1
2

ขอแค่เพียง 1 นาที


นาทีสุดท้าย ETC.



ขอแค่เพียง 1 นาที



ชายหนุ่มไฟแรงมุมานะทำงานอย่างมุ่งมั่น
เขามีความฝันจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์กับแฟนสาว
เธอจะมารอการกลับมาหน้าประตูบ้านเขาทุกวัน
เขาพบเธอยิ้มแย้มต้อนรับสนธนากันและเธอก็กลับไป
วันนี้เขากลับช้ากว่าปกติมาก
แต่แปลกที่ยังเห็นเธอยืนรอเช่นทุกวัน
“โทษทีนะที่รัก วันนี้มีงานด่วนเลยกลับช้า”
เธอยังยิ้มให้เขา
"คุณทำงานจนมีรถ มีบ้านอย่างที่ตั้งใจแล้ว ทำไมยังทำงานหนักอีก"
“ผมอยากมีบ้านที่มีบริเวณมากกว่านี้ รถที่ดูโอ่อ่ากว่านี้..เพื่อคุณนะจ้ะ”




เวลาผ่านไป1ปีหญิงสาวมาบ้างไม่มาบ้างแต่เขาไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องนี้
วันหนึ่งเธอเอ่ยถามเขา
“คุณมีเงินพอจะซื้อบ้านหลังใหญ่รึยัง”
“ขอเวลาอีกหน่อย ผมอยากซื้อแหวนวงใหม่มาเปลี่ยนให้คุณ”
เขาจุมพิตมือที่สวมแหวนทองวงเล็กเบาๆ
”ฉันบอกหรือว่าอยากได้แหวนวงใหม่”
“ผมอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ..ที่รัก”
3 เดือนแล้วที่เขาไม่เห็นเธอหน้าประตูบ้าน
วันนี้เขามีบ้านหลังใหญ่จึงตัดสินใจลางาน1วันเพื่อไปหาเธอ
เขาขับรถคันหรูผ่านเส้นทางที่ขรุขระอย่างยากลำบาก



“นี่คุณต้องเดินผ่านทางเส้นนี้มาหาผมทุกวันเหรอ..”
เมื่อมาถึงแม่ของเธอออกมาต้อนรับและมอบกล่องไม้ใบหนึ่งให้เขา
และบอกทางไปสถานที่ ที่เขาจะพบเธอได้
เนินเขาเล็กๆรายล้อมไปด้วยดอกไม้แท่นหินสลักชื่อหญิงสาวตั้งอยู่กลางเนิน
มือสั่นเทาเปิดกล่องไม้อย่างช้าๆ
ข้างในอัดแน่นไปด้วยกระดาษแผ่นเล็กเขาเริ่มอ่านข้อความทีละใบ




“วันนี้คุณกลับมาช้า ฉันรอ2ชม.ไม่เป็นไร ฉันรักคุณ”
“วันนี้ฝนตกฉันยังรอแม้ไม่เจอคุณ แต่ฉันยังรักคุณ”
“ฉันเริ่มป่วยจนไปหาไม่ได้คุณคงไม่ทันสังเกต แต่ฉันยังรักคุณ”
“วันนี้คุณบอกจะเปลี่ยนแหวนวงใหม่..คุณคงลืมว่าฉันตอบแต่งงานกับคุณ
เพราะแหวนวงนี้ ฉันยังรักคุณ”
ฉันป่วยมากจนไม่อาจไปพบคุณได้..ภาวนาให้คุณรู้สึกตัวสักทีว่าฉันแค่ต้องการคุณ
เพราะฉันรักคุณ”



…..ชายหนุ่มเรียนรู้แล้วว่าบางทีสิ่งที่เขาไขว่คว้ามาตลอดชีวิตอาจเทียบไม่ได้
กับสิ่งเล็กน้อยที่เขาเคยได้รับจนเป็นเรื่องปกติของทุกวัน
รถคันหรูแล่นไกลออกไปมีเพียง
กล่องแหวนเพชรราคาแพงหน้าหลุมศพที่ดูไม่เหลือค่าอะไรสำหรับเขาอีกต่อไป
ผมมีบ้านหลังใหญ่แต่คงกว้างไปสำหรับอยู่คนเดียว
ผมมีรถราคาแพงแต่ไม่รู้จะขับพาใครไปไหน
ผมมีเวลาอยู่กับงานครึ่งชีวิตแต่ไม่เคยมีเวลาที่จะได้อยู่กับคนที่ผมรัก
ตอนนี้ผมมีเงินมากมายแต่ไม่อาจซื้อเวลาเพียง1นาทีที่จะบอกรักเธอ
ผมมีทุกอย่างเพียบพร้อมแต่ขาดส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ได้
Fwd.

 




พรุ่งนี้..ไม่มีวันมาถึง


If Tomorrow Never Comes - Ronan Keating


พรุ่งนี้..ไม่มีวันมาถึง

เราต่างมีวันนี้ นาทีนี้ และวินาทีนี้เท่านั้น หลายครั้งที่เราบอก
กับตัวเองว่า "พรุ่งนี้" พรุ่งนี้ค่อยทำ 
พรุ่งนี้ฉันจะรักเธอ
พรุ่งนี้ฉันจะฝึกสมาธิ 

พรุ่งนี้ฉันจะกินมังสวิรัติ
พรุ่งนี้ฉันจะเลิกบุหรี่ 

พรุ่งนี้ฉันจะขอโทษเขา พรุ่งให้อภัย
สารพัดสารพันพรุ่งนี้....



แต่ พรุ่งนี้..ไม่เคยมาถึง 

ในความเป็นจริง เราไม่ได้มีชีวิตอยู่กับวันพรุ่งนี้ 
เรามีชีวิตอยู่ในขณะนี้ กับห้วงเวลานี้เท่านั้น
ไม่มีใครจะล่วงรู้ได้เลยว่าเสี้ยววินาทีต่อจากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้น
หากห้วงยามนี้ฉันหลับตาลง และหลับไปอย่างนิจนิรันดร์
คงมีหลายอย่างที่ฉันพลาดไป และไม่ได้ทำในชีวิต
หลายครั้งเรารอให้โอกาสมาถึง รอให้วันพรุ่งนี้มาถึง



แต่โอกาสไม่มีวันมาถึง วันพรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง
ทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้น
ไม่เพียงแต่เรากำลังหลอกตัวเอง แต่เรากำลังหลอกคนรอบข้าง
จริงแล้ว โอกาสอยู่ในมือเราแล้วตอนนี้ เวลานี้ โอกาสอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา
และก่อนที่เราจะมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ


พระพุทธเจ้าสอนเราให้อยู่กับ "ปัจจุบันขณะ"
อาจารย์ศิลป์ พีระศรี พูดว่า "พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว"
"โอโช" บอกเราว่า "Why Tomorrow?,Why not now.!"
ใช่สิ ทำไม...ทำไมไม่เดี๋ยวนี้! เราเคยลองถามตัวเองไหม
หากได้มองกลับเข้าไปในชีวิต เราชอบที่จะผลัดวันประกันพรุ่งให้กับตัวเอง
และชีวิต


จริงแล้วการผลัดวันประกันพรุ่งเป็นเพียงกลอุบายของจิต-ที่ทำให้เรารู้สึกมีความหวัง
แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราพลาดโอกาสไป
ในที่สุดเราก็จะมาถึงทางตันของชีวิต คือ "ความตาย" และ
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีโอกาสใดๆ หลงเหลืออีกเลยในชีวิต
ทำไมเราไม่ลองคิดว่า เราเหลือเพียงวินาทีสุดท้ายในชีวิต
เรากำลังจะตายไปจากโลกนี้ หรือโลกนี้จะแตกดับไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
หากคิดเช่นนั้น...ชีวิตเราคงจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง...



เราคงจะมีชีวิตอยู่กับ "ชีวิตจริงๆ" ของเรามากขึ้น
มากกว่าที่มีชีวิตอยู่กับบ้านหลังใหญ่ หรือหลังต่อไป รถคันใหม่
หรือคันต่อๆ ไป หรือตัวเลขที่เพิ่มขึ้น หรือลดลงในธนาคาร
เก้าอี้ในสำนักงาน ตำแหน่งที่วาดหวัง หรืออยู่กับการเข่นฆ่า
แย่งชิงความเป็นใหญ่ หรือการทำสงครามใดๆ ในโลก
คนส่วนใหญ่วางแผนการดำเนินชีวิตไว้ราวกับว่า
ชีวิตคือสิ่งที่ออกแบบได้ตายตัว และเป็นอมตะนิรันดร์



เขาวางไว้ว่าจะเรียนจบเมื่ออายุ 21 หลังจากนั้นทำงาน
เก็บเงินแต่งงานเมื่ออายุ 29 จะมีลูกเมื่อ อายุ 32
แล้วก็จะปลดละวางตัวเองตอนอายุ 50
เสร็จแล้วก็จะเดินทางค้นหาความจริงให้กับชีวิต หรือจะเข้าวัด
บ้างก็ว่าจะเดินทางรอบโลก บ้างก็ว่าจะพักผ่อนหาความสุขให้กับชีวิต
แต่เราแน่ใจได้หรือว่า วันเหล่านั้นจะมาถึง
หรือคุณจะมีชีวิตอยู่ไปจนถึงวันนั้น
ไม่หรอก...มันไม่มี เรามีเพียงวันนี้ และวินาทีนี้เท่านั้น
อย่าลังเลที่จะทำอะไร หรือเติมสิ่งดีๆ ให้ชีวิตเลย
การพักผ่อนไม่ใช่จะมีได้เมื่อตอนปลดเกษียณ
ฮันนีมูนก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้เฉพาะตอนแต่งงานใหม่ๆ



การจะบอกรักใครสักคนก็ไม่ใช่บอกในวันที่เขาลาจากโลกนี้ไปแล้ว
หรือบางครั้งเราเองต่างหากที่จะจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้บอกคำนั้นกับใครสักคน
การค้นหาความจริงแห่งชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน มันไม่มีป้ายบอก
วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต และวันหมดอายุ
มันมีอยู่จริงไม่ว่าเราจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่ก็ตาม
มีแต่ชีวิตเราต่างหากที่มีวันหมดอายุ


หากวันนี้เราคิดที่จะศึกษาหรือค้นหาความจริงแห่งชีวิต
ความจริงก็ได้เปิดออกอยู่ตรงหน้าเราแล้ว อย่ารีรออีกเลย
เพราะพรุ่งนี้... จะไม่มีวันมาถึง


จั่นเจา




หูตั้ง กับ เหมียว เหมียว



A dog sleeping with his KITTENS


หูตั้ง กับ เหมียว เหมียว
เจ้าหูตั้ง สุนัขตัวผู้ เป็นเพื่อนรักกับ “เหมียว เหมียว” แมวตัวเมีย ทั้งสองอยู่ร่วมในบ้านหลังหนึ่งอย่างมีความสุข 


วันหนึ่งเจ้าหูตั้งพลัดตกลงไปในร่องสะพานไม้ จนขาหัก เจ้าของนำมันไปรักษา แต่ก็รักษาให้เหมือนเดิมไม่ได้ เจ้าหูตั้งจึงไม่สามารถที่จะวิ่งไปวิ่งมาได้รวดเร็วเหมือนอย่างเคย มันรู้สึกเสียใจมาก ไม่ยอมกิน อะไร จนร่างกายผ่ายผอม  


วันๆ มันก็เอาแต่นั่งๆ นอนๆ มองดูขาที่พิการของมัน ด้วยความอาการเศร้าซึม และเป็นทุกข์ “ฉันกลายเป็นหมาพิการไปแล้ว ฉันวิ่งเล่นกับเธอไม่ได้” มันบ่นกับเหมียว เหมียว เพื่อนรัก 


เหมียว เหมียว รู้สึกเห็นใจเจ้าหูตั้งมาก จึงได้พูดปลอบใจว่า “อย่าเสียใจไปเลยหูตั้ง ลองดูที่ขาเธอซิ เห็นมั้ย เธอยังมีขาดีเหลืออยู่อีกตั้ง 3 ขา แล้วเธอก็ยังเดินได้ แค่วิ่งไม่ได้เท่านั้นเอง แล้วเธอยังมีหลายสิ่งในตัวที่ดีๆ อีกเยอะนะ ไม่ได้เสียไปทั้ง หมดหรอก” 


หูตั้งนิ่งฟังเพื่อนรัก พร้อมกับหันไปมองที่ขาของตัวเอง แล้วมันก็เห็นว่าจริงอย่างที่ เหมียว เหมียว พูด มันจึงเอ่ยขึ้นว่า “ก็จริงของเธอ แต่ฉันยังมีอะไรที่ดีกว่าขาที่พิการอีกล่ะ” 


“มีซิ ก็จมูกของเธอไง เธอมีจมูกที่ยอดเยี่ยม สามารถดมกลิ่นได้ดีกว่าฉันเสียอีก” 
“จริงซินะ” หูตั้งทำตาโตพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด 


เหมียว เหมียว จึงพูดต่อไปว่า “แล้วเธอยังมีสายตาที่เฉียบคม ไว้เฝ้ามองคนแปลกหน้า หรือพวกขโมยที่จะมาป้วนเปี้ยนแถวบ้านเรา” 


“ฉันก็ได้แต่เฝ้ามองเท่านั้นเอง เพราะฉันทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ไม่สามารถวิ่งไล่งับพวกหัวขโมยได้” หูตั้งรำพึง 


“ได้ซิ เธอลืมไปแล้วหรือว่า เสียงเห่าของเธอน่ะดังยังกับฟ้าร้อง ฟังดูน่ากลัวมาก บางครั้งฉันยังกลัวเลย แค่เธอส่งเสียงเห่าดังๆ มันก็ทำ ให้คนตกใจกลัวกันแล้ว” คำปลอบโยนของเหมียว เหมียว ทำให้หูตั้งคิดขึ้นได้ และมันก็กลับมาเป็นหูตั้งตัวเดิมที่มีความสุขอีกครั้งหนึ่ง

ยังมีเรื่องดีๆ ในชีวิตอีกมากมาย ที่บางครั้งหลายคนลืมมองดูตัวเอง การสูญเสียบางสิ่งบางอย่างในชีวิต มิได้หมายถึงการสูญเสียทุกอย่างของชีวิต อย่างน้อยๆ ชีวิตที่มีลมหายใจ ก็ยังมีโอกาสสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับตนและคนอื่นๆ


(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 106 กันยายน 2552 โดยไม้หอม)






จัดการงานบุคคลอย่างไร ถ้าลูกน้องไม่ทำงาน?


Lighthoues

คุณเคยคิดว่า การทำงานเพียงคนเดียว ตัดสินใจเพียงคนเดียว ขาดคู่คิด มันเป็นการสะดวกและตรงกับใจคุณ แต่คุณรู้มั้ยว่าการทำงานเป็นทีมจะช่วยให้งานคุณเสร็จเร็วขึ้น ผลงานดีขึ้นกว่าเดิม อย่าคิดว่าคุณอยู่คนเดียว จะดีกว่ามั้ย ถ้าวันนี้คุณมีทีมเวิร์คที่จะช่วยให้คุณสำเร็จและผ่านอุปสรรคไปสู่จุดหมายที่คุณฝันไ­ว้ได้




จัดการงานบุคคลอย่างไร ถ้าลูกน้องไม่ทำงาน?

“ถ้าเขาไม่ทำ ฉันทำเอง” นี่คือประโยคยอดฮิตที่เราทั้งพูดทั้งฟังมาตลอดใช่ไหม? 
เกือบ 90% ของเจ้าของธุรกิจหรือหัวหน้าแผนกโดยเฉพาะในธุรกิจเล็กๆ ที่ต้องรับหน้าที่อื่นๆ ไปด้วยนั้นมักมีปัญหากับการสั่งงานแต่กลับไม่ได้งานอยู่บ่อยๆ แต่พอเราลงมือทำเองงานเหล่านั้นก็ดูจะคืบหน้าไปได้เรื่อยๆ และเราก็มักต้องถามตัวเองว่า "แค่นี้เอง ทำไมถึงไม่ยอมทำกันนะ?"


จากเรื่องนี้มีอยู่ 3 มุมที่เราสนใจ 
เป็นไปได้ไหมว่างานที่งานที่เราให้ไปก็อาจมีขอบเขตกว้างเกินไป? 
ผ่อนเวลามากเกินไป? 
หรือบางครั้งเราก็ให้สิ่งที่เป็นไปไม่ ได้มากเกินไปในสายตาของเขา?


หรืองานที่เราให้ไปก็มีขอบเขตกว้างเกินไป ผ่อนเวลามากเกินไป หรือบางครั้งเราก็ให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากเกินไปในสายตาของเขา?


 ขอบเขตกว้างเกินไป
ปัญหาหนึ่งของลูกน้องคือไม่มีวันรู้เท่าทันหัวหน้าในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม เพราะบางครั้งสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผู้บริหารนั้นเป็นไปได้ ตั้งแต่กลยุทธ์ลับสุดยอดที่ต้องเก็บเงียบไว้ก่อน เพื่อใช้ต่อกรกับคู่แข่งทางธุรกิจ หรือเป็นการทดลองแนวคิดใหม่ซึ่งยังไม่รู้ผลเพื่อหวังจะผ่าทางตัน หรือแม้แต่กระบวนการลองผิดลองถูกที่กำลังวิเคราะห์สังเคราะห์อยู่ ฯลฯ การจ่ายงานย่อยที่ต้องรวมอยู่ในวิสัยทัศน์เหล่านี้นั้นเป็นเรื่องยุ่งยากหากบางทีเราเองก็พบว่า เราไม่สามารถเล่าภาพรวมทุกอย่างให้เขาฟังได้หมด นั่นคือสาเหตุที่หลายครั้งลูกทีมของเราเองก็จำเป็นจะต้องว่ายวนหรือหาข้อมูลซ้ำกับเราอยู่นานทีเดียว กว่าจะเริ่มต้นเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร และบ่อยครั้งการว่ายวนมันก็น่าง่วงเหงาหาวนอนมากทีเดียว


คำแนะนำหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ ให้ลูกทีมของเราได้อยู่กับสิ่งที่เขาจะต้องช่วยงานเราตั้งแต่ต้น ซึ่งจะกลายเป็นวิธีเพิ่มความเข้าใจให้กับลูกทีมครั้งละเล็กละ น้อยไปในตัว ภายใต้หลักความเชื่อที่ว่าลูกทีมที่ดีนั้นจะมีความคิดสร้างสรรค์เองได้หากเขาเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร นั่นแปลว่าเราจะสามารถได้คนที่เข้าใจในเนื้องานและสามารถริเริ่มหรือผลักดัน งานเพิ่มได้อีกหนึ่งคนเพราะความรู้สึกผูกพันกับงาน ไม่ใช่ผูกพันกับการทำตามคำสั่งแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนอีกทางหนึ่งที่คุณอาจลองดูได้ นั่นคือการให้เวลากับการอธิบายที่มาที่ไปของสิ่งที่มอบหมายให้ไปทำให้มากขึ้น ว่าเริ่มต้นมาจากสาเหตุใด และคาดหวังจะเห็นความคืบหน้าแค่ไหนจากผลงานเหล่านี้


 ผ่อนเวลาให้มากเกินไป
เดดไลน์เป็นสิ่งจำเป็นเพราะทุกงานจำเป็นจะต้องมีจุดสิ้นสุดของมัน ไม่ว่าจะด้วยเนื้อหาของงานหรือวาระอันเหมาะเมื่อควรหยุดหรือเสร็จงานก็ตามที


การสั่งงานใดๆ โดยไม่มีกำหนดเสร็จนั้นไม่ควรอนุญาตให้เกิดขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งเราควรทำให้การกำหนดเส้นตายในการทำงานให้เสร็จนั้นเกิดขึ้นจนเป็น วัฒนธรรมองค์กรที่ควรเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นจะเป็นการดีที่สุด การฝึกให้ลูกน้องหรือแม้แต่ตัวเราเองใส่ใจในการทำทุกอย่างให้เสร็จตามกำหนดงานแบบสั้นๆ ก่อนนั้นเป็นสิ่งที่ควรเริ่มฝึกให้เป็นนิสัย แล้วจึงค่อยพัฒนาเกิดเป็นการรายงานความคืบหน้าสำหรับงานที่มีกำหนดเสร็จระยะยาวต่อไป


 เป้าหมายเป็นไปไม่ได้มากเกินไป
การกำหนดเป้าอันสูงส่งนั้นทำให้คนที่ต้องปฏิบัติตามคิดไปได้สองทางในเวลาเดียวกัน คือ "ช่างเป็นเป้าหมายที่ท้าทายเสียจริง" หรือ "ช่างเป็นเป้าหมายที่เกินเอื้อมเสียเหลือเกิน"


การตั้งเป้าหมายให้ท้าทายแรงกำลังหรือความสามารถของตัวเรานั้นมักเกิดกับบรรดาผู้บริหาร การฝันให้ไกลและไปให้ถึงนั้นเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะฉุด องค์กรให้ก้าวไปข้างหน้า แต่เราเคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลานำเป้าหรือวิสัยทัศน์อันสูงส่งเหล่านั้นไปวางไว้ในมือของหัวหน้างานหรือพนักงานแล้ว ทำไมจึงได้รับเสียงสะท้อนกลับมาเป็นความสงสัยมากกว่าจะเป็นแรงฮึดสู้แทน?


ความไม่รู้เป็นชนวนสำคัญ ลูกทีมของเราไม่มีวันรู้ความสามารถในการทำเงินของบริษัทว่าเราไปรอดแน่ถ้าฮึดสู้ ถ้านั่นเป็นความลับที่มีแต่ผู้บริหารเท่านั้นที่รู้ได้ ลูกทีมไม่มีวันคาดหวังความร่วมมือจากทีมข้างเคียงที่จะช่วยสานฝันให้เดิมพันที่ผู้บริหารตัดสินใจจะมุ่งไปนั้นเกิดขึ้นได้หากไม่มีคำสั่งใดๆ กำกับไว้เลยว่าต้องทำงานร่วมกันในมุมไหนบ้าง และ อะไรจะเกิดขึ้นจากความร่วมมือนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่กลายเป็นจุดสะดุดที่ทำให้ลูกทีมอาจมองว่าเรื่องบางอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้หรอก ทั้งที่จริงๆ เป็นแค่การมองไม่เห็นความเป็นไปได้เท่ากับผู้บริหารซึ่งเชื่อมั่นหรือรู้ศักยภาพขององค์กรเป็นอย่างดีอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้นเอง

 
การจัดการคนในธุรกิจเล็กๆ
กลับมาในมุมของเจ้าของธุรกิจเล็กๆ หลายคนอาจบอกว่าการทำหน้าที่แทนคนอื่นหลายๆ อย่างจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่และทำคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรด้วย แต่เราอยากบอกว่าการเปิดโอกาสให้คนอื่นรับหน้าที่ของตนเองไปนั้นเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของทีมมากกว่า และเป็นการทำให้เรามีเวลาทำงานในส่วนบริหารของเรา นั่นคือการมองภาพมุม กว้างในธุรกิจของตัวเองได้ดีขึ้น รู้ถึงแง่มุมในหน้าที่ต่างๆ ว่าขาดอะไรไปบ้าง และสุดท้ายยังทำให้เราพอมีเวลาพักผ่อนได้บ้างอีกด้วย


ดังนั้นเราควรจะปรับแนวคิดใหม่เป็น “ถ้าเขาไม่ทำ? ฉันจะลงมือถ้าจำเป็น” น่าจะดีกว่า 
ลองดูตัวอย่างนี้ดูว่าทำไมเราจึงควรทำเช่นนั้น ถ้าคอมพิวเตอร์เราเสีย เราก็คงไม่กลับไปใช้ปากกากับดินสอแทนจริงไหม? 


แต่เราคงจะทำตามนี้:
ทดลองแก้ไขขั้นพื้นฐานด้วยตนเองก่อน
โทรเรียกช่างเทคนิคมาช่วยแก้ปัญหา
ซื้อเครื่องคอมใหม่มาใช้แทน


ซึ่งถ้าเปรียบเทียบเหตุการณ์นี้กับคนในทีมเรา ก็ควรจะทำแบบเดียวกัน:
ลองคุยกับคนในทีมดูก่อนว่าพอจะแก้ไขอะไรได้บ้าง
ลองให้ผู้เชียวชาญจากทีมอื่นๆ มาช่วยแก้และดูผลตอบรับ
ถ้าวิธีที่ผ่านยังช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ได้เวลายกเครื่องใหม่แล้ว เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคนในตำแหน่งนั้นๆ ของเราคงไม่เหมาะหรือไม่มีประสิทธิภาพพอสำหรับหน้าที่นี้แล้วล่ะ


แต่ก่อนหน้าจะทำแบบนั้น เราควรลองเช็คดูก่อนว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราต้องมานั่งทำเองอยู่ตลอดด้วย 3 ข้อแนะนำดังนี้


 1. ขอบเขตงานที่ชัดเจน
ทุกๆ คนในทีมต้องมีหน้าที่ที่ชัดเจนว่าต้องรับผิดชอบอะไร กำหนดให้ชัดเจนว่าตำแหน่งที่เลือกมานั้นต้องทำหน้าที่อะไรบ้างและคาดหวังผลที่ออกมากับหน้าที่นั้นๆ อย่างไร ก่อนที่จะเลือกคนให้เหมาะสมกับตำแหน่งนั้น


 2. มีเป้าหมายที่ชัดเจน
การเลือกคนในทีมนั้น นอกจากจะดูจากความสามารถและความเหมาะสมกับตำแหน่งงานแล้ว เราควรจะเลือกคนในทีมที่มีความมุ่งมั่นและลักษณะไปในทางเดียวกันจะช่วยให้การทำงานในทีมดำเนินไปอย่างราบรื่นมากขึ้น


 3. วัดที่ผลงานชัดเจน
หาวิธีที่จะวัดค่าผลของงานให้ได้ว่าทีมของเรานั้นไปถึงเป้าหมายเท่าไร ด้วยวิธีนี้จะทำให้เราควบคุมงานในองค์กรได้ง่ายขึ้นและยังทำให้เราได้ระลึกถึงคุณค่าของธุรกิจของเราเองอยู่เสมอ (หลายครั้งหมายถึงกำหนดเสร็จงานหรือเดดไลน์)

แต่หากสาเหตุของการที่เราต้องทำงานเองนั้นเราค้นพบในที่สุดว่าหมายถึงการมีคนในทีมไม่พอจริงๆ มากกว่า เราควรแก้ปัญหาด้วยการจ้างงานจะดีกว่า 


โดยเริ่มพิจารณาว่าการจ้างคนเพิ่มว่าเรากำลังต้องการคนมาช่วยเราทำอะไร? และคนที่เรารับเข้ามานั้นมีความเหมาะสมที่จะช่วยผลักดันให้สิ่งต่างๆ ในองค์กรนั้นไปถึงจุดหมายที่เราต้องการได้อย่างไร? และนำเขาเข้าสู่การวัดผลเมื่อทำงานอย่างเป็นรูปธรรม (ซึ่งสิ่งนี้จะนำความสบายใจไปสู่ผู้ปฏิบัติงานด้วย) เมื่อเราทำได้ทุกอย่างตามนี้แล้วเราจะพบว่าเราไม่ต้องลงแรงไปกับงานทุกๆ อย่างด้วยตัวคนเดียวอีกต่อไป

ที่มา : INCquity
incquity.com




Reset


เริ่มใหม่ได้ไหม - CraZy
Reset
ตำนานโบราณของชาวฟรีเจีย (อาณาจักรโบราณที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเปอร์เซีย ปัจจุบันคือตุรกี) เล่าว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วอาณาจักรแห่งนี้ไร้กษัตริย์ปกครอง โหรหลวงผู้มีญาณพิเศษพยากรณ์ว่า ใครคนแรกที่เดินทางเข้าเมืองโดยเกวียนเทียมวัวในวันนั้นจะได้เป็นกษัตริย์ ปรากฏว่าชาวนาคนหนึ่งนาม กอร์ดิอัส ผู้นั่งเกวียนเทียมวัวเข้าเมืองคนแรกในวันนั้นได้รับแจ็กพ็อตกลายเป็น กษัตริย์ (เห็นไหม ว่าตื่นเช้าก็ดีอย่างนี้!)
ตำนานเล่าว่า กษัตริย์กอร์ดิอัสทรงผูกเชือกขดหนึ่งเป็นเงื่อนปริศนา เงื่อนนี้ผูกอย่างสลับซับซ้อนจนไม่มีใครในอาณาจักรแห่งนี้สามารถแก้ได้ เล่ากันว่าเงื่อนนั้นผูกอย่างบรรจงจนไม่สามารถมองเห็นปลายเชือก ดังนั้นจึงแก้ไม่ได้ เรียกมันว่า เงื่อนกอร์เดียน (Gordian Knot)
กาลผ่านไปจนถึงปี 333 ก่อนคริสตกาล อเล็กซานเดอร์มหาราชทรงเดินทางผ่านไปทางนั้น เมื่อทรงได้ยินตำนานดังกล่าวก็ไปเยือนสถานที่เก็บเงื่อน ทอดพระเนตรสักพักหนึ่งก็ทรงชักดาบออกจากฝักฟันฉับเข้า เงื่อนกอร์เดียนที่เลื่องชื่อมานานปีก็คลายออกในบัดดล แน่ละ - ขาดเป็นท่อนๆ ! 
วลี Cutting the Gordian Knot จึงเป็นสำนวนหมายถึงการแก้ปัญหาแบบฉับเดียวจบ!
ตำนานนี้ตีความกันมากมาย บางคนว่าการแก้ปัญหาแบบ 'ฉับเดียวจบ' อาจไม่จบเพราะผิดกติกา แต่บางคนก็แย้งว่า บางทีอเล็กซานเดอร์มหาราชผู้เป็นศิษย์ของอริสโตเติลอาจมองปัญหานี้ทะลุแจ้ง ว่า เงื่อนกอร์เดียนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีธรรมดา เพราะผู้สานเงื่อนอาจถักเชื่อมปลายเชือกทั้งสองเป็นเนื้อเดียวกันก่อนผูก เป็นเงื่อน หรืออาจเป็นเชือกหลายขนาดในเส้นเดียวกัน ออกแบบมาเพื่อให้คลายไม่ได้ด้วยวิธีปกติ
ไม่ว่าจะตีความอย่างไร การแก้ปัญหาแบบฉับเดียวจบ สามารถใช้ได้ในโลกของชีวิตจริง  
นี่ก็คือการรีเซ็ท (Reset)
 เมื่อธุรกิจประสบปัญหาหนัก 
บางทีทางที่ดีที่สุดก็คือการรีเซ็ทนโยบาย ยุบบางแผนกตัดบางแขนงทิ้ง เริ่มใหม่จากศูนย์ แล้วเดินหน้าต่อไป เพราะบางครั้งการยุติอาจคุ้มกว่าการดำเนินงานต่อไป
 เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์รวนมากๆ ดื้อรั้นไม่ฟังคำสั่ง
บางทีทางที่ดีที่สุดก็คือการรีเซ็ทเครื่อง ลบทุกอย่างทิ้ง อัพโหลดโปรแกรมใหม่ เริ่มใหม่จากศูนย์ แล้วเดินหน้าต่อไป
 เมื่อเรียนสายวิชาที่ไม่ชอบ อึดอัด ไม่มีความสุขสักวัน
บางทีทางที่ดีที่สุดก็คือการรีเซ็ทความฝัน เริ่มต้นหาคณะวิชาใหม่ แล้วเดินหน้าต่อไป
 เมื่อทำงานที่ไม่ชอบ ทุกข์ทรมานเหมือนทำงานในนรก 
บางทีทางที่ดีที่สุดก็คือการรีเซ็ทชีวิต หางานสายใหม่ เริ่มใหม่จากศูนย์ แล้วเดินหน้าต่อไป
 เมื่อคิดงานไม่ออก คิดเท่าไรก็ไม่ต่างจากเดิม คิดจนหัวแทบระเบิดก็ยังวนเวียนในอ่าง 
บางทีทางที่ดีที่สุดก็คือการรีเซ็ทสมอง ชำระความคิดเก่าที่หมักหมมออกไปให้หมด เริ่มใหม่จากศูนย์ แล้วเริ่มต้นคิดใหม่
 เมื่ออกหักรักสลาย ถูกสลัดทิ้งเหมือนผ้าขี้ริ้ว
บางทีทางที่ดีที่สุดก็คือการรีเซ็ทหัวใจ ไม่ต้องตามง้อให้เสียเวลา เริ่มใหม่จากศูนย์ แล้วเดินหน้าต่อไป
 เมื่อเห็นลูกเล่นกับไฟ 
บางทีทางที่ดีที่สุดก็คือการรีเซ็ทโอกาส ตัดไฟแต่ต้นลม เริ่มใหม่จากศูนย์ แล้วเดินหน้าต่อไป
 เมื่อเจอเพื่อนบ้านสอดรู้สอดเห็น นินทาลับหลัง 
บางทีทางที่ดีที่สุดก็คือการรีเซ็ทสภาพแวดล้อม หาที่อยู่ใหม่ เริ่มใหม่จากศูนย์ แล้วเดินหน้าต่อไป
ไม่มีชีวิตของใครที่ราบรื่นไร้อุปสรรค ไม่มีใครมีความสุขทุกวัน ไม่มีใครไม่มีปัญหา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการวิเคราะห์ให้ออกว่า เรื่องนั้นๆ เป็นปัญหาจริงหรือปัญหาหลอก ถ้าเป็นเป็นปัญหาจริง มันเป็นปัญหาใหญ่หรือปัญหาที่รู้สึกไปเองว่าใหญ่ และถ้าเป็นปัญหาใหญ่ มันแก้ได้ด้วยการวิธีการซับซ้อนหรือด้วยการกดปุ่มรีเซ็ท
และเมื่อเลือกโหมด Reset แล้ว ก็ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องโทษใคร ไม่ว่าคนอื่นหรือตัวเอง ไม่ต้องโกรธ-เกลียด-กลัว-เศร้า กดปุ่มแล้วก็เดินหน้าต่อไป
วินทร์ เลียววาริณ
www.winbookclub.com
คมคำคนคม  The significant problems we have cannot be solved at the same level of thinking with which we created them.  ปัญหาสำคัญต่างๆ ที่เรามี ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยระดับความคิดที่เราสร้างพวกมันขึ้นมา
Albert Einstein
The best way to escape from a problem is to solve it.  ทางดีที่สุดในการหนีปัญหาคือแก้ไขมัน
Alan Saporta

1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss