownwork) และเพิ่มป้อมที่เป็นอิสระจากตัวป้อมหลัก เพื่อเพิ่มความซับซ้อนให้แก่โครงสร้างเพิ่มขึ้น


ป้อมดาววิวัฒนาการต่อมาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 เพื่อเป็นการตอบโต้การรุกรานของฝรั่งเศสในคาบสมุทรอิตาลี ฝ่ายฝรั่งเศสมีอาวุธปืนใหญ่แบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพพอที่จะทำลายป้อมปราการที่สร้างตามแบบโบราณในยุคกลางได้อย่างง่ายดาย เพื่อเป็นการโต้ตอบความรุนแรงของการทำลายของอาวุธใหม่กำแพงป้องกันก็ถูกสร้างให้เตี้ยลงแต่หนาขึ้น ตัวกำแพงสร้างด้วยวัสดุการก่อสร้างหลายอย่างแต่มักจะเป็นดินและอิฐ เพราะอิฐจะไม่แตกกระจายเมื่อถูกโจมตีโดยปืนใหญ่เช่นหิน องค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ใช้ในการก่อสร้างป้อมดาวคือการใช้มุขป้อมที่กลายมาเป็นลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของป้อมปราการแบบใหม่ การวิวัฒนาการมาเป็นรูปดาวที่บางครั้งก็จะซ้อนกันหลายชั้นทำให้สามารถต้านทานจากการถูกโจมตีโดยปืนใหญ่ได้


ไมเคิล แอนเจโลใช้ลักษณะป้อมดาวในการออกแบบแนวป้องกันที่ทำด้วยดิน (defensive earthworks) ของฟลอเรนซ์ ที่มาได้รับการปรับปรุงในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยบัลดัสซาเร เปรูซซิ (Baldassare Peruzzi) และ วินเช็นโซ สคามอซซิ (Vincenzo Scamozzi)


ป้อมดาวเผยแพร่จากอิตาลีในคริสต์ทศวรรษ 1530 และ 1540 และใช้กันมากในทวีปยุโรปเป็นเวลาราวสามร้อยปีหลังจากนั้น สถาปนิก/วิศวกรอิตาเลียนเป็นที่ต้องการตัวไปทั่วยุโรปในการสร้างป้อมแบบใหม่นี้


ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เม็นโน ฟาน โคฮูร์น (Menno van Coehoorn) และเซบาสเตียง เลอ เพรส์เทรอ เดอ โวบองผู้เป็นสถาปนิกทางสถาปัตยกรรมทางทหารในพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ยิ่งยกลักษณะการออกแบบป้อมดาวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมการก่อสร้างป้อมปราการทุกสิ่งทุกอย่าง จนทำให้กลายเป็นระบบการป้องกันอันซับซ้อนเท่าที่สามารถทำกันได้


ระบบป้อมรูปดาววิวัฒนาการมาจากการวางผังเมืองของเมืองในอุดมคติของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา: “ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาถูกสะกดด้วยผังเมืองแบบหนึ่งเป็นเวลาร้อยห้าสิบปี—ตั้งแต่ฟิลาเรเตจนถึงสคามอซซิ—ที่ต่างก็มีความประทับใจในแผนอันเป็นอุดมคติ: รูปร่างของเมืองที่ว่านี้คือรูปดาว”


ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 การวิวัฒนาการลูกระเบิดแบบใหม่ที่มีพลังสูงขึ้นแบบที่เรียกว่าexplosive shell ทำให้สถาปัตยกรรมการก่อสร้างป้อมปราการต้องเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งหนึ่ง


ที่มา
ก่อนหน้าการสร้างป้อมดาว ป้อมในยุคกลางมักจะตั้งอยู่บนเนินสูง จากป้อมผู้ป้องกันป้อมสามารถยิงธนูลงมายังข้าศึกได้ ปราสาทยิ่งสูงเท่าใดรัศมีของการยิงก็ยิ่งกว้างไกลขึ้น ทางเดียวที่ข้าศึกจะยึดที่มั่นได้ก็ด้วยการพังประตูหน้าหรือปีนกำแพงด้วยบันได ป้อมลักษณะนี้ยากต่อการยึดโดยผู้โจมตีป้อม ฉะนั้นการสร้างป้อมประเภทนี้จึงสร้างตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ
เมื่อการโจมตีป้อมวิวัฒนาการมาเป็นการใช้ปืนใหญ่ในการโจมตีในคริสต์ศตวรรษที่ 15 วิศวกรทางยุทธศาสตร์ก็ตอบโต้โดยการสร้างกำแพงในคูและกันด้วยกำแพงดินลาดเพื่อจะได้ไม่ถูกทำลายด้วยปืนใหญ่ที่ยิงมาโดยตรง และเพื่อให้กำแพงที่ตอนบนเป็นดินช่วยรับกำลังปะทะของระเบิดที่ทำให้แรงการทำลายลดลง และเมื่อทำได้เช่นที่ป้อมมาโนเอล (Fort Manoel) ในมอลตา “คู” ก็ขุดเข้าไปในผาหิน และ “กำแพง” ด้านในของคูก็เป็นหินธรรมชาติ แต่เมื่อกำแพงยิ่งเตี้ยลงก็ยิ่งเป็นการง่ายขึ้นต่อการโจมตี


จุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งคือป้อมทรงกลมที่นิยมสร้างกันในยุคกลางและหอเล็ก เป็นการทำให้เกิด “จุดมรณะ” (dead space) หรือ “บริเวณมรณะ” (dead zone) ซึ่งเป็นจุดที่ค่อนข้างปลอดจากการยิงป้องกันเพราะผู้ยิงไม่สามารถจะยิงอ้อมกำแพงโค้งจากอีกด้านหนึ่งของกำแพงได้ เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้หอที่เคยเป็นทรงสี่เหลี่ยมหรือกลมก็เปลี่ยนไปเป็นแบบรูปข้าวหลามตัดยื่นออกไปเพื่อไม่ให้ผู้โจมตีปราสาทมีที่หลบได้ คูและกำแพงก็ออกแบบที่ทำให้ตล่อมกองทัพของผู้โจมตีให้เข้ามาในบริเวณที่ต้องการและทำให้การโจมตีโดยปืนใหญ่สร้างความวุ่นวายให้แก่ผู้ที่จะพยายามปีนกำแพงด้วย การออกแบบมีจุดประสงค์ที่จะไม่ไห้ผู้โจมตีมีที่หลบภัยจากการต่อต้านได้

มุขป้อม (อังกฤษ: Bastion) คือโครงสร้างที่ยื่นออกมาจากกำแพงเมืองหรือกำแพงปราสาทที่แบนราบของป้อมปราการ ที่ช่วยในการป้องกันการโจมตีจากข้าศึก และเป็นเครื่องมือสำหรับผู้ป้องกันปราสาทหรือเมืองในการโจมตีข้าศึกตรงที่เป็นกำแพงม่าน (Curtain wall) ระหว่างมุขป้อมสองมุข


มุขป้อมสร้างขึ้นเพื่อทำให้การป้องกันเมืองหรือปราสาทจากผู้รุกรานเป็นไปได้ง่ายขึ้น ป้อมปราการก่อนหน้าที่จะมีมุขป้อมจำกัดการป้องกันการโจมตีได้เพียงช่วงสั้นๆ ที่ผู้ป้องกันไม่อาจะมองเห็นจากกำแพงที่แบนราบได้ไกลเท่าใดนัก
มุขป้อมแก้ปัญหาดังกล่าวโดยใช้ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่บนป้อมในการยิงโจมตีในรัศมีของกำแพงม่าน


Bourtange ( WikiMiniAtlas53.0066°N 7.1920°E) is a village in the Westerwolde region of the Dutch province of Groningen. It is a part of the municipality of Vlagtwedde, and lies about 32 km northeast of Emmen.


Fort Bourtange was initially built during the Eighty Years' War (c. 1568–1648) when William I of Orange wanted to control the only road between Germany and the city of Groningen which was controlled by the Spaniards. This road followed a sandy ridge (tange) through the marshes (the Bourtange Swamp).


Later, around 1594, Bourtange became part of the fortifications on the border between the northern provinces (Groningen, Friesland, Drenthe) and Germany.
Bourtange was a separate municipality until 1822, when it was merged with Vlagtwedde.


In 1851 the star fort was given up and Bourtange became a normal village.
Around 1960 living conditions in the village deteriorated and it was decided that Bourtange would be rebuilt to its state of 1740-1750. Today it is an open air museum. In 2001, the town of Bourtange had 267 inhabitants. The built-up area of the town was 0.21 km², and contained 133 residences. The statistical area "Bourtange", which also can include the surrounding countryside, has a population of around 530.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

11. โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา ในกรุงเรคยาวิก เป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์ที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/pWqxHmo6M2c


* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://goo.gl/hqU4r

* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/lmMt

ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (ไอซ์แลนด์: Hallgrímskirkja) เป็นโบสถ์ ในกรุงเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ มีความสูง 74.5 เมตร เป็นอาคารที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไอซ์แลนด์ โบสถ์แห่งนี้ตั้งชื่อตามชื่อของ ฮัลล์กรีมูร์ เพทูร์สซอน กวีและนักบวชชาวไอซ์แลนด์ ฮัลล์กรีมสคิร์คยา ตามศัพท์แปลว่า โบสถ์ของฮัลล์กรีมูร์


Hallgrímskirkja นับว่าเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์ที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ เป็น จุดที่สูงอีกจุดหนึ่งของเมืองที่เมื่อขึ้นไปด้านบนจะมองเห็นทัศนียภาพของเรกยาวิก โดยรอบโบสถ์ดังกล่าวมีความสำคัญในฐานะเป็นศาสนสถานที่สำคัญ เป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ รวมทั้งเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญของไอซ์แลนด์ โบสถ์แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างดีประมาณว่าเมื่อมาถึงไอซ์แลนด์ มีหรือจะไปไม่ถึง(โบสถ์สูง)


