1
2

เทสโก้ โฮมพลัส ยกร้านค้าเสมือนจริงมาไว้ในสถานีรถไฟใต้ดิน สนุกกับการช้อปปิ้งด้วยสมาร์ทโฟน




Tesco: Homeplus Subway Virtual Store (Movie)

เทสโก้ โฮมพลัส
ยกร้านค้าเสมือนจริงมาไว้ในสถานีรถไฟใต้ดิน
สนุกกับการช้อปปิ้งด้วยสมาร์ทโฟน
น่าอัศจรรย์ใจในประชากรเกาหลีใต้อย่างน้อยกว่า 50 ล้านคน, มีกว่า 10 ล้านคนใช้สมาร์ทโฟน หนึ่งในห้าของประชากร! เทสโก้ โฮมพลัส ได้สร้างร้านค้าเสมือนจริงในสถานีรถไฟใต้ดินโซล คุณจะพบจอแสดงผลเสมือนจริง แสดงสินค้าที่มีลักษณะเช่นเดียวกับในเทสโก้

ลูกค้าสามารถสแกนสินค้าที่ต้องการกับ qr code ด้วยสมาร์ทโฟนของพวกเขา และมันก็จะปรากฏขึ้นในรถเข็นออนไลน์ของพวกเขา หลังส่งคำสั่งซื้อสินค้า ของก็จะถูกส่งถึงลูกค้า

ความสำเร็จของโครงการนี้สามารถเพิ่มยอดขายของ ให้บริษัท เป็น 130% ในสามเดือน และจำนวนของผู้ใช้ที่ลงทะเบียนเพิ่มขึ้น 76% เทสโก้ โฮมพลัส เป็นหนึ่งร้านค้าปลีกออนไลน์ในประเทศเกาหลีและลดช่องว่างระหว่างพวกเขา และ E - Mart แหล่มมากเลย!

Tesco’s Billboard Grocery Store A Hit In S. Korea
Astoundingly, in a population of less than 50 million, South Korea has more than 10 million smartphone users. That's one in every five! To cater to this constantly moving, tech-savvy demographic, Tesco Homeplus created a virtual store in Seoul subway stations. It's there where you'll find both virtual displays and merchandise that look exactly as the same as if they were in real stores.

Customers scan the desired product with their smartphone and it then appears in their online cart. Deliveries are arranged to arrive in minutes or hours, rather than days, so the groceries will be in the shopper’s kitchen that night.

The success of the program boosted the company’s sales by 130% in three months, and their number of registered users went up by 76%. Tesco Homeplus is now the number one online retailer in Korea and the gap between them and E-Mart has narrowed offline.

What a brilliant idea!

http://iamkoream.com





“NewBiEs” พลิกโฉมการตลาด “ยุคใหม่”




Girls` Generation(소녀시대) _ Gee _ MusicVideo



“NewBiEs” พลิกโฉมการตลาด “ยุคใหม่”
โดย : จีราวัฒน์ คงแก้ว

ลักษณะจำเพาะกลุ่ม “นิวบี้ส์”
อายุ 18-24 ปี
การศึกษาดี ความสามารถหลากหลาย
เกิดมาพร้อมเทคโนโลยี ชอบแสดงตัวตน สมาธิสั้น
ครอบครัวตามใจ บุคลิก “แรง”
มีอำนาจซื้อเป็นของตัวเอง
ไม่สนโฆษณา ไม่ซื้อของแพง
ไม่ยึดติดกับบรรทัดฐานของสังคม
รับผิดชอบในตัวเองสูง
รักอิสระ
เท่าทันข้อมูลและการเปลี่ยนแปลง
ไม่ชอบกฎระเบียบจุกจิก
อยากประสบความสำเร็จและเกษียณเร็ว
คิดเรื่องการลงทุนเร็วกว่าคนรุ่นก่อน
เป้าหมายชีวิตคือ “เถ้าแก่” ไม่ใช่ “ลูกจ้างองค์กร”

NewBiES เจนฯใหม่
การศึกษาดี มากความสามารถ ลืมตามาพร้อมเทคโนโลยี แถมมีความ “แรง!!” พวกเขาคือผู้ทรงอิทธิพลกลุ่มใหม่ ที่นักการตลาดต้องกุมขมับ

อย่า “งง” กับพฤติกรรมของเด็กยุคนี้ ที่จะมี ความ “แรงส์” เป็นมรดกติดตัว มั่นอกมั่นใจสุดๆ ติดโทรศัพท์ยิ่งกว่าติดเพื่อนติดแฟน นอนทำท่า “Planking, levitating, พับเพียบ” อยู่กลางสี่แยกอย่างไม่แคร์ใคร พูดเรื่องยากๆ ได้อย่างฉะฉาน พูดไทยคำอังกฤษคำ สลับศัพท์เทคนิค ศัพท์ต่างดาว ไม่สนโฆษณา ไม่บ้าของแพง ยังเด็กแต่หัดเปิดร้านเป็นเถ้าแก่กับเขาแล้ว !

เรากำลังพูดถึงคลื่นลูกใหม่ ที่จะถูกเรียกขานจากนี้ว่าเป็นพวก
“นิวบี้ส์” (NewBiES-New Buyers in Economic System)
กลุ่มผู้ซื้อหน้าใหม่ ที่มีความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมต่างๆ ทั้งด้านการใช้จ่าย การลงทุน รวมถึง “ด้านมืด” แตกต่างจากคนยุคเก่าอย่างแทบจะสิ้นเชิง

ผลิตผลจากงานวิจัย ของทีมนิสิตคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การดูแลของ “รศ.ดร.พิภพ อุดร”

เรามาทำความรู้จักกับ “นิวบี้ส์” ผ่านการศึกษากันเลย
“นิวบี้ส์ เป็นกลุ่มที่จะทำให้การตลาดทำงานยากที่สุดในยุคหนึ่ง น่าจะเรียกว่ายากที่สุดในรอบ 50 ปีเลยก็ว่าได้”
อาจารย์พิภพและทีมวิจัยเปิดบทสนทนาได้น่าตื่นใจก่อนจะบอกต่อว่า จากความยากที่ว่านี้ ทำให้นักการตลาดจะต้องกุมขมับ เพราะไม่สามารถนำเทคนิคการตลาดแบบเดิมๆ มาใช้กับคนกลุ่มนี้ได้อีกต่อไป

นิวบี้ส์คือกลุ่มผู้ซื้อหน้าใหม่ ที่มีทัศนคติและพฤติกรรม แตกต่างจากกลุ่มเดิมอย่างสิ้นเชิง คนพวกนี้จะรู้เท่าทันไปเสียหมดเพราะเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร แน่นอนว่าข้อมูลประเภทหลอกลวง หรือโฆษณาชวนเชื่อ จะใช้ไม่ได้กับคนกลุ่มนี้ เขาเท่าทันการเปลี่ยนแปลง มีสิทธิที่จะเลือก ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลใดๆ

ดังนั้นเครื่องมือการตลาดแบบเดิมๆ เช่น โฆษณาแบบเดิม สื่อแบบเดิม ก็จะใช้ไม่ได้ และแม้ว่าจะเปลี่ยนมาใช้สื่อใหม่ แต่หากวิธีคิดยังเป็นแบบเดิม ก็จะจับกลุ่มนิวบี้ส์ไม่ได้”

ความสุดๆ เฉพาะของ “กลุ่มนิวบี้ส์” สกัดออกมาได้เป็น 8 บุคลิกภาพ ร้อยเรียงเป็นคำคล้องจองได้ว่า…
“กลุ่มไม่จ่ายเพื่อแบรนด์ แฟนคลับห้าง สร้างอิมเมจจ๋า ศรัทธาสื่อ ไม่ซื้อตามกระแส ไม่แลโฆษณา วิ่งหาของถูก และลูกรักการตลาด”

ถ้าคิดว่าเด็กรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อ ถนัดแต่ควักแล้วจ่ายๆ อาจใช้ไม่ได้กับพลพรรค “นิวบี้ส์” เพราะพวกเขาจะไม่ยอมจ่ายแพงโดยไม่สมเหตุสมผล เพราะมีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าอยากใช้เงินอย่าง “คุ้มค่า” แม้จะเป็นสาวกแบรนด์เนมตัวยง แต่ไม่ใช่เดินผ่านช็อปหลุยส์แล้วจะพุ่งเข้าใส่ แต่จะเลือกซื้อเมื่อถึงวันเซลแล้วเท่านั้น พูดง่ายๆ ว่า

“เชื่อในคุณภาพของแบรนด์เนม ชอบใช้ของดี แต่จะไม่ยอมจ่ายแพงให้หรอก ถ้าจะครอบครองก็ขอของที่มันคุ้มค่าที่สุดเท่านั้น”

นอกจากนี้ สิ่งที่น่าจะสั่นสะเทือนแวดวงการตลาดที่สุด ก็คือผลวิจัยที่บอกว่า ในจำนวนนิวบี้ส์ทั้งหลาย วิเคราะห์ลงไปอีกจะพบว่า พวกที่ “ไม่จ่ายเพื่อแบรนด์ ไม่ซื้อตามกระแส และไม่แลโฆษณา” มีสัดส่วนรวมกัน “เกินครึ่ง” !

“พูดแบบนี้นักการตลาดตกใจนะ เพราะครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้บอกว่า ฉันจะไม่จ่ายเพื่อแบรนด์ แบรนด์ดีก็ได้ แต่ถ้าแพงเว่อร์ไป ไม่ซื้อนะ และไม่ซื้อตามกระแสด้วย ใครแห่ซื้ออะไรก็จะไม่ยอมคล้อยตาม สุดท้ายคือ เขาไม่ดูโฆษณา และไม่เชื่อโฆษณาอีกต่อไปแล้ว นักการตลาดต้องกลับมาคิดใหม่ว่าจะทำการตลาดแบบไหนที่จะเข้าถึงกลุ่มนิวบี้ส์”

ขณะที่กลุ่มคนที่มีวิธีคิดและการตัดสินใจ ที่พึ่งพิงสื่อแบบเดิมๆ อย่าง “สร้างอิมเมจจ๋า แฟนคลับห้าง ศรัทธาสื่อและลูกรักการตลาด” มีอยู่เพียง 35% เท่านั้น หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของตลาดที่ยังเป็นแบบเดิม และแนวโน้มคนกลุ่มนี้ก็มีแต่จะลดลง เอนเอียงไปทางไม่เอาแบบเก่าเพิ่มมากขึ้น

วิธีคิดแบบ “โบราณ” จึงอาจใช้ไม่ได้อีกแล้วนับจากนี้ และเครื่องมือการตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปอีกมากในอนาคต
ประเมินแล้วพวกนิวบี้ส์ คือกลุ่มเด็กที่มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง หนึ่งในความน่าสนใจที่จะกลายเป็นโอกาสในการทำตลาดกับกลุ่มนิวบี้ส์ คือ แง่มุมเรื่อง “การลงทุน”

อย่าจินตนาการว่าเด็กรุ่นใหม่จะใช้เงินฟุ่มเฟือย สำหรับ “นิวบี้ส์” แม้การใช้จ่ายส่วนใหญ่จะหนักไปในการกิน เที่ยว และแต่งตัว ทว่าพวกเขากลับรู้จักกันเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับ “ออมและลงทุน” เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าเงินเข้ามาในกระเป๋า 100 บาท นิวบี้ส์จะเลือกออมประมาณ 11 บาท อีก 3 บาทจะเอาไว้ลงทุนในสิ่งที่พวกเขาสนใจ เช่น หุ้นและทองคำรวมถึงเก็บสะสมไว้ทำธุรกิจส่วนตัวเมื่อเรียนจบ

ผลศึกษาระบุว่าชาวนิวบี้ส์เล็งไว้แล้วว่าจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็น 27% โดยกลุ่มแฟนคลับห้าง และสร้างอิมเมจจ๋า จะเป็นพวกที่ชอบลงทุนมากที่สุด

“เป้าหมายของการลงทุน ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไร เอาเงินมาซื้อของที่อยากได้ เช่น สินค้าแฟชั่น บางคนเล่นหุ้นก็เพื่อเอาส่วนต่างเพียงเล็กน้อย มาซื้อของที่ชอบ ได้กำไรวันต่อวันก็เอา เป็นการนำเงินมาใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่า แต่ที่น่าสนใจ คือมีไม่น้อยที่คิดนำเงินไปต่อยอดและลงทุนธุรกิจของตัวเอง”

ผู้วิจัยยังบอกว่าด้วยว่า นิวบี้ส์ มีความคิดอยากทำธุรกิจส่วนตัวในบั้นปลาย มากกว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน โดยพวกเขาจะเลือกทำงานในบริษัทก่อน เพื่อเก็บประสบการณ์ สั่งสมเงิน ก่อนจะออกไปทำธุรกิจของตนเองในอนาคต ชาวนิวบี้ส์ อยากประสบความสำเร็จเร็ว อยากเกษียณตัวเองจากงานประจำเร็ว เพื่อไปใช้ชีวิตที่อิสระในแบบของตัวเอง จึงมีวิธีคิดเรื่องการลงทุนเพื่อวางแผนอนาคต เร็วกว่าคนรุ่นก่อน

ส่วนสิ่งที่ใกล้ตัวนักการตลาดมากขึ้นอีกนิด อย่างพฤติกรรมการใช้สินค้าเพื่อดูแลตัวเอง (Personal care products) ของกลุ่มนิวบี้ส์ ไม่ว่าจะเป็น แชมพู ครีมอาบน้ำ โฟมล้างหน้า ฯลฯ ผลการศึกษาบอกว่า นิวบี้ส์ ไม่เคยภักดีต่อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แต่จะเปลี่ยนแบรนด์ไปเรื่อยๆ เพราะเป็นพวกเบื่อง่าย ไม่มีแบรนด์ใดที่สามารถตอบสนองตอบความต้องการของพวกเขาได้ทุกอย่าง ทว่าการสวิตช์ระหว่างแบรนด์หนึ่งไปสู่อีกแบรนด์ มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มแบรนด์ Top4 ที่เขาเลือกแล้วเท่านั้น

“แบรนด์ใหญ่ๆ ที่เป็น Top 4 จะเกิดการสวิชท์ของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นว่า คนไม่ได้จงรักภักดีกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แต่เป็นกลุ่มของแบรนด์ เลิกคาดหวังเสียที ว่าเขาจะซื่อสัตย์กับแบรนด์เราแบรนด์เดียว มันเป็นเรื่องยากมาก

ยุคนี้ขอแค่เขาซื้อเราเยอะหน่อย บ่อยหน่อย ก็พอแล้ว วิธีคิดต้องเป็นแบบนี้ เพราะมันเป็นการแข่งกันที่ Share of Wallet หรือส่วนแบ่งการใช้จ่ายเงินของลูกค้า ไม่ใช่ Market Share หรือ ส่วนแบ่งการตลาด แบบเดิมอีกต่อไปแล้ว”

ส่วนการจะเกิดขึ้นของแบรนด์ใหม่ก็ไม่มีปัญหา ถ้าเพียง นิวบี้ส์ ได้ลองใช้แล้ว “โดน” ก็สามารถเข้าไปเสียบแทนที่กลุ่มแบรนด์ในใจของพวกเขาได้ทันที ขณะที่แบรนด์เดิมที่หมดความหมายไปแล้ว ก็จะกระเด็นออกจากสารบบได้ง่ายๆ เช่นกัน

ในโลกที่ “โซเชียล เน็ตเวิร์ค” ผูกติดกับวิถีชีวิต สำหรับชาวนิวบี้ส์ “ตื่นเมื่อไร ออนไลน์เมื่อนั้น” สะท้อนเครื่องมือใหม่ๆ และวิธีการสื่อสารแบบใหม่เพื่อเข้าถึง “หัวใจ” นิวบี้ส์ มากขึ้น

พวกเขาบอกว่า ชาวนิวบี้ส์ ยังเป็นนักเรียกร้องความสนใจตัวยง อยากเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองมากกว่าคนรุ่นก่อน ยิ่งมีพื้นที่อย่างเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ก็ยิ่งอยากแสดงตัวตนมากขึ้น ต้องการสร้างการยอมรับ เป็นอย่างที่ตัวเองอยากจะเป็น เลือกที่จะเปิดตัวเองและปิดในบางเรื่องตามความต้องการ มีอิสระ มีทางเลือก อยากโชว์ก็โชว์เต็มที่ แต่เมื่อไรไม่อยากเปิดก็ปิดหนีได้เช่นกัน เพียง log out

“ในเชิงความสนใจของเขา ที่มีต่อเนื้อหาของสื่อ ที่สื่อออกไปมันจะยากขึ้น ความสนใจสั้นลง เพราะเขาอยู่กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สมาธิสั้น ทำหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน แม้แต่เวลาแชทก็แชทพร้อมกันหลายคน ฉะนั้นคุณจะไปคาดหวังว่าจะจับเขาให้อยู่นิ่ง 30 วินาที เพื่อดูโฆษณาของคุณ เขาไม่เอาหรอก นี่คือสิ่งที่นักการตลาดต้องคิดกันใหม่หมด”

ไม่ได้มีแต่ด้านดี ด้านมืดชาวนิวบี้ส์ ก็มีให้เห็น เริ่มต้นจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าช่วง “เห่ออิสระ” โดยอาการจะออกก็ตอนเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง จะเป็นช่วงเวลาที่ชาวนิวบี้ส์ทำอะไรหลายอย่างได้อิสระเป็นครั้งแรก จึงจัดเต็มทั้ง ดื่มเหล้า เที่ยวกลางคืน สูบบุหรี่ และเล่นการพนัน แต่สัดส่วนของพฤติกรรมเหล่านี้มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เมื่ออายุของเพิ่มมากขึ้น

นี่คือสิ่งที่ทีมวิจัยค้นพบ และสรุปความเป็น นิวบี้ส์ ให้ฟัง เพื่อที่นักการตลาดและองค์กรธุรกิจจะนำข้อมูลไปประยุกต์เพื่อจับใจชาวนิวบี้ส์ให้อยู่หมัด แม้ว่าพวกเขาจะเอาใจยากสักหน่อย

กลุ่มนิวบี้ส์ เอาใจยาก ซื่อสัตย์มากกว่าหนึ่งแบรนด์ ไม่สนสื่อดั้งเดิม วิธีการแบบเดิมๆ และมีความเป็นส่วนตัวสูงมาก (ลากเสียง)

ดังนั้นการจะเอาใจพวกนิวบี้ส์
บรรดาผู้ประกอบการสินค้าและบริการ คงต้องกลับมาดูตั้งแต่การดีไซน์ เพื่อสะท้อนความเป็นตัวตนของชาวนิวบี้ส์ให้มากขึ้น หากสินค้าและบริการที่ทำออกมา สามารถทำให้นิวบี้ส์มีโอกาส “คัสโตไมซ์ (customize)” ให้เข้ากับตัวเขาได้ ก็จะกลายเป็นสินค้าที่มีโอกาสในตลาดนี้

แต่โปรดักท์ประเภทที่มีกันเกลื่อนตลาด เป็นกระแสเหมือนกันหมด พูดได้คำเดียวว่า... “นิวบี้ส์ไม่แคร์”

ในการตั้งราคา ใครที่คิดจะใช้วิธี “ตีหัวเข้าบ้าน” ฟันกำไรงามๆ คงทำไม่ได้อีกต่อไป เพราะ ราคาต้องทำให้ดู “เกินคุ้ม”
“ยิ่งแบรนด์มีคุณภาพดีเท่าไร ราคาต้องดูเกินคุ้ม หมายความว่า สิ่งที่เขาจ่ายออกไป เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ ต้องรู้สึกว่ามันเยอะกว่า ดูคุ้มค่า”

ด้านการ “สื่อสาร” จะใช้กลยุทธ์เดิมๆ ประเภทโน้มน้าวด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ก็คงไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องให้ “ข้อมูล” มาประกอบการตัดสินใจของพวกเขามากขึ้น เพราะชาวนิวบี้ส์ ฉลาด มีการศึกษา จะใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อมากกว่าอารมณ์

ขณะที่สื่อที่ใช้ ก็ต้องคิดถึงการสื่อสารที่ไม่ใช่รูปแบบเดิมๆ แต่ก็ใช่ว่าจะยกโฆษณา 30 วินาที จากทีวีมาลง “ยูทูบ” ก็ใช้ไม่ได้ผลอยู่ดี แต่จะต้องคิดให้มากกว่านี้ เช่น โฆษณาต้องไม่เฉลยทุกอย่าง แต่จะต้องสร้างความอยากรู้ อยากเห็น อยากทดลอง

“ในยุคที่คนไม่รับโฆษณา วิธีคิดมันต้องเปลี่ยนไป และสื่อที่ใช้ก็ต้องเปลี่ยนด้วย โดยต้องให้เกิดการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้มีความลึกลับ ให้เขารู้สึกสนุก และต้องตอบโต้ของกลุ่มเป้าหมายได้ด้วย นี่คือวิธีคิดใหม่”

สำหรับช่องทางการตลาด
เขาบอกว่า แม้ชาวนิวบี้ส์ยังคงเดินห้างสรรพสินค้า แต่ทางเลือกในการชอปปิงของเขาจะมีมากขึ้น จากการขยายตัวของแหล่งชอปปิงใหม่ๆ นิวบี้ส์ จึงสนุกที่จะค้นหาสถานที่เหล่านี้ เพื่อมาโพสต์บอกเพื่อน

นี่คือสิ่งที่นักการตลาดต้องตามให้ทันวิธีคิดและพฤติกรรมของชาว นิวบี้ส์

“นิวบี้ส์ เป็นเหมือนคลื่นลูกใหม่ ที่จะมาแทนที่คลื่นลูกเดิม ในทางความเป็นจริง ธุรกิจอยู่ได้ก็ด้วยลูกค้าใหม่ๆ ที่เข้ามา หากธุรกิจใช้เวลานานในการปรับตัว มันอาจจะไม่ทัน เพราะฉะนั้น ต้องมองไปข้างหน้า

เมื่อ นิวบี้ส์ คือเจเนอเรชั่นใหม่ที่กำลังเข้ามา คือกลุ่มคนที่กำลังหลุดออกจากกลุ่มไม่มีรายได้ มาสู่กลุ่มที่มีรายได้ เป็นผู้ซื้อหน้าใหม่ ซึ่งมีพฤติกรรมต่างไปจากเดิม ธุรกิจและนักการตลาดก็จะต้องตื่นตัวและปรับเปลี่ยนตัวเอง เพื่อตอบสนองตลาดนิวบี้ส์ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อการซื้อสินค้าและบริการในอนาคต”

http://bit.ly/j7cNDV
http://www.bangkokbiznews.com






9 บทเรียนทองของ สตีฟ จอบส์





สตีฟ จ็อบส์ ไทย เวอร์ชั่น (Steve Jobs' Thai)


Steve Jobs' 2005 Stanford Commencement Address




9 บทเรียนทองของ สตีฟ จอบส์

สตีเฟน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) (เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955) ผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล คอมพิวเตอร์ และ พิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นบุคคลชั้นนำในวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง แอปเปิลคอมพิวเตอร์ ร่วมกับสตีฟ วอซเนียก ในปีค.ศ. 1976 เขาได้ช่วยทำให้แนวความคิดเรื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยมขึ้นมา ด้วยเครื่องApple II ต่อมา เขาได้เป็นผู้แรกที่มองเห็นศักยภาพทางการค้าของส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ และเม้าส์ ที่ถูกพัฒนาขึ้นในศูนย์วิจัยซีร็อกซ์พาร์ค ของบริษัทซีร็อกซ์ และได้มีการผนวกเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไว้ในเครื่องแอปเปิล แมคอินทอช สตีฟยังเป็นประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูงของ พิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกส์
ข้อมูลเพิ่มเติม ; สตีฟ จอบส์ จากวิกิพีเดีย

9 คำพูดที่ดีที่สุดที่คัดเลือกมานี้ จะช่วยให้คุณทำงานได้สำเร็จตามสไตล์ซีอีโอแสนล้าน

1. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้นำและผู้ตาม”

นวัตกรรมหรือวิธีการใหม่ เป็นสิ่งไร้ขีดจำกัด มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่มีขอบเขต ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเริ่มคิดนอกกรอบ ถ้าคุณทำงานในภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต ต้องรู้จักคิดหาทางทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และอยากจะทำธุรกรรมด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในธุรกิจที่กำลังหดตัว ต้องรีบออกมาจากธุรกิจนั้นโดยเร็ว และเปลี่ยนแปลงก่อนที่คุณจะกลายเป็นคนตกยุค ตกงาน หรือธุรกิจล่มสลาย และต้องจำไว้เสมอว่า คุณจะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้

2. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“จงเป็นคนที่มีคุณภาพสูง คนบางคนไม่เคยชินกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คาดหวังความเป็นเลิศ”

ไม่มีหนทางลัดสู่ความเป็นเลิศ คุณจะต้องตั้งใจและให้ความสำคัญ ใช้ความสามารถ ทักษะ และพรสวรรค์ที่มี พยายามทำให้มากกว่าคนอื่น มีมาตรฐานสูงกว่า และใส่ใจในรายละเอียดที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความเป็นเลิศไม่ใช่เรื่องยาก แต่คุณต้องลงมือทำทันที แล้วคุณจะประหลาดใจในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต


3. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“วิธีเดียวที่จะทำงานให้ได้ผลดีเยี่ยม คือ คุณต้องรักในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณยังไม่เจอสิ่งที่รักในตอนนี้ จงมองหาไปเรื่อยๆ อย่าด่วนสรุป เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจ คุณจะรู้ได้เอง เมื่อเจอสิ่งที่รัก”

จงทำในสิ่งที่รัก มองหาอาชีพการงานที่ทำให้คุณมีจุดประสงค์ ทิศทาง และความพึงพอใจในชีวิต เมื่อคุณมีเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย ทิศทาง และความพอใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว แต่ยังจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นเมื่อต้องเผชิญอุปสรรค


4. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“คุณก็รู้ว่า อาหารส่วนใหญ่ที่เรากิน เราไม่ได้ผลิตด้วยตัวเราเอง เราสวมใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นผลิต เราพูดภาษาที่คนอื่นพัฒนาขึ้น เราใช้คณิตศาสตร์ที่คนอื่นค่อยๆปรับปรุงมาเรื่อยๆ ผมหมายถึงว่า เราเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น คงเป็นความรู้สึกที่น่าปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่เราสามารถสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ”

จงใช้ชีวิตตามหลักศีลธรรม พยายามทำให้เกิดความแตกต่างบนโลกใบนี้และมีส่วนร่วมให้เกิดสิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้น คุณจะพบว่า มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นยาแก้ความเบื่อหน่ายที่ได้ผลดีอีกด้วย

ลองมองไปรอบๆตัว แล้วคุณจะพบว่า มีสิ่งต่างๆให้คุณทำอยู่เสมอ และจงพูดคุยกับผู้อื่นถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ แต่อย่าพร่ำสอน หรือคิดว่าตัวเองถูกต้อง หรือหลงตัวเอง เพราะจะทำให้คนอื่นไม่อยากคุยด้วย ขณะเดียวกัน คุณต้องไม่กลัวที่จะทำตนเป็นตัวอย่าง และใช้โอกาสที่มี บอกเล่าถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ


5. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“มีคำพูดในพุทธศาสนาว่า จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น”
ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า

มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือ การนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียง ให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความประหลาดใจ


6. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“เราคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว คุณดูโทรทัศน์เพื่อพักสมอง และคุณใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการให้สมองทำงาน”

ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีรายงานการศึกษาจำนวนมากที่ยืนยันหนักแน่นว่า การดูทีวีส่งผลเสียด้านจิตใจและมีอิทธิพลด้านศีลธรรม และคนที่ติดทีวีส่วนมาก แม้จะรู้ว่ามันทำให้ชินชาและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม ดังนั้น จงปิดทีวีซะ เพื่อถนอมเซลล์สมอง แต่ต้องระวัง เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ก็อาจเป็นการพักสมองได้เช่นกัน ลองเปลี่ยนมาเล่นเกมที่พัฒนาสติปัญญาดีกว่า


7. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“ผมสูญเงินไป 250 ล้านดอลลาร์ภายใน 1 ปี มันทำให้ผมรู้จักตนเองดีขึ้น”

อย่ามองว่า การทำผิดกับความผิดเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่เคยล้มเหลวหรือทำผิดเลยนั้นไม่มีหรอก มีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ เคยทำผิดพลาดและรู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อทำให้ถูกต้องในครั้งต่อไป พวกเขามองความผิดพลาดเป็นเครื่องเตือนสติ มากกว่าความสิ้นหวัง การไม่เคยทำผิดเลย แสดงว่า คนนั้นไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเต็มที่


8. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“ในโลกนี้ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด เราเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วก็ได้ทำสิ่งผิดพลาดเช่นกัน ไม่งั้นแล้ว เราจะเกิดมาทำไม”

คุณรู้หรือไม่ว่า มีเรื่องใหญ่ๆหลายเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จในชีวิต และรู้หรือไม่ว่า เรื่องสำคัญเหล่านั้นจะถูกฝุ่นจับ เมื่อคุณใช้เวลามัวแต่นั่งคิดมากกว่าลงมือทำ เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้กับชีวิตของเราเอง ของขวัญที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ความสนใจ ความหลงใหล และความอยากรู้อยากเห็น ของขวัญชิ้นนี้ แท้จริงแล้ว มันคือเป้าหมายของเรานั่นเอง และคุณตั้งเป้าหมายของคุณได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน ครู พ่อแม่ นักบวช หรือเจ้าหน้าที่ ก็ไม่อาจเลือกเป้าหมายให้คุณได้ คุณต้องหาจุดมุ่งหมายด้วยตัวคุณเอง


9. สตีฟ จอบส์ พูดว่า

“เวลาของคุณมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น อย่าติดอยู่ในหลักความเชื่อ ซึ่งทำให้คุณใช้ชีวิตตามผลความคิดของผู้อื่น อย่ายอมให้เสียงความคิดของคนอื่น มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุด คือ คุณต้องมีความกล้า ที่จะทำตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณ เพราะมันรู้ดีว่า จริงๆแล้วคุณต้องการเป็นอะไร เรื่องอื่นๆกลายเป็นเรื่องรองไปโดยสิ้นเชิง”

คุณเบื่อหรือเปล่าต่อการใช้ชีวิตตามความฝันของคนอื่น ไม่ต้องสงสัยเลย ก็มันเป็นชีวิตของคุณเอง คุณมีสิทธิใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องมีใครมาคอยขัดขวาง ลองให้โอกาสตัวเองฝึกความคิดริเริ่มในบรรยากาศที่ปราศจากความกลัวและแรงกดดัน
จงใช้ชีวิตตามแบบที่คุณเลือก และเป็นเจ้านายตัวเอง

9 บทเรียนทองของ สตีฟ จอบส์
ที่มา หนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 118 กันยายน 2553
โดย บุญสิตา


Credit : ผู้จัดการออนไลน์
http://www.sarut-homesite.net/





ไอศครีมความคิดสร้างสรรค์ by STOYN


เพลงโฆษณาไอศครีม วอลล์ : We Become One : นิชคุณ



Creative STOYN Ice Cream
These are some popsicles that are made from ice cream in the shape of famous characters. Some are flavored with liquor. They all look delicious and are very interesting.


http://www.stoyn.com/




1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss