ลงทุน ลุ้นรวยจากทอง รายงานโดย :วันพรรษา อภิรัฐนานนท์: ยกให้เป็นมหัศจรรย์แห่งปี คือราคาทองคำ ที่ตั้งแต่ต้นปีก็วิ่งทะยานแบบพุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ หรือถ้าใครติดตามราคาทองมาจริงๆ ก็จะทราบว่า ทองนั้นวิ่งแรงมาไม่ต่ำกว่า 4-5 ปีแล้ว ขณะที่แนวโน้มราคาทองคำในปีหน้า หลายฝ่ายก็คาดการณ์ว่าจะยังวิ่งต่อ โดยล่าสุดประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา “เบน เบอร์แนนคี” ออกมาประกาศถึงการตรึงอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ 0-0.25% ต่อไปอีกพักใหญ่ ก็ประกาศซะขนาดนี้ เพราะฉะนั้นก็เชื่อได้ว่า ราคาทองคำจะเป็นขาขึ้นไปนาน ราคาทอง ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำเมื่อวันศุกร์ที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา (12.22 น.) ราคาทองคำ 96.5% ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 1.78 หมื่นบาท ขายออกบาทละ 1.79 หมื่นบาท ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 17,540.12 บาท ขายออกบาทละ 1.83 หมื่น บาท ราคาทองคำที่พุ่งทะยานต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์นี้ อาจทำให้หลายคนคิดสนใจลงทุนในทองคำขึ้นมาบ้าง สู่ขุมทรัพย์แห่งทอง ถ้าคุณเป็นมือใหม่และคิดสนใจลงทุนในทองคำ จะต้องเริ่มต้นอย่างไร ก่อนอื่นมารู้จักรูปแบบของการลงทุนในทองคำกันก่อนว่ามีกี่ช่องทาง 1.การลงทุนในทองคำแท่ง 99.99% และทองคำแท่ง 96.5% ทองคำคือ Safe Haven สำหรับการลงทุนในภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากทองก็ปรับค่าสูงขึ้นไปด้วย ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะปู่ย่าตายายของเราก็หนีความเสี่ยงด้วยทองมานานแล้ว เงินเหลือเก็บออมไว้ในรูปทองคำ โดยเฉพาะทองคำแท่ง ซึ่งปัจจุบันนอกจากจะเดินเข้าไปซื้อตามเคาน์เตอร์ร้านทอง ยังสามารถเปิดบัญชีซื้อขายออนไลน์กับผู้ค้าส่งทองรายใหญ่ ในลักษณะเดียวกับการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น สะดวกและนิยมมากสำหรับนักลงทุนประเภทซื้อๆ ขายๆ แต่นักลงทุนรายย่อย (จิ๋ว) ซื้อกับหน้าร้านสะดวกดีกว่า 2.การลงทุนในทองรูปพรรณ นิยมในอดีต เพราะเป็นเครื่องประดับได้ด้วย แต่ปัจจุบันไม่นิยม โดยเฉพาะในแง่การลงทุน เพราะมีค่ากำเหน็จและไลฟ์สไตล์ความนิยม (ทันสมัย/ล้าสมัย) อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องสูง ขายคืนร้านทองได้ตลอด แต่เวลาขายต้องเสียส่วนต่างระหว่างราคารับซื้อกับราคาขายคืน เมื่อรวมกับค่ากำเหน็จแล้วสูงอยู่ 3.กองทุนรวม อีกทางเลือกหนึ่งคือ การซื้อกองทุนอีทีเอฟทองคำจากบริษัทจัดการลงทุน กองทุนเหล่านี้นำเงินที่ได้รับจากการขายหน่วยลงทุน ไปลงทุนในอีทีเอฟทองคำในต่างประเทศ ที่รู้จักกันดีคือ SPDR Gold ซึ่งก็จะไปซื้อทองคำแท่งมาเก็บไว้ และออกตราสารอีทีเอฟที่มีทองคำนั้นหนุนหลังอยู่ กองทุนอีทีเอฟทองในบ้านเรา ใช้วิธีนำเงินไปซื้ออีทีเอฟทองคำในต่างประเทศอีกทีหนึ่ง 4.ตั๋วสัญญา แล้วแต่ประเภทของวัตถุประสงค์ของตั๋วสัญญาใช้เงิน 5.