โบสถ์ Hallgrímskirkja นี้มีความสูง 74.5 เมตร สูงเป็นอันดับ 4 ในประเทศไอซ์แลนด์รองจากสถานีวิทยุ 2 แห่งและอาคารสเมาราท็อก( Smáratorg tower) ตึกสูงที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ สูง 77.6 เมตร มี 20 ชั้น ที่คำนวนง่าย ๆ ก็สูงพอ ๆ กับภูเขาทอง วัดสระเกศ ที่กรุงเทพของเรา จากฐานสูงประมาณ 79 เมตร


นายกุดโยน (Guðjón Samúelsson) เป็นสถาปนิกที่ออกแบบตึกนี้ไว้ใน เป็นสถาปัตยกรรมแนวอิมพราสชั่นนิสท์(Impressionist) คล้ายกับโบสถ์ Grundtvig's Church ที่โคเปเฮเกน เดนมาร์ก และใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะได้สร้าง รวมเวลาการก่อสร้าง 38 ปี คือตั้งแต่ปีเริ่มสร้าง ค.ศ. 1945 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1986


ด้านหน้าของโบสถ์มีอนุสาวรีย์ของเลฟร์ อีริกสัน(Leifr Eiriksson) ยืนตระหง่านสวมหมวก มีผ้าคลุมลักษณะพริ้วสะบัด ถือขวานขนาดใหญ่ และอีกมือถือหนังสือแนบไว้กับอก เป็นสัญลักษณ์ของการผจญภัย ในประวัติศาสตร์ไอซ์แลนด์ถือวาเลฟร์ เป็นชาวนอสร์ ชาติยุโรป คนแรกที่ไป “เหยียบ” ดินแดนแถบอเมริกาเหนือซึ่งรวมถึงกรีนแลนด์ด้วย โดยอนุสาวรีย์ดังกล่าวสหรัฐอเมริกามอบให้แก่ไอซ์แลนด์เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 1 พันปี รัฐสภา “Althing” ของไอซ์แลนด์


รูปปั้นของเลฟร์ อีริกสัน ยังตั้งอยู่ที่หน้าศาลาวาการเมืองมินิสโซต้า (Saint_Paul Minnesota) สหรัฐอเมริกาอีกด้วย รัฐสภาอเมริกากำหนดให้วันที่ 9 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันของเลฟ เรียกว่า “Leif Eiriksson Day” มีความสำคัญในฐานะเป็นผู้บุกเบิกดินของทางอเมริกาเหนือและนำคนเข้าไปบุกเบิกตั้งถิ่นฐาน


The Hallgrímskirkja (Icelandic pronunciation: [ˈhatlkrimsˌcʰɪrca], church of Hallgrímur) is a Lutheran (Church of Iceland) parish church in Reykjavík, Iceland. At 74.5 metres (244 ft), it is the largest church in Iceland and the sixth tallest architectural structure in Iceland after Longwave radio mast Hellissandur, the radio masts of US Navy at Grindavík, Eiðar longwave transmitter and Smáratorg tower. The church is named after the Icelandic poet and clergyman Hallgrímur Pétursson (1614 to 1674), author of the Passion Hymns.


State Architect Guðjón Samúelsson's design of the church was commissioned in 1937. He is said to have designed it to resemble the basalt lava flows of Iceland's landscape. It took 38 years to build the church. Construction work began in 1945 and ended in 1986, the landmark tower being completed long before the church's actual completion. The crypt beneath the choir was consecrated in 1948, the steeple and wings were completed in 1974. The nave was consecrated in 1986. Situated in the centre of Reykjavík, it is one of the city's best-known landmarks and is visible throughout the city. It is similar in style to the expressionist architecture of Grundtvig's Church of Copenhagen, Denmark, completed in 1926.


The church houses a large pipe organ by the German organ builder Johannes Klais of Bonn. It has mechanical action, four manuals and pedal, 102 ranks, 72 stops and 5275 pipes. It is 15 metres tall and weighs 25 tons. Its construction was finished in December 1992. It has been recorded by Christopher Herrick in his Organ Fireworks VII CD.


The church is also used as an observation tower. An observer can take a lift up to the viewing deck and view Reykjavík and the surrounding mountains. The statue of explorer Leif Eriksson (1929–32) by Alexander Stirling Calder in front of the church predates its construction. It was a gift from the United States in honor of the 1930 Alþingi Millennial Festival, commemorating the 1000th anniversary of Iceland's parliament at Þingvellir in 930 AD.


In 2008, the church underwent a major restoration of the main tower, and was covered in scaffolding. In late 2009, restoration was completed and the scaffolding was removed.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: flickr.com ::

12. มรดกโลก นครศักดิ์สิทธิ์แห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่ เตโอติอัวกัน เม็กซิโก   (Pre-Hispanic City of Teotihuacan)

* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://player.vimeo.com/video/3608876


* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/view-of-the-avenue-of-the-dead-and-the-pyramid-of-the-sun-mexico#9.90,5.20,110.0

ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/h5Ap


ชาวเมืองเตโอติอัวกัน (Teotihuacan) ได้ร่วมกันสร้างวิหารหลายแห่งขึ้นที่ใจกลางเมือง ระหว่างคริสตศักราชที่ 300 - คริสตศักราชที่ 600 นครหลวงแห่งสำคัญของ จักรวรรดิแอซเทกส์ (Aztecs) คือ เมืองเตโอติอัวกัน (Teotihuacan) ได้มีอำนาจเหนือดินแดนตอนกลางของแม็กซิโก เมืองอันกว้างใหญ่นี้มีพื้นที่ถึง 8 ตารางไมล์หรือ 21 ตารางกิโลเมตรและมีการจัดผังเมืองแบบ Grid Pattern


เตโอติอัวกันยังถือเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์เพราะมีบทบาทสำคัญทางด้านศาสนาอีกด้วย มีการสร้างวิหารมากมายบนสองข้างทางของถนนสายสำคัญที่มีชื่อเรียกว่า Avenue of the dead โดยมี Pyramid of the Sun เป็นวิหารใหญ่ที่สุดและยังมีวิหารอื่นๆ อีก


นอกจากเมืองโบราณแห่งนี้จะเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้วยังเป็นเมืองลึกลับอีกด้วย เนื่องเพราะไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่า คนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเหล่านี้เป็นใครและมาจากไหน กระทั่งมีผู้คนกล่าวขวัญถึงเมืองนี้ว่าเป็น City of the Gods


เม็กซิโก เป็นอีกหนึ่งประเทศที่หากถามหาความเก่าแก่ทางอารยธรรมนั้น ขอรับรองว่ามีมากเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งปัจจุบันยังคงหลงเหลือสิ่งก็สร้าง ที่เป็นสิ่งยืนยันว่าเคยมีนครโบราณอันเก่าแก่อยู่ที่นี่มาช้านาน


     เพียงแค่คุณเดินทางไปตามเส้นทางสายอารยธรรมของสเปน ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของเม็กซิโกซิตี คุณจะพบกับ นครศักดิ์สิทธิ์เตโอติอัวกัน (Pre-Hispanic City of Teotihuacan) แหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนทางด้านอารยธรรมและวัฒนธรรม และยังเป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดี ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดในเม็กซิโกอีกด้วย


     นอกจากนี้แล้ว นครศักดิ์สิทธิ์เตโอติอัวกัน ยังเป็นหนึ่งในเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาโดย องค์การยูเนสโกได้ยกให้เตโอติอัวกันเป็นมรดกโลก ในปี 1987 ซากปรักหักพังที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นสามารถตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของมหานครในอดีตได้เป็นอย่างดี


     โดยเฉพาะที่ มหาพิระมิดแห่งเตโอติอัวกัน ซึ่งมีกลุ่มพิระมิดแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ (Pyramids of the Sun and the Moon) ซึ่งที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก

Teotihuacan – also written Teotihuacán is an enormous archaeological site in the Basin of Mexico, just 30 miles (48 km) northeast of Mexico City, containing some of the largest pyramidal structures built in the pre-Columbian Americas. Apart from the pyramidal structures, Teotihuacan is also known for its large residential complexes, the Avenue of the Dead, and numerous colorful, well-preserved murals. Additionally, Teotihuacan produced a thin orange pottery style that spread through Mesoamerica.


The city is thought to have been established around 100 BC and continued to be built until about 250 AD. The city may have lasted until sometime between the 7th and 8th centuries AD. At its zenith, perhaps in the first half of the 1st millennium AD,
Teotihuacan was the largest city in the pre-Columbian Americas, with a population of perhaps 125,000 or more, placing it among the largest cities of the world in this period.


Teotihuacan began as a new religious center in the Mexican Highland around the first century AD. This city came to be the largest and most populated center in the New World. Teotihuacan was even home to multi-floor apartment compounds built to accommodate this large population. The civilization and cultural complex associated with the site is also referred to as Teotihuacan or Teotihuacano.


Although it is a subject of debate whether Teotihuacan was the center of a state empire, its influence throughout Mesoamerica is well documented; evidence of Teotihuacano presence can be seen at numerous sites in Veracruz and the Maya region. The Aztecs may have been influenced by this city. The ethnicity of the inhabitants of Teotihuacan is also a subject of debate. Possible candidates are the Nahua, Otomi or Totonac ethnic groups. Scholars have also suggested that Teotihuacan was a multiethnic state.


The city and the archaeological site are located in what is now the San Juan Teotihuacán municipality in the State of México, approximately 40 kilometres (25 mi) northeast of Mexico City. The site covers a total surface area of 83 square kilometres (32 sq mi) and was designated a UNESCO World Heritage Site in 1987. It is the most visited archaeological site in Mexico.


:: travel.thaiza.com ::
:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

13. อุทยานสระสวรรค์ จิ่วจ้ายโกว มรดกโลกทางธรรมชาติ  สาธารณรัฐประชาชนจีน

 
* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/x6FoWskUO_U


* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/changhai-jiuzhaigou-sichuan#51.20,0.40,98.4


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/4TQf6


     ตั้งอยู่ในบริเวณทางทิศเหนือของมณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในบริเวณตอนใต้ของเทือกเขาหมิงซาน จิ่วไจ้โกว อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองเฉิงตูราว 500 กิโลเมตร


หุบเขาจิ่วจ้ายโกว (จีนตัวย่อ: 九寨沟; จีนตัวเต็ม: 九寨溝; พินอิน: Jiǔzhàigōu; ความหมาย หุบเขาเก้าหมู่บ้าน; ภาษาทิเบต: Sicadêgu) เป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีชื่อเสียงจากน้ำตกหลายระดับชั้นและทะเลสาบที่มีสีสันงดงาม และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2535


สภาพทางภูมิศาสตร์
จิ่วจ้ายโกวตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของเทือกเขาหมินซาน ห่างจากเมืองเฉิงตูไปทางเหนือ 330 กิโลเมตร ถือเป็นส่วนหนึ่งของเทศมณฑล Nanping ในเขตปกครองตนเองชนชาติทิเบตและเชียงอาป้า ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเสฉวน ใกล้เขตแดนของมณฑลกานซู


บริเวณหุบเขามีพื้นที่อย่างน้อย 240 ตารางกิโลเมตร ขณะที่องค์กรด้านการอนุรักษ์บางแห่งกำหนดให้มีพื้นที่ 600-700 ตารางกิโลเมตร โดยมีพื้นที่กันชนเพิ่มเข้ามา 400 - 600 ตารางกิโลเมตร ระดับความสูงจะแตกต่างไปตามแต่ละพื้นที่ โดยมีทั้งพื้นที่มีมีความสูง 1,998 - 2,140 เมตร (ที่ปากทางเข้าหุบเขาซูเจิ้ง) ไปจนถึง 4,558 - 4,764 เมตร (บนภูเขา Ganzigonggai ที่ส่วนยอดสุดของหุบเขา Zechawa)


สภาพอากาศในหุบเขาจัดว่าหนาวเย็น ตลอดปีมีอุณหภูมิเฉลี่ย 7.2 °C เดือนมกราคม -1 °C และเดือนกรกฎาคม 17 °C ปริมาณน้ำฝนตลอดทั้งปี 661 มิลลิเมตร โดยเป็นปริมาณระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมราว 80%


ข้อมูลทางประวัติศาสตร์
พื้นที่อันห่างไกลแห่งนี้มีชาวทิเบตและเชียงตั้งรกรากอยู่มานานหลายศตวรรษ แต่ไม่ได้มีการสำรวจอย่างเป็นทางการจนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 มีการทำธุรกิจตัดไม้อย่างหนักจนถึงปี พ.ศ. 2522 ซึ่งรัฐบาลจีนได้สั่งห้ามกิจการดังกล่าว และประกาศพื้นที่นี้เป็นอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2525 จนกระทั่ง พ.ศ. 2527 จึงได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยการวางกฎระเบียบและสถานที่ต่างๆภายในอุทยานเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2531 และในปี พ.ศ. 2535 องค์การยูเนสโกได้ประกาศพื้นที่นี้ให้เป็นมรดกโลก และเป็น World Biosphere Reserve ใน พ.ศ. 2540


ตั้งแต่เริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม จำนวนนักท่องเที่ยวได้เพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยในปี พ.ศ. 2527 มีนักท่องเที่ยว 5,000 คน พ.ศ. 2534 มี 170,000 คน พ.ศ. 2538 มี 160,000 คน และ พ.ศ. 2540 มี 200,000 คน โดยเป็นชาวต่างชาติประมาณ 3,000 คน ปี พ.ศ. 2545 มีผู้เยี่ยมชม 1,190,000 คน และในปี พ.ศ. 2547 มีผู้เยี่ยมชมเฉลี่ยวันละ 7,000 คน


     อุทยานจิ่วจ้ายโกว หรือที่ชาวตะวันตกเรียกขานกันในนาม‘ดินแดนแห่งเทพนิยาย’ ตั้งอยู่ในอำเภอหนันผิงเขตปกครองตนเองของเผ่าเชียงชนชาติทิเบตทางตอนเหนือของมณฑลซื่อชวนหรือเสฉวน ภาคตะวันตกของจีน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 720 ตารางกิโลเมตร ท่ามกลางหุบเขาที่ทอดตัวคดเคี้ยวไปมา โตรกธารลดเลี้ยวผ่านผาสูงและน้ำตกขนาดใหญ่ ก่อเกิดเป็นทิวทัศน์อันตระการตาโดดเด่นด้วยสีสันของภาพภูมิทัศน์โดยรอบ


จิ่วไจ้โกวเป็นธารน้ำสองสายที่ไหลมารวมกัน สายหนึ่งไหลมาจากฉางไห่ (ทะเลสาบยาวด้านตะวันตก อีกสายหนึ่งไหลมาจากตาน้ำที่ป่าดึกดำบรรพ์ ทางด้านตะวันออก สองสายธารไหลคู่ขนานแล้วมาบรรจบกันที่ใกล้บริเวณทะเลสาบกระจก หรือจิ้งไห่ จากนั้นไหลรวมกันลงไปสู่แม่น้ำขาวหรือไป๋สุ่ยเจียง มีลักษณะเป็นรูปตัววาย


จุดเด่นของ จิ่วจ้ายโกว มีอยู่ด้วยกัน 5 อย่างคือ
1. ทะเลสาบน้ำจืดขนาดน้อยใหญ่ที่มีจำนวนมากถึง 144 แห่ง
2. ใบไม้เปลียนสีที่ดูงดงามในต้นฤดูใบไม้ร่วง
3. เทือกเขาที่ยอดเขาปกคลุมไปด้วยหิมะที่แสนงดงาม
4. น้ำตกขนาดน้อยใหญ่และลำธารมากมายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในหุบเขา
5. หมู่บ้านทั้งเก้าของชนเผ่าต่างๆของชาวทิเบต


‘จิ่วไจ้โกว’ ในภาษาจีนหมายถึง แควเก้าหมู่บ้าน (คำว่า จิ่ว = เก้า, ไจ้ = หมู่บ้าน, โกว = แควหรือธารน้ำ) โดยมีที่มาจากชนชาติทิเบต 9 หมู่บ้านที่อาศัยอยู่ริมธารน้ำบริเวณนี้มาแต่เดิม จิ่วไจ้โกวได้รับการเรียกขานจากชนเผ่าทิเบตว่าเป็น ‘ขุนเขาธารน้ำอันศักดิ์สิทธิ์’ ดังนั้นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นขุนเขา ป่าไม้ ลำน้ำ หรือหินทุกก้อนล้วนได้รับการเคารพจากชนเผ่าพื้นเมืองทิเบต ปัจจุบันผืนป่าโบราณอันอุดมแห่งนี้จึงยังคงได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี
จิ่วไจ้โกวเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าทางตอนใต้ของเทือกเขาหมินซาน และเป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำเจียหลิงที่เป็นสาขาหนึ่งของลำน้ำฉางเจียง(แยงซีเกียง) ตั้งอยู่ริมชายขอบของที่ราบสูงทิเบตดินแดนแห่งหลังคาโลก เป็นเขตต่อเชื่อมจากที่ราบสูงทิเบตสู่มณฑลซื่อชวน สภาพทางนิเวศวิทยาของบริเวณนี้เป็นร่องรอยที่เกิดจากแรงอัดและการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกหนุนขึ้นมาจนอยู่ในระดับสูง ทำให้เกิดร่องหินคดเคี้ยวเป็นทางยาว มีทั้งยอดเขาหิมะสูงเสียดฟ้า และหุบเขาลึก เฉพาะเขตที่มีการเปิดให้สาธารณชนเข้าชมก็มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 2,000 – 3,100 เมตร อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 7 – 8 องศาเซลเซียส ด้วยสภาพภูมิประเทศที่มีความสูงต่ำแตกต่างกันอย่างมากมายนี้ ได้ทำให้สภาพภูมิอากาศและพืชพรรณสัตว์ป่าก็มีความหลากหลายและซับซ้อนยิ่งขึ้น


‘น้ำ’ถือเป็นจุดดึงดูดที่สุดในบรรดาสุดยอดความงามของทิวทัศน์จิ่วไจ้โกว ทั้งในด้านรูปลักษณ์ สีสัน ความหลากหลาย อีกทั้งสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงามยิ่งใหญ่ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อเลื่องลือระดับชาติของจีน


ความงามประหลาดของน้ำในจิ่วไจ้โกวนั้น มีสาเหตุจากการที่แหล่งน้ำในบริเวณนี้มีการสะสมของธาตุแคลเซี่ยมเจือปนอยู่ในปริมาณสูง อีกทั้งโดยมากเกิดกับพืชซึ่งจมอยู่ใต้ท้องน้ำ ทำให้ทะเลสาบและธารน้ำของที่นี่มีสีสันสดใสงดงามแปลกตา ธารน้ำในจิ่งไจ้โกวประกอบด้วยธารน้ำหลัก 2 สายไหลมาบรรจบกันเป็นรูปตัววาย (Y) มีความยาว 50 กว่ากิโลเมตร ตลอดแนวธารน้ำปรากฏบึงน้ำ ทะเลสาบ น้ำตกและโตรกธารมากมาย สายน้ำสีเขียวใสเลี้ยวลดอยู่ระหว่างแมกไม้ราวกับสายสร้อยมรกตที่ประดับอยู่บนอาภรณ์แห่งป่าเขาลำเนาไพร ทะเลสาบเลื่อมสลับลายและน้ำตกที่สูงสง่าอลังการ ทำให้ผู้คนที่มาเยือนไม่อาจละสายตาได้


สำหรับป่าไม้โบราณที่ครอบคลุมอาณาบริเวณในจิ่วไจ้โกวกว่าครึ่ง แน่นครึ้มไปด้วยพืชพรรณแมกไม้หลายหลาก ทั้งยังเป็นแหล่งชุมนุมของสัตว์ป่าและนกนานาชนิด และเนื่องจากสภาพภูมิอากาศมีความแตกต่างกัน ดังนั้นชนิดหรือพันธุ์พืชก็แตกต่างไปตามสภาพทางภูมิศาสตร์ และอากาศ นับตั้งแต่พันธุ์ไม้โบราณ พันธุ์ไม้หายาก พันธุ์ไม้ที่ขึ้นในป่าดิบชื้น พันธุ์ไม้ที่ผ่านการปรับตัวทางพันธุกรรม และเฟิร์นชนิดต่าง ๆที่มีคุณค่ามากมาย ปัจจุบันมีพื้นที่ป่าธรรมชาติกว่า 3 พันตารางกิโลเมตร สัตว์และพันธุ์พืชกว่า 2,000 ชนิด สัตว์อนุรักษ์อีก 17 ชนิด รวมทั้งสัตว์สงวนอย่าง แพนด้า กระทิง ค่างขนทอง ละมั่งลายจุด กวางปากขาว แพนด้าจิ๋ว ลิงกัง ไก่ฟ้า ห่านฟ้า เป็นต้น


ปัจจุบัน เส้นทางอุทยานที่เปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมมีความยาว 49 กิโลเมตร จากพื้นที่ 3 ใน 9 แคว โดยรัฐบาลจีนได้จัดทำบันไดไม้ปูลาดเป็นทางยาวเลียบไปกับเส้นทางน้ำ ผ่านโตรกธาร บึงน้ำ สระมรกต และน้ำตก เพื่อให้ได้ชื่นชมกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด อีกทั้งจัดรถปลอดมลพิษไว้บริการรับส่งนักท่องเที่ยวที่เมื่อยล้าหรือต้องการเดินทางไปชมในเขตที่ห่างไกลออกไป


ความงามแห่งสีสัน
จิ่วจ้ายโกวมีชื่อเสียงด้านความงามแห่งสีสันที่แปลกเปลี่ยนไม่รู้จบ ทะเลสาบผุดขึ้นท่ามกลางหมู่แมกไม้เขียวขจี น้ำใสเป็นประกายชุ่มฉ่ำ ยอดเขาประกายหิมะ ตัดกับท้องฟ้าใสสีครามสลับปุยเมฆขาวเบาบาง เงาไม้หลากสีสันต้องแสงแดดสะท้อนลงบนผิวน้ำใสราวกระจกของทะเลสาบ เกิดเป็นภาพธรรมชาติอันงดงามที่แปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาลผลิ ร้อน ร่วง หนาว ไม่ว่ายามสงัดฟ้าใส หรือฝนตกฟ้าคะนอง ยามเช้าหรือยามเย็น หิมะโปรยหรือยามฝนพรำ สีของน้ำในทะเลสาบก็จะแปรเปลี่ยนไป บ้างเขียวครึ้ม ผสมน้ำเงินเข้ม บ้างฟ้าเขียวสดใส อีกทั้งสาหร่ายและพืชพรรณใต้น้ำที่สะท้อนเงาแดดต่างประชันขันแข่งกันให้สีเขียวมรกต เหลืองบุษราคัม ชมพูจนถึงแดงอ่อน ราวกับเพชรพลอยที่ส่องแสงสะท้อนบาดตา


ยามฤดูใบไม้ผลิ แมกไม้ผลิดอกใบ ทั้งสีแดง เหลือง ม่วง ขาว ของดอกกุหลาบพันปี ต้นท้อและแพร์ป่า สีขาวของลูกแพร์ สลับกับใบอ่อนสีเขียว ที่กำลังผลิดอกออกใบสะพรั่งในฤดูกาลนี้ เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน ป่าทั้งผืนจะกลายเป็นสีเขียวไล่ระดับตั้งแต่เขียวอ่อน เขียวสดใส เขียวเจิดจ้า เขียวเข้ม สะท้อนถึงความเข้มข้นของชีวิตอันอุดมในผืนป่าแห่งนี้ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบทะเลสาบจะทยอยผลัดใบเปลี่ยนสีร่วงลงสู่ทะเลสาบ สร้างสีสันให้กับโลกใต้น้ำ ยิ่งกว่าภาพวาดที่จิตรกรจะสรรค์สร้างแต่งเติม ป่าผลัดใบเป็นสีสันฉูดฉาด บ้างเป็นสีส้มเข้ม เหลืองอ่อน แดงชาด แดงเข้ม จนถึงแดงคล้ำ ใบไม้ที่ร่วงหล่น ทำให้เส้นทางสู่ขุนเขาทอดตัวกลายเป็นสีแดงฉาน ราวกับภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ทุกหนแห่งถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวสะอาดตา น้ำตกที่แข็งตัว เป็นเส้นสาย หยดย้อยลงมาราวกับม่านสีเงิน ส่องประกายวิบวับในแสงแดดอ่อน ผืนป่าถูกปกคลุมด้วยหมอกขาวบางเบา ดูราวกับภาพในฝัน สายธารน้ำสีเงินผนึกตัวเป็นแผ่นน้ำแข็ง ราวกับกระเบื้องเคลือบชั้นดี ที่ประดับตกแต่งด้วยเพชรพลอยสีสดใสอยู่ภายใน


จิ่วจ้ายโกวเป็นผลงาน สร้างสรรค์ด้วยมือมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ขุนเขาเขียวขจี สายน้ำใสสะอาดไหลริน ขุนเขาโอบล้อมสายน้ำ สายน้ำพันรัดขุนเขา ขุนเขาสายน้ำสอดประสาน แมกไม้สายธารแนบชิด นับเป็นทิวทัศน์อันสดชื่นกระจ่างตา ภายใต้การจัดวางของธรรมชาติ ทุกสิ่งหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เป็นความงามที่มนุษยชาติสุดจะได้พานพบในโลกนี้


ข้อมูล
อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว มรดกโลกทางธรรมชาติ ปีค.ศ. 1992
ที่ตั้ง- ทางตอนเหนือของมณฑลซื่อชวน (เสฉวน)ภาคตะวันตกของจีน
อาณาเขต - พื้นที่ป่าอนุรักษ์ 643 ตารางกิโลเมตร ระดับน้ำทะเล 2,000 – 4,760 เมตร
เขตเปิดให้สาธารณชนท่องเที่ยว 55 ตารางกิโลเมตร ระดับน้ำทะเล 2,000 – 3,100 เมตร
สัตว์ป่าอนุรักษ์ 2,576 ชนิด


Jiuzhaigou Valley (simplified Chinese: 九寨沟; traditional Chinese: 九寨溝; pinyin: Jiǔzhàigōu; literally "Valley of Nine Villages"; Tibetan: གཟི་རྩ་སྡེ་དགུ།, Wylie: gzi-rtsa sde-dgu, ZYPY: Sirza Degu) is a nature reserve and national park located in northern Sichuan Province of southwestern China.
Jiuzhaigou Valley is part of the Min Shan mountain range on the edge of the Tibetan Himalayan Plateau and stretches over 72,000 hectares. It is known for its many multi-level waterfalls, colorful lakes, and snow-capped peaks. Its elevation ranges from 2,000 m to 4,500 m.
Jiuzhaigou Valley was inscribed by UNESCO as a World Heritage Site in 1992 and a World Biosphere Reserve in 1997. It belongs to the category V (Protected Landscape) in the IUCN system of protected area categorization.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::
:: abroad-tour.com ::



14. จตุรัสเมืองเก่า ปราก สาธารณรัฐเชค


* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360panoramas.co.uk/34/297/The_Old_Town_Square


* ชมภาพแบบ 360 องศาค่ะ -> http://www.360cities.net/image/old-town-square-christmas-from-the-tower#-155.62,6.80,15.6


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/5zd4r


ปราก (อังกฤษ: Prague) หรือ ปราฮา (เช็ก: Praha) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก มีประชากรอาศัยประมาณ 1.2 ล้านคน เมื่อ ค.ศ. 1992 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ปรากเป็นมรดกโลก

ย่านเมืองเก่า (Old Town) เป็นย่านที่นักท่องเที่ยวทุกคนไม่ควรพลาด ประกอบไปด้วยอาคารเก่าแก่สวยงามมากมาย เช่น ศาลาว่าการเก่า (Old Town Hall) 
หอนาฬิกาดาราศาสตร์ The Astronomical Clock
โบสถ์นักบุญนิโคลัส (Church of St. Nicolas) เป็นศิลปะสไตล์บาร็อกราว ศต.ที่ 12 
ถัดมาเป็นโบสถ์ทิน (Church of Our Lady Before Tyn) สร้างด้วยศิลปะแบบโกธิค  
และพระราชวังคินสกี้ (Kinsky Palace) ในศิลปะแบบร็อกโคโค ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมงานศิลปะต่างๆ ไว้ด้วยทั้งหมดนี้คุณสามารถเดินเที่ยวชมได้อย่างสบายๆ


Old Town Square  (STAROMESTSKE NAMESTI) is a historic square in the Old Town quarter of Prague in the Czech Republic at 50°5′14″N 14°25′17″ECoordinates: 50°5′14″N 14°25′17″E.


Located between Wenceslas Square and the Charles Bridge, Prague's Old Town Square is often bursting at the seams with tourists in the summer. Featuring various architectural styles including the gothic Týn Church and baroque St. Nicholas Church, the square is an oasis for travelers wearied by Prague's narrow streets. Among many churches, tourists may find the Astronomical Clock on this square, while the tower at the Old Town Hall offers a panoramic view of Old Town shop.
The square's center is home to a statue of religious reformer Jan Hus, who for his beliefs was burned at the stake in Constance. The statue known as the Jan Hus Memorial was erected on July 6, 1915 to mark the 500th anniversary of his death.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::

15. White River Falls, Oregon, United States.


* ชมคลิปวีดีโอค่ะ -> http://youtu.be/3e6OeNy8RIA


* ชมแผนที่ค่ะ -> http://goo.gl/maps/p06zz


 White River Falls State Park is a state park in north central Oregon. It is located 35 miles (56 km) by road south of The Dalles and 4.5 miles (7.2 km) east of Tygh Valley.


The focus of the park is the falls where wild and scenic White River plunges 90 feet (27 m) from a basalt shelf. At the base of the falls are the ruins of a hydropower plant which supplied electricity to north central Oregon from 1910 to 1960.


The falls are located at river mile (RM) 3 of the White River which flows into the Deschutes at RM 46.5.


There are no fees to use the park and is open mid March though Halloween.


:: Wikipedia, the free encyclopedia ::




1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss