พิศวงความงาม"ถ้ำคริสตัล"




พิศวงความงาม"ถ้ำคริสตัล"



ใต้ทะเลทรายชิวาว่าไปกว่า 1,000 ฟุต ในประเทศเม็กซิโก สองพี่น้องชาวเม็กซิกันพบถ้ำที่มีความสวยงามแปลกตา ขณะขุดเจาะหาแร่ไนคา ตะกั่ว และเงิน

ภายในถ้ำมีผลึกคริสตัลรูปโอบิลิสก์กว่า 170 แท่ง แท่งที่สูงที่สุดมีขนาด 37.4 ฟุต พอๆ กับความสูงของชาย 6 คนเรียงกันขึ้นไป






สันนิษฐานว่า น้ำบาดาลทำให้แคลเซียมซัลเฟตเปียกชื้น จากนั้นแม็กม่าซึ่งมีความร้อนและอยู่ลึกลงไปประมาณ 1 ไมล์ ได้แทรกตัวขึ้นมายังถ้ำในช่วงหลายล้านปีก่อน กระทั่ง 600,000 ปีที่แล้ว แม็กม่าเย็นตัวลง แร่ธาตุทั้งหลายเริ่มตกตะกอนโดยไม่มีน้ำปนเข้ามา จนเกิดแท่งคริสตัล

จากภาพที่เห็นว่า มีแท่งคริสตัลมากมายคล้ายกับแท่งน้ำแข็ง อากาศภายในถ้ำจึงน่าจะเย็นนั้น ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง เพราะอากาศในถ้ำแห่งนี้สูงถึง 44.5 เซลเซียส มีความชื้น 90-100% ทำให้นักสำรวจต้องสวมชุดพิเศษ โดยข้างหลังแบกกระติกน้ำกันไว้ทุกคน - เดลี่เมล์





















ในร้านเหล้าที่แทบจะร้างผู้คนในเมืองทะเลทรายอันมืดมิด ชายขี้เมาร่างเตี้ยกำลังกล่อมลูกค้าให้ควักกระเป๋าซื้อสินค้า บนโต๊ะบิลเลียดข้างๆเขา มีก้อนหินขนาดไล่เลี่ยกับถาดใบโตวางอยู่คริสทัลสีม่วงและสีขาวที่ดูบอบบางราวกับ เศษแก้วสิบกว่าแท่งโผล่ขึ้นมาจากหินก้อนนั้น ชายขี้เมาป่าวร้องว่า ”300 เหรียญเอาไปเลย ไม่สนเหรอ งั้นร้อยเดียวขาดตัว ถูกเหมือนได้เปล่าเลยนะเพ่„ พื้นที่ห่างไกลทางตอนเหนือของเม็กซิโก ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง ชิวาวาราวหนึ่งชั่วโมงทางรถยนต์แห่งนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องคริสทัล อีกทั้งค่าแรงน้อยนิดที่ชาวบ้านครึ่งค่อนเมืองได้รับจากเหมืองตะกั่วและเหมืองเงินในท้องถิ่นก็เป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดตลาดมืดขึ้น ”สามสิบสนไหมเพ่„ เขายื่นหน้า มาใกล้ๆ ”งั้นสิบเหรียญเอ้า„ ผมนึกถึงภาษิตที่ว่า อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมาขึ้นมาตงิดๆ หลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผมยังคืบคลานอยู่ในถ้ำที่อยู่ลึกลงไปใต้ร้านเหล้า ท่ามกลางดงคริสทัลที่พูดได้ว่าใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีทั้งแท่งที่ใหญ่และหนา บางแท่งยาวกว่า 10 เมตรและมีอายุเก่าแก่ร่วมครึ่งล้านปี อีกทั้งใสแจ๋วและเรืองรองจนดูเหมือนมาจากนอกโลก พวกมันทำให้แท่งคริสทัลบนโต๊ะบิลเลียดกลายเป็นที่ทับกระดาษที่ดูดาดๆไปเลย
คงไม่มีอะไรเทียบได้กับคริสทัลขนาดมหึมาที่พบในถ้ำกูเอบาเดโลสกริสตาเลส หรือถ้ำแห่งคริสทัล(Cave of rystals) อีกแล้ว ถ้ำหินปูนและคริสทัลที่ทอประกายระยิบระยับแห่งนี้ถูกค้นพบเมื่อปี 2000 โดยพี่น้องคู่หนึ่งที่ขุดเจาะลึกลงไปใต้ดินเกือบ 300 เมตรในเหมืองไนย์กาที่จัดว่ารุ่มรวยที่สุดแห่งหนึ่งของเม็กซิโก แต่ละปีที่นี่ผลิตแร่ตะกั่วและเงินได้เป็นตันๆ ทั้งคู่ประหลาดใจกับสิ่งที่ค้นพบ แต่ก็ใช่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกระบวนการทางธรณีวิทยาที่สร้างตะกั่วและเงินก็สรรค์สร้างคริสทัลได้เช่นกัน และที่เหมืองไนย์กานี้คนงานเคยขุดพบโพรงถ้ำคริสทัลอันน่าตื่นตามาแล้วหลายแห่ง แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าถ้ำแห่งคริสทัลมากก็ตาม 
เมื่อข่าวการค้นพบคริสทัลยักษ์แพร่สะพัดออกไป นักวิทยาศาสตร์พากันตั้งคำถามว่า พวกมันมีขนาดใหญ่โตถึงเพียงนี้ได้อย่างไรเรานั่งรถตู้ลงไปตามทางที่คดเคี้ยวของปล่องเหมืองเป็นเวลา 20 นาทีจึงถึงทางเข้าถ้ำอุณหภูมิภายในถ้ำและเหมืองส่วนใหญ่มักเย็นเยียบและคงที่ แต่ที่เหมืองไนย์กา ยิ่งลึกกลับยิ่งร้อน เนื่องจากที่นี่ตั้งอยู่เหนือบริเวณที่มีการแทรกซอนของหินหนืด (magma) ซึ่งอยู่ลึกลงไปจากผิวดินราว 1.5 กิโลเมตร อุณหภูมิภายในถ้ำสูงถึง 44 องศาเซลเซียส ขณะที่ความชื้นอยู่ที่ร้อยละ 90 ถึง 100 ร้อนพอที่จะทำให้เป็นลมได้ทุกครั้งไป ครั้นพอถึงปากทางเข้าถ้ำ เนื้อตัวพวกเราก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อการเตรียมตัวเข้าถ้ำช่างเหมือนกับการเตรียมตัวออก ไปเดินในอวกาศไม่มีผิด ผมสวมเสื้อกั๊กที่มีแผ่นประคบเย็นขนาดเท่าฝ่ามือสิบกว่าแผ่นเย็บติดไว้ในกระเป๋าเสื้อทั่วทั้งหน้าอกและแผ่นหลัง แล้วสวมเสื้อกั๊กทับอีกตัวเพื่อเป็นฉนวนกันความร้อนให้แผ่นประคบเย็น ก่อนจะทับด้วยชุดสำรวจถ้ำสีส้มแปร๊ดไว้บนสุด นอกจากนี้ ยังมีหมวกนิรภัย ไฟฉายคาดศีรษะ หน้ากากกันก๊าซพิษที่จะเป่าลมเย็นจากน้ำแข็งเข้ามา ตามด้วยถุงมือและรองเท้าบู๊ต แม้นักสำรวจถ้ำจะห่อหุ้มร่างกายด้วยเครื่องป้องกันทั้งหมดที่ว่ามา แต่ความร้อนก็อาจทำให้ถึงกับหมดเรี่ยวหมดแรงและเป็นอันตรายได้ 
ส่วนใหญ่แล้วการสำรวจถ้ำแต่ละครั้งจะกินเวลาไม่เกิน 20 นาที ในครั้งนี้เรามีโจวันนี บาดีโน นักฟิสิกส์จากทีมสำรวจลาเวนตา (La enta) ของอิตาลี เป็นผู้นำทางแท่งคริสทัลเรืองแสงเหล่านี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬารบางแท่งหนาถึงหนึ่งเมตร บนพื้นและผนังถ้ำมีกลุ่มคริสทัลขนาดย่อมลงมาที่คมเหมือนใบมีดและโปร่งใสไร้ที่ติ บาดีโนเดินอย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะไปทำความเสียหายแก่คริสทัล ซึ่งเกิดจากเซเลไนต์ (selenite) หรือแร่ยิปซัมรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะโปร่งใสและอ่อนนุ่ม ขูดขีดเป็นรอยได้ง่ายหากโดนส้นรองเท้าหรือแม้แต่เล็บมือโครงสร้างของคริสทัลมีความเป็นระเบียบมาก โมเลกุลเหล่านี้เรียงตัวกันเป็นชั้นๆตามกฎเหล็กของธรรมชาติ แต่คริสทัลก็สะท้อนสภาพแวดล้อมของพวกมันด้วย ควน มานูเอล การ์เซีย-รูอิซ นักผลิกศาสตร์ (crystallographer) ชาวสเปน เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญคนแรกๆที่ศึกษาคริสทัลที่ไนย์กามาตั้งแต่ปี 2001 การ์เซียและเพื่อนร่วมงานปะติดปะต่อเรื่องราวการเติบโตของคริสทัลจากการ ตรวจสอบฟองของเหลวที่เก็บกักอยู่ในผลึก 
จนได้ข้อสรุปว่าน้ำบาดาลที่เจือแคลเซียมซัลเฟตซึมผ่านถ้ำหลายแห่งที่ไนย์กาเป็นเวลาหลายแสนปี โดยได้รับความร้อนจากหินหนืดที่อยู่ข้างใต้ เมื่อหินหนืดเย็นตัวลง อุณหภูมิของ น้ำภายในถ้ำค่อยๆลดลงจนคงที่อยู่ที่ประมาณ 58 องศาเซลเซียส ที่อุณหภูมิระดับนี้แร่ธาตุในน้ำจะเริ่มแปรสภาพเป็นเซเลไนต์ โดยโมเลกุลจะเรียงตัวกันเหมือนอิฐก้อนเล็กๆก่อร่างขึ้นเป็นคริสทัล ส่วนในถ้ำใต้ภูเขาแห่งอื่นๆ การที่อุณหภูมิแปรปรวนขึ้นๆลงๆ หรือสภาพแวดล้อมถูกรบกวน ส่งผลให้รูปแบบการก่อตัวของคริสทัลแตกต่างออกไปและมีขนาดเล็กกว่า ทว่าสภาวะต่างๆภายในถ้ำแห่งคริสทัลนี้ไม่เปลี่ยนแปลงเลยตลอดช่วงเวลานับพันๆปี 
คริสทัลจึงเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆภายใต้การโอบอุ้มของความเงียบสงัดและเกือบนิ่งสนิท กระทั่ง ราวปี 1985 นี้เองที่กระบวนการเติบโตหยุดชะงักลงหลังคนงานเหมืองใช้เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่สูบน้ำ ทำให้ระดับน้ำใต้ดินภายในถ้ำลดลงโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขณะนี้ทีมนักสำรวจและนักวิทยาศาสตร์กำลังทำการวิจัยและถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีอยู่ในถ้ำ สไตน์-เอริก เลาริตเซน อาจารย์ด้านธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยเบอร์เกนในนอร์เวย์ กำลังเก็บตัวอย่างคริสทัลเพื่อนำมาหาอายุโดยหาปริมาณยูเรเนียมต่อตะกั่ว (uranium-thorium ating) 
ในผลการวิจัยเบื้องต้นเขาสันนิษฐานว่าแท่งคริสทัลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีอายุราว 600,000 ปีส่วนเพเนโลปี บอสตัน รองศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ทางถ้ำและคาสต์[karst คือพื้นที่หินปูนที่น้ำชะหินออกไปมากจนเป็นตะปุ่มตะป่ำ] ทีมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกเทคได้ตรวจหาจุลินทรีย์ที่อาจอาศัยอยู่ท่ามกลางคริสทัล คริสทัลบางแท่งมีฟองของเหลวเล็กจิ๋วซึ่งเป็นสิ่งที่การ์เซียศึกษา ส่องประกายแวววาวเมื่อกระทบแสงไฟ ฟองเหล่านี้คือไทม์แคปซูลขนาดจิ๋ว ทีมนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีนำโดยอันนา มาเรีย แมร์กูรี 
ได้สกัดละอองเรณูที่อาจ ถูกกักเก็บไว้ในมลทิน (inclusion) หรือสิ่งแปลกปลอมในแร่ออกมา ละอองเรณูพวกนี้ดูเหมือนมีอายุ 30,000 ปีและแสดงให้เห็นว่าพื้นที่แถบนี้ของเม็กซิโกเคยปกคลุมด้วยผืนป่า ไม่ใช่ทะเลทรายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คริสทัลเรียว ยาวแท่งหนึ่งมีรอยแผลลึกจากการที่มีคนพยายามตัดมันออกมา นักสะสมอาจยอมควักกระเป๋าหลายหมื่นเหรียญสหรัฐเพื่อแลกกับคริสทัลจากถ้ำแห่งนี้ ต่อมาเจ้าของเหมืองจึงติดตั้งประตูเหล็กหนักอึ้งเพื่อป้องกันขโมย แม้เท่าที่ผ่านมาวิธีนี้ดูเหมือนจะได้ผล แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะอีกนานเท่าไร เพราะคนงานเหมืองล้วนเข้าถึงเครื่องมือขุดเจาะและวัตถุระเบิด และแม้ว่าเราจะสามารถหยุดยั้งการทำเหมืองและโครงการก่อสร้างต่างๆเพื่ออนุรักษ์แหล่งโบราณคดีได้ แต่ในเม็กซิโก แร่ธาตุซึ่งรวมทั้งคริสทัล ไม่อยู่ในข่ายที่ได้รับการปกป้องเช่นนั้น นอกจากนี้ คริสทัลยังอาจถูกคุกคามจากภาวะขาดแคลนน้ำ ตอนที่ถ้ำยังมีน้ำหล่อเลี้ยง น้ำได้ช่วยพยุงและรักษาสภาพแท่งคริสทัลเอาไว้ ทว่าปัจจุบันถ้ำกลับแห้งผาก และอากาศก็เข้ามาแทนที่ คริสทัลจึงอาจค่อยๆโค้งงอหรือแตกร้าวเพราะน้ำหนักของตัวมันเอง ซ้ำร้ายยังอาจขุ่นมัวเพราะมีก๊าซอย่างเช่นคาร์บอนไดออกไซด์ไหลเข้าสู่ถ้ำ ผู้บริหารเหมืองบอกผมว่า บริษัทเปโญเลสของเขายอมทุ่มเทเพื่ออนุรักษ์คริสทัลเหล่านี้ไว้ แต่เป้าหมาย หลักของทางบริษัทไม่ใช่คริสทัล หากเป็นการทำเหมืองแร่เงินและตะกั่ว บาดีโนและคนอื่นๆหวังจะโน้มน้าวให้บริษัทปกป้องคริสทัลมากขึ้น (เช่น มีการพูดถึงการรณรงค์ให้องค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนที่นี่เป็นมรดกโลก) แต่ทุกวันนี้ อนาคตของแท่งคริสทัลยังแขวนอยู่บนเส้นด้าย 
โดยอาจเป็นที่รู้จักนอกเม็กซิโกมากกว่าในประเทศเสียอีก เราหยุดพักกันครู่หนึ่ง ทุกอย่างรอบตัวเปล่งประกายระยับ ราวกับว่าเรากำลังยืนอยู่ข้างในดวงดาวสุกสกาว บาดีโนหันกลับมา ถอดหน้ากากออกแล้วพูดทั้งรอยยิ้มว่า ”เอาเถอะครับ แค่ได้มาเห็นที่นี่ก็นอนตายตาหลับแล้วละ„ มหาวิหาร ดวงดาว หลุมฝังศพ คือคำอุปมาที่เรา เฟ้นหามาอธิบายความงามอันน่าพิศวงที่ปรากฏแก่สายตาเราออกจากถ้ำหลังเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เลือดลมสูบฉีดแรง ผู้สร้างหนังสารคดีที่แวะมาเยี่ยมถามผมว่า ถ้ำแห่งคริสทัลหน้าตาเป็นอย่างไร ผมจนใจอธิบายไม่ถูก เขาได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจ”เอสโกโมอุงซู เอโญเดนีโญ„ เขาว่า ”เหมือนกับความฝันในวัยเยาว์ใช่ไหมครับ„

อ่านเรื่องราวทั้งหมดอย่างจุใจได้จาก นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย