1
2

ทอง....เนื้อแท้ เพชร....น้ำงาม ทายาทธุรกิจรุ่นใหม่




Can't smile without you



ทอง....เนื้อแท้ เพชร....น้ำงาม ทายาทธุรกิจรุ่นใหม่
โดย ณัฐญา เนตรหิน

"ทองคำ" และ "เพชร" นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แทนความเป็นอมตะนิรันดร์กาลแล้ว ยังเป็นช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงลิ่ว

ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีมูลค่าเพิ่มในตัวเอง เช่นเดียวกันกับ ธุรกิจค้าขายทองคำและเพชรในเมืองไทย สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น คู่กับภาพการเปลี่ยนแปลงจากร้านค้าขายทองคำและเพชรดั้งเดิม สู่บริการแบบ "ครบวงจร" ในปัจจุบัน ขยายสาขาขึ้นตามห้างสรรพสินค้า

แม้ภาพลักษณ์ "เจ้าสัว" หรือ "เถ้าแก่" ที่นั่งบริหารกิจการค้าทองคำหรือเพชร เช่นในอดีตยังมีให้เห็นอยู่ แต่ธุรกิจค้าทองคำและ เพชรยุคปัจจุบัน กำลังปั้น "ทายาทธุรกิจรุ่นใหม่" รับช่วงและต่อยอดธุรกิจ จากรุ่น ทวด ปู่ ลงสู่รุ่นพ่อ และรุ่นลูก

3 ทายาทธุรกิจค้าทองคำและเพชร
"ฐานออนไลน์" มีโอกาสสัมภาษณ์ 3 ทายาทธุรกิจค้าทองคำและเพชร การันตี "เก่ง สวย " ครบสูตร ที่สำคัญ พวกเธอ ไม่ใช่แค่ทายาทที่ถูกวางตัวเพื่อสืบทอดธุรกิจที่ครอบครัวสร้างไว้ แต่ทุกคนต่างมีเป้าหมาย "ต่อยอด" ธุรกิจ สร้างบริการใหม่ที่หลากหลาย ผลักดันธุรกิจสู่อันดับต้นๆ ท่ามการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ทายาทธุรกิจรุ่นใหม่ อย่าง " ฐิภา นววัฒนทรัพย์ " ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ "คุณมล" ทายาทรุ่นที่ 2 ที่เข้ามารับช่วงการบริหารต่อจากรุ่นคุณพ่อ (ธณัณพงษ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด )และ คุณแม่(พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการ บริษัท วาย แอล จีบูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด) เล่าว่า ปัจจุบัน ธุรกิจของครอบครัว แยกเป็น 3 ส่วน คือ ธุรกิจทองคำแท่ง ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก และอีก 2 ส่วน คือ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด และธุรกิจผลิตและส่งออกเครื่องประดับทองและอัญมณี ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัว คือ บริษัท ยูหลิม โกลด์ แฟคตอรี่ จำกัด

ด้วยความที่เติบโตมาในครอบครัวคนจีน (พี่น้อง 2 คน คือ คุณมล และน้องชาย (ธีระพงษ์ นววัฒนทรัพย์) ครอบครัวจึงปูพื้นให้ลุกหลานเรียนรู้งานมาตั้งแต่เด็ก คุณมลมีโอกาสช่วยงานธุรกิจของครอบครัว ตั้งแต่เธอยังอยู่ชั้น ป.4 เริ่มจากช่วยงานจิปาถะ ตั้งแต่ เช็ดกระจก แจกโบรชัวร์ ถ่ายเอกสาร จากนั้น ค่อยๆเวียนเรียนรู้งานในด้านอื่นๆ นับพลอย ตีราคา นั่นคือ จุดแรกที่เธอได้เรียนรู้ธุรกิจของครอบครัว

หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ BBA ภาคภาษาอังกฤษ เอกการเงิน (เกียรตินิยม) และปริญญาโท UNIVERSITY OF KENT AT ACNTERBURY KENT UK สาขา MBA จากประเทศอังกฤษ และปริญญาโท มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารรัฐกิจ นับย้อนไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว "เธอ" เริ่มต้นเข้ามารับช่วงธุรกิจในครอบครัวจริงจัง โดยได้รับมอบหน้าที่ช่วยดูในส่วนของธุรกิจทองคำแท่ง และจิวเวลรี่ จนเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมานี้ ที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาบริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ในจังหวะเดียวกับที่ธุรกิจโกลฟิวเจอร์สเติบโตพรวดๆ

และ แม้ว่าต้องรับผิดชอบงานมากมาย แต่เร็วๆนี้ "ฐิภา" กำลังจะคว้าปริญญาเอก มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขา Philosophy of Management

ด้วยวัยเพียง 30 ปี กับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส "ฐิภา" เล่าถึงการทำงานที่ต้องดูแลทีมงานที่รับผิดชอบโดยตรงถึง 60 คน (จากพนักงานในบริษัททั้งหมดประมาณ 200 คน) และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสกว่าทั้งสิ้น แต่นั่น ...ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ เพราะขั้นตอนการทำงานที่ถูกวางไว้อย่างเป็นระบบแล้ว เช่น การประชุมบอร์ดทุก 2 เดือน มีคณะกรรมการบริษัท และที่ปรึกษาจากภายนอก ฯลฯ ดังนั้น แม้ในเบื้องต้นการตัดสินใจต่างๆ พ่อ แม่ และลูกๆ จะปรึกษาหารือร่วมกัน แต่สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างต้องจบลงที่กระบวนการทำงานในรูปแบบของบริษัท

****องค์กรต้องปรับตัวเร็วและตลอดเวลาให้เข้ากับสถานการณ์

ทายาทธุรกิจค้าทอง สะท้อนภาพธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในสายตาของเธอว่า กลยุทธ์หลายอย่างต้องเปลี่ยนไปจากเดิม เข่น ในอดีตอาจวางกลยุทธ์ระยะ 3-5ปีได้ แต่ปัจจุบันต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้เร็ว และตลอดเวลา ซึ่งเธอเชื่อในเรื่องขององค์กรที่ต้องปรับตัวได้รวดเร็วเข้ากับสถานการณ์ "ที่สำคัญธุรกิจจะประสบความสำเร็จ ต้องอาศัยประสบการณ์จากคนรุ่นเก่า และคนรุ่นใหม่ผสมผสานกัน "

นอกเหนือจากธุรกิจครอบครัวแล้ว โดยส่วนตัว "ฐิภา" วางรากฐานการทำธุรกิจของตัวเอง โดยร่วมหุ้นกับเพื่อนสนิทรวม 3 หุ้น เปิดร้านอาหารที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชื่อร้าน " ไชน่าทาวน์ " ซึ่งปีนี้ธุรกิจร้านอาหารขึ้นสู่ปีที่ 5 แล้ว โดยสามารถคืนทุนได้ตั้งแต่ปีที่ 2 และกำลังมองโอกาสที่จะขยายสาขาเพิ่ม

ขณะที่มุมมองการลงทุนของ "ฐิภา" ออกตัวว่า เป็นคนที่ ไม่เน้นการลงทุนที่หวือหวา ดังนั้นจากเดิมที่เธอเริ่มออมด้วยการฝากแบงก์ แต่หลังจากที่เห็นลูกค้ามีผลกำไรจากการลงทุนในทองคำ เธอจึงเริ่มแบ่งพอร์ตการลงทุนมาลงทุนในทองคำและโกลฟิวเจอร์ส รวมทั้งมีการจัดพอร์ตการลงทุนระยะสั้้นและระยะยาว โดยหลักการที่เธอยึดในการลงทุน คือ "เชื่อเสมอว่าจะลงทุนอะไร ต้องรู้จักสินค้านั้นให้ดี " และนั่น...คือ เหตุผลที่ "ฐิภา" บอกว่า "ไม่มีพอร์ตหุ้นเลย" เพราะหากไม่รู้จริง ก็ไม่อยากเข้าไป แต่ช่องทางการลงทุนใหม่ที่เธอกำลังให้ความสนใจในตอนนี้ คือ การลงทุนที่ดินเปล่าแบบซื้อมาขายไป

แม้หลายคนจะมองว่า การเกิดมาแล้วครอบครัวสร้างธุรกิจไว้ให้แล้วถือความโชคดี แต่ในความคิดของ "คุณมล" เธอเชื่อเรื่อง "มีแล้ว ต้องหาให้เป็น และต้องรักษาให้เป็น" ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า

อีกมุมหนึ่งของ "ฐิภา" กับการใช้เวลาว่างซึ่งใน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน จะเหลืออยู่ไม่มากนัก หากมีโอกาส "เธอ" จะเลือกนั่งสมาธิ ซึ่ง "ฐิภา" ยกเครดิตให้การมี "กัลยาณมิตร"ที่ดีที่เป็นผู้แนะนำ เนื่องจากในช่วงที่เธอเริ่มต้นเข้ามารับผิดชอบธุรกิจ บ.วายแอลจี ฟิวเจอร์ส จำกัด เต็มตัวนั้น เธอยอมรับว่ารู้สึกวุ่นวายกับงาน แต่เมื่อได้มีโอกาสไปนั่งสมาธิแล้ว ทำให้สามารถนำมาใช้บริหารงานได้ด้วย

****เป้าหมายอันดับหนึ่งในเอเชีย

ทายาทรุ่นที่ 2 ของ วายแอลจี มองอนาคตในการสืบทอดธุรกิจของครอบครัวไว้ว่า เรามองในแง่ชองการพัฒนาเพิ่ม เพราะถือว่าครอบครัว "เรา"ไม่ได้มีแค่ 4 คน แต่ยังมีพนักงานอีก 200 ชีวิต หากมองธุรกิจเป็นเหมือนต้นไม้ ก็ต้องทำให้คนอยู่ใต้ร่มเงาที่ดี ในแง่ของธุรกิจ ปีนี้วายแอลจีตั้งเป้าขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจทองคำแท่งในเมืองไทย ไม่เพียงเท่านั้น เป้าหมายต่อไป คือ การเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย

(บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทฯ ที่ก่อตั้งขึ้นภายหลังจากที่บริษัท ยูหลิมโกลด์ แฟคตอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นเป็นบริษัทผู้ผลิตและส่งออกเครื่องประดับที่ทำจากทองคำและเพชรพลอยแท้ ได้ประสบความสำเร็จในตลาดส่งออกไปยังนานาประเทศทั่วโลกเป็นอย่างมากด้วยประสบการณ์การดำเนินงานมาเป็นเวลามากกว่า 20 ปี

โครงสร้างธุรกิจ 3 ส่วน
1.บริษัท ยูหลิม โกลด์ แฟคตอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกเครื่องประดับทองและอัญมณี
2.บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้นำเข้า และซื้อขายทองคำแท่งบริสุทธิ์ 99.99%
3.บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ตัวแทนซื้อขายอนุพันธ์ทองคำล่วงหน้า (Gold Futures))

สวยครบสูตร ทายาทธุรกิจอีกท่านหนึ่ง "ณัฐฑี จุฑาวรากุล" ทายาทรุ่นที่ 3 ต่อจากรุ่นปุ่ และ รุ่นพ่อ ที่เข้ามาบริหารงานกลุ่มบริษัทห้างทองเจียบเซ่งเฮง จำกัด ปัจจุบัน "ณัฐฑี" ดำรงตำแหน่ง กรรมการบริษัท คลาสสิกโกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจครอบครัวที่แยกเป็น ห้างขายทองเจียบเซ่งเฮง ซึ่งทำธุรกิจค้าส่งทองรูปพรรณและทองคำแท่งทั่วประเทศไทย ,บริษัทคลาสสิก โกลด์ จำกัด ธุรกิจนำเข้า และส่งออกทองคำแท่ง และ บริษัท คลาสสิค โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด

เรียกได้ว่า ทายาทธุรกิจท่านนี้วางเป้าหมายตัวเองมาตั้งแต่ต้น ในการสานต่อธุรกิจของครอบครัว ดังนั้นเธอจึงตั้งใจเลือกศึกษาในสาขาวิชาที่สามารถนำมาพัฒนาธุรกิจของครอบครัวให้ดีขึ้นเรื่อยๆ "ณัฐฑี" จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ปริญญาโทเกียรตินิยมอันดับ2จากประเทศอังกฤษ สาขาวิชาThe ICMA centre, Henley Business School,University of ReadingMSc International Securities, Investment and Banking ซึ่งเป็นการเรียนโดยตรงทางด้านการลงทุนและการลงทุนในตราสารอนุพันธ์

****ภายใน2-3ปีขึ้นเบียดอันดับต้นๆของธุรกิจโกลด์ ฟิวเจอร์ส์

การเข้ามาบริหารในบริษัทคลาสสิกโกลด์ ฟิวเจอร์ส เป้าหมายที่ "ณัฐฑี" วางไว้ คือ ใน 2-3 ปี ขยับขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆของธุรกิจโกลด์ ฟิวเจอร์ส จากปัจจุบันที่อยู่ประมาณอันดับ 5 หรือ 6 ซึ่งแม้จะก้าวเข้ามาในธุรกิจนี้หลังรายอื่น แต่"เธอ"พร้อมจะแข่งขัน และวางแผนที่จะสร้างฐานธุรกิจให้มั่นคงอย่างระมัดระวัง มากกว่าที่โตเร็วเกินไป

"ณัฐฑี" เชื่อว่าแนวโน้มธุรกิจโกลด์ ฟิวเจอร์ส มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เห็นได้จาก 2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจนี้โตเกือบ 200 % และในระยะต่อไปก็น่าจะมีโอกาสโตได้อีกเท่าตัว เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในทองคำมากขึ้น และแม้ว่า "คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส" จะเพิ่งเปิดตัวในฐานะโบรกเกอร์สินค้าโกลฟิวเจอร์ส รายที่ 6 ถือเป็นน้องใหม่ที่เข้ามาหาลูกค้าทีหลังรายอื่นๆถึง 2 ปี แต่ "เธอ" คิดอย่างดีแล้วก่อนก้าวเข้ามาในธุรกิจนี้

(เมื่อ 4 เม.ย. บ. คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดแถลงข่าวทุ่มงบทำการตลาด 40 ล้านบาทในปี 2554 ผลักดันธุรกิจโกลฟิวเจอร์ส์ขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของโบรกเกอร์โกลด์ฟิวเจอร์ส ภายใน 3 ปี ตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สปี 2554 ที่ 10% จากปริมาณการซื้อขายทั้งหมด จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 1.5%)

"การแข่งขันสูง แต่ถ้าไม่ก้าวเข้ามา ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะเป็นผู้แข่งขัน เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุด มองว่าเราก็มีศักยภาพที่จะทำ แม้ว่าจะเข้ามาช้า และอาจตัองใช้เวลา"

****จุดแข็งมีธุรกิจที่ครบวงจร

แม้จะก้าวเข้ามาในธุรกิจโกล ฟิวเจอร์ส หลังรายอื่นๆ แต่เธอเชื่อการที่ธุรกิจของครอบครัว มีธุรกิจที่ครบวงจร บวกกับประสบการณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นปู่ และ รุ่นพ่อ 50 ปีที่ทำธุรกิจค้าทองคำ ประกอบกับที่มีโรงงานรีไฟเนอรี่ที่ทำารสกัดทองคำแท่งให้เป็นทองที่มีความบริสุทธิ์99.99%ของตัวเอง คือ "จุดแข็ง" ที่เหนือคู่แข่งรายอื่น

"ณัฐฑี" บอกว่า เธอต้องทำงานกับทีมที่มีอาวุโสกว่า ทำให้ต้องทำการบ้านและสร้างการยอมรับ แต่ด้วยประสบการณ์ที่เธอเห็นและคลุกคลีกับธุรกิจครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก บวกกับใช้ความรู้และประสบการณ์ที่เรียนมานำมาใช้ ทำให้ไม่มีปัญหาในการทำงาน ขณะเดียวกับ "ณัฐฑี" ยอมรับว่า "คุณพ่อ"ของเธฮยังเป็นแบ็คอัพที่ดีในการให้คำปรึกษา

ทายาทธุรกิจทองคำรายใหญ่ สะท้อนมุมมองถึงการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจค้าทองคำว่า เปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนคนไม่นิยมทองคำแท่ง แต่ตอนนี้เป็นที่นิยมมากขึ้น ขณะที่พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป ซึ่งร้านทองก็ต้องปรับตัวตามให้ทันกับความต้องการของนักลงทุน

ในส่วนของโกลฟิวเจอร์สเอง "เธอ"ยกตัวอย่างบริการที่จะให้แก่ลูกค้าได้อย่างหลากหลาย เช่น การขยายเวลาการซื้อขายถึง 24.00 น. บริการ SMS ให้ข้อมูลแก่ลูกค้าที่เปิดพอร์ต บทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์และรายเดือน รวมทั้ง ต้นเดือนเม.ย.นี้ เตรียมเปิดตัวเว็บไซต์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำ บริการสำหรับทองคำแท่งออนไลน์อินเตอร์เน็ตและผ่านเครื่องมือสื่อสาร เช่น ไอโฟน รวมไปถึงการพัฒนาสินค้าใหม่ในตลาด ด้วยการรุกสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดอนุพันธ์ อาทิ ซิลเวอร์ฟิวเจอร์ส อีทีเอฟโกลด์ เป็นต้น

****ชอบลงทุนตั้งแต่เสี่ยงน้อยถึงเสี่ยงมาก

สำหรับมุมลงทุนส่วนตัวของ "ณัฐฑี" เธอบอกว่า ตัวเธอชอบการลงทุนตั้งแต่เสี่ยงน้อยไปจนถึงเสี่ยงมาก หากย้อนในช่วงที่ศึกษาระดับปริญญาตรี การลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นการฝากธนาคาร และลงทุนในหุ้นกู้ ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่ได้เสี่ยงสูงมาก แต่หลังจากที่เธอมีโอกาสได้ศึกษาปริญญาโทในสาขาวิชาที่เกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์ ทำให้ขยับลงทุนเต็มตัว ทดลองลงทุนที่มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งหุุ้น กองทุน และอนุพันธ์ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง

ถือเป็น "น้องใหม่ มาแรง" ในธุรกิจโกลด์ ฟิวเจอร์ส ที่ต้องจับตา ภายใต้เป้าหมายที่จะเบียดตัวเองขึ้นไปเป็นอันดับต้นๆในเวลา 2-3 ปีนี้

(กลุ่มบริษัท คลาสสิก โกลด์ ประกอบด้วย 3 บริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท ห้างทองเจียบเซ่งเฮง จำกัด ผู้นำตลาดค้าส่งและค้าปลีกทองรูปพรรณ ซึ่งโดดเด่นในด้านความบริสุทธิ์ของทองรูปพรรณที่ได้มาตรฐาน 96.5% สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

บริษัท คลาสสิก โกลด์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการนำเข้า-ส่งออก จัดจำหน่ายและรับซื้อทองคำแท่ง 96.5% และ 99.99% ที่ได้มาตรฐาน LBMA (London Bullion Market Association) พร้อมอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนด้วยบริการซื้อ-ขายทองคำแท่งผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่มีความปลอดภัยสูง

บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ผู้ให้บริการรับคำสั่งซื้อ-ขายสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า โดยสามารถดำเนินการซื้อขายโกลด์ ฟิวเจอร์ส ผ่าน 2 ระบบ คือระบบ Settrade และระบบ iFISd ที่มีเสถียรภาพสูง และครอบคลุมมากกว่าด้วยบริการเชื่อมโยงพอร์ตทองคำแท่งและโกลด์ ฟิวเจอร์สเข้าไว้ด้วยกัน ลูกค้าจึงสามารถดูรายละเอียดการซื้อขายและบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนของตนได้อย่างคล่องตัว)

อีกหนึ่ง "สวยครบสูตร" คราวนี้ มาคุยกับทายาทธุรกิจเพชรยูบิลลี่(JUBILEE) แบรนด์ผู้นำธุรกิจการจัดจำหน่ายเครื่องประดับเพชร และเพชรกะรัตในประเทศไทยมายาวนานกว่า 75 ปี จนมาถึงทายาทรุ่นที่ 4 "อัญ" หรือ "อัญรัตน์ พรประกิต " ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (CFO) บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ลูกไม้วัย 28 ปีที่หล่นไม่ไกลต้น ต่อจากรุ่น คุณทวด คุณปู่ และรุ่นคุณพ่อ

เรียกได้ว่าเห็น "แบรนด์ยูบิลลี่" หลายคนนึกถึง "คุณอัญ" ด้วย เพราะเปิดตัวคอลเล็คชั่นเพชรยูบิลลี่ ซีเอฟโออย่างคุณอัญทำหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าด้วยตัวเองเกือบทุกครั้ง

หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 2 คณะบริหารธุรกิจ สาขาบัญชี มหาวิทยาลัยเอแบค ปริญญาโท The Master of Science in Marketing Program (MIM) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

แม้งานแรกของ คุณอัญ" จะไม่ได้กลับมาทำธุรกิจเพชรของครอบครัว แต่เลือกทำงานเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชี บริษัทชื่อดัง Price water house coopers ซึ่ง "เธอ" เล่าว่า ทำงานอยู่ที่ Price water house coopers เป็นเวลาทำงาน 2ปี แฮปปี้กับผู้ร่วมงาน และการทำงานที่ต้องทำเป็นทีม แต่ในที่สุดกลับไม่ใช่งานที่ตัวเองชอบจริงๆ จึงตัดสินใจลาออกและเตรียมเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ น่าจะเรียกได้ว่า การตัดสินใจลาออกจากงานแรกในครั้งนั้น ทำให้ "เธอ" ได้ค้นพบว่า อะไรคือ งานที่เธอชอบ

ระหว่างที่รอเดินทางไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศนั้น "เธอ" ได้มีโอกาสเข้ามาช่วยงานธุรกิจของครอบครัว และแล้ว "เธอ" ก็หลงเสน่ห์ความวาววับของเพชร และหลงรักงานที่ทำ

การตัดสินใจไม่ไปเรียนต่างประเทศ โดยเลือกศึกษาต่อในประเทศแทน เพื่อที่จะได้ทำงานที่ตัวเองรัก เมื่อหันมาจับธุรกิจของครอบครัวเต็มตัว เธอจึงต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพชร และเครื่องประดับเพชรอย่างจริงจัง ด้วยการศึกษาต่อที่สถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (GIA) และใช้เวลาตอนเย็นเรียนปริญญาโท The Master of Science in Marketing Program (MIM) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ความสำเร็จที่ผ่านมา การันตีด้วยรางวัลเกียรติยศ เช่น ชนะเลิศ Thammasat Asia MOOT Corp Competition เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขัน Global MOOT Corp Competition, Texas, USA รางวัล รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง Global MOOT Corp Competition, Texas, USA รางวัล รองชนะเลิศอันดับสอง New Venture Championship, Oregon, USA

ขณะที่ประสบการณ์ 2 ปี ของการทำงานที่ Price water house coopers สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับหน้าที่รับผิดชอบในตำแหน่ง CFO ได้เป็นอย่างดี เพราะเธอพกความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการเงินการบัญชีมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประสบการณ์เหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2009

ปัจจุบันฐานลูกค้าในปัจจุบันของแบรนด์เพชรยูบิลลี่กว่า 100,000 รายทั่วประเทศ เป็นเครื่องการันตีคุณภาพได้เป็นอย่างดี ขณะที่ในปีนี้มีเป้าหมายขยายสาขาปีนี้อีก 10 สาขา จากปัจจุบันที่มีสาขาา 80 สาขา จากอดีตที่"ยูบิลลี่" เปิดสาขาในรูปแบบเคาน์เตอร์จำหน่ายเพชรแห่งแรกที่ห้างสรรพสินค้าเยาฮัน เมื่อปี 2537 จนถึงขณะนี้เรียกได้เว่า เป็นผู้ค้าปลีกเครื่องประดับเพชร "อันดับหนึ่ง" ที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย

งานในความรับผิดชอบของ "คุณอัญ" ได้รับมอบหมาย คือ รับผิดชอบ Project เพชรที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1 กะรัตขึ้นไป เริ่มตั้งแต่ติดต่องานกับซัพพลายเออร์ ที่ประเทศเบลเยี่ยม ในการสั่งซื้อเพชร, รับผิดชอบงานขาย, บริหารงานการตลาด ตลอดจนการให้บริการลูกค้าหลังการขาย นอกจากนี้ ยังศึกษาข้อมูลของตลาดเพชร ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ และร่วมสมัย เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพอใจสูงสุด และหลังจากที่มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มาแล้ว 8 ปี ทำให้เธอได้รับความไว้วางใจจากคุณพ่อ ซึ่งขณะนี้หันมาดูภาพรวม และมอบหมายให้เธอดูแลงานด้าน OPERATION เต็มตัว

ปรัชญาในการทำงาน ของทายาทธุรกิจท่านนี้ "ลูกค้า คือ คนในครอบครัว ที่เราต้องใส่ใจ ดูแลและมอบสิ่งที่ดีให้เสมอ "

"เธอ" เป็นอีกคนหนึ่งที่ใช้เวลาเกือบทั้งหมด ทุ่มเทให้กับธุรกิจของครอบครัวอย่างจริงจัง ดังนั้น แม้ในบางครั้ง "เธอ" จะยอมรับว่าเคยนั่งคิดว่าหากไม่ทำธุรกิจเพชรและเครื่องประดับแล้ว จะทำธุรกิจอะไร แต่ที่สุดแล้ว ก็ยังเห็นว่าธุรกิจเพชรยังมีโอกาสที่จะทำอะไรได้อีกมากมาย

"เวลาทำงาน ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อย หรือท้อถอย แต่เป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการเรียนรู้และมีความท้าทายใหม่ๆ เข้ามาสู่ชีวิตการทำงาน ทำให้ทุกวันนี้เป็นคนที่ชอบทำงาน สนุกกับงานที่ทำ และพร้อมที่จะเรียนรู้งานใหม่ๆ อยู่เสมอ " เธอเล่า

ด้วยบุคลิกที่เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เรียนรู้การทำงานเป็นทีมและเปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอยู่เสมอ เนื่องจากเธอมองว่า ไม่มีงานใดประสบความสำเร็จได้ หากทำงานคนเดียว ทำให้เธอให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม ฟังความเห็นของพนักงานตั้งแต่ระดับพนักงานขายหน้าร้านและพนักงานฝ่ายบริหาร เพราะมุมมองของแต่ฝ่ายที่รับผิดชอบนั้น จะมีแนวคิดที่แตกต่างกัน การนำแนวคิดของกลุ่มคนเหล่านี้มาประสาน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายให้บริษัทประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องที่ทำยากที่สุด และเป็นเรื่องที่ต้องใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมจากการทำงาน

บนเป้าหมายที่เธออยากเห็น คือ หากผู้บริโภคนึกถึงเพชรที่มีคุณภาพแล้ว ต้องนึกถึง "ยูบิลลี่" เป็นเจ้าแรก หรือเป็น Top of mind ในใจของลูกค้า จากปัจจุุบันที่มีฐานลูกค้าประมาณ 100,000 ราย คาดว่าจะมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 30% ในปีนี และเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้น 15 %

ในมุมมองของเธอซึ่งแนะนำให้ลงทุนใน "เพชร" เพราะนอกจากเป็นของสะสมและเป็นการลงทุนอีกอย่างหนึ่ง นอกจากจะนำมาใช้งานได้แล้ว ยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่ปลายปี 2553 จนถึงขณะนี้ "เธอ"คำนวณแล้วว่าราคาเพชรปรับขึ้นถึง 10-15% นอกจากนี้ "เธอ" ยังเชื่อว่า การลงทุนในเพชร หรือทอง ที่หลายๆคนชอบนำมาเปรียบเทียบกันนั้น "เธอ"มองว่า ไม่ใช่สิ่งที่จะทดแทนกันได้ เพราะทองคำเปรียบเสมือนเงินสด แต่การลงทุนในเพชร เหมือนเป็นมรดก ที่มีมูลค่าสูงขึ้นและส่งทอดจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง

เป้าหมายของทายาทธุรกิจท่านนี้ คือ ผลักดันแบรนด์เพชร "ยูบิลลี่" ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดเพชรกะรัต และ เครื่องประดับเพชร

ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดทองคำและเพชรในเมืองไทย ที่กำลังโตขึ้นเรื่อยๆ นอกเหนือจากกลยุทธ์ในการชิงส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจแล้ว ทายาทธุรกิจรุ่นใหม่เหล่านี้ ช่วยเติมให้การแข่งขันมีสีสันน่าติดตามไม่น้อย.....

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=63579:2011-04-16-15-31-51&catid=173:2009-05-19-15-25-04&Itemid=532






'จิวเวลรี คาเฟ' จับเบเกอรี่ พลิกโฉมสู่เครื่องประดับ




MV ละลาย Four Mod



'จิวเวลรี คาเฟ' จับเบเกอรี่ พลิกโฉมสู่เครื่องประดับ


พลิกโฉมเบเกอรีสู่เครื่องประดับ

งานจิวเวลรีที่มีชิ้นเดียวในโลก ธุรกิจของครอบครัวโดยมารดาเป็นผู้ออกแบบเองทั้งหมด ทำให้ผู้เป็นลูกชายเมื่อต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเองจึงต้องสร้างความแตกต่างด้วยเช่นกัน อย่างการนำศิลปกรรมไทยโบราณมาต่อยอดสู่งานจิวเวลรี อย่าง งานถมเงินถมทอง ที่นับวันช่างผู้ชำนาญเริ่มเลือนหายไป และล่าสุดออกแบบจิวเวลรีภายใต้คอนเซ็บต์สินค้าในร้านเบเกอรีทั้งหมดแบรนด์ “Jewely Cafe”

นายชาญเกียรติ มหันตกุล เจ้าของร้าน Jewelry Cafe

นายชาญเกียรติ มหันตกุล เจ้าของร้านจิวเวลรี คาเฟ่ เล่าว่า ตนเองคลุกคลีอยู่ในแวดวงเครื่องประดับมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากมารดาออกแบบจิวเวลรีที่มีชิ้นเดียวในโลกแบรนด์ BEE BIJOUX โดยเลือกวัตถุดิบที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เช่น มุกรูปทรงแปลกๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ปะการังรูปลักษณ์แปลกตา มรกตสีชมพู หรือการนำหยกและเปลือกหอยมาแกะสลัก พร้อมเพิ่มค่าด้วยเพชรและทองตามการออกแบบ ทำให้ได้เครื่องประดับที่ไม่ซ้ำใคร เจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบงาน Master Pieces

แหวน Cup Cake

ต่อมาในปี 2551 นายชาญเกียรติ ต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเองโดยมุ่งไปที่งานจิวเวลรี พร้อมสร้างความต่างผสมผสานงานถมเงินถมทอง ซึ่งเป็นศิลปะไทยโบราณ มาต่อยอดสู่งานจิวเวลรีแบรนด์ Proud Line หลังพบว่าศิลปะไทยดังกล่าวเริ่มเลือนหาย หรือนำมาทำเป็นขัน, พาน ที่ถูกหยิบใช้ในบางโอกาส ดังนั้นจึงนำ 2 แนวคิดมาประยุกต์เป็นงานจิวเวลรี พร้อมขึ้นรูปตัวเรือนด้วยเงินประดับเพชรแท้ราคา10,000-20,000 บาท หลังจากนั้นนำการผลิตเครื่องประดับ ประยุกต์เข้ากับแฟลชไดรฟ์ (Flash Drive) ทำจากเงินแท้ ชุบทองคำขาว ประดับด้วยเพชรรัสเซีย ขนาด 16 Gb ราคา 5,500 บาท แบรนด์ iBling หวังเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งาน จำหน่ายที่สยามพารากอน ร้านลอฟท์ และเอ็มโพเรียม

เครื่องประดับงานถมเงินถมทอง

ความสนุกกับการออกแบบเครื่องประดับที่แปลกตาไม่เหมือนใคร ล่าสุดนายชาญเกียรติเปิดตัวจิวเวลรี คาเฟ เครื่องประดับเบเกอรี โดยได้แนวคิดจากผู้เป็นพ่อต้องการเปิดร้านกาแฟ พร้อมกับนำเครื่องประดับไปจำหน่ายภายในร้านกาแฟด้วย สุดท้ายมาลงตัวที่เครื่องประดับ ภายใต้รูปลักษณ์เบเกอรี

“ร้านจิวเวลรี่ คาเฟ ผมได้ไอเดียมาจากคุณพ่อที่ต้องการเปิดร้านกาแฟ และจะนำเครื่องประดับไปจำหน่ายในร้านด้วย ผมจึงคิดออกแบบเครื่องประดับออกมาในรูปของขนม นม เนย เค้ก เหมือนยกสินค้าในร้านเบเกอรีมาเป็นเครื่องประดับทั้งหมด เพื่อทำให้ราคาเครื่องประดับของครอบครัวลดลงมา เข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่มในราคาเริ่มต้นที่ 1,000-2,000 บาท โดยผลงานชิ้นแรกคือแหวนคัพเค้ก ตัวเรือนทำจากทองเหลือง ประดับด้วยเพชรรัสเซีย อนาคตผมจะออกแบบเครื่องประดับอื่นๆ อีก เรียกได้ว่าอะไรที่ไปเจอในร้านเบเกอรี ก็มาเจอได้ในร้านจิวเวลรี่ คาเฟ ได้เช่นกัน”

แหวน Cup cake หลากสีลูกค้าเลือกได้ตามใจ

การที่เครื่องประดับดีไซน์เป็นสินค้าเบเกอรี ถือเป็นการสร้างความแปลกใหม่ให้แก่วงการจิวเวลรี ซึ่งนายชาญเกียรติ บอกว่า การออกแบบครั้งนี้เป็นการออกแบบตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะวัยรุ่นที่กระแสตอนนี้ชอบใส่แหวนวงใหญ่ๆ เพิ่มความโดดเด่นให้ตัวเอง ต่างก็ชื่นชอบเครื่องประดับแนวจิวเวลรี คาเฟ เป็นพิเศษ


“อนาคตผมจะออกแบบเครื่องประดับออกมาเรื่อยๆ เช่น ต่างหูโดนัท สร้อยข้อมือโดนัท หรืออะไรก็ตามแต่ในร้านเบเกอรี่จะนำมาออกแบบเป็นเครื่องประดับทั้งหมด จำหน่ายที่เพนนิซูลา พลาซา ชั้น 1 แต่ต่อไปจะขยายสาขาไปที่ตามห้างสรรพสินค้า และแหล่งงานดีไซน์ จากจุดแข็งการผลิตแฮนด์เมดทุกขั้นตอน ใส่ใจทุกรายละเอียด และหากร้านจิวเวลรี คาเฟ่ เริ่มอยู่ตัว และมีสินค้าหลากหลายรูปแบบเพิ่มมากขึ้น อาจจะขยายธุรกิจในรูปแบบของแฟรนไชส์เล็กๆ มีตู้เบเกอรี่สำหรับโชว์สินค้าเครื่องประดับเพื่อสร้างความน่าสนใจแก่ลูกค้าอีกทางหนึ่ง"

หน้าร้าน Jewelry Cafe

http://www.facebook.com/jewelrycafe
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9540000051843








ทำเงินบนโลกไอที (59) : ได้หน้าอย่าลืมหลัง ได้ Social อย่าลืม Web




ห้ามทิ้ง (Bossanova Version) Sweet Sunday [Official MV]


ได้หน้าอย่าลืมหลัง ได้ Social อย่าลืม Web
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมมากมายสำหรับหัวข้อทำเงินบนโลกไอทีสัปดาห์นี้ "ณัฐกรณ์ รัตนชัยสิทธ์"ที่ปรึกษาการตลาดของบริษัทในสิงคโปร์ซึ่งดูแลกลยุทธ์ออนไลน์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ติดอันดับ Fortune 500 จะมาชี้ประเด็นพร้อมยกบทเรียนการตลาดซึ่งจะทำให้ทุกคนเห็นด้วยว่า...

อย่ามัวหลงกระแส Social จนทำให้ลืมช่องทางการตลาดพื้นฐานอย่างเว็บไซต์

***ทำการตลาดผ่าน Social Media เพราะตามกระแสโดยมองข้ามการตลาดพื้นฐาน (โดย ณัฐกรณ์ รัตนชัยสิทธ์ www.nuttakorn.net)

ในปีที่ผ่านมามีหลายแบรนด์ที่ตามกระแสการทำการตลาดบน Social Media แต่กลับมองข้ามความสำคัญของการวัดผลที่เป็นมูลค่าทางการขาย ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญของธุรกิจอย่างมาก

ผมขอยกตัวอย่างเคสแบรนด์ระดับโลกอย่างเป๊ปซี่ เป๊ปซี่ได้ย้ายงบการตลาดแบบดั้งเดิมในทีวีไปยัง Social Media ใน โครงการ "Pepsi Refresh Project" โดยใช้งบประมาณมากถึง 20-30 ล้านเหรียญสหรัฐ

โครงการ "Pepsi Refresh Project" เป๊ปซี่ใช้งบประมาณมากถึง 20-30 ล้านเหรียญสหรัฐแต่กลับถูกวิจารณ์ว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า

Klout Social Media Engagement Score for Coca Cola (@CocaCola)

Klout Social Media Engagement Score for Pepsi (@Pepsi)

สิ่งที่เห็นได้ชัดจากความล้มเหลวในครั้งนี้คือยอดขายเป๊ปซี่ ทำให้ยอดขายและส่วนแบ่งการตลาด (Market share) ลดลงไปถึง 5% ในปีที่แล้ว เป็นครั้งแรกที่เป๊ปซี่ถูกลดลงจากตำแหน่งเดิมที่เป็นเครื่องดื่มอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกามาเป็นอันดับ 3 โดยถูก Diet Coke ขึ้นมาเป็นอันดับ 2

ตลาดเครื่องดื่ม Soft Drink ในประเทศสหรัฐอเมริกามีมูลค่าประมาณ 7.4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยถ้าลดลง 5% ในส่วนแบ่งการตลาดเป๊ปซี่ของสหรัฐ ทำให้สูญเสียมูลค่ามากถึง 350 ล้านเหรียญสหรัฐ จากแบรนด์เป๊ปซี่โคล่าเพียงอย่างเดียว (ข้อมูลจาก Wall Street Journal)

ผลลัพท์ของโครงการทำให้เป๊ปซี่มีเพียง 3.5 ล้าน "Like" ใน Facebook หากเปรียบเทียบกับ โค้กมีมากกว่า 23 ล้าน Like ซึ่งมีมากถึง 7 เท่า ซึ่งดูเหมือนว่าโค้กยังให้ความสำคัญในการใช้จ่ายด้านการตลาดกับช่องทางแบบดั้งเดิม ทำให้สร้างผลสำเร็จมากกว่า

จำนวน Follower ใน Twitter ซึ่งมีเพียง 60,000 คน ทำให้เห็นว่า Pepsi Refresh ไม่ได้เพียงกระทบในแง่ของยอดขายครับ แต่ยังแสดงถึงการสร้างกระแสและวัดผล Social Media ซึ่งไม่ Effective หรือมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

หากเปรียบเทียบกับชาร์ลีชีนน์ (Charlie Sheen) Twitter ของเขาได้ใช้เวลาสร้างเพียงเดือนเดียวแต่เขามีเกือบ 3.2 ล้านผู้ติดตาม นั่นคือความสำเร็จที่แท้จริงในการทำตลาดผ่านทาง Social Media

ผมได้ทดลองเปรียบเทียบ Engagement ระหว่าง Pepsi กับ Coca Cola แสดงให้เห็นว่าจำนวน True Reach (ขนาดของกลุ่มเป้าหมาย โดยวัดจาก Followers) ระหว่างสองแบรนด์ไม่ต่างกันมาก แต่ต่างกันมากในส่วนของ Brand Engagement

หลังจากผลประกอบการออกมาทาง PepsiCo กล่าวว่าจะยังทำโครงการ Refresh Project ต่อไป แต่มีแผนการตลาดโดยใช้โฆษณาแบบดั้งเดิมมากขึ้น ซึ่งมองให้เห็นว่าจากโครงการนี้แสดงให้เห็นว่าไม่สามารถสร้างรายได้ในระยะสั้นได้มากเท่ากับการใช้โฆษณาดั้งเดิม

โดยเห็นได้ชัดจากคู่แข่งอย่างโค๊ก ซึ่งการทำการตลาดผ่านทางช่องทาง Social Media นั้นยังถือว่าเป็นลงทุนในระยะยาวที่ต้องอาศัยการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง

จากเคสที่เล่ามาข้างต้น ผมคิดว่าเป็นเคสที่น่าสนใจและเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับนักการตลาด ในการทำตลาดผ่านทางช่องทาง Social Media โดยเราจะมีการเรียนรู้จากผลตอบรับในด้านของ Brand Engagement เองหรือรวมถึงยอดขาย ซึ่งเราจะต้องมีการวางแผน รับฟังและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยนำ Insight ที่ได้มาจากการทำ Social Listening มาพัฒนาเป็น Campaign เพื่อกระตุ้นยอดขายต่อไป

และที่สำคัญเราไม่ควรที่จะสนใจในการทำการตลาดผ่านทางช่องทาง Social Media อย่างเดียว มีหลายบริษัทที่มองข้ามการทำตลาดโดยใช้เว็บไซต์เป็นช่องทางการขาย แต่ได้นำช่องทางที่เป็น Social Media มาเป็นช่องทางขายแทนซึ่งผมมองว่าเป็นการใช้ช่องทางที่ผิดและจะส่งผลกระทบในระยะยาว

ซึ่งหากมีคนนำมาใช้ไม่ถูกต้องเป็นจำนวนมากอาจจะส่งผลถึงสังคมออนไลน์ในภาพรวม กลายเป็นสังคมขยะ (Social Spam) ต่อไป

ในยุคปัจจุบัน Consumers ได้มีการสื่อสารกับแบรนด์ผ่านหลากหลาย Touchpoint โดยแต่ละช่องทางทำหน้าที่แตกต่างกันไป สิ่งที่ควรทำคือการมองให้รอบด้านในตอนที่เราวางแผน Social Media ผมขอยกตัวอย่างการวัดโดยใช้ผลโดย Metrics ดังต่อไปนี้

- จำนวน Active Fans เป็นหลัก ไม่ใช่ใช้เพียงแค่จำนวน Fan เป็นการชี้วัดความสำเร็จ
- จำนวนบทโต้ตอบ (Dialogue) และ Comment โดยจะต้องมีการวัดถึง Sentiment โดยว่าการโต้ตอบนั้นมี Positive (ในด้านดี) Negative (ในด้านเสีย) หรือ Neutral (มองกลางๆ)
- จำนวนของ Influencers ที่มีอิทธิพลในการสื่อสารไปยังบุคคลอื่นๆ
- จำนวนยอดขายจากผลิตภัณฑ์ที่แนะนำผ่านทางช่องทาง Social Media

กลุ่มผู้บริโภคเองส่วนมากยังคงหาข้อมูลจากการ Search ผ่านทาง Search Engines บริษัทจึงสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยใช้ Branded Website เป็นหลักได้ต่อไป

เพราะ Branded Website สามารถทำหน้าที่เป็นช่องทางสื่อสารหลักของการให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัท สินค้า และช่องทางการขายได้ดี โดยหากจะวัดความสำเร็จผ่านทางช่องทางนี้เราจะต้องดูไปมากกว่าจำนวนผู้เข้าชม บนจุดประสงค์ของการสร้างเว็บไซต์นั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น

- Unique Visitors จำนวนคนเข้าชม จุดนี้จะทำให้ธุรกิจทราบเลยว่าแต่ละสื่อนั้นมีค่าใช้จ่ายต่อการจำนวนคนเข้าเท่าไร
- Average Time on site จำนวนเวลาที่เข้ามาใช้งานในเว็บไซต์ ซึ่งสามารถวัดคุณภาพของทราฟฟิกได้
- On-Site Social Interaction มีการพูดคุยหรือการแชร์ข้อมูลไปยังบุคคลอื่นหรือไม่
- Micro Conversion ข้อมูลพฤติกรรมย่อย เช่น จำนวนคนที่มาสมัครเป็นสมาชิก จำนวนการขอข้อมูลจากเว็บไซต์ เป็นต้น
- Sale Conversion หากเป็น E-Commerce เว็บไซต์เราก็จะสามารถวัดยอดขาย โดยเราจะต้องคำนึงถึง ROI เป็นสำคัญว่าเราจ่ายไปกับสื่อเท่าไรและได้รายรับกลับคืนมาเท่าไร

หากเราจะมีการทำตลาดผ่านทาง SEO หรือ Organic Search คือการทำปรับแต่งให้เว็บไซต์นั้นติดในผลค้นหาของ Search Engine โดยบริษัทส่วนมากในตลาดเมืองไทย ยังคิดว่าการทำ SEO นั้นคือการติด Ranking อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นการวัดค่าความสำเร็จที่ไม่ถูกต้อง เราต้องมองถึงการวัดโดยยกตัวอย่างต่อไปนี้

- Impression จำนวนครั้งที่ Searcher ได้เห็น Organic Search Listing ของแบรนด์เรา
- Click จำนวนคลิกที่เข้ามา โดยเราจะต้องวัดถึงว่า มีกี่เปอร์เซนต์ที่เป็น Branded Keyword ซึ่งเราใช้ข้อมูลตรงนี้ในการวัดความสำเร็จของแบรนด์เราได้ด้วยว่าผู้ใช้มีการค้นหาแบรนด์เรามากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน หรือว่าเป็น Generic Keyword (คำค้นหาที่เป็น คำทั่วไป)
- Bounce Rate (จำนวนที่ Visitors ออกไปจาก Landing Page หากมีค่าที่เปอร์เซ็นที่สูงแสดงว่า เราทำการปรับแต่งคีย์เวิร์ดและคอนเทนท์ที่ไม่ถูกต้อง
- Micro-Conversion (ยกตัวอย่างเช่น การวัดผลว่ามีการสมัคร Newsletter เพื่อรับข่าวสาร)
- Sales ยอดขายจากทราฟฟิกจาก SEO ซึ่งเราสามารถวัดผลได้โดยใช้โปรแกรม Analytic

จากเบื้องต้นเป็นเพียงแค่ตัวอย่างในการวัดผลในสามช่องทางหลัก ซึ่งเป็นแนวทางสำหรับนักการตลาดในการใช้วางแผนในช่องทางอื่นเช่นกัน
แต่ที่สำคัญที่สุดเราจะต้องรู้ถึงวัตถุประสงค์ก่อนว่าไปเพื่ออะไร (WHY)

หากมีข้อคิดเห็นอย่างไรก็ให้มีการพูดคุยกันได้ที่ทวิตเตอร์ของผม www.twitter.com/nuttakorn และเว็บไซต์ nuttakorn.nethttp://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000044788





เหนื่อยมั้ย? มานั่งพักผ่อนกันก่อนนะคะ Relax .... have a seat!‏


ขอยืนยันว่า... นั่งเฉยๆ ไม่ได้แล้ว



เหนื่อยมั้ย? มานั่งพักผ่อนกันก่อนนะคะ
Relax .... have a seat!‏



จะนั่งพักที่โซฟาตัวไหนก็ได้ เลือกได้ตามสบายเลยนะคะ



สำหรับเรา ไม่เหนื่อยค่ะ ก็ลมมันเย็นนิ...
ยังไม่นั่งหรอก..คริ ..คริ !!




1
2

Wish You Happinessss

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. 
If you love what you are doing, you will be successful. 

~ Albert Schweitzer ~

 คัมภีร์ 5 ห่วง  วิถีแห่ง "ซามูไร" วิถีแห่งนักรบ "บูชิโด"   แนวคิดของตัวเม่น   GOOD LUCK สร้างแรงบันดาลใจเพื่อความสำเร็จ ในชีวิตและธุรกิจด้วยตัวคุณเอง    Why complicate life ?   3 x 8 = เท่าไหร่ ?????   "ฉันชื่อ..โอกาส"

Wish You Happinessss