โกลด์ฟิวเจอร์ส หรือการลงทุนทองคำในตลาดล่วงหน้า กำลังฮอตฮิตในเวลานี้ คือการลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์ส หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำ เป็นการตกลงทำสัญญาจะซื้อ หรือจะขายทองคำล่วงหน้าด้วยราคาและจำนวนที่กำหนด ไม่ได้ส่งมอบทองกันจริง แต่จะใช้การคิดกำไรขาดทุนและจ่ายชำระเป็นเงินสดแทน (ส่งมอบกันในวันข้างหน้าเมื่อครบอายุสัญญา) ปัจจุบันตลาดอนุพันธ์กำหนดให้สัญญาหนึ่งเท่ากับการทำสัญญาซื้อขายทองน้ำหนัก 50 บาท แต่ต้นปีหน้าจะลดเหลือ 10 บาท นี่เป็นข่าวดีของรายย่อย (สนใจดูรายละเอียดใน www.tfex.co.th) สไตล์การลงทุน (ของคุณ) “ฐิภา นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วาย แอล จี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า แนวทางการจัดสรรเงินลงทุนที่เป็นที่ใช้กันทั่วไปคือ การกระจายเงินลงทุนเป็นรูปพีระมิด โดยจัดสรรเงินลงทุนส่วนใหญ่ไปในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ สามารถทำนายผลตอบแทนได้ เช่น พันธบัตร กองทุนตราสารระยะสั้น ตั๋วเงินคลัง เงินฝาก ฯลฯ และจัดสรรเงินลงทุนส่วนน้อยไปในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมฯลฯ “สรุปแล้วมีเงินเท่าไหร่ ไม่ใช่ทุ่มลงทุนในสินทรัพย์หนึ่งสินทรัพย์ใดทั้งหมด รวมทั้งทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง หากต้องกระจายสัดส่วนการลงทุน หรือกระจายความเสี่ยงให้เหมาะกับตัวเอง” ฐิภา กล่าว ทองคำเป็นทางเลือกหนึ่ง ก่อนจะลงทุนในทอง อันดับแรกต้องรู้จักตัวเอง รู้สไตล์ของตัวเองว่าเป็นนักลงทุนประเภทไหน รู้ระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ เช่น ไม่ชอบความเสี่ยงเลย เสี่ยงได้ปานกลาง หรือเสี่ยงได้มาก ค่อยๆ เรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเงินทุน ระดับเสี่ยง หรือผลตอบแทนที่คาดหวัง ทองคำจะวิ่งต่ออีก 1-2 ปี ต้องรู้จักสินค้า พยายามศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้ถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ชีพจรราคาทองคำขึ้นลงตลอดเวลา จับชีพจรนั้นให้รู้แน่ บทวิเคราะห์หรือข้อมูลต่างๆ นำมาเรียนรู้หรือใช้ประกอบ แต่หลักใหญ่ใจความแล้ว ทองจะขึ้นหรือจะลง เราควรรู้ได้ด้วยตัวของเราด้วย ทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งทำนิวไฮอย่างไม่หยุดยั้ง ราคาที่สูงมาจากผู้ซื้อในตลาด จากเดิมที่มีเฉพาะกองทุนต่างประเทศ (Hedge Fund) เข้ามาซื้อเก็งกำไรบ้าง แต่ปัจจุบันผู้ซื้อที่เป็นรายใหญ่และมีผลต่อตลาด คือธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่ใช้เงินเหรียญสหรัฐเป็นเงินคงคลัง เมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อน ก็ทำให้ธนาคารกลางในหลายประเทศ ลดสัดส่วนเงินคงคลังในรูปธนบัตรสหรัฐ หันมาซื้อสำรองทองคำแทน รวมทั้งนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนทองคำแท่งมากขึ้น สำหรับแนวโน้มราคาทองคำ ฐิภามองว่า เศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงยืนพื้นอ่อนแอ โดยเฉพาะภาคแรงงานและสินเชื่อ รวมทั้งความพยายามเร่งใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้เงินเหรียญสหรัฐจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องตลอด 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะหนุนราคาทองให้ขึ้นต่อ “นักลงทุนจะยังเข้าสะสมทองเพิ่ม เพื่อใช้ป้องกันความเสี่ยงจากการด้อยค่าของดอลลาร์ โดยความสัมพันธ์ของราคาทองคำกับดัชนีดอลลาร์สหรัฐปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สูงถึง -88.7%” ฐิภากล่าว ฐิภาสรุปว่า ใน 1-2 ปีหน้า ทองจะยังเป็นที่ต้องการต่อไป จนกระทั่งมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ในช่วง 3-5 ปีหน้า อุปสงค์ทองคำจากภาคเศรษฐกิจแท้จริง โดยเฉพาะจิวเวลรี จะเริ่มกลับเข้ามาแทนที่ความต้องการทองคำเพื่อลงทุน ซึ่งในตอนนั้นอาจได้เห็นราคาทองคำแท่งที่ 1,500-1,600 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือราว 2.4-2.5 หมื่นบาทต่อทองคำ 1 บาท ทิปส์แห่งทอง 1.ในแง่ของการลงทุน ทองรูปพรรณไม่เหมาะที่จะซื้อลงทุน เพราะมีค่ากำเหน็จ ทำให้แพงกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น 2.การลงทุนในทองคำแท่ง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวม มีต้นทุนถูกกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น ทองคำแท่งมีส่วนต่างการซื้อขาย 100 บาท ส่วนการลงทุนในกองทุนรวม การซื้อลงทุนสามารถซื้อตามกำลังเงินที่มี (ไม่เต็มบาทได้) มีน้อยลงทุนน้อย มีมากลงทุนมาก และไม่ต้องแบกต้นทุนการถือครอง (การเก็บรักษา) 3.ต้องรู้ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อทิศทางของราคาทองคำ อันดับแรกคือค่าเงินเหรียญสหรัฐ ราคาทองจะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับค่าเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อเงินเหรียญสหรัฐอ่อน ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้น แต่ถ้าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น ราคาทองจะปรับตัวลง 4.อุปสงค์อุปทานในตลาดโลก ได้แก่ ความต้องการบริโภคทองที่แท้จริง ซึ่งในยามเศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อจะลดลง แต่ถ้าเป็นความต้องการบริโภคทองในแง่ของการลงทุน ในยามที่เศรษฐกิจแย่ คนมีแนวโน้มหันมาถือครองทองคำมากขึ้น 5.เงินเฟ้อ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สามารถงัดกับเงินเฟ้อได้ หลายคนใช้ทองเป็นเครื่องมือในการลดการขาดทุนจากอัตราเงินเฟ้อ ราคาทองจึงสูงขึ้นด้วย ตรงกันข้าม หากช่วงใดอัตราภาวะเงินเฟ้อต่ำ ราคาทองคำก็มักจะอ่อนตัวตาม 6.ต้องใช้เงินเย็น เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ได้จากการลงทุน ยากที่จะทันกับอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม อีกนัยหนึ่งก็อย่ากู้มาซื้อทองก็แล้วกัน (ยังไงๆ ก็ไม่คุ้มดอกเบี้ยจ่าย) 7.โกลด์ฟิวเจอร์สคล่องตัวสูง สามารถซื้อก่อนขาย หรือขายก่อนแล้วค่อยซื้อปิดสถานะทีหลังก็ได้ นอกจากนี้ก็ลงทุนด้วยเงินที่ไม่สูงมาก ทำให้ผลตอบแทนมีอัตราสูง กำไรสูง และขาดทุนก็สูงด้วย ผู้ลงทุนควรรู้ว่าโกลด์ฟิวเจอร์สมีความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในทองคำรูปแบบอื่น |