1
2

ลิ้นชัก 3 ใบ


แน่ใจว่ารัก - มินท์ อรรถวดี


ลิ้นชัก 3 ใบ



คนเราจะมีลิ้นชัก 3 ใบ ในการจัดเก็บข้อมูล
ลิ้นชักแรก “ใช่”
ลิ้นชักที่สอง “ไม่ใช่”
และลิ้นชักที่สาม “ไม่แน่ใจ”
ทุกข้อมูลที่เข้าสู่การรับรู้ของเรา จะถูกบรรจุใน 3 ลิ้นชัก



คนที่มีความ สุขกับชีวิต ต้องมีลิ้นชัก “ไม่แน่ใจ” ใหญ่ที่สุด
ข้อมูลที่เข้ามา ถ้าไม่ชัดเจนว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่”
ให้ใส่ไว้ในลิ้นชัก “ไม่แน่ใจ” ก่อน อย่า ด่วนสรุปเป็นอันขาด…

สะสมแต้มไปเรื่อยๆ จนชัดเจนระดับเป็นอื่นไปไม่ได้แล้ว
ค่อยโยกย้ายข้อมูลไปสู่ลิ้นชัก “ใช่” หรือ “ไม่ใช่”

หลักคิดแบบนี้ทำให้เราไม่ตัดสินคนเร็วเกินไป
ความทุกข์จะเดินทางช้าหน่อย
คนเราที่ทุกข์ส่วนใหญ่ เกิดจากการรีบสรุป ทั้งที่ข้อมูลไม่ชัดเจน
ถ้าลองขยายลิ้นชัก “ไม่แน่ใจ” ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นสิครับ
บางที “ความทุกข์” อาจน้อยลง และเราจะมี “ความสุข” มากขึ้น

จากหนังสือ : ฝันใกล้ใกล้ ไปช้าช้า โดย : หนุ่มเมืองจันทร์
http://swhappinessss.blogspot.com





นิทานเซน : ความกังวลของหญิงชรา




ฉีกยิ้ม - เคลิ้มสมาคม



นิทานเซน : ความกังวลของหญิงชรา
《苦婆忧天》
ในระหว่างที่อาจารย์เซนออกจาริกธรรม ได้รับนิมนต์ไปพำนักยังบ้านของหญิงชราผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อไปถึงพบว่าหญิงชราหน้าตาอมทุกข์ ทั้งยังร้องไห้ไม่หยุด

ภาพประกอบโดย เกาฉีเพ่ย 
ศิลปินสมัยราชวงศ์ชิง

อาจารย์เซนจึงกล่าวกับนางว่า
"ท่านมีความทุกข์ใจอันใดจึงร้องไห้ติดต่อกันไม่หยุดเช่นนี้?"

หญิงชราตอบว่า
"ข้ามีบุตรสาวอยู่สองคน คนโตแต่งออกไปให้กับพ่อค้าขายรองเท้าผ้า
ส่วนคนเล็กแต่งให้กับพ่อค้าขายร่ม

วันใดท้องฟ้าปลอดโปร่ง แดดจ้า ข้าก็เฝ้าแต่กังวลว่าร้านขายร่มของบุตรสาวคนเล็กต้องขายไม่ได้เป็นแน่ จึงอดไม่ได้ที่จะทุกข์เศร้าแทนนาง

แต่หากวันใดฟ้าครื้ม ฝนพรำ ข้าก็กังวลว่ากิจการร้านรองเท้าผ้าของบุตรสาวคนโตย่อมไม่ดีเป็นแน่ เพราะผู้คนไม่อยากใส่รองเท้าที่เปียกน้ำแฉะชื้น

เมื่อทุกวันผ่านไปในลักษณะนี้ ข้าจึงได้แต่กังวลจนหลั่งน้ำตาออกมา"

เมื่ออาจารย์เซนได้ฟังจึงกล่าวว่า 
"ที่แท้เป็นเช่นนี้ ท่านคิดแบบนี้ย่อมไม่ถูกต้องแล้ว"

หญิงชราสงสัยจึงถามว่า
"มารดาวิตกกังวลแทนบุตร มีอันใดไม่ถูกต้อง? ข้ารู้ว่ากังวลไปก็แก้ไขอะไรมิได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดเป็นห่วงพวกนาง"

ยามนี้ อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า 
"มารดาวิตกกังวลเพราะบุตรมิใช่เรื่องผิด แต่มารดาเบิกบานใจเพราะบุตรย่อมดีกว่า ท่านลองคิดดู...

เมื่อวันแดดจ้าฟ้าใส ร้านรองเท้าผ้าของบุตรสาวคนโตของท่านย่อมขายดิบขายดีเป็นพิเศษ

และเมื่อถึงวันฝนตก กิจการร้านขายร่มของบุตรสาวคนเล็กก็ย่อมไปได้สวยเช่นกัน

หากคิดเช่นนี้ท่านก็สามารถเบิกบานใจไปกับบุตรสาวทั้งสองได้ในทุกๆ วัน ไม่ต้องทุกข์เศร้าแล้ว"

เมื่อหญิงชราได้ฟังคำแนะนำของอาจารย์เซน ก็กระจ่างแจ้ง จากนั้นเมื่อคิดได้จึงรู้สึกสบายใจ ทุกครั้งที่นึกถึงบุตรสาวทั้งสอง นางล้วนมีรอบยิ้มแห่งความสุขประดับบนใบหน้าเสมอ

ปัญญาเซน : ไม่มีปัจจัยใดที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ได้เท่ากับตัวของตัวเอง 
สุข-ทุกข์อยู่ที่ใจ เมื่อเปลี่ยนมุมมองความคิดก็เปลี่ยนได้แม้เป็นเรื่องเดียวกัน 
เพราะอีกด้านของความทุกข์ก็คือความสุข ไม่ว่าเรื่องใด เมื่อมองให้ทุกข์ย่อมทุกข์ได้ มองให้สุขย่อมสุขได้ ดังนั้นจงหยุดสร้างทุกข์ให้กับตนเอง

ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X






3 เรื่องเล่าตรึงใจ 三則感人小故事




方大同 - Love in this world (每個人都會)




3 เรื่องเล่าตรึงใจ
三則感人小故事


เรื่องที่ 1 
จิตใจของเด็ก
第1個故事 小孩的心

หญิงโสดคนหนึ่งย้ายบ้านใหม่ พบว่าข้างบ้านเป็นครอบครัวยากจน ประกอบด้วยแม่หม้าย และลูกอีกสอง

อยู่มาคืนหนึ่ง ไฟฟ้าเกิดดับ หญิงคนนั้นจึงจุดเทียนไข สักพักมีคนมาเคาะประตู
เป็นเด็กข้างบ้านนั่นเอง เด็กถามอย่างตื่นเต้นว่า “คุณน้า ในบ้านมีเทียนไขไหม?”

หญิงคิดในใจ “บ้านเขาจนถึงขนาดไม่มีเทียนไขรึ ช่างหัวมันเถิด เดี๋ยวได้คืบจะเอาศอก”
หญิงจึงตอบเด็กแบบมะนาวไม่มีน้ำว่า “ไม่มี”

ขณะที่หญิงเตรียมจะปิดประตูส่งแขก เห็นเด็กหน้าตายิ้ม “นึกแล้วว่าไม่มี” พอพูดจบ เด็กควักเทียนไข 2 เล่มออกจากอกเสื้อ “แม่ฉันห่วงว่าคุณน้าอยู่คนเดียวคงไม่มีเทียนไข จึงเอามาให้คุณน้า 2 เล่ม” ทันใดนั้นเอง หญิงรู้สึกสะเทือนใจจนน้ำตาคลอ กอดเด็กไว้แน่น

有一位單身女子剛搬了家,她發現隔壁住了一户窮人家, 一個寡婦與兩個小孩子。

有天晚上,那一帶忽然停了電,那位女子只好自己點起了蠟燭。没一會兒,忽然聽到有人敲門。
原來是隔壁鄰居的小孩子,只見他緊張地問:「阿姨,請問你家有蠟蠋嗎?」

女子心想:「他們家竟窮到連蠟燭都没有嗎?千萬别借他們,免得被他們依賴了! 」
於是,對孩子吼了一聲說:「没有!」

正當她準備關上門時,那窮小孩展開關愛的笑容說:「我就知道你家一定没有!」 說完,竟從懷裡拿出兩根蠟燭,說:「媽媽和我怕你一個人住又没有蠟蠋,所以我带兩根來送你。」
此刻女子自責、感動得熱淚盈眶,將那小孩子緊緊地抱在懷裡。

เรื่องที่ 2 
 หัวใจไร้เดียงสา
第2個故事 純真的心


ณ ชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งฝนแล้งมานานแล้ว พืชผลเสียหายหนัก พระจึงระดมชาวบ้านเตรียมประกอบพิธีขอฝนในวัด

เด็กหญิงคนหนึ่งแทรกตัวอยู่ในกลุ่มคนผู้ขอฝนด้วย เนื่องจากตัวเธอเล็ก จึงเกือบจะไม่มีใครสังเกตเห็น ทันใดนั้น พระเห็นสิ่งที่เด็กหญิงถืออยู่ จึงพูดอย่างตื่นเต้นพลางชี้ไปยังตัวเธอ “หนูน้อยนั่นทำให้อาตมาซาบซึ้งมาก” กลุ่มชาวบ้านจึงมองไปยังทิศทางที่ชี้

พระพูดต่อ “วันนี้เรามาอธิษฐานขอฝนกัน แต่ในที่ประชุมแห่งนี้ไม่มีใครนำร่มมาเลยนอกจากเด็กหญิงคนนี้” ทุกคนมองไปยังเธอ เห็นเธอมีร่มสีแดงอยู่ข้างตัวจริงๆ หลังจากสงบเงียบชั่วครู่ เป็นเสียงปรบมือสนั่นหวั่นไหวประสานกับน้ำตาที่แสดงความซาบซึ้งใจ
(เด็กน้อยนำร่มมาด้วย เพราะเชื่อว่าจะมีฝนตกแน่นอน)

บางครั้งเราอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า เด็กเล็กจริงๆ แล้วไม่เล็กเลย พวกเธอใหญ่มาก มีจิตใจรักที่ยิ่งใหญ่ มีจิตใจเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่

有一個小鎮很久没有下雨了,令當地農作物損失慘重,於是牧師把大家集合起來,準備在教堂裡開一個祈求降雨的禱告會。

人群中有一個小女孩, 因個子太小,幾乎没有人看得到她,但她也來參加祈雨禱告會。
就在這時候,牧師注意到小女孩所帶來的東西,激動地在台上指著她:「那位小妹妹很讓我感動!」於是大家順著他手指的方向看了過去。

牧師接著說:「我們今天來禱告祈求上帝降雨,可是整個會堂中,只有她一個人今天帶著雨傘!」大家仔細一看,果然,她的座位旁掛了一把紅色的小雨傘; 這時大家沉静了一下,緊接而來的,是一陣掌聲與淚水交織的美景。

有時我們不得不說:小孩子其實一點都不「小」,他 (她)們其實很「大」!他(她)們的愛心很大!他 (她)們的信心很大!


เรื่องที่ 3 
 เราไม่สะดวกสบายแค่ 3 ชั่วโมง
第3個故事 我們只不方便三小時

วันก่อนโชคดีที่จองตั๋วรถได้กลับไปเยี่ยมบ้านแม่ พอขึ้นรถกลับเห็นมีหญิงคนหนึ่งนั่งบนที่นั่งเรา สามีสะกิดให้ฉันนั่งข้างตัวเธอ แต่ไม่ยักทวงคืนที่นั่งจากหญิงนั้น ฉันสังเกต เห็นขาขวาของเธอไม่สมประกอบ จึงเข้าใจเหตุผลที่สามีไม่ทวงคืนที่นั่ง

สามียืนตั้งแต่ต้นทางอำเภอเจียอี้จนกระทั่งถึงกรุงไทเป โดยไม่เอ่ยปากทวงคืนที่นั่งจากหญิง เมื่อถึงปลายทางลงจากรถแล้ว ฉันถามสามีด้วยความห่วงใยในความเมื่อยล้า
“เอื้อเฟื้อที่นั่งก็ถือว่าใจบุญสุนทานอยู่จริง แต่จากเจียอี้ถึงไทเประยะทางยาวนานเช่นนี้ ก็น่าจะขอให้เธอลุกขึ้นยืนสับเปลี่ยนให้คุณนั่งบ้าง”

สามีกลับตอบว่า “คนเขาต้องทนความยากลำบากตลอดชีวิต เราแค่ไม่สะดวกสบายเพียง 3 ชั่วโมงเอง” ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจเมื่อได้ยินสามีพูดเช่นนี้ มีสามีคนดี ใจเมตตาชอบปิดทองหลังพระแบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกนี้อบอุ่นขึ้นน่าอยู่เป็นนักหนา

เมื่อปรับเปลี่ยนจิตใจ โลกก็จะเปลี่ยนไปด้วย เรื่องทุกอย่างในชีวิตคนเราย่อมปรับทิศทางได้ ขึ้นอยู่กับเราคิดอย่างไร ปรับอย่างไร เราอาจไม่ประสบความสำเร็จภายใน 3 นาที แต่ชีวิตเราอาจเปลี่ยนได้โดยใช้เวลาเพียง 1 นาที

หลังจากอ่านเรื่องเล่านี้แล้ว คุณอาจลุกขึ้นทันทีไปเช็ดโต๊ะ หรือล้างจาน หรืออาจจะพับเก็บหนังสือพิมพ์ หลับตาพินิจสักครู่ หรืออาจจะส่งเรื่องเล่าให้ญาติมิตร แน่นอน ฉันปรารถนาที่สุดคืออยากให้คุณเลือกทางเลือกสุดท้าย เพราะคุณอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตคนอื่นมากมาย ใครจะไปรู้

เราไม่แน่ว่าจะรวยทรัพย์เพราะหาเงินได้มาก แต่เราสามารถรวยน้ำใจจากการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้

那天跟老公幸運地訂到了票回婆家,上車後却發現有位女士坐在我們的位子上,老公示意我先坐在她旁邊的位子,却没有請這位女士讓位。我仔細一看,發現她右脚有一點不方便,才了解老公為何不請她讓出位子。

他就這樣從嘉義一直站到台北,從頭到尾都没向這位女士表示這個位子是他的,下了車之後,心疼老公的我跟他說:「讓位是善行,但從嘉義到台北這麼久,大可中途請她把位子還給你,換你坐一下。 」

老公却說:「人家不方便一輩子,我們就不方便這三小時而已。」聽到老公這麼說,我相當感動,有這麼一位善良又為善不欲人知的好老公,讓我覺得世界都變得温柔許多。

心念一轉,世界可能從此不同,人生中,每一件事情,都有轉向的能力,就看我們怎麼想,怎麼轉。
我們不會在三分鐘内成功,但也許只要花一分鐘,生命從此不同。

你看完這篇短文後,可以馬上起身去擦桌子,或洗碗;可以把報紙放一邊,閉起眼睛沉思一會;也可以把這篇短文,轉寄给很多朋友。
當然,我最希望你選擇最後這一項,誰知道,你可能會改變很多人的一生。

“我們不一定會因為賺很多的錢而富有,但我們可以因付出的善念而使心中富有”

祝福親愛的朋友們~ 健康快樂~

ขอให้มิตรสหายทุกท่าน
สุขกายสบายใจ
ขอบคุณที่มา FM.






สาวออฟฟิศกับหน้าฝน




ร่ม" (umbrella) จากศิลปินใหม่ Cookie Master


สาวออฟฟิศกับหน้าฝน

สำหรับสาวๆ หลายคน แค่จะเดินทางไปทำงานในแต่ละวัน ก็ลำบากอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอหน้าฝนแบบนี้ ความยากลำบากก็ทวีคูณ เลยขอแนะนำทิปส์ ที่น่าจะเป็นประโยชน์กับสาวๆ ในช่วงฝนตก

พกร่มติดตัวเป็นประจำ
สมัยนี้มีร่มพก (ที่พับเก็บได้) ลายน่ารักๆ เก๋ไก๋ขายอยู่ดาษดื่น ควรพกติดตัว เป็นประจำเช้าเย็น ฝนเทลงมาเมื่อไร จะได้ไม่ลำบาก ติดฝนจนไปทำงานสาย หรือกลับบ้านดึก นอกจากนี้เวลาเลือกซื้อร่มอย่าเค็ม เลือกคุณภาพดีๆ หน่อย ไม่ใช่เปิดกางสองสามทีก็เดี้ยงเสียแล้ว

แต่งตัวโทนสีเข้ม
เสื้อผ้าโทนสีเข้มๆ จะปลอดภัยมากกว่าเวลาฝนตก เพราะต่อให้คุณมีร่มก็เถอะ แต่ร่มของคุณ คงไม่สามารถ กันละอองฝนเซ็นเซอร์ราวด์รอบทิศทางได้ ไหนจะน้ำฝน ที่กระเด็นกระดอนขึ้นมาจากพื้นอีก ถ้าใส่เสื้อ กระโปรง รองเท้าสีอ่อนอย่างสีขาว จะเห็นรอยกระดำกระด่างชัดเจนแน่นอน แถมยังเสี่ยงที่จะโป๊ซีทรูไปถึงไหนๆ ด้วย น่ากลัวมากมาย

เตรียมรองเท้าแตะติดออฟฟิศไว้
คุณไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าวันไหนฝนจะตกหนักจนน้ำท่วม เพราะฉะนั้น ควรหารองเท้าแตะ เตรียมลุยน้ำไว้เสมอ รองเท้าคู่งามของคุณจะได้ไม่เยิน

อย่าขยันอยู่ดึกทำโอทีคนเดียว
เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าฝนเจ้ากรรมนั้นชอบเลือกตกเวลาเย็นๆ ช่วงที่ชาวออฟฟิศอย่างเราต้องเดินทางกลับบ้าน ดังนั้นถ้าเลิกงานแล้ว คุณควรจะรีบกลับดีกว่าจะมาทำขยันจนต้องอยู่ดึกๆ ในออฟฟิศที่บรรยากาศทึมๆ ดูอันตราย คนเดียว มันจะได้ไม่คุ้มเสียนะคะ

ระวังการพกเอกสารติดตัว
คิดภาพดูสิคะ ถ้าคุณหอบเอาเอกสารเกี่ยวกับงานกลับบ้าน แต่ฝนเทลงมากลางทาง มือหนึ่งถือร่มคันน้อย มือหนึ่งโอบอุ้มกองเอกสารแล้ววิ่งไล่ตามรถเมล์ โอโห...คงทุลักทุเลไม่ใช่เล่น ๆ เอกสารก็เสี่ยงที่จะโดนน้ำฝนจนเยิน ดีไม่ดีถ้าหลุดมือลงไปกองกับถนนทั้งกอง ไม่อยากจะคิดภาพ เสียหายหลายแสนแน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าขนเอกสารงานออกจากออฟฟิศเลยค่ะ แต่ว่าถ้าต้องเอากลับ ไปเคลียร์งานต่อที่บ้านจริงๆ ล่ะก็ ควรนำเอกสารทั้งหมด ใส่แฟ้มแล้วห่อด้วยถุงพลาสติกสักสองสามชั้น รับรองว่าต่อให้โดนฝนก็ปลอดภัยหายห่วงค่ะ ถ้าเป็นไปได้ถ่ายซีร็อกซ์ เก็บไว้ออฟฟิศอีกสักชุด ยิ่งเซฟมากๆค่ะ

ข้อมูลโดย : spicy
http://brightlives.th.88db.com/business/business_officeworker.htm







อัญมณีประจำราศี > มิถุนายน – มุก (Pearl)

Rang Yai Pearl Farm, Phuket, Thailand



อัญมณีประจำราศี ; มิถุนายน – มุก (Pearl)

พลอยประจำเดือนเกิด มิถุนายน – มุก (Pearl)
มุก (pearl) 

อัญมณีแห่งความบริสุทธิ์ที่สตรีทั่วโลกหลงใหล ตามตำนานในคัมภีร์พระเวทบันทึกไว้ว่ามุกเกิดจากฟันของอสูรวลาที่ร่วงหล่นลงมาบนโลกมนุษย์แล้วหลุดเข้าไปอยู่ในเปลือกหอยมุกทำให้เกิดมุกขึ้น แต่แท้จริงแล้วมุกเกิดจากการที่มีเม็ดทรายหรือสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในตัวหอยมุก เมื่อหอยมุกเกิดความระคายเคืองจึงต้องขับ “ชั้นมุก ” (Narce) ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ออกมาเคลือบสิ่งปลอมนั้นและทำให้มีความแวววาว ยิ่งหอยมุกขับชั้นมุกออกมาเคลือบนานเท่าไร สิ่งแปลกปลอมก็จะยิ่งมีความแวววาวและความงดงามมากขึ้นเท่านั้น


สมบัติของมุก
ความแข็ง 2.5 - 3.5 เนื้ออ่อนกว่าแก้วแต่บดให้แตกเป็นผงค่อนข้างยากเนื่องจากมุกมีการจับตัวที่แน่นมาก
องค์ประกอบทางเคมี Calcium Cabonate (CaCO3) 80 % ซึ่งปกติจะเป็นแร่ Aragonite, Conchiolin 10 - 14 % และน้ำ 2 - 4 %
ค่าดัชนีหักเห 1.53 - 1.69
ความวาว วาวแบบมุก (Pearly luster) หรือ Orient
สี มุกไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวเท่านั้น ยังมีสีเหลือง สีชมพู และสีดำ แต่ไม่ว่ามุกจะมีสีใด
ลักษณะ ของมุกที่ดีควรมีทรงกลม แวววาว และสะอาด


กระบวนการเกิดและแหล่งที่พบมุก
มุกเกิดในเนื้อของหอยมุกซึ่งเป็นหอยสองฝามีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม โดยมุกที่เกิดตามธรรมชาติจะเกิดจากการที่มีเม็ดทรายขนาดเล็กหรือเศษสิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กถูกพัดพาเข้าไปภายในตัวหอยมุกแล้วทำให้ตัวหอยมุกเกิดความระคายเคืองจนหลั่งสารที่เป็นชั้นมุกที่เรียกว่า Nacre ออกมาเคลือบสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น ยิ่งชั้นมุกมีความหนามาก มุกก็จะมีความวาวมาก


มุกแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ มุกธรรมชาติ (Natural Pearl) และมุกเลี้ยง (Cultured Pearl) ในกรณีของมุกเลี้ยงน้ำเค็ม สิ่งที่ทำให้เกิดความระคายเคืองในหอยมุกได้แก่ ลูกปัดกลม ๆ (Bead) ที่ทำจากเปลือกหอย (Shell) ส่วนมุกเลี้ยงน้ำจืด จะใช้เนื้อเยื่อจากหอยมุกเอง (Mantle tissue) ใส่เข้าไปแทนลูกปัดเพราะหอยมุกน้ำจืดตัวเล็กกว่าหอยมุกน้ำเค็ม จึงทำให้มุกเลี้ยงน้ำจืดมีรูปร่างไม่กลมเท่าที่ควรจะไปถึงบิดเบี้ยวเล็กน้อย (Baroque) วิธีการเลี้ยงหอยมุกนี้พัฒนาขึ้นโดยโคคิจิ มิกิโมโตะ (Kokichi Mikimoto) เมื่อ ค . ศ . 1893

แหล่งมุกที่สำคัญได้แก่ 

เปอร์เชีย อเมริกากลาง และ ออสเตรเลียเหนือ ส่วนมุกเลี้ยงนั้นมีมากแถบญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เกาะตาฮิติ และเกาะหมู่เกาะอื่น ๆ ในแถบทะเลใต้ โดยปกติไข่มุกเลี้ยงจะมีขนาดโตได้ประมาณ 9 - 15 มิลลิเมตรมีสีเหลือง ทอง ขาว เงิน ดำ เป็นต้น ในประเทศไทยก็มีฟาร์มเลี้ยงมุกในจังหวัดภูเก็ต พังงา ระนอง สุราษฎร์ธานี และกาญจนบุรี


ตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับมุก
เชื่อกันว่ามีการค้นพบไข่มุกครั้งแรกในบริเวณตะวันออกกลาง พระนางคลีโอพัตราทรงใช้ตุ้มหูมุกเป็นเครื่องประดับ และมักจะจุ่มตุ้มหูมุกลงไปในเหล้าองุ่นก่อนดื่ม เพราะเชื่อว่าไข่มุกมีพลังช่วยคงความหนุ่มสาวเอาไว้ได้ นอกจากนี้ กวีชาวกรีกนามว่า โฮเมอร์ ซึ่งเป็นกวีในยุคเมื่อ 1,200 – 850 ปีก่อนคริสตศักราชได้กล่าวถึงการใช้ไข่มุกเป็นเครื่องประดับของเทพธิดายูโนไว้ในวรรณกรรมของเขาด้วย หญิงสาวชาวโรมันก็นิยมสวมใส่ไข่มุกเช่นเดียวกัน ส่วนชาวจีนในสมัยก่อนใช้ไข่มุกเป็นเครื่องบอกยศถาบรรดาศักดิ์


มุกเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์
ด้วยสีอันนุ่มนวลงดงามของอัญมณีชนิดนี้ เมื่อหญิงสาวนำมาใส่จึงช่วยกระตุ้นให้ความเป็นกุลสตรีเด่นชัดขึ้น ทำให้เกิดความนุ่มนวลอ่อนหวาน นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่าหากวางไข่มุกไว้ใต้หมอนจะช่วยให้คู่สามีภรรยาที่ไม่มีบุตรได้มีบุตรสมหวัง 



ทางด้านการบำบัดรักษา ไข่มุกเป็นอัญมณีธาตุน้ำ จึงเชื่อกันว่าไข่มุกมีพลังช่วยลดไข้หรือโรคที่เกิดจากความร้อน ช่วยบำบัดอาการของคนที่เป็นโรคไต หอบหืด เสมหะ และระบบทางเดินหายใจไม่ปกติ

ในด้านของการประดับตกแต่ง นอกจากมุกแล้ว เรายังนิยมนำอัญมณีประเภทมุกดาหาร มาใช้แทนได้ด้วยเช่นกัน


การดูแลรักษาเครื่องประดับมุก
เนื่องจากมุกเป็นอัญมณีอินทรีย์ จึงควรพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนกรด น้ำหอม สบู่ ครีมทาผิว หรือสเปรย์ใส่ผม เพราะอาจทำให้สีของมุกเปลี่ยนไป








PEARLJune’s birthstone
OriginsAustralia, China, Indonesia, Japan, Philippines & Tahiti
Colors FoundBlack, cream, gold, golden yellow, gray, orange, pink, silver & white
FamilyOrganics
Hardness2.50 - 4.50
Refractive Index1.52 - 1.66
Relative Density2.60 - 2.85


















Pearls are one of the oldest known gems and for centuries were considered the most valuable. So valuable if fact, that the Roman General Vitellius allegedly financed an entire military campaign with just one of his mother’s Pearl earrings!

Thankfully, the days of island inhabitants free diving into azure oceans to harvest Pearls are more or less over. The lust for uncultured Pearls once decimated entire species of mollusks, relegating this gem of the sea to the elite few. Today, thanks to the innovations of Japanese noodle maker, Kokichi Mikimoto (the man who perfected Pearl farming and who convinced the world to accept them), these fragile ecosystems are now safe, with natural uncultured Pearls usually appearing only as antiques.


Legends and lore
The Romans were particularly enamored of this gem of the sea. Rome’s Pearl craze reached its zenith during the 1st century BC when upper class Roman women (the lower ranks were forbidden from wearing them) wore their Pearls to bed so they could be reminded of their wealth immediately upon awakening. They also sewed so many into their gowns that they actually walked on their Pearl-encrusted hems. The famously excessive Emperor Caligula, having made his beloved horse a Consul, decorated it with a Pearl necklace.
A lover of luxury, Julius Caesar, apart from his well known military accomplishments, was also an expert in Pearls and could reportedly accurately ascertain their value by simply weighing them in his hand.
Cleopatra flaunted her enormous wealth and power during a competition with Marc Anthony to see who could host the most lavish dinner party. She allegedly crushed a Pearl from one of her earrings into a glass of wine to demonstrate to Marc Anthony how she could drink the wealth of nations.
The first known source of Pearls was the Persian Gulf and the ancients of the area believed that Pearls were a symbol of the moon and had magical powers. Indeed, the oldest known Pearl jewelry is a necklace found in the sarcophagus of a Persian princess who died in 520 BC.
The earliest written record of their value is in the “Shu King,” a 23 BC Chinese book in which the scribe sniffs that a lesser king sent tribute of “strings of Pearls not quite round.” The Chinese also used Pearls in medicinal ways to cure eye ailments, heart trouble, indigestion, fever and bleeding. To this day Pearl powder is still popular in China as a skin whitener and cosmetic.
In India, Pearls were believed to give peace of mind and strengthen the body and soul.
In antiquity, it was thought that swallowing whole or powdered Pearls cured matters of the mind and heart, strengthened nerves and even improved virility.
The Koran states that a good Muslim, upon entering the Kingdom of Heaven, “is crowned with Pearls of incomparable luster, and is attended by beautiful maidens resembling hidden Pearls.”
While Queen Isabella had to hock her impressive collection of jewelry to fund Christopher Columbus’ expedition to discover the New World, the investment paid off as the discovery of Pearls in Central American waters added to the wealth of Spain. The flood of American Pearls onto the European market earned the newly discovered continent the nickname “land of Pearls.” Unfortunately, greed and lust for these gems of the sea resulted in the depletion of virtually all the American Pearl oyster populations by the 17th century.
During the Dark Ages, while fair maidens of nobility cherished delicate Pearl necklaces, gallant knights often wore Pearls onto the battlefield. They believed that the magic possessed by the lustrous gems would protect them from harm.
Pearls have long been considered ideal wedding gifts because they symbolize purity and innocence. In the Hindu religion, the presentation of an un-drilled Pearl and its piercing has formed part of the marriage ceremony. In the West, Pearls are the recommended gift for couples celebrating their 3rd and 30th wedding anniversaries.


Just the facts
The Pearl begins life as a foreign body (a grain of sand, coral or parasite), which makes its way into the shell of a marine or freshwater mollusk - usually oysters or clams. The mollusk’s defense mechanism starts to coat the intruder with layers of a slightly iridescent substance, “nacre” (from the Arabic word for shell “naqqarah”), which is the attractive outside of the Pearl. In its natural environment this will, after many years, form a Pearl that is of a significant size and quality.
Unlike natural Pearls, cultivated Pearls do not begin as accidental intruders. First cultivated by the Chinese as early as the 12th Century, the process starts with “nucleation.” A cultivated Pearl usually begins its life when a spherical bead or a piece of mantle tissue is placed inside the mollusk. After this seeding process, the Pearl farmers place the mollusks in wire-mesh baskets and suspend them in water. The aquaculturists carefully tend to the mollusks, overseeing their development for 18 months to 5 years. The depth of the nacre coating, an important factor in determining the color of Pearls, depends on how long the seeded Pearls are left in place before being harvested. Usually, only half of the Pearls will be marketable and less than 10% of these will be top-quality. While Pearls are classified as colored gems, there is a unique appeal about them. Unlike other gemstones that are born of earth and fire, Pearls are waterborn organic gems that originate from living animals. They are also unique in the sense that the principals of the 4 C’s (color, cut, clarity and carat weight) cannot be applied to them. The evaluation of Pearls requires a different set of criteria. A Pearl is appraised according to the display of color, luster, surface clarity, shape and size.


Pearl’s two colors
The body colors themselves can be white, cream, pink, rose, golden, silver, gray and black. As color preference is subjective, there is no such thing as a bad body color - it is purely a matter of choice. Apart from the obvious body color, there is actually a second color to consider when evaluating Pearls. This second color is actually a result of subtle iridescence. While not instantly obvious, especially when similar to the body color, this effect lends Pearls much of their allure. Typically, this iridescence is seen most strongly on the crest of a Pearl’s horizon. This beautiful, shimmering effect is known as the “orient” or overtone and denotes the depth of the nacre. Pearls with rich colorful orients are generally more coveted than those that have little or no orient.


Pearl luster
Pearls are bright, reflective gemstones. While Pearls with clean and even surfaces reflect more light than Pearls with blemished surfaces, please remember that as a natural creation, like inclusions in mineral gems, most Pearls do have blemishes.
Intelligent jewelers solve this problem by concealing blemishes near the drill holes.
Weight and size
As with other gemstones, value and size are intrinsically linked. The bigger the Pearl the more desirable it becomes. However, there is one important difference: Pearls are measured and expressed by their size, not weight (e.g., 8.5 millimeters).


Pearl locations
As with all things natural, Pearls can only grow in the right conditions. Different Pearl varieties from different locations command different prices. The best quality Pearls are found in the waters of French Polynesia, Japan and China. However, due to the different environments, mollusk species and farming techniques, all cultivated Pearls have their own distinctive qualities. The three main Pearl varieties on Gems TV are Freshwater Pearls, Tahitian Pearls and South Sea Pearls.


Freshwater Pearls
Although historically originating in Japan, China is now a major producer of Freshwater Pearls. Our Chinese Freshwater Pearls are farmed in the Fuchum, Wu and Ling Rivers of the Zhejiang province in southern China. China has successfully concentrated on Freshwater Pearls using not oysters but freshwater clams. The humble clam, while not as widely celebrated as its cousin the oyster, is equally capable of producing high-quality Pearls.


Tahitian Pearls
Tahitian Pearls are from French Polynesia and are named after the tropical island of Tahiti. Grown in the large black-lipped saltwater oyster (Pinctada Margaritifera), Tahitian Pearls are celebrated for their exceptional beauty.
Tahiti’s pure and tranquil waters are the ideal cultivation grounds for the dramatic Tahitian Pearl.
Tahitian legend says that Te Ufi (Pinctada Margaritifera) was given to man by Oro, the god of peace and fertility, who came to earth on a rainbow and offered the Pearl to the beautiful princess Bora Bora as a sign of eternal love.
First appearing in Europe in 1845, Napoleon III’s wife, Empress Eugenie was responsible for bringing Tahitian Pearls into fashion. After the fall of Napoleon, Empress Eugenie’s necklace was auctioned at Christies for $20,000. “Ezra” was the most famous natural Tahitian Pearl, the centerpiece of a necklace that was part of the Russian crown jewels.
Tahitian Black Pearls are prized and admired throughout the world. The first Pearl farms were established on the atoll of Hikueru and the island of Bora Bora in the early 1960’s. Exports began in 1972 and production was subsequently expanded on the islands of Marutea Sud and Mangareva. Today, Tahitian Black Pearls are cultivated in Pearl farms in a sprawling group of atolls and islands in French Polynesia, primarily the lagoons of the Tuamotu-Gambier Archipelago.
Tahitian Pearls generally range in size from 8 millimeters to 16 millimeters and consist of many thousands of layers of Aragonite (a variety of calcium carbonate). In contrast to many other Pearl varieties, Tahitian Pearls are cultured for 4 - 5 years and have a nacre thickness of 3 - 10 millimeters.
Tahitian Pearls display a shimmering orient or overtone that is green, blue, pink or violet in color. These orient colors are in striking contrast to their silver to black body color and are sometimes given specific names (e.g., deep green is called “fly wing,” “peacock” for the combination of green and pink, and “eggplant” is a dark toned body color combined with pink).


South Sea Pearls
Highly coveted, South Sea Pearls come from Australia, Indonesia and the Philippines. Cultured in varieties of Pinctada Maxima, this large, warm-water loving, gold and silver-lipped oyster produces Pearls of fabulous colors.


ALEXANDRITEJune’s birthstone
OriginsIndia, Madagascar & Tanzania
Colors FoundTeal, blue green to forest green changing to violet, crimson red, raspberry, purple & orange
FamilyChrysoberyl
Hardness8.50
Refractive Index1.74 - 1.76
Relative Density3.70 - 3.78

Known in Russia as the “gem of the tsars,” Alexandrite is truly a miraculous gemstone. Often described as “Emerald by day” and “Ruby by night,” when viewed under sunlight Alexandrite appears teal to forest green, but when seen by candlelight, it appears violet, crimson red, raspberry, purple or orange.
Scant availability, remarkable color change, excellent durability and a sparkling “sub-adamantine” or Diamond-like luster, makes Alexandrite a “must have” for any true jewelry connoisseur. A rare variety of Chrysoberyl, Alexandrite ranks alongside Ruby and Sapphire as one of the world’s most coveted gemstones.


Legends and lore
Early one chilly October morning in 1830, a Russian peasant charcoal burner, Maxim Stefanovitch Koshevnikov, was making his way through the silver birch forests along the banks of the Tokovaya River. Tripping on the exposed roots of a large tree felled by a storm, he discovered some green gemstones. Quickly identified as Emeralds, by 1831 this deposit in Russia’s Ural Mountains was being mined.
The Tokovaya Emerald mines also yielded other gemstones, including a new one that had the strange ability to change color. When viewed under sunlight, rich green colors appeared but when seen by candlelight it displayed red hues. The gem was named “Alexandrite” after the young Tsarevitch, who was crowned Tsar Alexander II in 1855. Legend has it that Alexandrite was discovered by Emerald miners on his birthday, April 23, 1830, the year the Russian heir apparent came of age. As the date of the deposit’s discovery and the alleged naming of the gem conflict, Vitaliy Repej, a Ukrainian Alexandrite specialist, instead believes that Alexandrite was actually discovered on April 3, 1834, by the Tsar’s famous Finnish mineralogist Dr. Nils Nordenskjold and wasn’t officially called Alexandrite until 1842.
Its birthday aside, this new gem created a sensation - everyone wanted an Alexandrite! But this was certainly no fun for the miners. Following the sparse Alexandrite veins through pegmatite rock with hand dug trenches, open pits and small tunnels, mining was very primitive to say the least. Imagine working through long winters plagued by biting cold and blinding snowdrifts. Summer brought no respite, just great swarms of gnats, mosquitoes and gadflies.
The discovery of Alexandrite on the future Tsar’s birthday was considered especially fortunate as the colors displayed by this unusual gem can mirror the Imperial Russian military colors of red and green. Possessing nationalistic connotations, Alexandrite quickly gained popularity in Russia, where it was believed to bring good luck.
Because of its two colors, in Russia it is also believed to invite loneliness if you only wear one piece of Alexandrite jewelry.
Alexandrite is believed by crystal healers to strengthen the wearer’s intuition in critical situations. Some also attribute Alexandrite with the ability to aid creativity and inspire imagination.


Just the facts
In gemology, any Chrysoberyl that changes color can be called Alexandrite. The nomenclature is not dependent on the colors of the change. However, Alexandrite’s color change is dependent on pure light sources (pure candescent light to pure incandescent light, for example sunlight to candlelight).
Interestingly, the color change effect is not unique to Alexandrite. Many gem types display color change, such as Sapphire and Garnet. However, the degree of color change exhibited by Alexandrite is among the most extreme encountered in natural gems.
Similar to Emeralds, inclusions are a common feature in Alexandrite. Inclusions record a gem’s natural relationship with the earth. Given the prevalence of synthetic Alexandrite, they are also a fascinating hallmark of authenticity that helps us distinguish real gems from artificial impostors.
Because of this gem’s scarcity, Alexandrite is found in a wide variety of shapes and sizes faceted to maximize the carat weight and beauty of each individual crystal.
Coveted for its beautiful and mysterious optical effects, when you look at a Cat’s Eye Alexandrite you can see a single band of light on its surface. Technically known as “chatoyancy,” this intriguing phenomenon is unique to the world of gemstones. It is caused by minerals reflecting a band of light back to the eye like a mirror.
While beautiful Alexandrite is available from other locales, among Alexandrite connoisseurs, Russian Alexandrite maintains an historical pedigree that is highly coveted. In 1898 Edwin Streeter wrote in “Precious Stones & Gems”: “The wonderful Alexandrite is an Emerald by day and an Amethyst at night. Its market value is extremely variable and sometimes as much as £20 per carat is paid for a fine stone.” Today, the same Russian Alexandrite is worth many thousands of dollars!
Although the Tokovaya deposit closed after only a few decades, limited mining is rumored to have resumed around 1995. To date, very little mining of Russian Alexandrite is taking place. In December 2005, “Colored Stone” reported that “there have been unconfirmed reports of new activity in this area, but no significant amount of material has hit the market yet.” While it is a country rich in gemstones, since the fall of the Soviet Union much of Russia’s gems have not been mined due to both economic conditions and outdated mining practices. Interestingly, both De Beers (a famed Diamond consortium) and Russian geologists are currently surveying Russian Diamond reserves and an offshoot of this exploration may be the discovery of new Alexandrite deposits. Regardless, very little Russian Alexandrite is available and those lucky enough to own one truly are custodians of a gem from a bygone era.
While it wasn’t until 1996 that the tribal peoples of Andhra Pradesh unearthed the first hints of Alexandrite in the Araku Valley, since its discovery Indian Alexandrite has endured a history as turbulent as Imperial Russia. From much needed mining regulation in 1999, to the destruction of coastal mines during the 2004 tsunami, Indian Alexandrite has certainly had its ups and downs. Displaying teal apple greens with changes ranging from orange raspberries to grape, the first Alexandrite ever featured on Gems TV was from Vishnakahaputnam in Andhra Pradesh, India. Always on the hunt for this stunning gem, we recently encountered Indian Alexandrite from a new locale whose rich colors are reminiscent of Alexandrite from the original Russian deposit. Today, Indian Alexandrite primarily hails from Narsipattnanm, 62 miles inland from the first discovery in Vishnakahaputnam. It is characterized by an intense green with an incredible color change that ranges from vibrant Amethyst, to Ruby red and reddish purple. Formed hundreds of millions of years ago during the Paleozoic era, it is believed that the pegmatite rocks found at the location of Alexandrite’s discovery in the Urals in Russia and at Narsipattnanm are the same. Mining Indian Alexandrite is a dangerous business and the tribal miners risk life and limb tunneling muddy soil to a depth of 98 feet to find rocks rich with tiny clusters of Alexandrite.
While gems from the famous Brazilian state of Minas Gerais have enchanted the world for over 100 years, good quality Alexandrite was only discovered in 1987. As with other mines containing pegmatite rocks, Brazilian Alexandrite is found in rugged areas that can be difficult to access. Usually mined using primitive hand tools, one of the most famous exceptions is the Hematitia mine, whose beautiful Alexandrite is now regrettably depleted. Although the majority of Brazilian Alexandrite contains many inclusions or is translucent, a tiny amount of better quality gems has been unearthed. In 2004, a new pocket of Brazilian Alexandrite was discovered, yielding blue green Alexandrite that changed to a delightful raspberry red.
Mines in Madagascar, Tanzania and Mozambique, have been producing good quality Alexandrite for several years. African Alexandrite is typically located in wet regions near rivers and mined by digging through river beds by hand to unearth the Alexandrite-rich pegmatite rock.
For approximately 90 years Russia and Sri Lanka were the only known sources of Alexandrite. Obtained from alluvial gravels (in contrast to most other deposits that are mined from host pegmatite rock), Sri Lankan Alexandrite is characterized by a fine Sapphire green color in daylight with a change to columbine red, similar to purplish red Spinel, in incandescent light.




MOONSTONEJune’s birthstone
OriginsBrazil, India, Madagascar, Sri Lanka & Tanzania
Colors FoundColorless to brown, green, gray, pink, rainbow & yellow
FamilyFeldspar
Hardness6.00 - 6.50
Refractive Index1.51 - 1.53
Relative Density2.56 - 2.59







Popular with the Romans, who thought it was formed out of moonlight, and in India, where it is considered a sacred zodiac gem, Moonstone is one of the most coveted varieties of Feldspar. Other names for Moonstone include Adularia (a variety found in the European Alps near the Adula Group) and Selenite (from the Greek “selene,” meaning moon).


Legend and lore
Laced with superstitions, suspicion, humor and romance, the earliest known traditions describe Moonstone as having been set in the forehead of a four-handed Indian god who represented the moon. Partly from its unique color, partly from a superstition that represented it as feeling the influence of the deity whom it adorned, it first gained the name by which it continues to be known today in ancient India.
The gem’s modern western roots allegedly originate from the German word “mondstein,” (Moonstone) that was used to describe a lustrous variety of Feldspar in the late 18th century.
This gem has always been revered because of its lunar attraction. In antiquity, Moonstone was believed to be the solidified rays of the moon and the glimmering light within was thought to be the light of the good spirit that lived within the gem. In ancient Rome, Moonstones were thought to change their appearance depending on the waning phases of the moon. They also thought that a picture of Diana, the goddess of the moon, could be seen in every Moonstone.
In the Middle Ages, people thought that if you fell into a deep sleep after gazing into a Moonstone it would tell you the future. It has always been considered a feminine or “Goddess” gem. One Asian legend points out that where there is a moon there is no rain and so the name Moonstone means “no tears.”
Moonstone is a highly prized gift for lovers as it is believed to arouse tender passion. According to another legend, a Moonstone placed in the mouth while the moon is full gives lovers the power to read their futures together. In antiquity, men also used Moonstone to predict the future by placing them in their mouths.
A symbol of the third eye, Moonstone was once believed to balance yin/yang, protect against epilepsy and sun stroke, cure headaches and nose bleeds, and ensure a high yield in crops. Today, crystal healers believe that it can help men open their feminine emotional aspects. In some cultures, it is also believed to accentuate the wearer’s nature, whether positive or negative.


Just the facts
Moonstone is a potassium-rich orthoclase member of the Feldspar group of minerals and is closely related to Sunstone and Labradorite. The name Feldspar comes from the German “feldt spat,” meaning “field stone.” This is because when Feldspar weathers, it releases large amounts of plant nutrients, such as potassium, which enrich the soil.
Moonstone shows a blue-whitish opalescence called “adularescence” (sometimes described as a “billowy” light or shimmer) that glides over the surface of the gem. Interference phenomena, due to the intergrowth of two different types of Feldspar with different refractive indexes, from the gem’s layered structure are the cause of this effect. Moonstones are often cut as cabochons to maximize this effect.
Traditionally, Moonstone has a silver to blue sheen, a transparent to translucent to opaque clarity and a colorless body color. Sri Lankan Rainbow Moonstone possesses all these qualities and as it is quite rare and becoming rarer, it is definitely a “must have” for any jewelry collection. Sri Lankan Rainbow Moonstone is laboriously chipped directly from a host deposit in Meetiyaguda, Sri Lanka. Interestingly, Sri Lankan Rainbow Moonstone typically displays such a stunning transparent clarity (not usually associated with this gemstone), intense bright blue shimmer and dazzling iridescence (the rainbow-like color effect seen in some gems caused by cracks or structural layers breaking up light into spectral colors) that it can be cut as a faceted gemstone. This is truly unique and further accentuates the desirability of this highly collectible exotic gemstone.
Tanzanian Moonstone is a relatively new variety sourced from the Arusha region of Tanzania (the same region as Tanzanite).
ข้อมูลจาก GIT, SGS

http://gemclub.blogspot.com, gems.tv

1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss