1
2

GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง




GOOD LUCK
สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ
ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง 

"ไม่ใช่อยู่ๆ โชคดีจะมาหาคุณเอง แต่คุณเป็นคนสร้างเงื่อนไขที่จะให้โชคดีเกิดขึ้น"



Good Luck 
นิทานสอนบทเรียนอันมีค่า
ประยุกต์ใช้ได้ทั่วไป และสร้างแรงบันดาลใจอย่างไม่มีใครเหมือน
ชี้ให้เห็นถึงวิธีที่จะคว้าโอกาสเพื่อให้ได้รับความสำเร็จในชีวิต
ขอเวลาคุณสักนิดเพื่อรับฟัง และเรียนรู้ เรื่องนี้อาจทำให้คุณ
เปลี่ยนวิธีคิดในการดำเนินชีวิตไปเลยก็ได้



เรื่องย่อพอสังเขป
                บ่ายวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ วิกเตอร์ชายท่าทางภูมิฐานเดินไปนั่งที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ เขาอยู่ในวัย 64 ปีและมีอดีตที่เต็มไปด้วยความสำเร็จ
                ชายอีกคนหนึ่งซึ่งมีอายุ 60 กว่าเช่นกันเดินเข้ามาที่ม้านั่งตัวเดียวกัน เขาคือเดวิด ท่าทางของเขาช่างดูอ่อนล้า เหนื่อยหน่าย เศร้าหมอง เขากำลังอยู่ในช่วงลำบาก...
                เดวิดนั่งลงข้างๆวิกเตอร์ เมื่อสายตาของทั้งคู่ประสานกัน ทั้งคู่ก็ต่างฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า พวกเขาเคยรู้จักและสนิทสนมกันมาก่อน พวกเขาจึงเริ่มคุยกันเกี่ยวกับความหลัง       
           ขณะที่พูดคุยกัน วิกเตอร์รู้สึกได้ว่าเดวิดนั้นมีความเศร้าแฝงอยู่ในท่าทีการแสดงออกของเดวิด  จึงได้ถามเดวิดเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาของเขา เดวิดจึงเล่าให้ฟังว่า ชีวิตของเขานั้นมีแต่เรื่องพลิกผัน ตอนแรกมาก็ได้มรดกก้อนโต จากนั้นพ่อของเขาก็ทำกิจการ พอพ่อเขาเสียชีวิตลง เขาก็รับช่วงต่อแต่ก็ล้มละลายในที่สุด เดวิดเอาแต่พร่ำรำพันว่าเขานั้นโชคร้ายเหลือเกิน

                เดวิดถามวิกเตอร์บ้างว่าชีวิตที่ผ่านมาเป็นอย่างไร วิกเตอร์บอกว่าเมื่อก่อนเขามีฐานะที่ยากจนมาก และก็ไม่ได้เรียนต่อ เพราะต้องออกมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว เขาเริ่มจากงานล้างรถไปเป็นพนักงานยกกระเป๋า จากนั้นก็เป็นพนักงานเฝ้าประตู จนอายุได้ 22 จึงเริ่มมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง เขาซื้อร้านเล็กๆทำกระเป๋าขาย เขาใช้เวลานานหลายปีเพื่อตรวจสอบความต้องการของลูกค้าว่าชอบหรือไม่ชอบแบบไหน จนกระเป๋าของเขานั้นเป็นที่นิยมมาก

            เมื่อเดวิดได้ยินดังนั้นก็บอกแต่เพียงว่าวิกเตอร์แค่มีโชคเท่านั้นเอง แต่วิกเตอร์ก็ตอบกลับไปว่าเขาไม่เคยได้มรดกมหาศาลอะไรเลย อีกอย่างการที่คนประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่ที่โชค เพราะหากอาศัยโชคจริงๆแล้ว เขาจะมาถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน แต่เพราะเขาแสวงหามันเองต่างหาก ด้วยการสร้างโชคดีให้ตัวเอง พยายามสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาด้วยตัวเอง ไม่รอให้โชคเข้ามา วิกเตอร์บอกกับเดวิดว่า โชคกับโชคดีนั้นต่างกัน โชคเป็นสิ่งที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา ดังนั้นมันจะหายไปได้ง่ายกว่า และความเป็นไปได้ค่อนข้างมีน้อย อย่างเช่นคนถูกลอตเตอรี่ แต่ในเวลาไม่ถึง 10 ปี ก็จะกลับมาสู่ฐานะเดิม ซึ่งโชคแบบนี้เป็นโชคที่ไม่ยั่งยืนนั่นเอง ส่วนโชคดีเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ดังนั้นมันจะอยู่กับเราตลอดไป   วิกเตอร์บอกว่าการที่เขาประสบความสำเร็จได้นั้น เป็นเพราะคำสอนของปู่เขาเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างโชคกับโชคดีนั่นเอง

                เมื่อเดวิดได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสนใจ วิกเตอร์จึงได้เล่านิทานแห่งความโชคดีให้เดวิดฟัง



               นานมาแล้วในอาณาจักรอันไกลโพ้น พ่อมดเมอร์ลินได้เรียกเหล่าอัศวินให้มาชุมนุมกันและได้เสนอคำท้าแก่อัศวินทั้งหลายว่า ในอีกเจ็ดคืนจะมีต้นโคลเวอร์วิเศษงอกขึ้นในอาณาจักร ซึ่งจะมีใบสี่ใบ และจะให้โชคไม่จำกัดแก่ผู้ครอบครอง แต่ต้นโคลเวอร์นี้จะงอกขึ้นในที่ใดที่หนึ่งในป่ามหัศจรรย์ แต่ก็มีเพียงอัศวิน 2 คนเท่านั้นที่รับคำท้าของเมอร์ลิน ได้แก่ ซิด อัศวินขาว และ น้อต อัศวินดำ พวกเขาทั้งสองใช้เวลาเดินทางไปยังป่ามหัศจรรย์สองวันเต็มๆ



                ในวันที่สาม ฝ่ายน้อตนั้นคิดว่าเจ้าชายแห่งผืนดิน หรือโนม ต้องเป็นผู้ที่รู้จักพื้นที่ทั่วป่าอย่างแน่นอน จึงไปถามโนมว่าต้นโคลเวอร์วิเศษสี่ใบจะงอกขึ้นที่ไหน แต่โนมบอกกับน้อตว่าไม่เคยมีต้นโคลเวอร์ขึ้นในป่ามหัศจรรย์ไม่ว่าจะชนิดไหนก็ตามเพราะมันขึ้นไม่ได้ น้อตคิดว่าโนมหลอกตนจึงจากไปในทันที...เขาเลือกที่จะรอคอยให้มีโชคเกิดกับตัวเขาในวันต่อไป

                ส่วนฝ่ายซิดนั้น ก็คิดเช่นเดียวกับน้อต จึงไปถามโนม โนมก็บอกว่าต้นโคลเวอร์ขึ้นในป่าไม่ได้ ซิดจึงคิดได้ว่าในสภาวะของป่าตอนนี้ต้นโคลเวอร์คงไม่สามารถงอกขึ้นได้ เขาคิดว่าจะต้องขาดอะไรไปที่จะทำให้ต้นโคลเวอร์งอกได้ เขาจึงถามโนม โนมบอกว่า ที่ไม่มีงอกเลยเพราะดินในป่า โคลเวอร์ต้องการดินที่ร่วนซุยและอุดมสมบูรณ์ แต่ดินในป่านั้นจับกันเป็นก้อน ซิดจึงออกเดินทางไปหาดินที่สมบูรณ์และนำดินนั้นมาทำแปลงโดยถอนหญ้าและกลับหน้าดินเอาดินเก่าออก...พระอาทิตย์ตกดิน..เหลืออีกสี่คืนเท่านั้น




                เช้าวันที่สี่น้อตยังคงคิดว่าโนมหลอกเขาจึงไปยังทะเลสาบเพื่อจะถามเทพีแห่งทะเลสาบ นางบอกว่าทะเลสาบของนางไม่มีลำธารสาขา ต้นโคลเวอร์ต้องการน้ำมาก แต่ถ้าไม่มีสายน้ำที่จะไปหล่อเลี้ยงโคลเวอร์จะงอกขึ้นมาได้อย่างไรกัน น้อตเริ่มเชื่อว่าเขาคงไม่มีโชคจริงๆ และเริ่มเกลียดโชค...แต่เขาก็ยังคงหวังว่า วันต่อๆไปเขาอาจจะมีโชคบ้างก็ได้

                ฝ่ายซิด เขาคิดว่าเขามีดินแล้วตอนนี้เขาก็จำเป็นต้องรู้ว่าต้นไม้นั้นต้องการน้ำเท่าใด เขาจึงออกเดินทางไปยังทะเลาสาบเพื่อถามเทพีแห่งทะเลสาบ ซิดพยายามจะสนใจปัญหาของนางที่นางไม่มีน้ำไหลออกจากทะเลสาบของนาง ซิดถามว่าต้นโคลเวอร์ต้องการน้ำแค่ไหน นางบอกว่าต้องการความชุ่มชื้นตลอดเวลา ซิดจึงขุดร่องดินตรงชายฝั่งทะเลสาบ กลายเป็นธารน้ำใส ซึ่งจะหล่อเลี้ยงแปลงดินที่เขาสร้างขึ้น แล้วความมืดก็แผ่ปกคลุม...เหลือเวลาอีกสามคืนเท่านั้น



                เช้าวันต่อมา น้อตได้ไปคุยกับเซโคยา ราชินีแห่งต้นไม้ นางก็บอกว่าไม่เคยมีต้นโคลเวอร์งอกขึ้นในป่าเลยอีกเหมือนเดิม คราวนี้น้อตเกิดความคิดวูบว่าเมอร์ลินอาจจะหลอกเขา...หลอกว่าจะมีต้นโคลเวอร์วิเศษสี่ใบขึ้นในป่านี้

                ส่วนซิดนั้นก็ไปคุยกับเซโคยาเช่นกัน เขาถามนางว่าต้นโคลเวอร์ต้องการแสงแค่ไหน นางบอกว่าโคลเวอร์ต้องการแสดงแดดและร่มเงาอย่างละเท่าๆกัน แต่ป่านี้ร่มทั้งหมด โคลเวอร์จึงขึ้นไม่ได้ ซิดจึงกลับไปและลิดกิ่งก้านที่ตายแล้วของต้นไม้ออกเพื่อสร้างที่แสงส่องและร่มเท่าๆกัน จนในที่สุดฟ้าก็มือลง...เหลือเวลาอีกเพียงสองคืนเท่านั้น



                ในวันที่หก น้อตไปหาสโตนซึ่งเป็นมารดาแห่งหิน นางบอกว่าไม่เคยมีต้นโคลเวอร์ขึ้นอีกเช่นเคย เขารู้สึกขมขื่น แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่า ถ้าไม่มีโชคสำหรับเขา ก็คงไม่มีโชคสำหรับซิดเช่นกัน

ฝ่ายซิดก็ไปหาสโตน นางบอกว่าโคลเวอร์สี่ใบขึ้นในที่ๆมีหินไม่ได้ ซิดจึงรีบกลับไปเลือกเอาหินในแปลงที่ทำเอาไว้ออกจนหมด..เหลืออีกแค่คืนเดียว

คืนสุดท้ายซิดและน้อตได้บิงเอิญมาพบกันกลางป่า   ทั้งคู่ต่างสอบถามถึงการตามหาต้นโคลเวอร์ของกันและกัน เมื่อน้อตรู้ว่าซิดนั้นทำแปลงเล็กๆขึ้นมาโดยหวังว่าต้นโคลเวอร์คงจะขึ้นตรงนั้น ก็หัวเราะเยาะซิด ว่าซิดนั้นช่างโง่เง่า แล้วน้อตก็จากไปท่ามกลางหมู่ไม้ ซิดมองตามไปและคิดว่า เมอร์ลินบอกว่าเราสามารถจะเจอต้นโคลเวอร์วิเศษได้ แต่ไม่ได้พูดว่าไม่จำเป็นต้องทำอะไรสักหน่อย



                ในตอนกลางคืน แม่มดได้มาหาน้อตแล้วบอกว่านางมีข้อเสนอแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับต้นโคลเวอร์วิเศษ น้อตจึงถามนาง แต่นางแม่มดบอกว่า ถ้านางบอกน้อต น้อตจะต้องสัญญาว่าจะทำตามข้อตกลงของนาง น้อตจึงให้แม่มดบอกข้อตกลง แม่มดบอกว่า นางอยากให้น้อตไปฆ่าเมอร์ลินที่อาณาจักรของเขา และบอกว่าเมอร์ลินนั้นได้หลอกเขาว่าจะมีต้นโคลเวอร์วิเศษงอกขึ้นที่ป่ามหัศจรรย์ แต่จริงๆ แล้วต้นโคลเวอร์นั้นจะงอกขึ้นที่อุทยานของเมอร์ลินเอง การที่เมอร์ลินเชิญอัศวันมาให้รับคำท้า ก็เพื่อจะได้ล่ออัศวินให้ออกไปพ้นอาณาจักรของตน และจะได้ครอบครองต้นโคลเวอร์วิเศษเพียงคนเดียว เมื่อน้อตฟังที่แม่มดพูดจบ เขาก็ยอมรับข้อเสนอของนางแม่มดทันทีเพราะเขารู้สึกท้อแท้และผิดหวังมากจนหลงเชื่อนางแม่มดอย่างสนิทใจ  น้อตออกเดินทางกลับอาณาจักรทันที

นางแม่มดได้ไปหาซิดต่อเกี่ยวกับข้อตกลงแบบเดิมนี้ แต่ซิดเองนั้นไม่สนใจสิ่งที่แม่มดบอกเลย เขาไม่คิดว่าเมอร์ลินจะหลอกลวงใคร เขาคิดว่า “โชคดีจะมาเยือนเสมอ หากเรายึดมั่นต่อสิ่งที่ทำ” ท้ายที่สุดเขาก็คิดถึงคำที่อาจารย์มักพูดกับเขาเสมอ 

นั่นคือ “จงอย่าเชื่อผู้ที่มาเสนอเรื่องที่จะทำให้เจ้าได้รับผลประโยชน์มากๆด้วยวิธีง่ายๆ และรวดเร็ว จงอย่าเชื่อผู้ที่เสนอขายโชคให้เจ้า”



เช้าวันต่อมา ซิดนั่งลงที่แปลงที่เขาทำไว้และรอ เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในทันใดนั้นเองก็มีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น..ลมเริ่มพัดใบไม้ให้กวัดแกว่ง ฝนตกลงมาเป็นเมล็ดสีทองแกมเขียวของต้นโคลเวอร์สี่ใบจำนวนมหาศาล และตกไปทั่วทั้งอาณาจักร ไม่กี่นาทีต่อมาฝนนั้นก็หยุด แล้วเมล็ดพันธุ์ก็เปล่าประโยชน์ไปเนื่องจากไม่ได้งอกขึ้นมาเพราะพื้นดินที่เสื่อมสภาพแข็งกระด้างด้วยกรวดหิน ยกเว้นเมล็ดพันธุ์ไม่กี่สิบเมล็ดซึ่งตกในบริเวณเล็กๆที่ซิดได้เตรียมไว้ ซิดรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากจึงกล่าวขอบคุณลม   แต่ลมบอกว่าเขาไม่ได้แจกโชค เขาเพียงแต่กระจายโชคให้ทั่วถึงทุกคนเท่านั้น ต้นโคลเวอร์งอกได้เพราะซิดเองที่สร้างสภาวะที่เหมาะสมกับมันขึ้นมา เขาเองเป็นคนที่สร้างโชคดีขึ้นมา โชคดีคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับเราทุกคนและเราจะต้องสร้างสภาวะที่เหมาะสมให้กับโอกาสที่มีอยู่ ลมจากไป ส่วนซิดออกจากป่ากลับไปยังอาณาจักร



ฝ่ายน้อตที่เดินทางกลับไปหาเมอร์ลินนั้น ก็พบว่าอุทยานมีกระเบื้องปูพื้นปูพื้นหญ้าทั้งหมด เมอร์ลินบอกว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้น้อตก็คงจะฆ่าเขา และเป็นทางเดียวที่จะทำให้น้อตเชื่อได้ว่าแม่มดนั้นหลอกเขา น้อตเริ่มตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเอง เขาเลือกทางที่ง่าย เขาคิดเสมอว่าเขาสมควรที่จะได้รับโชค ในที่สุดเขาจึงสำนึกได้ว่าตนคิดผิดไปทั้งหมด เมอร์ลินกล่าวว่า บัดนี้ต้นโคลเวอร์วิเศษได้งอกขึ้นในป่ามหัศจรรย์ดังที่เขาได้บอกทุกๆคนเอาไว้ แต่น้อตละทิ้งมันเสียเอง โดยที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ยิ่งไปกวานั้น น้อตยังรอคอยให้คนอื่นมอบโชคให้แก่ตน ซึ่งการรอคอยโชคโดยที่ไม่แสวงหาอะไรเลยนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรน้อตเลย  น้อตหันหลังกลับ และกลับไปยังปราสาทของเขาเองอย่างอ้างว้างเดียวดาย



เมื่อซิดมาถึงเมือง เขาได้ไปหาเมอร์ลินและนำโคลเวอร์สี่ใบไปให้เมอร์ลินดู เมอร์ลินกล่าวว่า การตัดสินใจของซิดเองเป็นต้นเหตุแห่งความโชคดีของตัวเขาเอง ซิดได้หาโชคดี ทำให้เกิดโชคดี สร้างสภาวะที่เหมาะสมให้กับโชค สร้างโอกาสของตัวเขาเอง ไม่ได้รอให้โชคเข้ามาหาเขาเอง...แล้วซิดก็ออกเดินทางไปทั่วอาณาจักรเพื่อเผยแพร่กฎแห่งความโชคดีซึ่งเขาได้เรียนรู้มา  “โชคดีจะมาเยือนเสมอ หากเรายึดมั่นต่อสิ่งที่ทำ”  

แล้วคุณล่ะ? ..คุณเคยรอคอยให้โชคเข้ามาหาคุณบ้างไหม? .. 
แล้วทำไม คุณถึงไม่แสวงหามันเองล่ะ ?

จำไว้ว่า  “โชคดีจะมาเยือนเสมอ หากเรายึดมั่นต่อสิ่งที่ทำ” 

 กฏแห่งความโชคดีข้อที่ 1:
โชคนั้นอยู่ได้ไม่นาน เพราะว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา แต่โชคดีเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นด้วยตัวเอง ดังนั้นมันจะคงอยู่ตลอดไป

 กฏแห่งความโชคดีข้อที่ 2:
คนที่อยากจะมีโชคดีมีมาก แต่คนที่จะตัดสินใจไขว่คว้าหามาให้ได้มีน้อย

กฏแห่ง ความโชคดีข้อที่ 3:
หากตอนนี้คุณไม่มีโชคดี บางทีอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมยังเป็นสภาวะเดิม ๆ เพื่อให้โชคดีมาเยือน คุณจำต้องสร้างสภาวะใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น

 กฏแห่งความโชคดีข้อที่ 4:
การเตรียมสภาวะที่เหมาะสมสำหรับโชคดี ไม่ได้หมายความว่าให้หาผลประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว การสร้างสภาวะที่เหมาะสมเพื่อให้คนอื่นได้รับประโยชน์ด้วย จะนำโชคดีมาให้

 กฏแห่ง ความโชคดีข้อที่ 5:
หากผัดผ่อนการเตรียมสภาวะที่เหมาะสม “ไว้วันหน้า” บางทีโชคดีอาจจะไม่มาเยือนเลย การสร้างสภาวะที่เหมาะสม ต้องมีก้าวแรก…เริ่มก้าวเสียแต่วันนี้

 กฏแห่งความโชคดีข้อที่ 6:
แม้ในสภาวะที่ดูเหมือนว่าพร้อมแล้ว บางครั้งโชคดีก็ไม่มาเยือน จงมองหารายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ สภาวะที่ดูเผิน ๆ เหมือนจะไม่จำเป็น…แต่แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

 กฏแห่งความ โชคดีข้อที่ 7: 
คนที่เชื่อแต่เรื่องโชคจะเห็นว่า การสร้างสภาวะที่เหมาะสมเป็นเรื่องไร้สาระ คนที่ลงมือสร้างสภาวะที่เหมาะสมให้เกิดขึ้น จะไม่กังวลเรื่องโชค

 กฏแห่งความโชคดีข้อที่ 8:
ไม่มีใครขายโชคได้ โชคดีนั้นไม่มีขาย จงอย่าเชื่อใจผู้เสนอขายโชค

 กฏแห่งความโชคดีข้อที่ 9:
เมื่อได้สร้างสภาวะที่เหมาะสมทุกประการแล้ว จงอดทนรอ อย่าละทิ้งไป เพื่อให้โชคดีมาเยือน จงเชื่อมั่น

 กฏแห่ง ความโชคดีข้อที่ 10: 
การสร้างโชคดีก็คือ การเตรียมสภาวะแวดล้อมให้พร้อมสำหรับโอกาส แต่โอกาสไม่ใช่เรื่องของโชค หรือความบังเอิญ โอกาสมีอยู่ตลอด

บทสรุป…
การสร้างโชคดีก็คือ .. การสร้างสภาวะที่เหมาะสม เท่านั้นเอง ! 
เพราะการสร้างโชคดีคือ การสร้างสภาวะที่เหมาะสม 
ความโชคดีจึงขึ้นอยู่กับคุณเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป 
คุณก็สามารถสร้างโชคดีได้! และจงจำไว้ว่า…
นิทานเรื่องโชคดี..ไม่ได้มาอยู่ในมือคุณเพราะความบังเอิญ

ติดตามอ่านเรื่องนื้ได้จาก หนังสือ “Good Luck” งานเขียนของคุณ อเล็กซ์ โรบิรา เซลมา แปลโดย หนึ่งฤทัย สัมฤทธิ์ผล และ สุพัตรา พิษณุวงษ์



โคลเวอร์ (CLOVER) ใบไม้ 4 กลีบ แห่งความโชคดี

ประวัติ Four Leaf โคลเวอร์ (CLOVER)
พันธุกรรมที่หายากมากของพืชตระกูลหญ้าที่เรียกว่า "ใบโคลเวอร์" ปกติแล้วใบของต้นโคลเวอร์ทั่วไปจะมีเพียง 3 แฉก ซึ่งว่ากันว่า
ในต้นโคลเวอร์หนึ่งพันต้นนั้น จะพบใบโคลเวอร์ 4 แฉกได้เพียงใบเดียวเท่านั้น โอกาสพบใบโคลเวอร์ 4 แฉกจึงเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากมาก 

ต้นโคลเวอร์จัดอยู่ในพืชตระกูล Trifolium repens กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีตั้งแต่เมื่อใดยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่มีบันทึกไว้ชัดเจนในยุคกลางของยุโรปประมาณ คริสต์ศวรรษที่ 17 ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า เป็นวัฒนธรรมเคลติก ( Celtic ) ที่พูดถึงใบโคลเวอร์สีขาว ว่า 
เป็นเครื่องหมายโชคลางถึงความโชคดีของชาวเคลต์ ซึ่งเป็นชนชาติดั้งเดิมในแคว้นเวลส์ (ชนชาติดั้งเดิมของประเทศอังกฤษในปัจจุบัน) 



ฟิลิปปา วอริ่ง ได้เขียนถึงความเชื่อเกี่ยวกับใบโคลเวอร์เอาไว้ว่า
หากพบใบโคลเวอร์ 4 แฉก เป็นความหมายว่าจะได้พบกับรักแท้ และในวันเดียวกันนั้น 
ถ้ามอบใบโคลเวอร์ 4 แฉกให้กับใคร ก็จะได้พบกับความโชคดีแบบคาดไม่ถึง แม้ในยามสงคราม หากนักรบประดับใบโคลเวอร์ 4 แฉกไว้บนปกเสื้อ มันจะช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้ ... 

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า การเสาะหาใบโคลเวอร์หนึ่งพันต้น มีโอกาสจะพบใบโคลเวอร์ 4 แฉกแค่เพียงใบเดียวเท่านั้น และหากโชคดีเช่นนั้น คุณก็ควรเก็บรักษามันไว้ให้ดีที่สุด เพราะนี่อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิต และคุณอาจจะไม่มีโอกาสเห็นมันอีกเลยก็ได้ 

ในทุกวันนี้บรรดาเครื่องรางนำโชคต่างๆ มากมายก็นิยมทำเป็นรูปจำลอง ซึ่งใบโคลเวอร์ก็เช่นกัน ได้มีการจัดทำเป็นใบจำลอง 4 แฉกเพื่อเป็นเครื่องรางมงคลประจำตัว หลายคนเชื่อกันว่า หากมีมันไว้ในครอบครองแม้เพียงใบเดียวหรือชิ้นเดียว ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เดินทางไกล ก็จะพบแต่ความโชคดีตลอดไป........ 

 

เช่นนั้นแล้ว ในตะวันตกจึงมีความเชื่อว่าหากใครพบโคลเวอร์สี่กลีบ จะประสบโชคดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งหายากและมีความหมายเกี่ยวกับโชคนั่นเอง และยังถือเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่งเลยทีเดียว และยังว่ากันว่า วงแหวนหรือมงกุฎที่ร้อยจากดอกโคลเวอร์สามกลีบธรรมดานั้น แทนคำมั่นสัญญาจากชายหนุ่มให้หญิงสาวในทางตะวันตกด้วยเพราะกลีบที่สามกล่าวถึง นั่นคือ...ความรัก 

เพราะความเชื่อที่ว่า มี โคลเวอร์ 4 แฉกแล้วจะโชคดี จึงมีการใช้ โคลเวอร์ 4 แฉก มาทำเป็นของที่ระลึก เครื่องประดับ อย่างพวงกุญแจ,สร้อยคอ,สร้อยข้อมือ และแหวน


ใบไม้ 4 กลีบนั้น ... หาได้ยาก และจะโชคดีเมื่อมีมันอยู่กับตัว ... 
ชื่อของมันคือ "ดอก Clover 4 ใบ"
โดยเขาได้ให้ความหมายในแต่ละกลีบไว้ว่า ...

1.กลีบที่ 1 หมายถึง ความหวัง
2.กลีบที่ 2 หมายถึง ความศรัทธา
3.กลีบที่ 3 หมายถึง ความรัก
4.กลีบที่ 4 หมายถึง ความโชคดี

ปล.ใบ Clover ว่ากันว่า ความหมายที่แท้จริงคือ "ความรัก" {CLOVER = CLOVER}



วันแม่, แม่ (Mother's Day)


อิ่มอุ่น



เพลง : อิ่มอุ่น
อัลบั้ม : ชุดลำลอง
ศิลปิน : ศุ บุญเลี้ยง
อุ่นใดใดโลกนี้ไม่มีเทียบเทียม
อุ่นอกอ้อมแขนอ้อมกอดแม่ตะกอง
รักเจ้าจึงปลูกรักลูกแม่ย่อมห่วงใย
ไม่อยากจากไปไกลแม้เพียงครึ่งวัน
* ให้กายเราใกล้กันให้ดวงตาใกล้ตา
ให้ดวงใจเราสองเชื่อมโยงผูกพันธ์
อิ่มใดใดโลกนี้ไม่มีเทียบเทียม
อิ่มอกอิ่มใจอิ่มรักลูกหลับนอน
น้ำนมจากอกอาหารของความอาทร
แม่พร่ำเตือนพร่ำสอนสอนสั่ง
**ให้เจ้าเป็นเด็กดี ให้เจ้ามี่พลัง
ให้เจ้าเป็นความหวังของแม่ต่อไป
***ใช่เพียงอุ่นท้องที่ลูกร่ำร้องเพราะต้องการไออุ่น
อุ่นไอรัก อุ่นละมุน
ขอน้ำนมอุ่นจากอกให้ลูกดื่มกิน
( ซ้ำ * , ** ,*** )


เรียงความเรื่องแม่


วันแม่, แม่ (Mother's Day)
แม่ หรือ มารดา เป็นคำที่เรียกผู้ให้กำเนิด และโดยทั่วไป คือ แม่ที่เป็นบุคคลสำคัญของครอบครัวแบบ พ่อ แม่ ลูก เป็นผู้มีพระคุณต่อลูกเพราะเป็นผู้ให้กำเนิด แม่ทั่วไปมีหน้าที่ให้ครอบครัวคือ เลี้ยงลูก ดูแลบ้าน
คนไทยบางคนมักเรียก แม่ ของตัวเองว่า "คุณแม่" ซึ่งถือเป็นคำที่สุภาพกว่าการเรียกว่า "แม่" ห้วน ๆ ในภาษาไทยบางครั้งคำว่า แม่ ถูกใช้เรียก ผู้หญิง ทั่วๆไป หรือ จำเพาะเป็นกลุ่มๆ เช่น แม่บ้าน แม่นม หรือบางครั้งก็ใช้เรียกสิ่งที่เป็นตัวหลักของสิ่งอื่น เช่น แม่ทัพ แม่งาน และบางครั้งก็เรียกสิ่งที่ให้กำเนิดสิ่งอื่นๆในธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ

มีบทประพันธ์แปลเกี่ยวกับความรักของแม่ของพระราชธรรมนิเทศ ไว้ดังนี้
" ในโลกอันหนาวทรวงลวงหลอกนี้
ช่างไม่มีธารรักอันศักดิ์สิทธิ์
ที่ซึมซาบดื่มด่ำอมฤต
เหมือนในจิตของแม่รักแท้จริง "

ประวัติความเป็นมาของวันแม่
ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้นเมื่อ ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว
สำหรับในประเทศไทย
นั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง

ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม่ โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา
เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย...

นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่นการออกเสียงคำว่าแม่ของแต่ละภาษา มักใช้อักษร "ม" เหมือนกันหมดเช่น แม่หรือว่าผู้หญิงที่แต่งงานแล้วให้กำเนิดลูก และลูกก็จะเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่โดยทั่วไปแล้วแต่ละภาษามักจะใช้อักษร "ม" เหมือนกันหมดเช่น
คนไทย จะเรียกผู้ที่ให้กำเนิดว่า "แม่"
ภาษาอังกฤษ จะเรียกผู้ที่ให้กำเนิดว่า "มาเธอร์ (Mother)" หรือ "มัม (Mom)"
ภาษาสันสกฤต จะเรียกผู้ให้กำเนิดว่า "มารดา"
ภาษาบาลี จะเรียกผู้ให้กำเนิดว่า "มาตา"
คนจีน จะเรียกผู้ให้กำเนิดว่า "ม่าม้า"
คนแขก จะเรียกผู้ให้กำเนิดว่า "มามี้"
คนฝรั่งเศส จะเรียกผู้ให้กำเนิดว่า "มามอง"
คนญี่ปุ่น จะเรียกผู้ให้กำเนิดว่า "โอก้าซัง"
คนเกาหลี เรียกผู้ให้กำเนิดว่า "ออมม่า"
คนเวียดนาม เรียกผู้ให้กำเนิดว่า "แม๊" ออกเสียงใกล้เคียงภาษาไทยมาก















1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss