1
2

ซานฟรานซิสโกฉลอง 75 ปี “สะพานโกลเดนเกต”


  

Golden Gate Bridge 75th Anniversary Fireworks Celebration





ซานฟรานซิสโกฉลอง 75 ปี 
“สะพานโกลเดนเกต


นครซานฟรานซิสโกจัดงานฉลองครบ 75 ปีการเปิดใช้สะพานโกลเดนเกต สะพานแขวนสีส้มแดงซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของรัฐแคลิฟอร์เนีย


เอเอฟพี - ประชาชนในสหรัฐฯ หลายพันคนเดินทางมายังอ่าวซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย (27 พฤษภาคม 2012) เพื่อร่วมงานฉลองครบรอบ 75 ปีสะพานโกลเดนเกต สะพานเหล็กสีส้มแดงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกปีละกว่า 10 ล้านคน


 
งานฉลองครั้งใหญ่ซึ่งจัดขึ้นโดยฝ่ายบริหารนครซานฟรานซิสโก มีทั้งการแสดงดนตรี, เต้นระบำ, การจัดแสดงรถและมอเตอร์ไซค์ย้อนยุค รวมถึงการจุดพลุดอกไม้ไฟบริเวณสะพานโกลเดนเกต ซึ่งเป็นประตูระหว่างอ่าวซานฟรานซิสโกกับมหาสมุทรแปซิฟิก


 
บรรยากาศเช่นนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 75 ปีที่แล้ว เมื่อสะพานโกลเดนเกตเปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งแรกในวันที่ 27 พฤษภาคม ปี 1937 ก่อนที่จะเปิดให้รถยนต์สัญจรไปมาได้ในวันถัดมา ซึ่งในขณะนั้นโกลเดนเกตถือเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก


จากการออกแบบโดยวิศวกร โจเซฟ สเตราส์ สะพานโกลเดนเกตมีความโดดเด่นยิ่งกว่าสะพานแขวนอื่นๆ ด้วยสีสันที่สะดุดตา ซึ่งได้รับการเลือกสรรโดยสถาปนิก ไอร์วิง มอร์โรว์ จนสะพานแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น “อินเตอร์เนชันแนล ออเรนจ์”


 
แต่เดิมนั้นสีส้มแดงของสะพานโกลเดนเกตมีจุดประสงค์เพื่อให้เรือที่ผ่านไปมาเห็นได้ถนัดชัดเจน และช่วยป้องกันสนิมซึ่งเกิดจากหมอกไอเกลือเหนือช่องแคบโกลเดนเกตด้วย


สะพานแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างนาน 4 ปี มีความยาว 2.7 กิโลเมตร กว้าง 27 เมตร เสาสะพานทั้ง 2 ต้นสูงเหนือระดับน้ำทะเล 746 ฟุต ขณะที่ตัวสะพานสูงจากผิวน้ำขึ้นมา 220 ฟุต คนเดินเท้าและจักรยานยนต์ก็สามารถใช้สะพานแห่งนี้ได้เช่นกัน


อย่างไรก็ตาม สะพานโกลเดนเกตยังมีประวัติอันน่าสยอง เพราะเป็นจุดที่คนนิยมมาฆ่าตัวตายกันมาก
หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิสไทม์สรายงานว่า เคยพบศพผู้กระโดดสะพานเสียชีวิตแล้ว 1,600 ราย และยังมีอีกหลายศพที่ไม่สามารถยืนยันได้


เฉพาะปีที่แล้ว มีผู้กระโดดสะพานฆ่าตัวตายถึง 37 คน ซึ่งเป็นปีที่มีสถิติคนฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับ 4 นับตั้งแต่สะพานแห่งนี้เริ่มเปิดใช้งาน


 
สะพานโกลเดนเกต (อังกฤษ: Golden Gate Bridge) ทอดยาวข้ามอ่าวตอนเหนือของเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาสร้างในสมัยประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ เมื่อปี ค.ศ. 1933 เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1937 ตอนกลางสะพานยาว 1,280 เมตร กว้าง 27 เมตร สูงกว่าระดับน้ำทะเล 67 เมตร มีทางรถยนต์ 6 ทาง รถบรรทุก 3 ทาง รถไฟ 2 ทาง ใช้งบประมาณก่อสร้างราว 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


สะพานโกลเดนเกตกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก เมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ สะพานกลายเป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาไปโดยปริยาย ปัจจุบันนี้เองผู้คนทั่วโลกเองก็ยังคงรู้จักสะพานโกลเดนเกตและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา และจากผลการสำรวจสถานที่ที่น่าประทับใจของสถาบันสถาปนิกอเมริกัน พบว่าอยู่ในอันดับที่ 5 ของสถานที่ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา
 :: flickr.com :::
: manager.co.th ::
:: วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ::





ครัวสุข ตอน สลัด


ベジタリズム


ครัวสุข ตอน สลัด
วันนี้ขอเสนอสูตรการทำสลัดอร่อย มีประโยชน์กับร่างกาย เสพแล้วสบายใจ ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก


1. สลัดลั่นทม


เครื่องปรุง
ต้นหรือใบหรือดอกลั่นทม, น้ำแข็ง, น้ำหวาน, ดอกรัก

วิธีทำ
ลั่นทม ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ก่อให้เกิดความรู้สึกโศกเศร้าระทม ยางของมันเป็นพิษและมีฤทธิ์เป็นกรด 


ดังนั้น สลัดลั่นทม จะอร่อยได้ ต้องทำลายฤทธิ์กรดพิษของมันเสียก่อน


นำต้นหรือใบหรือดอกลั่นทมมาแช่น้ำใน น้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัด ความเย็นจะทำให้ยางพิษของมันหลุดลอก มองเห็นแก่นแท้ของ ‘ลั่นทม’ ว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าการยึดติดของเราเอง


นำ ลั่นทมไร้พิษ นั้นมาปรุง โดยคลุกกับ กลีบดอกรัก เข้าไปในปริมาณตามชอบใจ ราดด้วย น้ำหวาน พอประมาณเพื่อข่มความขม ก็จะได้สลัดลั่นทมอร่อย เสพแล้วจะปลอดพิษ ‘ลั่นทม’ เข้าใจสัจธรรมของโลกว่า ทุกข์เกิดได้ ก็ดับได้


2. สลัดบ๊วย


เครื่องปรุง
บ๊วย, เนื้อสันติ์ใน, น้ำแข็ง, ยอดมัน, ดอกรัก


วิธีทำ
คล้ายๆ ต้นลั่นทม บ๊วย ก็ออกฤทธิ์กับระบบประสาทเช่นกัน ทำให้เกิดความรู้สึกยอมแพ้ ความอายเพื่อน และทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยไร้ค่า (Inferiority Complex)


เนื่องจาก บ๊วย เป็นของต่ำ (‘บ๊วย’) จึงต้องแก้ฤทธิ์ด้วยของสูงคือ ยอดมัน (‘ยอด’) นำบ๊วยมาคลุกกับยอดมันที่หั่นเป็นชิ้นๆ จนบ๊วยหมดฤทธิ์ ไม่เป็นพิษต่อผู้เสพ 


หลังจากนั้นนำมาคลุกกับ ดอกรัก จนเป็นเนื้อเดียวกัน เติม เนื้อสันติ์ใน (เนื้อในของสันติ) ในปริมาณตามใจชอบ ยิ่งมากยิ่งหอมหวาน อนึ่ง เนื้อสันติ์ในควรปรุงให้ ‘สุข’ ก่อนผสมในสลัด


กินแล้วได้ทั้ง ความอร่อยและสุขภาพใจดีเยี่ยม เพิ่มระดับสันติสุขในตัวเองและครอบครัว



3. สลัดระกำ

เครื่องปรุง
ระกำ, ดอกรัก, เนื้อสันติ์ใน, ดอกบานชื่น


วิธีทำ
ระกำ เป็นพืชตระกูลเดียวกับลั่นทม, ดอกโศก, สีเสียด และแสลงใจ มีฤทธิ์เป็นกรดละหยางสุดขั้ว ทำลายระบบความคิดของผู้เสพ ทำให้คิดไม่กระจ่างแจ้ง นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต่อการทำงานของหัวใจ ทำให้ใจไม่สงบ 


ดังนั้นการทำสลัดระกำที่อร่อย ต้องทำลายฤทธิ์ ‘ระกำ’ ลงเสียก่อน โดยการจุดไฟเผาระกำให้มันห่อตัวจนเหลือขนาดเล็กนิดเดียว


นำ ซากระกำ มาคลุกกับ ดอกรัก และ เนื้อสันติ์ใน จนเข้าที่ โรย กลีบดอกบานชื่น เพื่อให้กินแล้วชื่นบาน


กินบ่อยๆ อาการชอกช้ำระกำใจน่าจะลดหาย กินนานๆ ใจจะแช่มชื่นเป็นสุข เข้าใจสัจธรรมของชีวิตว่า ความระกำเป็นแค่การยึดติดของเราเอง


4. สลัดแห้ว

เครื่องปรุง
แห้ว, น้ำมัน, เนื้อสันติ์ใน, ดอกบานเย็น, น้ำหวาน


วิธีทำ
แห้ว ออกฤทธิ์ให้เกิดความรู้สึกยอมแพ้ต่อชะตากรรม มีธาตุหยินสุดขั้ว ก็คือธาตุลบนั่นเอง ทำให้มองทุกอย่างเป็นลบ กินเปล่าๆ จะทำลายระบบความคิด ทำให้จิตใจหดหู่ หม่นหมอง ซึ่งเป็นอาการหยินมากไป


ดังนั้นการทำสลัดแห้วที่ดี สิ่งแรกคือทำลายฤทธิ์หยินลงก่อน โดยการสับแห้วให้เป็นชิ้นเล็กละเอียด บดความเป็น ‘แห้ว’ ให้หมดไป หลังจากนั้น เจียวแห้วด้วยความร้อน (หยาง) ให้มันลดความเป็นลบลงจนสมดุล


คลุก แห้ว กับ เนื้อสันติ์ใน เติม ดอกบานเย็น เข้าไปมากๆ ราดด้วย น้ำหวาน เล็กน้อย


เสพเมนูจานนี้แล้ว อาการ ‘แห้ว’ จะลดลง ถ้ากินติดต่อกันนานๆ ก็จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับอาการแห้วอีก เข้าใจชีวิตว่า ถ้าไม่ท้อถอยเสียก่อน แห้ววันนี้ ยังมีสิทธิ์สำเร็จในวันพรุ่งนี้



5. สลัดสีเสียด

เครื่องปรุง
สีเสียด, ดอกพุทธรักษา, ดอกรัก, ดอกบานชื่น, น้ำแข็ง


วิธีทำ
สีเสียด เป็นพืชที่โดยตัวมันเองเป็นพิษ กินได้ในปริมาณน้อยโดยไม่ทำอันตราย แต่หากกินมากๆ จะออกฤทธิ์ให้ลมหายใจมีพิษ ทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ รับพิษไปด้วย ส่งผลให้เกิดความเกลียดชังซึ่งกันและกัน


การปรุง สลัดสีเสียดจึงต้องทำลายพิษเสียก่อนโดยการแช่ใน น้ำเย็นจัด ความเย็นทำให้อาการเกลียดลดลง โรย ดอกพุทธรักษา (5 ฟรือ 8 ดอกสำหรับฆราวาส 227 ดอกสำหรับพระ) พุทธรักษาจะลดพิษสีเสียดจนเจือจางและหายไป จากนั้นจึงนำสีเสียดที่ไร้พิษมาคลุกกับ กลีบดอกรัก หรือ ดอกพุทธรักษา โรยด้วย กลีบดอกบานชื่น


กินแล้วจะลดอาการอยากเสียดสีคนอื่นโดยสิ้นเชิง

สูตรสลัดเหล่านี้คือสูตรสลัดทุกข์ สลัดโศก สลัดความระทมระกำช้ำใจ สลัดความเป็นบ๊วย สลัดความคิดด้านต่ำ แล้วเติมหัวใจด้วยความรู้สึกดีๆ ปรุงกินได้บ่อยๆ ไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่แสลง กินแล้วมีความสุข ชีวิตสงบสันติไปอีกนาน


คมคำคนคม
Usually when people are sad, they don’t do anything. They just cry over their condition. But when they get angry, they bring about a change.


ปกติเมื่อคนเศร้าเสียใจ พวกเขาไม่ทำอะไร แค่ร้องไห้กับสภาพการณ์ของตน แต่เมื่อพวกเขาโกรธ กลับก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง


Malcolm X (1925 - 1965),
Malcolm X Speaks, 1965


วินทร์ เลียววาริณ




ฮวงจุ้ย ตอน จัด "ร้าน" ให้ได้ "ล้าน"


ฮวงจุ้ยเชิงวิทยาศาสตร์




ฮวงจุ้ย ตอน จัด "ร้าน" ให้ได้ "ล้าน"

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ :

เทคนิคจัด “ร้าน” ให้ได้ “ล้าน” ไม่ว่าฉบับหมอดูฮวงจุ้ย หรือฉบับมหาวิทยาลัยชื่อดัง แท้จริงเป็นเรื่องเดียวกัน นั่นคือ การถอดรหัสพฤติกรรมคนซื้อฮวงจุ้ย เรื่องที่ใครๆ บอกว่า ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ แท้จริงแล้ว ไม่ใช่ "ศาสตร์มืด"


ถ้าเปิดใจสักนิดจะเห็นชัดๆ ว่า ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของ สถิติ วิจัย การสังเกตพฤติกรรม ทิศทางลม แล้วจัดบ้าน ผังเมือง ให้สอดคล้องกับภูมิศาสตร์


ฮวงจุ้ย เรื่องที่ใครๆ บอกว่า ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ แท้จริงแล้ว ไม่ใช่ "ศาสตร์มืด" ถ้าเปิดใจสักนิดจะเห็นชัดๆ ว่า ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของ สถิติ วิจัย การสังเกตพฤติกรรม ทิศทางลม แล้วจัดบ้าน ผังเมือง ให้สอดคล้องกับภูมิศาสตร์


ศาสตร์ที่มีมานับพันปีจึงได้รับการถ่ายทอดสืบกัน และถ้าใช้ให้ศาสตร์นี้ทำให้รวยไม่รู้เรื่องทีเดียว




เชื่อหรือไม่ว่า 7 อีเลฟเว่น โมเดิร์นเทรดยุคใหม่ยังมีหลักการจัดร้านอิงกับฮวงจุ้ย เพราะหลักของการเลือกทำเลค้าขายที่ดี


ซินแสทุกคนล้วนกล่าวว่า ต้องเลือกทำเลที่มี "พลังชี่มากๆ" คือ ทำเลที่มีผู้คนสัญจรไปมามากมาย


ทุกที่ที่มีชุมชน มีผู้คน มีกำลังจับจ่ายใช้สอย ที่นั่นจึงต้องมี 7 อีเลฟเว่น ไปดักกระแสเงินสด


เช่นเดียวกันถ้าคุณอยากรวยต้องเลือกทำเลที่มีพลังชี่มากๆ ซึ่งวันนี้ BizWeek เวอร์ชันออนไลน์ มีเรื่องราวเกี่ยวกับฮวงจุ้ยการจัดร้านที่เก็บตกจากงานสัมมนา "ฮวงจุ้ย เติมเต็มพลัง SMEs" จัดโดยชมรมเครือข่ายธุรกิจ K SMEs Care สำหรับเป็น "คู่มือ" จัดร้านดักเงินลูกค้า



อ.วิศิษฐ์ เตชะเกษม ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย และสถาปัตย์ระดับแนวหน้าของวงการ บอกว่า

 การจัดตำแหน่งร้านค้าวางตามตำแหน่ง “ขุนเขา แห่งความสำเร็จ” ตามแนวดวงดาว นั่นคือ เต่าดำ มังกรเขียว เสือขาว และหงส์แดง


ไม่เกี่ยวกับตุ๊กตาที่ขายตามร้านเครื่องรางของขลัง หรือที่บรรดาซินแส นักดูฮวงจุ้ยพยายามขายให้ร้านค้า เพราะนี่เป็นตำแหน่งทางดวงดาวที่มีทุกร้าน


ตำแหน่งดวงดาวทั้ง 4 ที่วางทอดไปตามร้านค้า เมื่อยืนในร้าน 


*(หันหน้าออกหน้าร้าน)


ตำแหน่งซ้ายมือ คือ หัวมังกร ลำตัวมังกร และหางมังกร
ส่วนด้านขวามือหน้าร้าน คือ หัวเสือ ลำตัวเสือ และหางเสือตามลำดับ
ด้านในสุดหลังร้าน คือ ตำแหน่ง เต่าดำ และ ด้านนอกสุด เรียกว่า หงส์แดง


ตำแหน่งดวงดาวที่ว่า เกี่ยวพันกับเรื่องการวางสินค้าอย่างมาก ซึ่งอ.วิศิษฐ์ บอกว่า ตรงกันกับผลวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ถอดรหัสพฤติกรรมลูกค้า


ซึ่ง ตำแหน่งหัวมังกร ตามตำราฮวงจุ้ยจีน ว่าไว้ว่า เป็นตำแหน่ง “ขายดีที่สุด” หัวมังกร รองลงมา หงส์แดง กลางลำตัวมังกร ถัดมาเป็นหัวเสือ กลางลำตัวเสือ


ไม่ผิดกับผลวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็บอกว่า 
ตำแหน่งที่ลูกค้าเดินเข้าร้านแล้วเลี้ยวขวา ตำแหน่งนี้ยอดขายสูงสุด 20% ของร้านค้า 
เดินลึกเข้าไปทางขวามืออีกนิด ขายดีรองลงมาโดยทำยอดขายได้ 15% ของร้านค้า
ฉะนั้นสินค้าที่ต้องการเพิ่มยอดขาย หรือสินค้าออกใหม่ที่จะโปรโมท ตำแหน่งหัวมังกร หรือ ด้านขวามือเมื่อลูกค้าเดินเข้าร้านดีที่สุด


นอกจากนี้ลูกค้าที่เดินเลี้ยวขวามีโอกาสที่จะซื้อสูงกว่าลูกค้าที่เดินเลี้ยวซ้าย การจัดวางผังร้านจึงพยายามวางให้ลูกค้าเดินเวียนขวาให้ได้


แต่มีลูกค้าบางประเภทจัดอยู่ในหมวด “ผู้สังเกตการณ์” คือ ขอดูก่อน ลูกค้าประเภทนี้ไม่ชอบให้คนขายมาจู้จี้ ฉะนั้นผังร้านที่ดีต้องจัดวางตู้บังคับให้ลูกค้าเดินเลี้ยวขวา


“เพื่อให้ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมความคิด เพราะคนส่วนใหญ่ ด้านขวาก็คือความมั่นใจ”


นอกจากนี้ต้องให้ลูกค้าอยู่ภายในร้านให้นานที่สุด เพราะยิ่งนาน ยิ่ง “ดูด” เงินในกระเป๋าลูกค้าได้มากเท่านั้น


อ.วิศิษฐ์ บอกว่า ต้องล่อใจลูกค้าด้วยสัมผัสทั้ง 5 บรรยากาศร้านต้องสว่าง แต่อย่าให้แสงเท่ากันหมดทั้งร้าน “เหมือนคนหน้าแบน ไม่มีสิ่งดึงดูดใจ”


เทคนิคที่สถาปนิกฮวงจุ้ยคนนี้ แนะนำ คือ จัดแสงให้มีมิติ เปิดเพลงคลอเบา สร้างบรรยากาศให้ลูกค้าสบายใจที่จะเดินชม เดินช้อป ไปเรื่อย


  เรียงสินค้าเด่น สินค้ารอง

สำหรับการจัดเรียงสินค้าที่ต้องการขาย 


ต้องรู้จักจัดเรียงสินค้าเด่น สินค้ารอง เพราะ “ตัวเปรียบ” ทำให้สินค้าที่จะดัน “เกิด” หรือขายดีขึ้น
“ต้องมีสินค้าที่คุณภาพใกล้เคียงกันแต่ราคาแพงไร้เหตุผลมาวางคู่กัน และต้องมีสินค้าคุณภาพห่วยมาประกบ จะทำให้สินค้าของเราขายดีขึ้นกว่าวางไว้โดด”


งานวิจัยยังบอกอีกว่า 1 ใน 6 วินาที คนเราจะเก็บข้อมูลสินค้าได้ 7 อย่าง ดังนั้นการโชว์สินค้าต้องวางให้เป็นแผงอย่างน้อย 7 ชิ้นที่เหมือนกัน เพราะถ้าวางอย่างละชิ้น สมองก็จะไม่บันทึก โอกาสที่จะขายได้ก็น้อยตาม

 รวมทั้งการวางสินค้าต้องวางในระดับ “สายตา” ของคนชอปปิง


อ.วิศิษฐ์ บอกว่า มาตรฐานความสูงแม่บ้านไทยประมาณ 150 ซม. แต่ระดับสายตานักชอปจะก้มประมาณ 10 องศา หรือเท่ากับระดับ 120 ซม. จากพื้น นี่คือ ระดับสายตานักช้อป ที่จะมองเห็นตลอดแนวทางเดิน


เคล็ดลับยังไม่หมดเท่านี้ อ.วิศิษฐ์ มีเทคนิคให้อีกว่า ความกว้างของทางเดินก็มีผลทำให้ลูกค้ามองเห็นสินค้า ถ้าทางเดินแคบ มุมมองจะแคบโอกาสขายได้น้อยกว่าทางเดินที่กว้างอีกสักหน่อย


สำหรับสินค้าที่วางในเชลฟ์แล้วตาย เช่น ยาอม หมากฝรั่ง ถ่านไฟฉาย อ.วิศิษฐ์ แนะว่า ควรวางไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์เก็บเงิน เพราะระหว่างรอจ่ายสตางค์นานๆ ลูกค้าเบื่อๆ เซ็งๆ ก็หยิบติดไม้ติดมือไปเป็นของแถม ได้เงินเข้าร้านเพิ่มอีก


เทคนิคจัด “ร้าน” ให้ได้ “ล้าน” ไม่ว่าฉบับหมอดูฮวงจุ้ย หรือฉบับมหาวิทยาลัยชื่อดัง ล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน นั่นคือ การถอดรหัสพฤติกรรมคนซื้อ


แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่า ฮวงจุ้ย คือ คุณธรรม มโนธรรม จริยธรรม ของคนขายที่มีต่อคนซื้อ ที่จะกุมหัวใจลูกค้าไปตลอด


ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีที่มาของมัน

เอาง่ายๆ โลโก้ 7-ELEVEn มีใครเคยสังเกตบ้างมั้ยครับ

ว่าทำไมตัว n ที่อยู่ข้างหลังสุดถึงต้องเป็นตัวเล็ก ?

อ่าฮ่ะ! ไม่เคยสังเกตกันเลยละซี่!

หลายคน พอเห็นแล้ว อาจอมยิ้มคิดในใจ "เออ จริงด้วยว่ะ"

บางท่านตอนนี้อาจจะรีบวิ่งไปดูที่หน้าปากซอย

" เฮ้ยมันจริงแน่รึเปล่าวะ มาหลอกกันเล่นรึเปล่า ทำไมตูเดินผ่านอยู่ทุกวันๆ ไม่เคยเห็น " 

ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป รับรองว่าคุณจะมองเห็นมันทุกวัน

แล้วตกลง ทำไม n ถึงต้องเป็นตัวพิมพ์เล็กอยู่ตัวเดียวด้วย?

แน่นอนครับ อันนี้มันก็ต้องมีที่มาของมัน


ตำนานอันหนึ่งกล่าวไว้ว่า ผู้เป็นเจ้าของ 7-ELEVEn มีความเชื่อในเรื่องฮวงจุ้ย

จึงได้เลือกใช้อักษร n ตัวเล็กแทนที่จะเป็น N ตัวใหญ่

ทั้งนี้ก็เพราะ n เล็ก มีรูปร่างคล้ายกับแม่เหล็ก (ที่เป็นทรงเกือกม้า)
จะได้ทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวดูดเงินดูดทองเข้าร้าน

คอยนำมาซึ่งโชคลาภความเจริญรุ่งเรืองต่างๆ ให้แก่กิจการ




“ฮวงจุ้ย” ศาสตร์ขับเคลื่อนธุรกิจจริงหรือ??
ปัจจุบันนี้คำว่า “ฮวงจุ้ย” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการทำมาค้าขายและการลงทุนทำธุรกิจอย่างแยกไม่ออก ผู้ประกอบการไม่ว่ารายเล็ก รายกลาง หรือรายใหญ่ จำนวนไม่น้อยล้วนเชื่อถือในศาสตร์จีนที่สืบทอดต่อเนื่องกันมาหลายพันปีว่ามีส่วนสำคัญในการบันดาลโชคลาภให้กับกิจการร้านค้า

ภาพลักษณ์ของฮวงจุ้ย จึงถูกมองเป็นเรื่องของความเชื่อ หรือสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ทั้งนี้ในความเป็นจริง 

ฮวงจุ้ยคือการเรียนรู้ธรรมชาติและหลักปฏิบัติที่ทำให้มนุษย์อาศัยอยู่ในธรรมชาติได้อย่างมีความสุข

แล้วฮวงจุ้ยมาเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจได้อย่างไร จริงหรือไม่ที่ศาสตร์ฮวงจุ้ยส่งเสริมให้การทำมาค้าขายร่ำรวย

ลองมาหาคำตอบไขปริศนาปรัชญาฮวงจุ้ย แล้วลองใช้วิจารณญาณของท่านไตร่ตรองดูว่า ฮวงจุ้ย คือ ความเชื่อ หรือ หลักปฏิบัติ และสามารถช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้จริงหรือไม่


ปรัชญาฮวงจุ้ย หลักบริหารธุรกิจ
อาจารย์วิศิษฐ์ เตชะเกษม ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ฮวงจุ้ย ให้ทรรศนะว่า 

หลักฮวงจุ้ยของจีน คือ หลักปฏิบัติจากธรรมชาติที่สืบทอดกันจนกลายเป็นความเชื่อ แต่เป็นความเชื่อที่มีหลักการและเหตุผลรองรับ


เพราะศาสตร์ฮวงจุ้ยของจีนแฝงหลักปรัชญาไว้ 3 ข้อ คือ รู้ฟ้า รู้ดิน และรู้คน ซึ่งหากนำมายึดปฏิบัติสามารถใช้เป็นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้


อย่างคำว่า รู้ฟ้า คือ รู้จังหวะเวลาของธุรกิจ (Timing) ฤดูกาลนี้ต้องขายสินค้าอะไรถึงประสบความสำเร็จ เช่น ช่วงนี้คนกำลังบริโภคกาแฟ แต่คุณกลับไปขายโกโก้ แบบนี้คุณไม่รู้ฟ้า ไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริงของการทำธุรกิจในถูกช่วงเวลา


...ส่วน รู้ดิน คือ รู้ทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม (Location) คุณมีสินค้าที่ดีที่สุดที่สังคมต้องการที่สุด แต่ไปขายอยู่ห่างไกลมาก ขณะที่สินค้าของคนอื่นแม้ไม่ดีที่สุดแต่ตั้งขายใกล้กับคนซื้อก็ขายได้ เพราะต่อให้สินค้าคุณดีแค่ไหนคนก็ไม่ถ่อสังขารไปซื้อ เช่น คุณมีร้านอาหารที่อร่อยมากแต่คนต้องขับรถไปทาน หากคุณมาตั้งร้านอยู่ในทำเลดีที่ใกล้คนทานก็จะขายได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ฉะนั้นรู้ดินคือการวางสินค้าในตำแหน่งที่ถูกต้อง


...และสุดท้าย รู้คน คือ รู้จักการบริหารบุคคล (Human Resources) อันดับแรกรู้ตัวเองก่อนว่าเก่งเรื่องอะไร รู้ว่าคนที่ต้องการสินค้าของเราคือใครและอยู่ที่ไหน รวมถึงรู้จักใช้งานพนักงานและรู้จักพฤติกรรมของเจ้าหนี้ ซึ่งการรู้คนสำคัญที่สุด คนคือผู้ประสานฟ้าและดิน ต่อให้ฟ้ามอบจังหวะเวลาที่ดีที่สุดและดินมอบทำเลที่ดีที่สุดมาให้แต่ปรากฏว่าคนไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้ “


อาจารย์วิศิษฐ์มองความสัมพันธ์ของฮวงจุ้ยกับธุรกิจว่า การที่คนเราทำธุรกิจหรือทำอะไรประสบผลสำเร็จก็เพราะรู้เวลาที่เหมาะสม รู้สถานที่เหมาะสม รู้จักใช้คนที่เหมาะสม ทั้งหมดมีพื้นฐานมาจากวิชา 9 ดาวของจีน


เป็นวิชาที่อาศัยตำแหน่งของดวงดาวในจักรวาลคำนวณ และพยากรณ์สิ่งต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ จึงมีการนำหลักการนี้มาคำนวณเรื่องของสถานที่ตั้งอาคารบ้านเรือนและทิศทางแห่งโชคลาภ นี่คือสิ่งที่นักธุรกิจสนใจศาสตร์ฮวงจุ้ย โดยเฉพาะในเศรษฐกิจขาลง

อย่างน้อยมีอะไรมาเป็นที่พึ่งพิงทางใจ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะฮวงจุ้ย ตะกรุด หรือจตุคามรามเทพ ก็เกิดขึ้นได้ เพราะเหตุที่คนต้องการที่พึ่งทางใจยามเศรษฐกิจถดถอย หรือแม้แต่การไปไหว้พระตามวัดหรือการไปไหว้เจ้า สิ่งที่ผู้คนขออยู่ในใจก็คือความร่ำรวย


สำหรับความเชื่อที่ว่าแก้ฮวงจุ้ยแล้วทำให้ชีวิตทำให้ธุรกิจดีขึ้นนั้น อาจารย์วิศิษฐ์ให้มุมมองในประเด็นนี้ว่า


ถ้าวิชาฮวงจุ้ยแก้ได้ทั้งหมดก็คงไม่มีคนจน ผี่ชิว (ปี่เซียะ : สัตว์เทพสวรรค์ที่นำพาโชคลาภตามความเชื่อของชาวจีน) ตั้งไว้เฉยๆ แล้วทำให้รวยจริงคนจีนคงไม่เอามาขาย การที่บอกว่าแก้ฮวงจุ้ยแล้วทำให้ธุรกิจดีขึ้นนั้น หมายถึงให้นำหลักปรัชญาฮวงจุ้ยไปยึดปฏิบัติด้วย ไม่ใช่เชื่อในวัตถุอย่างเดียว

ผี่ชิว (ปี่เซี๊ยะ) คือ เทพลก กวางสวรรค์มี 1 เขา มีปากไม่มีทวาร เชื่อกันว่าทรัพย์มีแต่เข้าไม่มีออก ร้านค้าหรือธนาคารนิยมมีไว้ บูชาเพื่อเก็บกักเงินทองไม่ให้รั่วไหลขจัดสิ่งอัปมงคล  ว่าเทพเซียนปี่เซี๊ยะจะลงมาคุ้มครองและให้โชคลาภนับแต่นี้ไปอีก 20 ปี 
ผี่ชิว เป็นที่รู้จักในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมซึ่งมีคนรู้จักน้อยมาก หากใครมีโอกาสไปเยือนประเทศจีนจะพบว่าสัตว์ตัวนี้ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในหมู่ผู้ทำมาค้าขาย ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และหน้าผ่อนการพนัน เพราะเชื่อว่าตั้งไว้เพื่อดูดทรัพย์พวกนักเล่น นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า  ผี่ชิว  สามารถปกป้องคุ้มภัย ขจัดสิ่งอัปมงคล เมื่อได้ทรัพย์สินเงินทองมาแล้ว การใช้จ่ายจะรั่วไหลออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


สมมติได้ ผี่ชิวไปตัวหนึ่ง แต่คนที่ได้รับไม่ได้ปฏิบัติตนเหมือน ผี่ชิว คือขยันและอดออมก็ไม่มีทางที่จะร่ำรวยได้ หรือซินแสแนะให้แก้ฮวงจุ้ยให้ปรับปรุงบ้านสร้างประตูให้มีโชคลาภ ปรับทำทำเลที่นั่งทำงานตำแหน่งทิศที่ดี วางทุกอย่างตามหลักฮวงจุ้ยทั้งหมด เสร็จแล้วเจ้าของบ้านเจ้าของธุรกิจไม่คิดปรับปรุงวิธีการทำงานบริหารธุรกิจเลยก็ไม่มีทางรวยหรือประสบความสำเร็จได้


เราพูดว่าตัวหนึ่งคือวัตถุ ตัวหนึ่งคือหลักการ ถ้าเราเอาวัตถุมาผูกติดตัวเหมือนเราสวมพระแต่ไม่มีธรรมในใจ เราก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตที่ดีได้ ซึ่งปรัชญาหรือหลักการของฮวงจุ้ยคือสัจธรรม ถ้าเรานำด้านวัตถุอย่างเดียวมาใช้ก็เหมือนได้เครื่องมือมาตั้งไว้เฉยๆ ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเรานำหลักการเนื้อหามาปฏิบัติก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้


“ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่อยู่ด้วยความเชื่อ อย่างทฤษฎีที่บอกว่า SME ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ก็คือหลักปฏิบัติ แต่พอไปอบรมวิทยากรบอกว่า SME ต้องเตรียมทุนสำรอง ต้องรักษาสภาพคล่อง พวกนี้เป็นความเชื่อ เป็น Trust ที่ไม่ใช่ความแท้จริง แต่เป็นความเชื่อว่าถ้าทำแล้วจะประสบความสำเร็จ อย่างเช่น เราเห็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้วนำวิธีการของเขามาทำตาม อย่างนี้ถือเป็นความเชื่อ แต่ถ้าบอกว่าการจะประสบความสำเร็จเราต้องลงมือทำเอง สิ่งนี้คือความจริง”


อาจารย์วิศิษฐ์ ให้ข้อคิดว่า ต้องให้ความเข้าใจนักธุรกิจว่าฮวงจุ้ยมีหลักปรัชญาแฝงอยู่ ต้องนำหลักปรัชญามาใช้ การปฏิบัติตามหลักปรัชญาคือ การพึ่งพาตัวเอง ไม่ใช่การพึ่งพาวัตถุ เมื่อใดก็ตามที่นักธุรกิจพึ่งพาตัวเองได้ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไรก็สามารถอยู่รอดได้ แต่ถ้ายังต้องพึ่งพาสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ เมื่อจมน้ำก็ต้องมีคนมาดึงขึ้น


แต่เมื่อไหร่ที่เราว่ายน้ำเป็นก็ไม่ต้องมีคนช่วย หรือถ้าว่ายน้ำเป็นแล้วมีคนมาช่วยดึงขึ้นอีกก็ถือเป็นกำไร หรืออาจจะบอกว่าฮวงจุ้ยเป็นพาหนะที่จะนำพาไปสู่จุดมุ่งหมายได้เร็วขึ้น เปรียบเหมือนเรือพาเราไปถึงฝั่ง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ควบคุมเรือหรือกัปตันด้วยถ้ามีความประมาทหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องเรือก็อับปางได้ ฮวงจุ้ยก็อับปางได้เหมือนกัน เพราะฮวงคือลมที่พาใบเรือ และจุ้ยคือน้ำที่พยุงเรือข้ามอุปสรรคไป แต่สิ่งที่จะนำให้ข้ามไปได้ไม่ใช่เรือแต่อยู่ที่คนดูแลเรือ

  ฮวงจุ้ยดี ทำเลดี ธุรกิจดี

ในขณะที่อาจารย์มาโนช ประภาษานนท์ ซินแสและนักเขียนเกี่ยวกับศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ฮวงจุ้ยคือเรื่องราวของธรรมชาติ ฮวงคือลม จุ้ยคือน้ำ วิถีชีวิตของคนสมัยก่อนต้องพึ่งสองสิ่งนี้ ไม่ว่าในเรื่องการเลือกทำเลที่ตั้ง หรือวิถีชีวิตในการอยู่อาศัย


จุดกำเนิดของวิชาฮวงจุ้ยมาจากการที่มนุษย์ต้องประสบปัญหาจากภัยธรรมชาติ จึงมีการคิดค้นหาวิธีเพื่อเลือกว่าอยู่ตรงไหนแล้วจะปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ ที่ตรงไหนอยู่แล้วดีมีความสุข แต่เหตุผลที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าฮวงจุ้ยคือเรื่องราวลึกลับ เป็นเพราะไม่เข้าใจถึงหลักฮวงจุ้ยที่แท้จริง


แต่เชื่อเพียงเพราะตำราว่ามา ซึ่งหากได้ศึกษาถึงรากเหง้าของฮวงจุ้ยจะพบว่าสามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย


“ในตำราฮวงจุ้ย ส่วนใหญ่จะเขียนไว้แค่ข้อห้ามและผลที่จะเกิดขึ้น โดยไม่ได้อธิบายเหตุผลไว้ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหลักที่แท้จริง เวลาเชื่ออะไรก็จะยกมาทั้งหมด ทั้งที่ความจริงฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของเหตุผล เช่น ห้ามไม่ให้สร้างบ้านประตูตรงกันเงินทองจะไหลออก หากวิเคราะห์ตามหลักความจริง

ในประเทศจีนต้นกำเนิดฮวงจุ้ยเป็นเมืองหนาว หากสร้างประตูบ้านตรงกันจะเป็นการดึงลมหนาวเข้ามาทำให้คนในบ้านไม่สบาย เมื่อไม่สบายก็ต้องเสียเงินค่ายาค่ารักษา นี่คือเหตุผลว่าทำไมเงินถึงไหลออก แต่เมืองไทยใช้หลักข้อนี้ไม่ได้เพราะเป็นเมืองร้อนต้องสร้างประตูให้ตรงกันทำให้ดึงลมจากด้านหน้ามาด้านหลังบ้านจะเย็นสบายขึ้น หรืออย่างเรื่องกระแสการไหลของน้ำ หากจะสร้างบ้านต้องสร้างอยู่ในตำแหน่งไหน

แต่ปัจจุบันเราใช้ถนนเป็นเส้นทางคมนาคมหลัก ดังนั้น น้ำที่ว่าในปัจจุบันจึงหมายถึงถนน แต่บางคนยังไปยึดติดว่าเป็นน้ำอย่างเดียว”


สำหรับหลักฮวงจุ้ยกับการทำธุรกิจมีความสัมพันธ์กันอย่างไรนั้น อาจารย์มาโนช อธิบายว่า ฮวงจุ้ยช่วยในเรื่องของการเลือกทำเลที่ตั้งที่ดี หรือ Place ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในหลักการตลาดพื้นฐาน 4P แต่ก็ต้องมีปัจจัยอย่างอื่นเข้ามาเสริมด้วย เช่น คุณขายก๋วยเตี๋ยว ได้เลือกทำเลที่ตั้งดีแล้ว แต่ก๋วยเตี๋ยวคุณไม่อร่อยยังไงก็ไปไม่รอด หรือถึงอร่อยแล้วแต่ขายแพงมากคนก็ไม่ทาน ทุกอย่างต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่เรื่องฮวงจุ้ยอย่างเดียว คนเราจะประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยเดียว


“หลักฮวงจุ้ยในการเลือกทำเลของแต่ละธุรกิจไม่เหมือนกัน บางธุรกิจต้องอยู่บนถนนใหญ่ บางธุรกิจต้องอยู่ในซอย อย่างโรงพยาบาลต้องอยู่ในตำแหน่งที่มีทางเข้าออกหลายทาง เพราะคนเข้ามามีเรื่องด่วนทั้งนั้น หรือห้างสรรพสินค้าต้องเลือกฝั่งกลับบ้านไม่ใช่ฝั่งเข้าเมือง เพราะตอนเย็นคนกลับบ้านจะแวะซื้อของมากกว่า



หรืออย่าง ทางสามแพร่ง คนส่วนใหญ่กลัว แต่ในแง่ธุรกิจมันเป็นทั้งบวกและลบ 
ข้อดี ในเชิงธุรกิจคืออยู่ตรงสามแยกโอกาสถูกมองเห็นมากกว่าคนอื่น 
ส่วนข้อเสีย เช่น ถ้าถนนแคบก็จอดรถหน้าร้านไม่ได้ ฮวงจุ้ยจะสอนเรื่องพวกนี้ ถนนโค้ง อยู่โค้งไหนถึงจะดี ตรงนี้ได้ประโยชน์ ตรงนั้นเสียประโยชน์ เป็นเรื่องกระแสของการไหลเหมือนกระแสน้ำ”


อาจารย์มาโนชกล่าวว่า ฮวงจุ้ยเป็นความเชื่อส่วนบุคคล สิ่งสำคัญที่ฮวงจุ้ยให้กับมนุษย์คือสอนให้เรียนรู้และปรับตัวเพื่ออาศัยอยู่ในธรรมชาติได้อย่างมีความสุข ทุกวันนี้ที่เกิดปัญหาภัยพิบัติต่างๆ ก็เพราะมนุษย์ห่างไกลจากธรรมชาติมากขึ้นทุกที


สมัยก่อนเวลาสร้างบ้านจะคิดว่าต้องหันหน้าบ้านไปทางทิศไหนบ้านถึงจะเย็น แต่คนในยุคปัจจุบันบอกว่าไม่เห็นต้องยุ่งยาก ร้อนก็เปิดพัดลมหรือเปิดแอร์ นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้เรียนรู้ธรรมชาติ ยิ่งประเทศตะวันตกด้วยแล้วจะมองทุกอย่างเป็นเรื่องของวัตถุ คิดว่าสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ถึงไม่มีดวงอาทิตย์ก็ใช้ไฟฟ้าได้ แต่คนสมัยก่อนไม่มีของพวกนี้ วิถีชีวิตจึงต้องพึ่งธรรมชาติเป็นหลัก

 
  ใช้ความเก่งที่มีจับโอกาสที่ซ่อนอยู่
ทางด้านอาจารย์มาศ เคหาสน์ธรรม ผู้ก่อตั้งสถาบันค้นคว้าวิชาการฮวงจุ้ยแห่งประเทศไทย มองว่า โลกมีสิ่งเคลื่อนไหวอยู่สองอย่าง วัตถุใดมีการเคลื่อนตัวจะมีการนำพลังงานมาให้ ลมพัดไปทางไหน น้ำไหลไปทางไหนก็เอาพลังงานไปทางนั้น


สมัยก่อนคนเราจะเลือกทำเลที่เป็นจุดรับลมดีรับกระแสน้ำได้ดี แต่ปัจจุบันทำเลดีมีจำกัด ก็ต้องหาทางออกแบบให้รับกระแสพลังเพิ่มขึ้นหรือการแก้ฮวงจุ้ยนั่นเอง และตามหลักของฮวงจุ้ยเชื่อว่าชีวิตคนเราจะรวยหรือจน ดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ ได้แก่

หนึ่ง ชะตามนุษย์ คือ ความรู้ความสามารถ ถ้าไม่มีความรู้ความสามารถทำธุรกิจอะไรก็ไม่สำเร็จ แต่เก่งอย่างเดียวก็ยังไม่รับประกันว่าจะเจริญรุ่งเรือง


สอง ชะตาฟ้า คือ วันเดือนปีเกิดของทุกคน เช่น ปีนี้ปีฉลูถ้าดวงเราชอบปีฉลูที่เป็นธาตุดิน แปลว่าปีนี้พลังของจักรวาลดีกับเราหมดจะกระตุ้นให้คิดอะไรเข้ากับจังหวะ เข้ากับโอกาสของจักรวาลได้ดีขึ้นเรียกว่าดวงดี เวลาไปแสวงหาโอกาสก็พบโอกาสใหญ่ๆ คนเก่งเท่ากัน ความพยายามเท่ากันแต่ความสำเร็จอาจไม่เท่ากันเพราะจุดนี้


และ สามชะตาดิน คือ พลังงานจากสิ่งแวดล้อม สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่เป็นเหมือนกล่องหนึ่งกล่อง กล่องนี้หันรับลมรับน้ำ รับพลังแม่เหล็กโลกทิศไหนเข้ามา ถ้ารับพลังดีเข้ามา คนที่ทำงานอยู่ในนั้นก็สะสมพลังเข้าไปกระตุ้นให้คิดให้ทำอะไรต่างๆ ได้ดีขึ้นเป็นจุดที่ช่วยเสริมได้


“เทียบง่ายๆ เหมือนกับเวลาเราว่ายน้ำ ชะตามนุษย์คือฝีมือความสามารถ ต้องว่ายน้ำเป็นก่อน แต่ว่ายเก่งก็ยังไม่รับประกันว่าจะได้รางวัล ชะตาฟ้าคือจังหวะแม่น้ำ ช่วงไหนดวงเราไม่ดีก็เหมือนกับว่ายทวนน้ำทำให้เหนื่อยมาก ความเก่งเท่ากันได้ประโยชน์น้อยกว่า แต่ถ้าดวงดีว่ายตามน้ำ น้ำดันเราไปข้างหน้าตลอดเวลาก็จะออกแรงน้อย คนที่ดวงดีคือไม่ต้องเหนื่อยมากแต่ได้ความสำเร็จ ส่วนชะตาดินเหมือนมีทุ่นช่วยหรือใส่เสื้อชูชีพ ออกแรงน้อย แต่ตัวยังลอยอยู่ได้ตลอด”


อาจารย์มาศกล่าวว่า การมีฮวงจุ้ยดีมีโอกาสสำเร็จไปแล้ว 60-70 เปอร์เซ็นต์ เวลานำฮวงจุ้ยมาปฏิบัติคือเลือกทำเลที่อยู่ในจุดกระแสพลังเลือกอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างรูปทรงค่อนข้างสมดุล สำนักงานหรือร้านค้าควรอยู่ในจุดที่ประตูต้องมองเห็นโล่งๆ ยิ่งถนนที่มองเห็นรถมาจากไกลยิ่งดี หรืออย่างทางสามแพร่งก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไป ตรงกันข้ามถ้าเจอองศาดีจะยิ่งดี ซึ่งวิธีการจัดฮวงจุ้ย


เริ่มแรกต้องดูประเภทของธุรกิจ ถ้าเป็นประเภทธาตุไม้ เกี่ยวกับความสวยงาม การศึกษา ศิลปวิทยาการต่างๆ ก็ต้องออกแบบอาคารเป็นรูปทรงสูงๆ หรือเช่าออฟฟิศอยู่ตึกสูงๆ จะประสบความสำเร็จดี


ส่วนธุรกิจเดินทางเป็นธาตุน้ำต้องออกแบบอาคารให้เป็นลูกคลื่นๆ ร้านค้าต้องมีประตูกินกว้างๆ ไม่มีอะไรขวางลมขวางอากาศ สรุปได้ว่าหลักฮวงจุ้ยกับธุรกิจเกี่ยวข้องกันในเรื่องการสร้างจุดรับพลังที่ดีเข้ามา ถ้าพบองศาทิศทางพลังงานดีก็จะกระตุ้นเจ้าของธุรกิจให้คิดกลยุทธ์ที่ดีออกมาสอดคล้องกับโอกาสได้


“อยากฝากไปถึงผู้ประกอบการที่กำลังปรับตัวในภาวะเศรษฐกิจถดถอยว่า ทิศโชคลาภปีนี้ คือทิศตะวันออกเฉียงใต้ ให้ตั้งพัดลมในทิศนั้นเป่าลมเข้าเพื่อดูดพลังดีเข้ามาใส่ตัวเพื่อช่วยให้คิดกลยุทธ์ได้ดีขึ้น 
ส่วนกลยุทธ์ที่ดีคือกลยุทธ์ที่มีความโดดเด่นแตกต่าง ภาพวงกลม หยิน-หยาง ในสีขาวมีสีดำ ท่ามกลางสีดำเราก็จะมองสีขาว เห็นสิ่งที่เด่นชัดเพราะธรรมชาติของมนุษย์ชอบมองหาสิ่งที่โดดเด่น แตกต่าง


ถ้าอยากจะรวยหรือเจริญรุ่งเรือง ต้องคิดให้แตกต่าง ในวิกฤตมีโอกาส ท่ามกลางความเหมือนกันของสินค้าทั้งหมด ถ้าเรามีความต่างขึ้นมาก็ขายได้ เพราะเศรษฐกิจไม่ดีไม่ได้แปลว่าทุกอย่างเป็นศูนย์ ยังมีการบริโภคอยู่ตลอดเวลา ถ้าทำให้การบริโภคนี้มาซื้อสินค้าเราได้ก็ยังรวยได้ เพราะหลักการของฮวงจุ้ย คือ ใช้ความเก่งที่เรามีไปจับโอกาสข้างนอกที่ซ่อนอยู่”


ฮวงจุ้ยพลิกธุรกิจ

เคยไหม!!! ที่ทำสินค้าออกมาแล้วขายไม่ได้
เคยไหม!!! ที่สร้างแบรนด์หรือตราสินค้าแล้ว แต่ไม่เป็นที่นิยม


แน่นอนว่าในการดำเนินธุรกิจ เรื่องเหล่านี้ต้องเคยเกิดขึ้นกับหลายๆ คน แล้วคุณหาทางออกให้กับปัญหาเหล่านี้อย่างไร? บางคนเลือกที่จะพัฒนาสินค้าหรือแบรนด์ให้ดีขึ้น ขณะที่บางคนเลือกที่จะเปลี่ยนไปหาตลาดใหม่ๆ แต่สำหรับเจ้าของบริษัท ที.ซี.เอ็น. พาณิชย์ จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์อย่าง “จริยา เอื้อสุขตระกูล” เลือกใช้ศาสตร์ฮวงจุ้ยเป็นทางออกให้กับปัญหา


จริยาเล่าถึงประสบการณ์ในอดีตให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2537 ได้ขยายตลาดสู่การส่งออก โดยขณะนั้นอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในบ้านเรายังไม่ให้ความสำคัญกับเรื่อง “แบรนด์” แต่ด้วยปัญหาหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องกลับมาคิดถึงการสร้างแบรนด์เพื่อส่งออก แต่ 3-4 แบรนด์ที่ได้พยายามสร้างขึ้นมานั้น ไม่ว่าจะเป็น T.C.N หรือ T RUBBER กลับไม่ประสบความสำเร็จเลย


จนกระทั่งได้เชิญซินแสท่านหนึ่งให้มาช่วยแก้ฮวงจุ้ย เพราะเกิดความคิดว่า บ้านยังปรับฮวงจุ้ยได้เลย ตัวแบรนด์สินค้าก็น่าจะปรับได้เช่นกัน และด้วยความเชื่อถือในศาสตร์ฮวงจุ้ย เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วในช่วงปี 2536 ที่มีหนี้สินกว่า 150 ล้านบาท เคยคิดจะฆ่าตัวตาย แต่เมื่อได้ปรับฮวงจุ้ยบ้านและโรงงาน ทุกอย่างก็ดีขึ้น ธนาคารเจ้าหนี้ยอมให้ปรับโครงสร้างหนี้ การติดต่อค้าขายทำได้สะดวกมากขึ้น


ดังนั้น การปรับฮวงจุ้ยของแบรนด์ก็เกิดขึ้น ซึ่งซินแสได้นำวันเดือนปีเกิดของเธอมาดู พร้อมกับบอกว่า ในเมื่อทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับของหนักอย่างเหล็ก ก็ต้องใช้ของหนักมาสร้างเป็นแบรนด์ จึงเป็นที่มาของการเลือกใช้ “ช้าง” และ “รถยนต์” พร้อมกับมีตัวอักษรภาษาอังกฤษ “JAY” ซึ่งย่อมาจากชื่อ จริยา มาประกอบเป็นโลโก้ใหม่ ซึ่งนอกจากตัวอักษรและสัญลักษณ์ต่างๆ แล้ว ยังมีในเรื่องของสีที่เป็นมงคลเพิ่มเข้ามาเป็นองค์ประกอบด้วย และทั้งหมดก็กลายเป็นแบรนด์ใหม่ในชื่อว่า “PERFECT”


“หลังจากปรับแบรนด์และโลโก้ใหม่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มีโอกาสได้เจอลูกค้าจากดูไบ เขาต้องการโรงงานผลิตอะไหล่รถยนต์ในประเทศไทย นอกจากเราก็มีตัวเลือกอื่นๆ อีก 3-4 โรงงาน แต่ในที่สุดก็เลือกเรา เขาบอกว่านอกจากจะพอใจในสินค้าแล้ว ยังชอบโลโก้ด้วย


ต้องบอกว่าพอใช้แบรนด์นี้แล้วโอกาสก็เข้ามาหาอย่างไม่น่าเชื่อ “ที่เห็นอย่างชัดเจนเลย คือ เดิมเคยมียอดขายไม่ถึง 50 ล้านบาทต่อปี พอเปลี่ยนแบรนด์ใหม่ โลโก้ ชั่วข้ามปีก็มียอดขายเป็น 100 ล้านบาท ซึ่งก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน เพราะดูว่าจะมีโอกาสเข้ามาหาอยู่ตลอด อย่างลูกค้าที่แอฟริกาคนหนึ่งเคยสั่งล็อตละประมาณ 3 แสนบาทตอนนี้ยอดสั่งประมาณ 1.5 ล้านบาท หรือลูกค้าที่อียิปต์ก็เหมือนกัน อย่างเต็มที่ก็ 4-5 แสนบาทถือว่าเยอะแล้ว แต่ตอนนี้สั่ง 2 ตู้คอนเทนเนอร์ได้เกือบ 3.5 ล้านบาท ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีมากๆ แต่กลับขายได้มากขึ้นตลอด”

นอกจากมองในมุมของศาสตร์ฮวงจุ้ยแล้ว จริยายังวิเคราะห์ในเชิงธุรกิจให้ฟังด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมด้วย อย่างประเด็นเรื่องของแบรนด์เชื่อว่าเหตุผลหนึ่งที่แบรนด์เก่าๆ ไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเพราะใช้รูปแบบตัวอักษรธรรมดาที่ไม่มีจุดสนใจ หรือไม่มีความโดดเด่นในตัวเอง จึงทำให้ลูกค้าไม่ประทับใจ เมื่อเทียบกับแบรนด์ใหม่ที่มีจุดสนใจมากกว่า จึงทำให้สะดุดตาและสะดุดใจลูกค้าได้ไม่ยาก


ถึงแม้ว่จะเชื่อในศาสตร์ฮวงจุ้ย แต่จริยาก็ไม่เคยหยุดพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพอยู่ตลอดเวลา เพราะสำหรับเธอฮวงจุ้ยคือความเชื่อมั่น คือการเพิ่มพลังใจ ให้สามารถประคองชีวิตเดินผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวไปได้



ไขปริศนา ศาสตร์ที่มองไม่เห็น

แม้ปรัชญาฮวงจุ้ยจะบอกไว้ชัดเจนว่า ฮวงจุ้ยคือเรื่องของหลักการที่อิงกับธรรมชาติ แต่ผลที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีประสบการณ์ตรง หรือผู้ที่มีโอกาสได้ทดลองกลับเป็นเรื่องที่บางครั้งยากที่จะหาคำตอบมาอธิบาย


ไม่ต่างจาก สุรเมธ สัจจอิสริยวุฒิ เจ้าของร้าน Saveway Technology ชั้น 1 อาคารพันธุ์ทิพย์ พลาซา ที่เรียนจบด้านวิทยาศาสตร์ แต่เหตุการณ์บางอย่างทำให้เขาเริ่มสนใจและเข้ามาศึกษาเรื่องฮวงจุ้ยอย่างจริงจัง


“ตอนนั้นปี 2548 ผมเจอเรื่องร้ายๆ ตลอด อย่างอุบัติเหตุรถชน ทั้งที่ไม่น่าจะชน ลูกน้องเคยดีๆ ก็ร้าย ลูกค้าเคยค้าขายกันดีๆ กลับเล่นแง่ขึ้นมา อยู่ดีๆ สรรพากรเข้ามาตรวจ ไม่เจออะไร ก็ดึงเรื่องค้างเอาไว้ ยังมีเรื่องจุกจิกจิปาถะ แม้กระทั่งลูกค้าเข้ามาคุยกัน โค้ดราคา แนะนำลูกค้าจนพอใจ แต่ลูกค้าเอาลิสต์ที่เราแนะนำไปซื้อที่อื่น ทั้งที่ราคาก็ไม่ได้หนีกันเท่าไหร่ ทุกอย่างที่ทำมันตรงข้ามหมด ไม่เคยดีเลย แล้วมาสุดท้ายคุณพ่อผมเสียชีวิตกะทันหัน


ก่อนหน้าท่านเคยสั่งเสียไว้ว่าให้ฝัง แต่เพราะท่านสุขภาพดีมาก เลยไม่ได้เตรียมดูที่ทางไว้ ช่วงนั้นติดต่ออาจารย์ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ซินแสฮวงจุ้ยให้มาช่วยดูที่ พอทำสุสานให้คุณพ่อเสร็จก็เชิญอาจารย์มาดูที่ออฟฟิศ เพราะตอนนั้นผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันเลวร้ายไปหมด ไม่มีทางออกแล้ว”


หลังจากนั้นอาจารย์ภาณุวัฒน์จึงแนะนำให้สุรเมธย้ายโต๊ะทำงานจากมุมหนึ่งมาอีกมุม หลังจากนั้นทุกอย่างดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ทำให้สุรเมธที่เรียนจบปริญญาตรีฟิสิกส์ และปริญญาโทวิศวกรรมศาสตร์จากลาดกระบังคิดว่าจะต้องมีอะไรสักอย่าง ซึ่งต้องรู้ให้ได้ จึงสนใจอยากเรียนให้ลึกซึ้ง เมื่อถามอาจารย์ภาณุวัฒน์ก็ได้คำตอบว่า วิชาถ่ายทอดในครอบครัวเท่านั้น ระหว่างนั้นสุรเมธค้นหาในอินเทอร์เน็ตและติดต่อไปเรียนกับอาจารย์มาศ เคหาสห์ธรรม


“ผมเรียนไปจนครบทุกคลาส หลังจากนั้นก็เริ่มนำมาใช้ พอได้ศึกษาทำให้ผมย้อนกลับไปอธิบายได้ว่าทำไมตอนนั้นร้าย แล้วร้ายเรื่องอะไร เพราะจังหวะปีที่ร้ายเริ่มประมาณต้นเดือนมีนาคม ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ห้องตรงข้ามออฟฟิศผมตกแต่งใหม่ แล้วทิศร้ายของผมอยู่ตรงนั้นพอดี ปีนั้นพลังงานไปชนกับพลังงานของธาตุประจำปีเรียกว่าปีชง เลยร้ายไม่หยุด แล้วมีพลังงานอีกชุดคือดาวห้า

หลังจากที่ย้ายโต๊ะทำงาน ผมต้องการให้ลูกค้าเข้าร้านแล้วมองเห็นผม ทำให้ต้องย้ายช่องทางเข้ามาอยู่อีกฝั่งด้วย แต่เพราะเป็นตู้แบบติดตายทำให้ต้องรื้อ เป็นทิศร้ายก็จริง แต่บังเอิญที่ย้ายถูกฤกษ์ กลับได้โชค สิ่งที่ประกอบกันมาจากชัยภูมิข้างนอกกับตัวพลังงาน ซินแสหลายคนใช้ชัยภูมิ แล้วไปรอวันเวลา ถ้าถึงเวลาที่กำหนด พลังงานมาครบรอบกับชัยภูมิตรงนั้นพอดีก็จะได้ผล ซึ่งต้องรอเวลาอาจจะสิบยี่สิบปีข้างหน้าก็ได้ วิชาที่ผมเรียนคือเอาสองอย่างมารวมกัน”


แต่เนื่องจากออฟฟิศของสุรเมธเป็นห้องเช่าในอาคารพันธุ์ทิพย์พลาซา การเปลี่ยนที่โครงสร้างเป็นไปได้ยาก อีกทั้งไม่ได้เป็นผู้เช่าตรงเมื่อจะทำอะไรต้องขออนุญาต เจ้าของเดิมก็ไม่อยากให้ทำอะไรมาก ขณะที่ธุรกิจก็ยังต้องทำตลอดเวลา


“ผมทำเท่าที่ทำได้ ใช้การกระตุ้นพลังงานประจำปีแทน ใช้เทคนิคการกระตุ้นพลังงานดาวโชคของปี อย่างการกระตุ้นด้วยไฟคือวางโคมสีส้ม หรือวางกะละมังไว้หลังตู้กระตุ้นพลังงานของดาวห้าประจำยุคสมัยขึ้นมา คือดึงพลังงานร้ายให้ก่อเกิดเป็นพลังงานดี ส่งผลให้ได้ลูกค้าแปลกๆ เช่น ลูกค้าที่เดินออกไปแล้ว ไม่ซื้อแน่ๆ อยู่ดีๆ ก็เดินกลับมาซื้อ หรือลูกค้าเดินเลี้ยวเข้ามาเฉยๆ

พอใช้หลักการกระตุ้นพลังงานดีภายในออฟฟิศ ฉะนั้นคนที่มีใจอยากได้สินค้าที่เราขาย เขาจะเลี้ยวมา ผมยังกระตุ้นด้วยวิธีอื่นๆ อย่างเช่น เคาะตอกเจาะ ถ้าทำถูกที่ถูกเวลาจะส่งผลดี ผมทำไม่ได้ลงทุนอะไรมาก ใช้อะไรง่ายๆ กะละมัง น้ำ เกลือ เหรียญ ค้อนยาง แค่นี้เอง เพราะพอรู้ว่าพลังงานเป็นอย่างนี้

การกระตุ้นให้พลังงานออกมาได้ด้วยวิธีไหนบ้าง แล้วให้มีผลกับเราได้ยังไง หลักการของการกระตุ้นให้เชื่อมหาเราได้ ผมมองว่าทฤษฎีฮวงจุ้ยกับวิทยาศาสตร์ คือสิ่งเดียวกัน เป็นพลังงานของธรรมชาติที่ถูกบันทึกโดยศาสตร์ตะวันออก น่าจะเกิดจากการสังเกต บันทึก อาศัยความเข้าใจธรรมชาติ”

“ฮวงจุ้ย” เบื้องหลังความสำเร็จของเจ้าสัวเมืองไทย
ไม่ว่าจะเป็นเถ้าแก่กิจการไซส์จิ๋ว หรือกระทั่งเจ้าสัวธุรกิจพันล้าน ปฏิเสธไม่ได้ ล้วนมีความเชื่อในศาสตร์ของฮวงจุ้ย หลายต่อหลายคนต้องมีซินแสประจำตัวคอยเรียกใช้บริการอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเจ้าสัวระดับมหาเศรษฐีเมืองไทย เรียกว่าแทบทุกคนก็ว่าได้ที่อาศัยศาสตร์ฮวงจุ้ยช่วยเสริมบารมีขยายกิจการจนรุ่งเรืองใหญ่โต


เริ่มจาก “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ที่นอกจากจะให้ซินแสช่วยดูฤกษ์ผานาทีในทุกครั้งที่มีการเซ็นสัญญาสำคัญๆ หรือดูทำเลฮวงจุ้ยก่อนลงทุนโครงการต่างๆ แล้ว การรับพนักงานเข้ามาร่วมงานกับซีพีต้องมีซินแสมาดูโหงวเฮ้งก่อนด้วย ว่ากันว่าเริ่มตั้งแต่ดูดวงจากวันเดือนปีเกิด เพื่อดูว่ามีดวงเกื้อกูลกันหรือไม่ จากนั้นก็เป็นการดูโหงวเฮ้ง ซึ่งดูได้จากอายุและหน้าผากว่ามีความรุ่งเรืองในช่วงเวลานั้นหรือไม่ เป็นต้น


ไม่เว้นแม้แต่ผู้บริหารระดับสูงก็เช่นกันที่ต้องผ่านขั้นตอนการดูโหงวเฮ้ง ซึ่งเล่ากันมาว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งก่อนจะรับผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่งเข้ามา ซินแสได้ดูโหงวเฮ้งแล้วบอกว่า ไม่ควรรับเข้ามาในองค์กร เพราะผู้บริหารท่านนี้มีดวงเปรียบเหมือน “ปลาตัวใหญ่” รับเข้ามาแล้วจะทำให้องค์กรสั่นคลอนหรืออาจมาฮุบกิจการก็ได้


แต่เจ้าสัวธนินท์ กลับมามองว่าปลาตัวใหญ่ยิ่งดีเป็นโอกาสที่จะได้สร้างบ่อน้ำขนาดใหญ่ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทุกวันนี้ผู้บริหารท่านนั้นได้ช่วยให้ธุรกิจซีพีเติบโตและยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จุดนี้ชี้ให้เห็นได้ถึงความเชื่อในศาสตร์ฮวงจุ้ยของคนระดับเจ้าสัวธนินท์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลไม่ได้เชื่ออย่างงมงาย


หรืออย่าง “คุณปั้น-บัณฑูร ลํ่าซำ” แห่งธนาคารกสิกรไทย ต้นตำรับการปรับโครงสร้างองค์กร (Re-Engineering) เป็นที่รู้กันดีว่านายแบงก์ท่านนี้เชื่อในศาสตร์ฮวงจุ้ยขนาดไหน ไม่ว่าการเปลี่ยนโลโก้ธนาคารตามคำแนะนำของซินแส แถมลงทุนย้ายสำนักงานใหญ่ไปอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งว่ากันว่าบริเวณนั้นคือท้องมังกร เป็นจุดถุงเงินถุงทองที่จะสร้างความมั่งคั่งให้องค์กร


แม้กระทั่งตัวอาคารยังถูกออกแบบให้เป็นไปตามหลักฮวงจุ้ย ความสูงชะลูดของอาคาร หมายถึงการเติบโต ส่วนยอดปลายแหลมนั้นหมายถึงความโดดเด่น ชื่อเสียงโด่งดัง หรือแม้แต่รูปปั้นสิงโตคู่ที่เคยตั้งตระหง่านอยู่หน้าอาคารก็ถูกสั่งเปลี่ยนมาเป็นช้างคู่แทนด้วยเหตุผลที่ว่าสิงโตไม่เหมาะกับธุรกิจแบงก์ หรือสำนักงานแห่งใหม่ที่แจ้งวัฒนะก็ก่อสร้างตามหลักฮวงจุ้ยเช่นกัน ด้วยการออกแบบให้เป็นอาคารสี่เหลี่ยมเพื่อสะท้อนถึงความมั่นคง และที่ขาดไม่ได้คือช้างคู่ที่จะนำมาไว้หน้าอาคาร เพราะช้างเป็นสัตว์ใหญ่ มั่นคง แต่มีความอ่อนโยนและเป็นมิตรเหมาะกับธุรกิจแบงก์มากที่สุด


ทั้งนี้ผู้ศึกษาศาสตร์ฮวงจุ้ยท่านหนึ่งวิเคราะห์ความเชื่อในศาสตร์ฮวงจุ้ยของคุณบัณฑูรว่า แม้จะทำทุกอย่างตามหลักฮวงจุ้ยหรือแม้กระทั่งเปลี่ยนทรงผมตามที่ซินแสแนะนำ แต่คุณบัณฑูรไม่ได้ยึดตรงนั้นเป็นหลักการบริหารงานจนกระทั่งงมงาย แต่ทำทุกอย่างเพื่อความสบายใจเพื่อไม่ต้องกังวลในเรื่องเหล่านี้เพราะทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว ทำให้สามารถมุ่งพัฒนาการทำงานของธนาคารกสิกรไทยได้ด้วยความสบายใจ เหมือนนักธุรกิจทั่วไป ถ้าในครอบครัวยังมีปัญหาก็กระทบถึงการทำธุรกิจเพราะจิตใจกังวลไม่มีแรงทำงาน


ขณะที่ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” แห่งไทยเบฟเวอร์เรจ (เบียร์ช้าง) ก็ถือเป็นเจ้าสัวเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทยที่ให้ความเชื่อถือเรื่องศาสตร์ฮวงจุ้ย โดยมีการตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า “เทพสัมพันธ์” ทำหน้าที่ดูแลเรื่องฮวงจุ้ยให้กับธุรกิจในเครือโดยเฉพาะเพื่อตัดปัญหาว่าใครจะมาว่าเรื่องฮวงจุ้ยไม่ดี เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง เพราะมีซินแสมือดีเป็นที่ปรึกษานั่งทำงานประจำให้อยู่แล้ว ปัญหาเรื่องนี้จึงตัดไปแล้วเอาเวลาไปคิดทำธุรกิจแทน


เป็นตัวอย่างบางส่วนของบรรดาเจ้าสัวผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจของเมืองไทยที่ให้ความสำคัญกับศาสตร์ของฮวงจุ้ย แต่ก็ไม่ได้นั่งงอมืองอเท้ารอให้ความสำเร็จเข้ามาหา แต่มีการลงมือทำงานวางแผนลงทุนขยายธุรกิจอย่างจริงจัง จึงได้ความเจริญรุ่งเรืองกลับมาโดยฮ้วงจุ้ยเป็นเพียงส่วนที่อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จเท่านั้น


  นานาทัศนะเรื่องฮวงจุ้ย

ด้วยเชื่อว่าเหรียญยังมี 2 ด้าน ความคิดของคนย่อมมีต่างมุมมอง ทีมงาน SME Thailand ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องของฮวงจุ้ยกับธุรกิจ


เบญจมาศ โกยศิริพงศ์

กรรมการผู้จัดการ บริษัท วังถลาง จิวเวลรี่ แอนด์ กิฟท์ช็อป จำกัด

คำว่า “ฮวงจุ้ย” สำหรับดิฉัน เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่เมื่อทำแล้วช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้น แต่ก็ไม่ได้เชื่อแบบสะเปะสะปะ ต้องมองถึงหลักความเป็นจริงด้วย ต้องเป็นการเชื่อแบบที่มีเหตุและผลประกอบ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ซินแสบอกว่าโชว์รูมจิวเวลรี่ของดิฉันมีประตูทางเข้าอ้อมไปอยู่ด้านหลัง เป็นการผิดหลักธรรมชาติ ที่ประตูทางเข้าควรอยู่ด้านหน้าเพื่อเปิดรับเงินรับทองโดยตรง ควรแก้ฮวงจุ้ย ทุบประตูทำใหม่ เราก็เอามาคิดนะ



ถามว่าเชื่อไหม ก็เชื่อ เพราะเมื่อเอาหลักเหตุผลมาประกอบแล้ว การที่ทางเข้าอ้อมไปอยู่ด้านหลัง ทำให้แขกหรือลูกค้าต้องเสียเวลาเดินเป็น 10 นาทีกว่าจะถึงโชว์รูม อันนี้ก็คือเหตุผลที่จะเอามาประกอบความเชื่อ ช่วยตัดสินใจว่าจะทำใหม่ดีไหม แต่ถ้าอยู่ดีๆ บอกว่าให้ทุบโน่นทำนี่ โดยที่ไม่มีเหตุผลอ้างอิงพี่ก็ไม่เอานะ ตอนนี้เห็นผู้ประกอบการจำนวนมากเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยกันว่าทำแล้วจะช่วยให้ธุรกิจดีขึ้นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเราเองด้วยว่าได้ลงมือปฏิบัติหรือเปล่า เพราะอยู่เฉยๆ แล้วจะรวยคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน


สิทธิพร สุวรรณสุต

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด

ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของความสบายใจมากกว่า ถ้าไปดูเหตุผลของการปรับใช้หรือปรับเปลี่ยน จริงๆ มีเหตุผลรองรับในทฤษฎีการออกแบบ แต่ไม่ได้มีอะไรบอกว่าทำอย่างนี้แล้วจะประสบความสำเร็จโดยตรง ถ้าเป็นซินแสที่มีพื้นฐานที่แท้จริง การไปทุบรื้อเพื่อทำใหม่ จริงๆ แล้วไม่จำเป็น เพราะโดยหลักของการออกแบบที่ดีสามารถปรับแก้ได้ เช่น บอกว่าประตูหน้าและประตูหลังตรงกัน เงินเข้ามาแล้วออกไปอะไรประมาณนี้



ซึ่งถ้าไปดูตามหลักการออกแบบ โอเคว่าประตูตรงกันทำให้ลมพัดผ่านแรง อาจจะพัดปลิวสิ่งของหรือเอกสารได้ ถามว่ามีทางแก้ไหม ก็แก้ได้ เช่น มีเฟอร์นิเจอร์มากั้นหรือจัดวางใหม่ เพื่อกั้นไม่ให้ลมพัดผ่าน สำหรับผมจะยึดเหตุและผลในเรื่องของการออกแบบเป็นสำคัญ ทุกอย่างฟังได้หมดว่าทำอย่างนี้ไม่ดีเป็นเพราะอะไรและจะเกิดอะไรขึ้น เช่น ป้ายสำนักงานอยู่สูงลิบบนดาดฟ้า ให้ซินแสไหนมาดูก็คงบอกว่าไม่ดี ซึ่งจริงๆ แล้วอยู่สูงขนาดนั้นใครจะมองเห็น เป็นเรื่องของการวางตำแหน่งที่ตั้งไม่ถูกต้อง ซินแสก็เอาศาสตร์ของสถาปัตยกรรมไปประยุกต์ แล้วเติมเรื่องของความเชื่อและความศรัทธาเข้าไป


ปริชาติ อัศวเศรณี

กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิบูย่า ฟู้ด จำกัด

เป็นผู้บริหารสมัยใหม่ก็จริงแต่ก็ไม่มองข้ามเรื่องนี้ โดยส่วนตัวมองว่าฮวงจุ้ยมาจากพื้นฐานของ Common Sense เป็นหลักการพื้นฐานทั่วๆ ไป อย่างที่ว่าประตูทางเข้าไม่ควรมีอะไรมาขวาง นั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เดินเข้าไม่สะดวก ซึ่งตัวเองจะฟังด้วยเหตุผล จะพิจารณาถึงความเป็นไปได้เสมอ สิ่งไหนที่ซินแสบอกว่าต้องแก้ไข แต่ดูแล้วน่าจะลงทุนสูงก็จะถามว่ามีทางแก้ไขอย่างอื่นไหม ที่ผ่านมาก็เคยมีการปรับฮวงจุ้ยบ้างนิดหน่อย


ตอนนั้นอยู่ในช่วงก่อสร้างสถานที่ใหม่ ซินแสแนะนำให้เปลี่ยนประตูมาไว้อยู่อีกทางหนึ่ง ซึ่งเราเองก็คิดดูแล้วว่าถ้าเปลี่ยนตามที่บอกก็น่าจะดีเพราะทำให้เดินสะดวกขึ้น ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนตามนั้น แต่ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพราะอยู่ระหว่างก่อสร้างพอดี หรือบางครั้งการปรับฮวงจุ้ยก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนก็ได้ อย่างเขาบอกว่าโต๊ะทำงานไม่ควรตั้งอยู่ใต้คาน เพราะจะทำให้รู้สึกอึดอัด ทำงานไม่ราบรื่นนั้น เราก็แค่ขยับโต๊ะออกจากใต้คานเท่านั้นก็จบ ซึ่งเรื่องฮวงจุ้ยดิฉันว่าเป็นความรู้สึกมากกว่า เมื่อมีคนมาทักว่าไม่ดี ปรับแล้วสบายใจก็ทำไป


สุมนฉัตร ไชยจางวาง

เจ้าของเว็บไซต์ www.she’s jabchay.com

เป็นคนเชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่คิดว่าทุกหลักของฮวงจุ้ยมีที่มาที่ไป มีเหตุมีผล เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์จริงๆ ไม่ใช่เรื่องงมงายหรือไสยศาสตร์ ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของสถานที่ ตำแหน่ง ที่ตั้ง เหมือนการจัด Composition ทางศิลปะ อย่างที่บอกว่าไม่ให้เอากระจกตั้งอยู่ปลายเตียง ถ้าเป็นในยุคนี้ก็หมายถึงโทรทัศน์ เหตุผลไม่ใช่เรื่องภูตผีปีศาจหรอก แต่หมายถึงว่าถ้าเราเอาโทรทัศน์ไว้ตรงนั้นจะทำให้เรานอนดึก ดูโทรทัศน์ทั้งคืน ทำให้นอนตื่นสาย เสียสุขภาพ หรือที่บอกว่าทำไมโต๊ะผู้บริหารถึงต้องอยู่ด้านหลัง ก็เพื่อจะได้มองดูพนักงาน ใครเข้าใครออกมาบ้างจะได้รู้


ซึ่งตอนนี้นอกจากเว็บไซต์แล้ว เรายังทำงานเป็นผู้จัดการอยู่สถาบันสอนภาษาและกวดวิชาแห่งหนึ่งด้วย ก็จะนำหลักพวกนี้ไปใช้ เช่น การจัดโต๊ะทำงาน การเอาน้ำพุเข้าไปวาง มีลูกแก้วมังกรเสริม แม้กระทั่งเรื่องตี่จู๊เอี๊ยะว่าจะต้องบูชาอย่างไร เราก็ทำ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของกำลังใจด้วย มนุษย์เราเกิดมากับความกลัว เมื่อเรากลัวอะไร เราก็จะเลือกเชื่อสิ่งนั้น อย่างเรากลัวว่าธุรกิจจะไม่ดีเราก็ไปเชื่อว่าทำอย่างไรถึงจะดี และอีกส่วนก็เป็นเรื่องของเหตุผล อย่างที่ยกตัวอย่างไปเมื่อตอนต้น


สุชัญญา ธนาลงกรณ์

กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจีเอฟ เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด

ดิฉันว่าแล้วแต่ความเชื่อ ความเข้าใจของแต่ละบุคคล แต่บางทีถ้าเชื่อมากเกินไป ถึงขนาดต้องทุบบ้านก็เยอะเกินไป คือ เคยมีประสบการณ์ที่รู้สึกไม่ค่อยดีมาก่อน ตอนนั้นสร้างบ้านแรกๆ ลงเสาเข็มอะไรไปแล้ว คุณแม่ก็ทักว่าลองไปให้ซินแสดูอีกทีดีกว่า เราก็ลองดูปรากฏว่าเขาติมาไม่มีดีเลย ต้องออกแบบใหม่หมด ต้องเสียเงินไปเยอะมาก เลยรู้สึกว่าถ้าเรายังไม่พร้อมก็อย่าไปดูเลย ไม่งั้นเขาทักอะไรมาแล้วทำไม่ได้เราก็จะไม่สบายใจเปล่าๆ คือ ใจเราต้องพร้อมที่จะเปิดรับในสิ่งที่เขาบอกด้วย แต่ถ้าปรับอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นเคล็ด ดิฉันก็พอรับได้ แต่ไม่ว่ายังไงแล้วดิฉันคิดว่า คนทำดีน่าจะได้ดี อย่างบางคนถือฤกษ์เปิดร้าน ต้องวันนั้นวันนี้ ดิฉันเคยคุยกับพระท่านในเรื่องนี้ ท่านว่ากฤษ์ที่ดีที่สุด คือกฤษ์ที่สะดวกที่สุด คือ ถ้าเราจิตใจดี ทำดี ก็น่าจะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา


สุกัญญา บุญช่วยเหลือ

Account Executive บริษัท เก็ท มอร์ จำกัด

ฮวงจุ้ยเป็นหลักความเชื่ออย่างหนึ่งซึ่งช่วยในเรื่องของจิตใจ แต่สำหรับตัวดิฉันเชื่อในเรื่องของการกระทำมากกว่า ฮวงจุ้ยเป็นเพียงสิ่งที่เข้ามาเสริม ที่ผ่านมาก็ให้ซินแสมาดูเหมือนกันว่าออฟฟิศควรจัดแบบไหน ฝ่ายการตลาดนั่งตรงไหนดี ฝ่ายบัญชีควรนั่งตรงไหน หรือที่ตรงไหนเหมาะสำหรับผู้บริหาร ก็จะเป็นประมาณนี้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ฮวงจุ้ยก็เปรียบเหมือนแรงขับเคลื่อนอีกด้านหนึ่ง แต่เป็นแรงขับเคลื่อนทางจิตใจ เพราะเมื่อใดก็ตามที่รู้สึกสบายใจแล้ว ก็จะส่งผลให้การทำงานออกมาดีด้วย หรือสามารถคิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ ถามว่าหากต้องปรับแก้ฮวงจุ้ยโดยต้องใช้การลงทุนสูงนั้น คิดเห็นอย่างไร ดิฉันว่าขึ้นอยู่กับทุนทรัพย์และวิจารณญาณของคนๆ นั้นมากกว่า เพราะเรื่องแบบนี้ อย่างที่บอกว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคลจริงๆ


ตำนวนฮวงจุ้ย ภูมิปัญญาของชาวจีน
อาจารย์วิศิษฐ์ เตชะเกษม เล่าถึงความเป็นมาของศาสตร์นี้ว่า ฮวงจุ้ยคือตรรกะเรื่องการวางผังเมืองผังที่อยู่อาศัยที่มีอยู่ทั่วโลกไม่ได้มีเฉพาะประเทศจีน แต่ที่หลักฮวงจุ้ยของจีนมีชื่อสียงเพราะเมื่อเทียบกับอารยธรรมทั่วโลก อารยธรรมของจีนมีความต่อเนื่องยาวนานและรักษาได้มาจนถึงปัจจุบันโดยสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยที่เรียกว่า เซี่ยซังโจ มีจักรพรรดิชื่อ หวังตี้ ทรงรวบรวมแผ่นดินสำเร็จแล้วเริ่มวางผังประเทศว่าทำอย่างไรถึงปลอดภัยและคุ้มครองตัวเองได้ ซึ่งสภาพภูมิประเทศของจีนเป็นที่ราบสูงในลักษณะเนินราบลงไปทางทิศใต้ โดยมีภูเขาล้อมรอบทางทิศเหนือ ตะวันออกและตะวันตก


หวังตี้ เลือกทำเลใกล้แม่น้ำฮวงเหอเพราะประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวนาจึงต้องอยู่ใกล้น้ำ โดยเลือกแม่น้ำที่มีภูเขาโอบล้อมเพื่อเป็นกำแพงธรรมชาติป้องกันการรุกรานจากศัตรู และคนจีนสมัยนั้นได้สังเกตท้องฟ้าเห็นกลุ่มดาว 28 กลุ่ม สังเกตเห็นดวงจันทร์โคจรรอบกลุ่มดาว จึงใช้กลุ่มดาวเหล่านี้กำหนดทิศทางและสร้างปฏิทินจันทรคติขึ้นเป็นครั้งแรก


โดยแบ่งตำแหน่งกลุ่มดาวเป็น 4 ทิศๆ ละ 7 กลุ่ม มองกลุ่มดาวทางเหนือเป็นรูปเต่า ซึ่งทิศเหนือของจีนทั้งมืดและหนาวเย็นอยู่ติดกับทะเลทรายโกบีจึงเรียกว่าทิศเต่าดำ ทิศใต้ฝั่งตรงข้ามมองกลุ่มดาวเป็นรูปนกกางปีก ซึ่งทิศใต้สภาพอากาศร้อนเลยเรียกว่าทิศหงส์แดง ส่วนทิศทางตะวันออกมองกลุ่มดาวเป็นรูปมังกร ทิศนี้อยู่ใกล้ทะเลจีนใต้มีความอุดมสมบูรณ์เลยเรียกว่าทิศมังกรเขียว และกลุ่มดาวทางทิศตะวันตกเห็นเป็นรูปเสือประกอบกับอยู่ใกล้ทิเบต ภูเขาหิมาลัยมีหิมะตลอดปีจึงเรียกว่าทิศเสือขาว


“กลุ่มดาวเหล่านี้เปรียบได้กับแผนที่ทางอากาศของคนจีน เป็นเหมือนจีพีเอสหรือกูเกิลเอิร์ธ เวลาจะเดินทางไปเมืองต่างๆ ก็จะสังเกตทิศทางจากกลุ่มดาว นี่คือ ภูมิปัญญาของคนจีนที่แสดงให้เห็นว่าหลักฮวงจุ้ยมีความลึกซึ้งมากกว่าที่คนปัจจุบันคิดและเข้าใจว่าเป็นเรื่องงมงาย ถ้าศึกษาไปถึงวัฒนธรรมของจีนจะรู้ว่าคนจีนสมัยก่อนฉลาดมากไม่เช่นนั้นไม่สามารถรักษาอารยธรรมมาจนถึงปัจจุบัน”



 
จัดสำนักงาน-ร้านค้าอย่างไรให้ร่ำรวย
คนทำธุรกิจจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การนำเคล็ดฮวงจุ้ยบ้านเรือนมาปรับใช้กับสำนักงาน ร้านค้า เป็นการช่วยเสริมธุรกิจการค้าได้เป็นอย่างดี K SME Inspired ฉบับนี้จึงมีศาสตร์ฮวงจุ้ย เกี่ยวกับการจัดสำนักงาน-ร้านค้าอย่างไรให้ร่ำรวย มาฝากกัน

 หน้าต่างคือทางออก

สำนักงานร้านค้าต่างๆ ต้องพิจารณาช่องหน้าต่างเป็นสำคัญ ช่องหน้าต่างที่ดีจะเรียกเงินทองโชคลาภเข้ามา แต่หน้าต่างที่มากเกินไปจะกลายเป็นทางออกของเงินทองโชคลาภ


ฉะนั้นต้องพิจารณาดูขนาดของร้านค้า หรือสำนักงานหากดูแล้วมีหน้าต่างมากเกินไปไม่สมดุลกับตัวสถานที่ แม้จะดูโปร่งสบายตาแต่จะมีจุดเสียในด้านเงินและโชค แม้มีเงินเข้าตลอดเวลา หรือมีโชคมีโอกาสดีๆ แต่จะอยู่ไม่นานไม่ยั่งยืนถาวร


 ร้านหน้ากว้าง
ร้านที่มีด้านหน้ากว้างมากกว่าด้านยาวค่อนข้างมาก และเห็นได้ชัดถือว่าไม่ดีนัก เพราะกิจการจะทำได้ไม่ยั่งยืนนานนัก แม้จะทำมาค้าขายดี แต่กิจการไม่มั่นคงถาวร ต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือโยกย้ายในที่สุด


แต่ถ้าร้านหรือสำนักงานมีความกว้างด้านหน้าสั้นกว่าด้านยาวคือมีความลึกค่อนข้างมาก อย่างนี้จะถือว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ดี เพราะจะส่งผลให้ค้าขายดี ทำกิจการใดก็รุ่งเรืองเฟื่องฟูยิ่งๆ ขึ้นไป


 กิจการคึกคัก บันไดรับประตูหน้า
ตามหลักฮวงจุ้ยบ้านเรือนนั้นห้ามมิให้บันไดอยู่ตรงหน้าบ้านพอดี เพราะจะทำให้เงินทองโชคลาภไหลออกแทนที่จะไหลเข้า แต่หากเป็นกิจการค้า สถานที่นั้นย่อมต้องการความคึกคัก จึงถือว่าดีถ้าจัดสร้างบันไดให้อยู่ในตำแหน่งที่ตรงหรือรับกับประตูทางเข้าพอดีบันไดนี้จะดูดเงินทองให้เข้าร้าน ทำกิจกรรมใดก็จะคึกคักรุ่งเรืองไม่มีซบเซาอย่างแน่นอน

 กระจกเหนือโต๊ะผู้บริหาร
ห้องทำงานของผู้บริหารนั้นบางแห่ง เล่นลูกเล่นด้วยการติดกระจกไว้บนเพดานเหนือโต๊ะทำงานของผู้บริหาร ไม่ว่าจะเป็นกระจกใส หรือกระจกเงาล้วนไม่ดีทั้งสิ้น เพราะจะทำให้การงานวนเวียนไม่พัฒนา และยังจะเกิดเรื่องอื้อฉาวเสื่อมเสียชื่อเสียงได้อย่างตั้งตัวไม่ทัน

 ต้นไม้ให้โทษ
ต้นไม้ล้อมบ้านหรือแวดล้อม สำนักงาน ร้านค้า จะทำให้บรรยากาศดีเป็นธรรมชาติ มีความร่มรื่น ถือเป็นลักษณะให้คุณ และนำโชคลาภ แต่ถ้าต้นไม้มีมากเกินไปจนไม่เหมาะสมกับตัวของสำนักงานหรือร้านค้า ลักษณะนั้นจะกลายเป็นฮวงจุ้ยไม่ดี ภายนอกมีต้นไม้ปิดบังจนกลายเป็นดูทึบมากกว่าร่มรื่น อาจเจ็บป่วยกันได้ตลอดเวลา สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ขาดพลังในการสร้างสรรค์ การติดต่อประสานงานกับคนภายนอกจะไม่มีความสำเร็จราบรื่น

 หิ้งบูชาพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
การตั้งหิ้งบูชาพระ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ควรอยู่ในที่สงบ ร้านค้าบางแห่งตั้งหิ้งบูชาไว้ในจุดที่มองเห็นได้ชัดเมื่อลูกค้าเดินเข้ามาในร้านหรือในสำนักงาน ซึ่งถือว่าไม่ดีอย่างยิ่ง หิ้งบูชาไม่ควรอยู่ใกล้ลูกค้าแต่ควรอยู่ในมุมสงบไม่มีคนเคลื่อนไหวผ่านไปมาตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นหิ้งนางกวักนั้นสามารถตั้งหน้าร้านได้


ส่วนหิ้งบูชาพระและเทพ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าตั้งอยู่ในมุมไม่สงบกิจการค้าจะวุ่นวายไม่รุ่งเรือง คนภายในจะเจ็บไข้ได้ป่วยกันบ่อย


 หิ้งบูชาต้องสะอาด
สำนักงานร้านค้าหลายแห่งจัดหิ้งบูชาขนาดใหญ่ มีพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตั้งวางไว้บูชามากมาย มีการจัดเตรียมผลไม้ถวายบูชาอย่างดี แต่ทว่าปล่อยให้หิ้งรก ฝุ่นจับและมีคราบเปื้อนหรือหยากไย่เกาะติด


ตามหลักฮวงจุ้ยถ้าหิ้งบูชาไม่สะอาด การเงินของธุรกิจการค้านั้นจะถอยหลังไม่งอกเงยเพิ่มพูน ถึงค้าขายกำไรแต่จะมีแต่ก็เหตุยุ่งยากเหน็ดเหนื่อยและสูญเสีย ถ้าสกปรกมากกิจการจะเจ๊งได้โดยไม่รู้ตัว หิ้งบูชาต้องสะอาดเสมอจึงจะเสริมโชคลาภสิริมงคล


 สระน้ำที่ให้คุณ ให้โทษ
ถ้าจะขุดสระน้ำไม่ว่าจะเป็นบ่อปลาหรือสระบัวก็ตาม ให้ระวังอย่าขุดแหล่งน้ำที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ -เฉียงใต้ และทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพราะเป็นทิศประตูผี หากขุดเจาะแหล่งน้ำในทิศนั้น เงินทองจะมีแต่รั่วไหลหดหาย ยากจะมั่งคั่งร่ำรวยได้ ที่สำคัญคือคนในสถานที่ประกอบการนั้นจะมีเหตุเภทภัยกันถ้วนหน้า

 ประตูหน้าสำคัญที่สุด
พึงให้ความสำคัญกับประตูหน้าร้านค้า หรือหน้าสำนักงาน หากวงกบประตูคดงอ ประตูชำรุด หรือสีลอก สีด่าง ต้องรีบซ่อมแซมแก้ไขหรือเปลี่ยนใหม่ ทาสีใหม่ อย่าให้ข้างหน้าดูชำรุดทรุดโทรมป้ายหลุดไปบางตัวอักษรต้องรีบแก้ไข กิจการกลางคืนถ้าป้ายไฟเสีย ต้องรีบเปลี่ยนให้ไฟสว่างไสว ถ้าประตูหน้าดูไม่ดี มีส่วนบกพร่อง กิจการธุรกิจการค้าก็จะมีแต่อุปสรรคจนบั่นทอนกีดขวางความก้าวหน้า

 พื้นเล่นระดับ
สำนักงานสมัยใหม่หลายแห่งนิยมทำพื้นเล่นระดับเพื่อโชว์การออกแบบที่เก๋ไก๋ ที่จริงแล้วกลับเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดี ถ้าเล่นระดับ แค่ 2 ระดับ ก็ไม่เป็นไรนัก แต่ถ้ามี 3-4 ระดับขึ้นไป กิจการจะวุ่นวายแตกแยก คนทำงานไม่ร่วมมือประมานใจกันนัก ลูกน้องและเจ้านายก็ขัดแย้งไม่รักใคร่ชื่นชมกัน กิจการเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง รุ่งเรืองได้ช้า

 ทิศทางของห้องน้ำ
เรื่องทิศทางของห้องน้ำที่จริงก็สำคัญไม่น้อย ห้องน้ำควรอยู่ทางด้านหลังหรือค่อนไปทางด้านหลัง ไม่ควรอยู่ทางครึ่งแรกของด้านหน้าร้าน และยิ่งไม่ควรอยู่หน้าร้านหรือสำนักงาน ทิศอับโชคของห้องน้ำคือทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถ้าห้องน้ำอยู่ทางทิศนี้ของร้าน คนในสถานที่นี้จะมีสุขภาพไม่ดี เจ็บป่วยบ่อย ป่วยง่ายขาดพลังในการทำงาน ถ้าห้องน้ำอยู่ทางทิศตะวันตก หรือตะวันออกเฉียงเหนือ จะถือว่าเป็นทิศทางที่ดีมาก

 ประตูแห่งโชคและเสน่ห์
ถ้าร้านค้าหรือสำนักงาน มีประตูหน้าอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะส่งผลดีในทางด้านของโชคลาภ จะได้โอกาสดีๆ หรือทำสิ่งใดก็ราบรื่น มีโชคช่วยเกื้อหนุน และยังจะได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปอีกด้วย ทั้งคนทำงานและกิจการจะเป็นที่ชื่นชมทั่วไปเพราะเสน่ห์โดดเด่น

ที่มา : K SME Inspired # 5 คอลัมน์ Fengshui
***เรียบเรียงจาก หนังสือฮวงจุ้ย ฮวงเจ๊ง ของ อนุสรณ์ ลี



1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss