1
2

อัญมณีประจำราศี > ตุลาคม - โอปอล ( Opal )


Gemology of precious opal




โอปอล (Opal)

อัญมณีประจำเดือนตุลาคม ถือเป็นอัญมณีนำโชคของคนที่เกิดราศีตุลย์ 
สมัยโบราณเชื่อกันว่า โอปอ เป็นอัญมณีแห่งความหวัง ความรัก ความปรารถนา ช่วยเสริมสร้างความสำเร็จ สามารถป้องกันอันตรายจากศัตรูได้ นอกจากนั้นยังเชื่อว่า โอปอ สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคต่างๆได้ เช่น อาการที่เกี่ยวข้องกับตา ป้องกันอาหารเป็นพิษ และช่วยบำบัดจิตใจที่สับสนวุ่นวายได้ ทำให้มีความสงบมากขึ้น และมีความจำดีขึ้น เป็นต้น คำว่า OPAL จริงๆแล้วมาจากภาษาสันสกฤต UPALA (อูพาลา) แปลว่าหินที่มีค่า โอปอ เป็นอัญมณีที่มีสมบัติแตกต่างจากอัญมณีชนิดอื่น คือมีสีสันแปลกตา เป็นประกายเจิดจรัสดั่งสีของสายรุ้ง ในทางวิชาแร่ โอปอ จัดเป็นแร่ในตระกูลควอรตซ์ชนิดหนึ่ง คือมีเนื้อเป็นซิลิกา (Silica) และมีน้ำปนอยู่ในเนื้อประมาณ 3 - 10 เปอร์เซ็นต์ อาจมีสูงได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ โดยมีสูตรทางเคมีเป็น SiO2.nH2O

สมบัติของโอปอล (Opal)
สูตรเคมี: SiO2.nH2O
ระบบผลึก: เป็นแร่อสัณฐาน (Amorphous) ไม่มีโครงสร้างเป็นรูปผลึก
ความถ่วงจำเพาะ: 1.98 - 2.20
ค่าดัชนีหักเห: 1.37 - 1.52
รอยแยกแนวเรียบ: ไม่มี
รอยแตก: แตกเป็นรูปก้นหอย(Conchoidal)
ความแข็ง: 5.5 - 6.5
ปรากฏการณ์ทางแสง: การเล่นสี (Play of colour) ตาแมว (Cat's eye)


Precious opal
เป็นโอปอที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือมีการเล่นสีเป็นประกายสวยงาม คล้ายเหลือบประกายรุ้งที่เปลี่ยนสีได้เมื่อหมุนพลอยไปมาในทิศทางที่ต่างกัน เรียกปรากฏการณ์พิเศษนี้ว่า โอปอเลสเซนต์ (Opalescence) หรือ การเล่นสี (Play of colour) พลอยที่จัดว่าเป็น Precious opal ได้แก่
โอปอสีขาว (White opal)
มีสีขาวหรือสีอ่อนเป็นพื้น

โอปอสีดำ (Black opal)
มีสีเทาเข้ม น้ำเงินเข้ม เขียวเข้ม หรือเทาดำเป็นพื้น เป็นชนิดที่ค่อนข้างหายาก

โอปอแมทริกซ์ (Matrix opal)
ส่วนที่เล่นสีของโอปอจะแทรกอยู่ตามรอยช่องว่าง หรือรูพรุนในเนื้อหิน


Fire opal
เป็นโอปอสีส้ม หรือสีแดงเหมือนสีของเปลวไฟ มีลักษณะโปร่งใส เมื่อนำมาส่องดูภายใต้แสงไฟจะเห็นสีสะท้อนบนผิวเหมือนเปลวไฟเกิดขึ้น จึงเรียกว่า Fire opal หรือ โอปอไฟ ชนิดที่ดีที่สุดจะมีเนื้อโปร่งใสและสะอาดบริสุทธิ์ แต่จะเปราะและแตกง่าย ไม่ทนต่อแรงกดกระแทก และสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งของโอปอชนิดนี้


Common opal
เป็นโอปอชนิดธรรมดาทั่วไป ส่วนใหญ่จะมีเนื้อทึบ ไม่มีการเล่นสีให้เห็น ชื่อทางการค้ามีหลายชนิดเช่น อะเกต โอปอ (Agate opal) ไฮยาไลต์ (Hyalite) วูด โอปอ (Wood opal) ฮันนี่ โอปอ (Honey opal) เป็นต้น

ข้อมูลจาก www.git.or.th
http://gemclub.blogspot.com
ตลาดพลอย

นิตยสาร พลอย
ปี 2535 - 2538

โอปอล (Opal) 
ประกายรุ้งแห่งความหวัง
เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งโอปอลคือสุภาพสตรีสวยงาม ซึ่งเป็นที่ต้องตาต้องใจเทพเจ้าพร้อมกันถึง 3 องค์ และด้วยเหตุที่เทพเจ้าทั้ง 3 เกิดความริษยากัน พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดจึงสาปให้โอปอลกลายเป็นหมอก เทพเจ้าทั้ง 3 เพียรพยายามมอบสีของตนให้โอปอลนำไปใช้เพื่อเป็นเครื่องหมายจดจำ เทพเจ้าแห่งสวรรค์มอบสีน้ำเงิน เทพเจ้าแห่งพระอาทิตย์มอบสีทอง และเทพเจ้าแห่งไฟมอบสีแดง แต่ในที่สุดก็หามีประโยชน์อันใดไม่ และด้วยความสงสาร พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดได้แปลงร่างหมอกให้กลายเป็นโอปอล พร้อมทั้งมอบสีประกายรุ้งให้เป็นสีประจำตัวตลอดไป

โอปอล นับว่าเป็นอัญมณีแห่งความปรารถนาของมนุษย์มาเนิ่นนาน เล่ากันว่า มาร์คแอนโทนี่เพียรพยายามซื้อแหวนที่ทำด้วยโอปอลจากวุฒิสมาชิกชาวโรมัน ชื่อนูเนียส เพื่อนำไปถวายแก่พระนางคลีโอพัตรา แต่ได้รับการปฏิเสธ วุฒิสมาชิกจึงถูกขับไล่ไปอยู่ต่างแดน

แม้ว่าในศตวรรษที่ 19 จะมีผู้เชื่อว่าโอปอลเป็นเครื่องหมายของลางร้ายก็ตาม เพราะอิทธิพลจากนวนิยายเรื่อง ANN OF GEIERTEIN ของเซอร์ วอลเตอร์สกอตต์ แต่ความเชื่อนี้ก็ถูกลบล้างไปเมื่อพระนางเจ้าวิคตอเรีย ได้พระราชทานโอปอลให้แก่พระราชธิดาแต่ละองค์ในวันอภิเษกสมรส เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความโชคดี

โอปอล ได้รับฉายาว่า “อัญมณีแห่งความหวัง” และเชื่อกันว่าผู้ที่นิยมผมสีบรอนซ์ หากได้สวมสร้อยคอโอปอล จะรักษาสีผลให้คงเดิมตลอดไปและถ้านำโอปอลมาแตะหน้าผากจะทำให้ความจำดีขึ้น

โอปอล เป็นอัญมณีธรรมชาติชนิดเดียวที่มีสีทุกสีราวกับสีรุ้งในตัวเอง ไม่มีชื่อภาษาไทย รากศัพท์เดิมมาจากภาษาสันสกฤตว่า อุพาลา (UPALA) แปลว่า “หินมีค่า”

แหล่งกำเนิดของโอปอล พบมากในออสเตรเลีย เม็กซิโก บราซิล เชคโกสโลวาเกีย ฮอนดูรัส ในประเทศไทย มีพบแถบลำพูน นราธิวาส ลพบุรี สระบุรี นครนายกและนครพนม

ในด้านแร่ธาตุ โอปอลเป็นแร่จัดอยู่ในตระกูลควอซ์ชนิดหนึ่ง คือมีเนื้อเป็นซิลิกาและมีน้ำปนในเนื้อ มีเนื้อแน่นละเอียด มีสูตรทางเคมีว่า Sio2 NH2O มีธาตุไฮโดรัส (HYDROUS) ซิลิกอนไดออกไซด์ (SILICONDIOXIDE) ซึ่งทำให้โอปอลมีสีขาว เทา น้ำเงิน เขียว ส้ม

โอปอลจัดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ

พรีเชียสโอปอล (PRECIOUS OPAL) เป็นโอปอลทรงคุณค่าทางอัญมณีที่มีสีสันเป็นประกายสวยงาม ถ้ามีพื้นสีดำหรือสีเข้ม และเล่นสีตัดกันมากจะมีราคาแพงที่สุด เช่น BLACK OPAL
โอปอลไฟ (FIRE OPAL) มีสีส้มและเหลืองปนแดงเหมือนเปลวไฟ เมื่อนำมาส่องภายใต้แสงไฟ จะเห็นสีสะท้อนบนผิวเหมือนเปลวไฟเกิดขึ้น
โอปอลธรรมดา (COMMON OPAL) โอปอลธรรมดาส่วนใหญ่จะมีเนื้อโปร่งแสง มีหลายลักษณะต่างกัน เช่น สีเหลืองคล้ายน้ำผึ้ง เขียวแอปเปิ้ล หรือขาวโปร่งแสง แวววาวประดุจมุก

ความงดงามสำหรับโอปอล คือ เหลือบสีประกายรุ้งในตัวเองที่เรียกว่า โอปอลเลสเซนต์ (OPALESCENCE) ที่ทำให้เปลี่ยนสีได้ เมื่อหมุนหน้าพลอยให้ไปในทิศท่างที่ต่างกัน 

สิ่งที่ควรระวังในการซื้อโอปอล คือ โอปอลสังเคราะห์ และโอปอลปะ 2 ชั้นและ 3 ชั้น 

วิธีการสังเกตโอปอลสังเคราะห์ คือ แพทเทิร์นของสีที่ตัดกันหน้าพลอย จะตัดกันโดยเจตนามากเกินไป และลักษณะของแพทเทิร์นที่เรียกว่า LIZARD OR SNAKE SKIN EFFECT ซึ่งมีลักษณะเป็นเกล็ดๆ คล้ายหนังงู จะเกิดในพลอยโอปอลสังเคราะห์เท่านั้น ส่วนโอปอลปะ 2 ชั้น 3 ชั้นนั้น ถ้าสังเกตจากด้านข้างจะเห็นมีรอยต่อ โอปอลปะ 2 ชั้น เป็นที่ยอมรับมากกว่าโอปอลปะ 3 ชั้น เนื่องจากด้านบนเป็นโอปอลของแท้ และที่ปะ 2 ชั้นก็เพื่อช่วยให้ทนทานยิ่งขึ้น เนื่องจากโอปอลเป็นพลอยที่เปราะมาก

สำหรับผู้ที่ปรารถนาจะมีโอปอลไว้เป็นอัญมณีประดับตน เพราะโอปอล คือเครื่องหมายแห่งความหวังสำหรับบุคคลที่เกิดในราสีตุลย์ และเป็นความงามสง่าสำหรับทุกคนด้วย 

โอปอลอาจจะดูแลรักษายาก เนื่องจากถ้าหากมีอุณหภูมิสูง น้ำภายในเนื้อโอปอลจะระเหยออกไป อาจทำให้ซีดหรือแตกร้าว ซึ่งการเก็บรักษาควรจะแช่ในน้ำหรือน้ำมัน ถ้าประกอบเข้ากับตัวเรือนควรเลือกที่จะฝังหุ้มดีกว่าฝังหนามเตย เพราะจะอยู่คงทนกว่า

อัญมณีประจำราศี ; ตุลาคม - โอปอล


โอปอล (Opal)
โอปอล อัญมณีสีรุ้ง
โอปอล (Opal)
เป็นอัญมณีในตระกูล ควอร์ตซ์ (Quatrz) เช่นเดียวกับแอเมทิสต์ซึ่งเป็นอัญมณีประจำราศีกุมภ์ 
มีความแข็ง 5 – 6 โมส์ (Moh) 
มีความวาวแบบ แก้วและยางสน มีหลายสีด้วยกัน เช่น สีขาว แดง เหลือง เขียว ม่วง ดำ แต่ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด คือ โอปอลไฟ
จากสีสันลวดลายอันงดงามที่พาดผ่านบนตัวโอปอลนี้ ทำให้นักประวัติศาสตร์ ไพลนี (Pliny) ชื่นชมไว้ว่า มันคือศูนย์รวมความงามของเหล่าอัญมณี เพราะประกอบด้วยเปลวไฟสีแดงจากทับทิม ประกายสีม่วงเหมือนแอเมทิสต์ และสีเขียวน้ำทะเลจากมรกต
คำว่า Opal มาจากภาษาสันสกฤตว่า Upula แปลว่า หินมีค่า โอปอลเป็นที่รู้จักมาเป็นเวลานานหลายพันปีมาแล้ว โดยเฉพาะประเทศในแถบตะวันตก นักโบราณคดีชื่อ Louis Leaky ขุดพบเครื่องประดับโอปอลที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งมีอายุถึง 6,000 ปี ในถ้ำที่ประเทศเคนยา มงกุฎของกษัตริย์แห่งอาณาจักร Holy Roman ประดับด้วยโอปอลชื่อ Orphanus มงกุฎของกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสก็ประดับด้วยโอปอลเช่นกัน อัญมณีสีรุ้งนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนในสมัยก่อนมากมาย เช่น วิลเลียม เช็คสเปียร์ (William Shakespeare) เซอร์ วอลเตอร์ สก็อต (Sir Walter Scott) ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่ ๆ แก่โอปอล

สัญลักษณ์แห่งความหวังของชาวตะวันตก
ชาวตะวันตกเชื่อกันว่าโอปอลเป็นหินแห่งโชคลาง มีความเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ สามารถบอกเหตุล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดเหตุดีหรือเหตุร้าย โอปอลยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง เพราะมันเต็มไปด้วยสายรุ้งแห่งความหวัง ผู้ที่สวมใส่อัญมณีชนิดนี้จะสมหวังในสิ่งที่ต้องการ ชาวอาหรับเชื่อว่าโอปอล คือ อัญมณีที่ตกลงมาจากสวรรค์

ทางด้านการบำบัด หากสตรีมีครรภ์สวมใส่โอปอลจะช่วยให้คลอดบุตรง่าย หากทำเป็นเครื่องประดับผมจะช่วยให้ผมดำเงางาม ในยุคกลาง เชื่อกันว่าโอปอลทำให้สายตาดี หากกลัดเป็นเข็มกลัดไว้ที่หน้าอกจะช่วยให้ปอดดีขึ้น

ตำนานการเกิดโอปอล
สีสันหลากหลาบนโอปอลมีตำนานเล่าขานกันว่า เทพแห่งดวงอาทิตย์ เทพแห่งไฟ และเทพแห่งสวรรค์หลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน ทำให้เทพทั้งสามบาดหมางกัน เทพเจ้าซีอุสจึงแก้ปัญหาโดยสาปหญิงผู้นั้นให้กลายเป็นหมอก แต่เทพทั้งสามกลับกลัวว่าตนเองจะจำหญิงผู้นั้นไม่ได้ เทพแห่งดวงอาทิตย์จึงให้สีทองแก่นาง เทพแห่งไฟให้สีแดง ส่วนเทพแห่งสวรรค์ให้สีน้ำเงิน เทพซีอุสเห็นว่าเรื่องราววุ่นวายมากขึ้น จึงเสกให้ร่างของหญิงสาวกลายเป็นโอปอล ตั้งแต่นั้นมา โอปอลจึงมีสีสันสวยงามดังที่เห็น

ในทางวิทยาศาสตร์ การที่โอปอลมีสันหลากหลายนั้นเกิดจากอนุภาคของทรายซึ่งเป็นส่วนประกอบของโอปอลเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ ทำให้เกิดช่องว่างภายในเป็นโพรงเล็ก ๆ และมีน้ำแทรกอยู่ในช่องว่าง จึงเกิดแสงสะท้อนให้เห็นเป็นสีสันต่าง ๆ มากมาย


แหล่งที่พบโอปอล
โอปอลพบมากที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย แหล่งอื่น ๆ ที่พบ เช่น ประเทศฮังการีซึ่งเคยเป็นเหมืองโอปอลในอดีต ประเทศเม็กซิโก ฮอนดูรัส เนวาดา ส่วนในประเทศไทยพบที่จังหวัดลพบุรี ลำปาง โคราช

ttp://www.sgs.ac.th


OPAL October's birthstone
Origins Australia, Brazil, Ethiopia, Mexico, Peru, South Africa, Tanzania & Zimbabwe
Colors Found Various
Family Opal
Hardness 5.50 - 6.50
Refractive Index 1.37 - 1.52
Relative Density 1.98 - 2.50

One of the world's most coveted gemstones, Opal's name evolved from the Roman "opalus" which was derived from the Greek "opallios," meaning "to see a change of color." The Greek word was a modification of the ancient Indian Sanskrit name for Opal, "upala," which meant "precious stone." If one spoke in mixed tongues, then Opal would be opallios upala, "to see a change of color precious stone."
While their body color covers a broad spectrum, Opals are most prized for their unique fiery play of color, reflecting and refracting light into flashes of multiple colors.

Legends and lore
Historically, Opal was considered a lucky charm that brought beauty, success and happiness to its wearer. The early Greeks believed Opals embodied the powers of foresight and prophecy.
The Romans also cherished Opals, considering them to be a symbol of hope and purity - an appropriate attribute for a gem with a rainbow locked within it!
The Arabs thought that Opals must have fallen from heaven in flashes of lightning. According to Arab tradition, it is believed that Opals prevent lightening strikes, shield its wearer from any undesirable elements in their day-to-day lives and give a cloak of invisibility to its wearer when desired.
Opal featured in literature with Shakespeare referring to it in "Twelfth Night" as "the queen of gems."
The history books would have us believe that the European supplies of Opal came from India and the Middle East, but it is far more likely that they came from Hungarian mines.
Opal made the headlines in the 1890's with the first samples of Australian Opal. The Hungarians declared that the new Australian variety was not the real thing, as Opals with such a fusion of fire and color had never been seen before. According to Koori (indigenous Australians) legend, the Creator came down to earth on a rainbow to bring a message of peace to all humans. At the spot where his feet touched the ground, the stones became alive and started sparkling in all the colors of the rainbow, giving birth to Australian Opals. Today, Opals are one of Australia's national treasures and one of the world's most prized gemstones.
Queen Victoria intervened in the near destruction of the 19th century Opal market when the writer Sir Walter Scott started a superstition that Opals were bad luck for people not born in October. In one of his novels, the heroine owned an Opal that burned fiery red when she was angry and turned ashen gray upon her death. Queen Victoria finally dispelled the curse by giving Opal jewelry as gifts at a royal wedding.
Scandinavian women still wear Opal hair bands to ward off the onset of gray hair, while some people believe that this gemstone has therapeutic properties that rejuvenate the inner spirit and invigorate the mind.

Just the facts
Opals possess flashes of rainbow colors that change with the angle of observation, called "play of color." This effect is similar to the rainbow colors displayed on a soap bubble, only much more dramatic. This should not be confused with "opalescence," which is the milky blue or pearly appearance of Opal caused by the reflection of light.
The physical structure of Opal is unique. Tiny precipitated spheres of silicon dioxide form a pyramid shaped grid interspersed with water. Tiny natural faults in this grid cause the characteristic play of color.
Opals are typically classified depending on the "potch" (the host rock, also called the "matrix") on which the Opal is formed and their resulting transparency. For example, Black Opal has a black potch, Semi Black Opal has a potch darker than gray, but not quite black, White Opal has a white potch, Queensland Boulder Opal is Opal with an ironstone (boulder) potch and Jelly Opal (also know as Crystal Opal) is Opal with no potch whatsoever. Distinguished from Jelly Opal by its minimal play of color, Fire Opal is Jelly Opal that displays extraordinary fiery yellows, tangerines and reds. Matrix Opal (also know as "opal with matrix") are any Opals where the potch or matrix is visible face up.
Opal actually exhibits many different colors including cherry colored specimens that rival Ruby, fiery-orange Opals that sparkle like Spessartite Garnet, tropical blue gems as intense as Chalcedony, and even gorgeous pinks and greens.
Today approximately 95% of the world's Opal is sourced from a handful of prominent mining areas in Australia, namely Lightning Ridge, Coober Pedy, Andamooka and Mintabe.

Black Opal
Black Opal is principally found at Lightning Ridge in New South Wales, Australia. Known as the "King of Opals," Lightning Ridge Black Opal has been coveted since it was discovered in 1902. Located 575 miles north of Sydney, Lightning Ridge (a free wheeling town of about 15,000 people) is the world's major source of the finest Black Opal.
This magnificent gemstone is the most coveted form of Opal. Its dark background color sets the spectral colors ablaze much like a storm cloud behind a rainbow (the black background provides contrast and intensity to this Opal's play of color). So prized is Black Opal that even wafer thin slices are made into doublets or triplets to give them enough strength and depth to set into gold rings and other jewelry items.
The Black Opal mining fields of Lightning Ridge and the majority of Australia's Opal fields are located in a geological phenomenon called "The Great Australian Basin." The basin was formed from sediments of a large inland sea that existed over 140 million years ago. Approximately 120 million years later, sandstones were deposited by waterways over the top of these sedimentary rocks. Eventually these younger rocks weathered, and their silica filtered down to cavities in the older host rock in the form of a gel. The silica gel hardened forming around a nucleus, creating the Opal's characteristic regular spheres and voids. It's the diffraction of light through these transparent spaces that produce Opal's brilliant play of colors.
Mined directly from narrow seams in sedimentary rock, Opal mining involves hard digging with picks and shovels 20-59 feet underground. Buckets are then loaded and hauled to the surface using simple mechanical winches. The rough Opal (called "nobbies") is initially separated by hand, prior to sieving. The remaining Opal nobbies are then taken to small converted cement mixers to wash off the excess dirt.
Unfortunately, all Australian Opal, but especially those from Lightning Ridge, are becoming increasingly scarce. The old fields at Lightning Ridge that produced high dome cabochons are virtually depleted, with only marginal areas presently being worked. Despite the fact that the government has opened many new prospective areas, to date there have been no significant new prospects found. Opal production at Lightning Ridge is half of what it was 10 years ago. The current supply problems are infuriating as international demand remains high. The present jewelry trends favoring color have seen an increase in Opal use among the world's leading jewelry houses.

Boulder Opal
Boulder Opal is found sparsely distributed over a wide area of Australian ironstone or boulder country where the Opal (silica mix) fills veins, cracks, cavities and crevices in ironstone boulders. Opal bearing boulder is always cut to include the host brown ironstone. The GIA (Gemological Institute of America) classifies two types: gems with ironstone visible face up, called "opal with matrix" and gems with no visible inclusions, called "opal in matrix." Boulder Opal is usually cut as "opal with matrix" to the contours of the Opal vein, creating a baroque wavy surface often freeform and irregular in shape, making each Boulder Opal unique. Located northwest of Lightning Ridge in western Queensland, the Queensland Boulder Opal Fields encompass a vast area centering on the town of Quilpie and extending as far north as Winton and south to Cunamulla. The last 12 months have seen slightly lower production levels, with any fine gems quickly snapped up.
Known for its lively flaming bright rich colors, this variety is in very high demand and extremely popular. Interest in Queensland Boulder Opal has increased markedly over the last 20 years as this unique type of Opal gains recognition from gem enthusiasts the world over.

Fire Opal
Fire Opals are appropriately named for their fiery cherries, sunburst yellows and deep tangerines. Unique and mysterious, Fire Opal is remarkable in that unlike many other Opals its play of color is minimal. Also known as Mexican Opal, Mexican Fire Opal, Tanzanian Fire Opal, Cherry Fire Opal, Ethiopian Fire Opal, Brazilian Fire Opal or Sun Opal, its legendary popularity instead comes from its breathtaking brilliance, opalescence, extraordinary fiery hues and stunning clarity. Fire Opals have been treasured in the Americas since the time of the Aztecs, where they were named "quetzalitzlipyollitli" or "gemstone of the bird of paradise." Coveted by the Aztecs as symbols of intense love, such radiant gemstones were believed to have emerged from the primordial waters of creation. While Fire Opal is predominately sourced from Mexico (and occasionally Australia), this gem has recently been found in Tanzania, Ethiopia, Mali and now Brazil. While Opal has been mined in Brazil since approximately 1945, production has always been very limited, making it difficult to secure commercial quantities. Today, the Piaui State is increasingly garnering international acclaim for its Opals, with their quality favorably compared to Australian Opals, arguably the world's finest. With the enforcement of new mining regulations, scarcity has increased, strengthening the appeal of this relatively new addition to the Opal family.

Green Opal
Discovered in the 1960's, Green Opal is a green translucent Opal that resembles Chrysoprase or Jade and is commonly called Prase Opal or Chrysopal because of its resemblance to Chrysoprase. It is mined in the Arusha region of Tanzania (the same region as Tanzanite). While this gem does not display the play of color found in some Opals, its mint to apple green body color has made it very popular for jewelry. Trace amounts of nickel gives this Opal its unique color.

Jelly Opal
Jelly Opal (also known as Water Opal or Crystal Opal) is mined in Mexico and Australia. Offering an attractive blend of indistinct colors, it is transparent pure Opal with a gelatinous appearance and an occasionally pronounced opalescence (bluish sheen). The play of color is a subtle sheen dancing throughout the gem, rather than distinct color patches. When held out in direct light, Jelly Opal can display some of the most intense Opal colors. Very occasionally it is also found in Lightning Ridge, Australia, where it is essentially Black Opal without the black potch background. This is the type of Opal used in Opal inlay jewelry that has the base of the setting blackened (typically using black rhodium) before a precisely cut crystal Opal is set within.

Peruvian Opal
Hailing from the Andes and coveted by the ancient Incas, Peruvian Opal is extremely rare and exhibits an exquisite translucent coloring. While it typically comes in blue or pink colors, greens are also occasionally found.

Semi Black Opal
With a brighter transparency than Black Opal, Semi Black Opal has a body color darker than gray, but not quite black. Opacity is the key that divides black from semi black with Black Opal appearing more opaque than Semi Black Opal. Semi Black Opal was discovered at Andamooka in the 1930's. Situated 398 miles north by road from Adelaide, South Australia, Andamooka remains a typical dusty "wild west" desert town. In the 1960's when Andamooka was booming, an Opal setting (at the time worth hundreds of thousands of dollars) was presented to Queen Elizabeth II. While Andamooka Opals remain world renowned, only a small amount of Opal is now mined from Andamooka due to high logistical expenses related to its remoteness. Andamooka Opal is typically of an exceptionally high quality, but has become more difficult to source in the last few years. Andamooka is reportedly very quiet at present with less than 50 serious miners.

White Opal
White Opal is translucent with a creamy appearance that dominates the diffracted colors. While all the Australian Opal fields produce White Opal, the majority is mined in Coober Pedy.
Commenting that "there is in them a softer fire than the Ruby, there is the brilliant purple of the Amethyst, and the sea green of the Emerald - all shining together in incredible union," Opal clearly impressed Pliny the Elder (23-79 AD), Roman historian and author of the "Historia Naturalis," the world's first encyclopedia. With only 25% of mined Opal finding its way into jewelry, if you're looking to be impressed with Opals, there is no better place to start building your Opal collection than at GemsTV!
http://www.gemstv.com







กินผลไม้ให้ถูกวิธี







กินผลไม้ให้ถูกวิธี

          พวกเราต่างคิดว่าการกินผลไม้เป็นเรื่องง่ายๆ แค่ซื้อมาแล้วก็ปอก จากนั้นก็หยิบเข้าปากเท่านั้น แต่คุณรู้หรือเปล่าว่า แท้จริงแล้วผลไม้นั้นควรกินในขณะท้องว่าง...ไม่ใช่เป็นของหวานหลังอาหารอย่างที่เราทำกันประจำ 
          ถ้าคุณกินผลไม้ในขณะท้องว่าง มันจะช่วยคุณในการล้างพิษจากร่างกาย ให้พลังงานสำหรับช่วงลดน้ำหนัก และกิจกรรมอื่นในชีวิตประจำวัน แต่คุณกินขนมปังแล้วตามด้วยผลไม้หรือเปล่า ถ้าทำอย่างนี้ขอให้เปลี่ยนใจนะคะ เนื่องจากผลไม้ย่อยได้เร็วกว่าขนมปัง ชิ้นผลไม้จะถูกย่อยอย่างรวดเร็วและพร้อมที่ผ่านกระเพาะไปสู่ลำไส้ แต่เส้นทางของมันถูกขวางไว้โดยขนมปัง ซึ่งใช้เวลาย่อยนานกว่า 

          ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าเรากินผลไม้ในขณะท้องว่างหรือก่อนมื้ออาหาร! 

          คงมีคนเคยบ่นกับคุณแบบนี้...ฉันเรอทุกครั้งที่กินแตงโม, เวลาฉันกินทุเรียน กระเพาะฉันพองขึ้น, เวลาฉันกินกล้วย ฉันรู้สึกอยากวิ่งไปห้องน้ำ เป็นต้น ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าคุณกินผลไม้ในขณะท้องว่าง ผลไม้รวมตัวกับอาหารอื่นที่ถูกย่อย ทำให้เกิดแก๊สขึ้น จึงทำให้รู้สึกแน่น! 

          ผมหงอก หัวล้าน อาการหงุดหงิดเป็นกังวล รอยคล้ำใต้ดวงตา ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าคุณกินผลไม้ในขณะท้องว่าง มีการเข้าใจผิดว่าผลไม้บางอย่าง เช่น ส้ม มะนาว ซึ่งเป็นกรด จะทำให้เกิดกรดในกระเพาะ 





          นักวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า ผลไม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนเป็นด่างภายในร่างกายเราเมื่อคุณต้องการดื่มน้ำผลไม้  ให้ดื่มน้ำผลไม้สดเท่านั้น  อย่าดื่มน้ำผลไม้กระป๋อง อย่าดื่มน้ำผลไม้ที่ผ่านความร้อน อย่ากินผลไม้ที่ถูกปรุงเป็นอาหาร เพราะคุณจะไม่ได้คุณค่าทางโภชนาการเลย คุณจะได้เพียงรสชาติเท่านั้น ดังนั้น เลิกทานทุเรียนทอด ถ้าคุณต้องการคุณค่าทางโภชนาการ 

          การนำผลไม้มาปรุงเป็นอาหารจะทำลายวิตามินทั้งหมด การกินเนื้อผลไม้หรือผลไม้ทั้งลูก จะดีกว่าการดื่มน้ำผลไม้ เพราะเส้นใยจากเนื้อผลไม้จะดีสำหรับคุณ ถ้าคุณดื่มน้ำผลไม้ ให้ดื่มช้าๆ ทีละคำ เพื่อให้น้ำผลไม้รวมกับน้ำลายของคุณก่อนที่จะกลืนลงไป 

          ถ้าคุณกินผลไม้อย่างถูกวิธีเป็นประจำ คุณก็จะมีเคล็ดลับของความงาม อายุยืน สุขภาพ พลังงาน ความสุข และน้ำหนักตัวที่เป็นปกติค่ะ 






ตับหมู





ตับหมู 



ตับหมู 
มันเป็นอาหารที่ผมเกลียดที่สุดในโลก - ตับหมูลวก กลิ่นของมันชวนคลื่นเหียน รสชาติของมันสุดทนทาน กัดคำหนึ่งแล้วอยากอาเจียนออกมา แต่เพราะแม่สั่ง ผมจึงต้องกิน

วัยเด็กที่ป่วยบ่อยๆ ทำให้แม่ต้องสรรหาอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนามาให้กิน ตับหมูเป็นลำดับต้นๆ ของเมนูเพื่อสุขภาพ และเป็นลำดับที่หนึ่งของอาหารที่ผมเกลียดที่สุด

วิธีกินคือกลั้นลมหายใจแล้วกลืนมันลงไปทั้งชิ้น ไม่ต้องสนใจว่าจะติดคอตายหรือไม่ กินอะไรไม่กิน มากินตับหมู!



ไม่ชอบตับลวกหรือจ๊ะ? ไม่เป็นไรจ้ะ! แม่เปลี่ยนวิธีการปรุงใหม่มาเป็นการย่าง วางตับบนตะแกรงเหนือเตาถ่านคุแดง ย่างจนตับสุกกรอบ หน้าตาชวนกินทีเดียว แต่ไม่มีทางหรอก! ผมไม่มีวันแตะต้องตับอีกแล้ว ทุกครั้งที่เห็นเครื่องในชนิดนี้ในอาหาร ผมเกิดอาการคลื่นเหียน หากไม่ถูกบังคับ ก็ไม่มีวันกิน ถ้าเลี่ยงไม่พ้น ก็กลืนลงไปทั้งชิ้น

ในที่สุดตับหมูลวกกับตับหมูย่างก็หายไปจากโต๊ะอาหาร ซุปมันฝรั่งมาแทนที่ ค่อยยังชั่ว! ซุปชนิดนี้ทำโดยต้มมันฝรั่งบดกับหอมหัวใหญ่ เคี่ยวจนน้ำซุปข้นเหนียว ฉีกเนื้อไก่เป็นริ้วเล็กๆ ลงไปคลุก ส่งกลิ่นหอมไปไกล 



ผมซดซุปมันฝรั่งอย่างเอร็ดอร่อย กินไปได้หลายคำ ได้ยินแม่เปรยว่า ทำตับวิธีนี้ก็ดีนะ ไม่มีกลิ่นเลย! อ้าว! นี่แม่แอบใส่ตับบดผสมลงไปในซุปด้วยหรือ? เท่านั้นเองผมก็วางช้อน ซุปเลิศรสกลายเป็นซุปไม่ได้เรื่องทันที อคติล้วนๆ!

เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ผมยังทำตัวเป็นเด็ก ทุกครั้งที่พบตับในอาหาร จะเขี่ยมันทิ้งราวกับเป็นยาพิษร้ายแรง



อาหารฝรั่งมีเมนูตับเลิศรสมากมาย เมนูที่ขึ้นชื่อของฝรั่งเศสจานหนึ่งชื่อ Foie gras ทำมาจากตับเป็ดหรือห่าน มีกรรมวิธียุ่งยากซับซ้อน และต้องใช้ฝีมือพ่อครัวเอก ก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของผม ผมเชื่อว่ามันคงจะอร่อยจริง แต่ไม่มีทางที่ผมจะแตะมันหรอก

ว่าก็ว่าเถอะ หากผมได้กินซุปมันฝรั่งบดชามนั้นเป็นครั้งแรก บางทีตอนนี้ผมอาจสวาปามตับหมูอย่างเอร็ดอร่อยก็ได้

สิ่งที่กีดกันผมให้หมดโอกาสกินตับอร่อยๆ ก็เพราะอคติที่เรียกว่า ‘first impression’



first impression หรือภาพประทับแรกเป็นได้ทั้งความประทับใจและความไม่ประทับใจ ส่วนมากฝังใจแล้วฝังเลย

ภาพที่เราเห็นครั้งแรกมีผลต่อความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ ถูกชะตาหรือไม่ถูกชะตา แล้วส่งผลต่อการตัดสินใจและหรือพฤติกรรมของเรา



เคยไหมที่ไปร้านขนมญี่ปุ่น เห็นหีบห่อขนมแต่ละชนิดแล้วอยากกวาดซื้อหมดทั้งร้าน เพราะมันดูดีเหลือเกิน ต่อให้ขนมไม่อร่อยก็ดูอร่อย

เคยไหมที่เห็นอาหารบางสัญชาติดูเหมือนของบูดเน่า เมื่อมีภาพประทับแรกแบบนี้ โอกาสที่จะอร่อยกับมันก็คงยาก

ในโลกธุรกิจ first impression เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ หลักการคือใช้การนำเสนอที่ดีทำให้เกิดภาพประทับแรกที่ดี แล้วลูกค้าก็อยากจะซื้อสินค้านั้นๆ



ในโลกของการทำงาน first impression มีอิทธิพลชี้ว่า คนสมัครงานคนหนึ่งจะได้งานหรือไม่ได้งาน บุคลิก การพูดจา กิริยาท่าทาง แววตา รอยยิ้ม ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจ หากผู้สมัครมีกิริยาหลุกหลิก ไม่สบตาคน แคะจมูก พูดทีน้ำลายฟุ้งกระจายออกมา โอกาสที่จะถูกชะตากันก็ลดลง โอกาสจะได้งานไม่ต้องพูดถึง

ในการขายงานต่อลูกค้า หากลูกค้าเห็นหน้าคนเสนองานแล้วไม่ถูกชะตา ก็มีโอกาสที่เขาจะไม่ได้งาน



แม้แต่เรื่องการหาคู่ first impression ก็มีบทบาทสูง สมมุติว่าคุณเป็นหญิงสาวสวยมีชายหนุ่มสองคนมาจีบ คนแรกพูดจาไม่สุภาพ มีกลิ่นปาก เวลาพูดก็ไม่เคยสบตาด้วย คนที่สองสุภาพ ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี ฉายแววฉลาด รอบรู้ โอกาสที่คนแรกจะได้ควงคู่กับคุณคงเป็นชาติหน้าตอนบ่ายๆ แม้ว่าเขาจะเป็นคนดีแสนดี

ว่าก็ว่าเถอะ การตัดสินคนหรือวัตถุด้วย first impression เป็นอคติอย่างหนึ่ง คนเก่งและสินค้าดีจำนวนมากมายไม่ได้เกิดเพราะ first impression ด้านลบ
โลกไม่ยุติธรรมเลย! คนเราตัดสินกันที่เปลือกทั้งนั้น!

มีทฤษฎีซึ่งอธิบายการที่คนเราชอบตัดสินกันที่เปลือกว่า การตัดสินกันที่เปลือกอาจเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของเราที่ฝังรากมาแต่ดึกดำบรรพ์ในรูปของสัญชาตญาณ

บรรพบุรุษยุคหินของเราใช้ชีวิตในป่า มักมีเวลาเพียงเสี้ยววินาทีตัดสินสิ่งที่เห็นว่าเป็นอันตรายต่อตัวเองหรือไม่ ภาพประทับแรกบอกว่าสิงโตตัวนั้นจะกินเราหรือไม่ ผลไม้พันธุ์นั้นมีพิษหรือเปล่า คนป่าอีกเผ่าหนึ่งที่สวนทางกันจะทำอันตรายเราไหม

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสัญชาตญาณ love at first sight หรือ hate at first sight จะมาจากไหนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ความจริงคือตราบใดที่มนุษย์มีนัยน์ตา เราก็มักตัดสินเรื่องต่างๆ ที่เปลือกนอก

นี่มิได้ชี้แนะว่า การตัดสินคุณค่าของคนหรือวัตถุที่เปลือกนอกเป็นสิ่งดี แต่การเข้าใจกระบวนการทำงานของสมองด้าน first impression อาจช่วยให้เราไม่บ่นเมื่อถูกคนอื่นปฏิเสธ

มันทำให้เราเข้าใจว่าเราถูกปฏิเสธที่เปลือกนอกล้วนๆ ไม่ใช่ที่จิตวิญญาณของเรา

เราอาจถูกมองว่าไร้ค่า ทว่ามีแต่เราคนเดียวในโลกเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าเราไร้ค่าหรือไม่ เราไม่จำเป็นต้องเสียอารมณ์เพราะถูกคนอื่นปฏิเสธเพราะเปลือกนอก

สิ่งที่เราทำได้ก็คือข้ามพ้นการมองของคนอื่นโดยไม่ยี่หระ หรืออาจพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเรามีดีภายใน



หลายปีก่อน เมื่อผู้สร้างภาพยนตร์ชุด เจมส์ บอนด์ ประกาศเลือก แดเนียล เครก เป็นพระเอกคนต่อไป กระแสต่อต้านเครกสูงมาก มีการตั้งเฟซบุ๊ครวมพลคนต่อต้าน แดเนียล เครก เป็น เจมส์ บอนด์ เพราะภาพลักษณ์ของเขาดูไม่เป็นสายลับ 007 เลย อาจเพราะเขาเล่นบทผู้ร้ายชั่วๆ มาหลายเรื่อง จนเมื่อผลงานเรื่องแรกในบทบาท เจมส์ บอนด์ ออกฉาย เสียงต่อต้านก็เงียบกริบเป็นปลิดทิ้ง ปัจจุบันเขาได้รับการตัดสินว่าเป็น เจมส์ บอนด์ ที่ดีที่สุดคนหนึ่ง หรืออาจจะดีที่สุดด้วยซ้ำ
โชคไม่ดีที่ไม่ทุกคนมีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเองแต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเหยียบตัวเองซ้ำ


ข้อเสียของการติดอยู่กับของภาพประทับแรกคือการเสียโอกาสบางอย่าง การปล่อยให้คนมีฝีมือหลุดไป ในตำนาน สามก๊ก ซุนกวนเสียโอกาสที่ไม่ได้คนเก่งอย่างบังทองมาร่วมทีม เพียงเพราะคำว่า first impression คำเดียว



แบรด พิตต์ ดาราหนังที่เคยได้รับฉายา เซ็กส์ ซิมโบล เคยกล่าวว่า “เมื่อคุณเห็นใครคนหนึ่ง คุณเพียงดูแค่หน้าตาของเขาเท่านั้นหรือ? มันเป็นเพียงความประทับใจแรกเท่านั้น ทีนี้ก็มีคนที่ไม่เตะตาเตะใจคุณทันที แต่เมื่อคุณคุยด้วย และพวกเขากลายเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก เหล่านักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่พวกที่คุณเรียกว่า เซ็กส์ ซิมโบล หรอก”
ดาราหนังไม่ทุกคนที่เป็นนักแสดง
เราอาจไม่ใช่นักแสดง แต่เราทุกคนก็ต้องรับสองบทบาท บทบาทหนึ่งคือการถูกเลือก อีกบทบาทหนึ่งคือการเลือก

ในบทบาทการถูกเลือก ก็ปรับปรุงเปลือกนอกของเราให้ดูดีขึ้น มีเสน่ห์ขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายถึงการผ่าตัดใบหน้า มันอาจเป็นการปรับปรุงเรื่องเล็กๆ เช่น การพูดจา การเดินเหิน เปลี่ยนนิสัยให้มีเมตตามากขึ้น ไปจนถึงการเติมความรู้รอบตัวเข้าไป


การปรับปรุง ‘แพ็คเกจจิ้ง’ ของเราให้น่าดูขึ้นหรือให้มีเสน่ห์ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือหลอกลวง เพราะคนเก่งก็สามารถมีเสน่ห์ได้ แต่การปรับปรุงตัวเองให้สามารถภาพประทับแรกที่ดีต้องมาคู่กับการพิสูจน์ให้เห็นว่าภาพประทับแรกนั้นเป็นของจริง ไม่ใช่ของเก๊
ส่วนในบทบาทการเลือก ก็พัฒนาคุณภาพของ ‘นัยน์ตา’ ให้สามารถมองทะลุ first impression เพราะสิ่งที่อยู่เนื้อในต้องอาศัยตาที่แหลมคมจริงๆ จึงมองเห็น
การมองทะลุ first impression เข้าไปภายในเป็นเรื่องยาก ต้องมีวิสัยทัศน์ มีประสบการณ์ และบางครั้งต้องอาศัยความกล้าด้วย
การก้าวข้ามกับดักของ first impression ยากเอาการ...
ใช่ ยาก! เพราะถึงวันนี้ผมก็ยังไม่กินตับ!

วินทร์ เลียววาริณ
www.winbookclub.com



คมคำคนคม
Don’t be over self-confident with your first impressions of people.
จงอย่ามั่นใจเกินไปกับภาพประทับแรกของคน



สุภาษิตจีน
Almost everyone will make a good first impression, but only a few will make a good lasting impression.
คนเกือบทั้งหมดสร้างภาพประทับใจแรก แต่น้อยคนนักสามารถสร้างภาพประทับใจที่ดำรงอยู่เนิ่นนาน
Sonya Parker




1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss